วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จอมตลก

ผลสะท้อนแห่งสงครามทำให้โชคชะตาของมนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เรียกว่ากลับหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งท่านก็คงจะได้พบเห็นมามากต่อมาก เจ้ากุ๊ยอะไรคนหนึ่งเคยขอสตางค์ท่าน สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น กลายเป็นนักเซ็งลี้ตัวยง เลื่อนฐานะตัวเองขึ้นสู่ระดับเศรษฐี หลังจากเป็นนายหน้าซื้อสินค้าขายให้แก่กองทัพญี่ปุ่นหรือเป็นนายหน้าซื้อขายสินค้าในตลาดมืด คือสินค้าที่ทางการประกาศควบคุม
๔ ปีของสงครามมหาเอเซียได้ทำให้คนที่ไม่มีความรู้ คนที่หยาบช้าสามาน คนที่สังคมเคยรังเกียจเป็นเศรษฐีมีเงินนับจำนวนหมื่นแสน และ ๔ ปีของสงคราม บริษัทห้างร้านที่เคยมีความเป็นปึกแผ่นต้องเลิกล้มกิจการค้าไปมากต่อมาก เศรษฐีกลายเป็นคนจน คนจนกลายเป็นเศรษฐี เมื่อก่อนสงครามเราเคยเห็นท่านผู้ดีมียศศักดิ์ นั่งรับประทานอาหารตามราชวงศ์ นั่งดูละครชั้นพิเศษหน้าเวทีสำรวมจรรยามารยาทให้สมกับความเป็นผู้ดีของเขา เดี๋ยวนี้ตรงกันข้ามกันเสียแล้ว ราชวงศ์เป็นที่สุขสำราญของคนชั้นต่ำที่มีเงิน ท่านจะได้ยินเสียงด่ากันอย่างหยาบคาย เสียงตะโกนสั่งอาหารอย่างไร้มารยาท ท่านจะเห็นคนเลวๆ ที่มีเงินนั่งดูภาพยนตร์หรือละครชั้นพิเศษแต่ยกเท้าพาดไปที่พนักเก้าอี้ข้างหน้าพ่นควันบุหรี่ กระดิกเท้า คุยกันเอะอะเอ็ดตะโรถึงเรื่องเซ็งลี้ พวกผู้ดีจริงๆ หายหน้าหายตาไปหมด ศีลธรรมเสื่อมทรามลงและวัฒนธรรมนั้นหาไม่ได้เลย
เพราะผลสะท้อนของสงครามทำให้คุณพระอำนวยพานิชการ พ่อค้าผู้มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์คนหนึ่งในวงการค้าต้องสิ้นเนื้อประดาตัว อดีตกาลของคุณพระอำนวยฯ ท่านเป็นผู้ดีฐานะมั่งคั่งคนหนึ่ง แต่สงครามได้ทำความพินาศล่มจมให้กับท่าน บริษัทอำนวยพานิชล้มละลายไปแล้ว ห้างอำนวยภัณฑ์ของท่านก็ต้องเลิกล้มการค้า พระอำนวยฯ ต้องเปลี่ยนสภาพจากเศรษฐีเป็นคนจน คฤหาสน์ เริงจิตต์ ที่ใหญ่โตหรูหราที่สุดในย่านบางกะปิ คุณพระได้จำนองอาเสี่ยกิมหงวนไว้เป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท บัดนี้เกิดกำหนดสัญญาที่จะต้องถ่ายคืนแล้ว บ้าน ‘เริงจิตต์’ จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกิมหงวน มหาเศรษฐีของประเทศไทยผู้ที่ไม่รู้จักว่าความจนและความไม่มีสตางค์นั้นคืออะไร ฉากแรกของเรื่องจอมตลกเปิดขึ้นในตอนเย็นวันหนึ่ง ๒
สตู๊ดเก๋งสีองุ่นแล่นมาตามถนนสายกรุงเทพฯ-สมุทรปราการในอัตราความเร็วไม่เกินชั่วโมงละ ๓๐ ไมล์ คนขับรถคันนี้คือเจ้าแห้ว ผู้ที่นั่งอยู่ตอนหลังรถคือเจ้าสัวกิมไซ กิมหงวนและนวลลออ ลุงและหลานชายกับหลานสะใภ้พากันมาดูบ้าน ‘เริงจิตต์’ ของคุณพระอำนวยฯ ซึ่งบัดนี้เป็นของเสี่ยหงวนแล้ว การโอนโฉนดที่ดินได้จัดทำกันเรียบร้อยเมื่ออาทิตย์ก่อน กิมหงวนตั้งใจว่าเขาจะพานวลลออเมียรักย้ายจากบ้านพัชราภรณ์มาอยู่บ้าน ‘เริงจิตต์’ และจะให้เจ้าสัวกิมไซย้ายจากบ้านพาหุรัดมาอยู่รวมกับเขาด้วย
พระอำนวยฯ เจ้าของบ้าน ‘เริงจิตต์’ เป็นเพื่อนเกลอของเจ้าคุณประสิทธิ์นิติศาสตร์บิดาของพล การจำนองบ้าน ‘เริงจิตต์’ ได้เป็นไปอย่างสะดวกสบายที่สุด ทั้งๆที่อาเสี่ยกิมหงวนไม่เคยเห็นบ้าน ‘เริงจิตต์’ เลย เพียงแต่เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ พาพระอำนวยฯ ไปพบเสี่ยหงวนที่บ้าน ‘พัชราภรณ์’ บอกว่าพระอำนวยฯ เป็นเพื่อนรักของท่าน มีความประสงค์จะจำนองบ้านและที่ดินเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท อาเสี่ยก็รับจำนองไว้ เซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินทันที กิมหงวนเชื่อเกียรติพระอำนวยฯ เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าคุณประสิทธิ์ฯ นั่นเอง อีกประการหนึ่งเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับกิมหงวนก็ไม่ใช่เงินที่มากมายอะไรนัก
สตู๊ดเก๋งแล่นผ่านหน้าโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุงไปแล้ว มองแลเห็นอยู่ลึกเข้าไปในซอยทางซ้ายมือ เจ้าสัวกิมไซนั่งสัปหงกงึกๆ ยกเท้าทั้งสองขึ้นวางบนเบาะ อ้าปากหวอน้ำลายยืด
เสี่ยหงวนแลเห็นลุงกำลังหลับก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาสะกิดเมียของเขาแล้วพูดกับนวลละออเบาๆ
“ดูอาแป๊ะซีนวล แกน่าจะเป็นลุงเจ้ากรมากกว่าเป็นลุงเฮีย พอออกจากบ้านก็เริ่มหลับ”
แม่เสือนวลลออยิ้มน่าเอ็นดู
“ปล่อยแกตามเรื่องเถอะค่ะ”
กิมหงวนก้มหน้าเข้ามาข้างหูเจ้าสัวกิมไซแกล้งแหกปากตะโกนขึ้นดังๆ
“เอิ๊บ”
เจ้าสัวสะดุ้งเฮือกลืมตาโพลง หันมาแยกเขี้ยวกับกิมหงวน
“ฉิกหาย คงกำลังหลับซูบายๆ เลี้ยวเสือกร้องให้ตกจาย ม่ายรู้จักเหล็กผู้ใหญ่ เก๋าเจ๊ง”
นวลลออค้อนสามีของหล่อน
“ดี…สมน้ำหน้า อยู่ดีๆ ไม่ว่าดีหาเรื่องถูกด่า หมื่นอะไรก็ไม่รู้ อาแป๊ะแกเป็นเพื่อนเล่นของเฮียเรอะ”
เจ้าสัวกิมไซสดุดีหลานชายเป็นภาษาแต้จิ๋วอย่างยืดยาว แล้วแกก็นั่งสัปหงกต่อไปรถจะพาไปถึงไหนก็ช่างไม่เอาใจใส่ กิมหงวนชะโงกหน้ามาพูดกับเจ้าแห้ว
“เฮ้ย เมื่อไหร่จะถึงบ้าน ‘เริงจิตต์’ วะ”
เจ้าแห้วยิ้มแห้งๆ
“นั่นน่ะซีครับ รับประทานผมกำลังจะถามอาเสี่ยอยู่เดี๋ยวนี้”
“อ้าว” เสี่ยหงวนอุทานออกมาดังๆ “นี่แกไม่รู้จักดอกหรือ”

“รับประทานเปล่าครับ อาเสี่ยบอกให้มาบางกะปิ รับประทานผมก็นำรถมาตามคำสั่ง”
“ตายห่า กันนึกว่าแกรู้จัก แกไม่เคยพาคุณอามาบ้านคุณพระอำนวยฯ ดอกหรือ”
เจ้าแห้วพยักหน้า
“เคยครับ”
อาเสี่ยขมวดคิ้วย่น
“อ้ายเวร ไหนบอกว่าไม่รู้จักยังไงล่ะ”
เจ้าแห้วหันมาค้อน
“รับประทาน บ้านคุณพระอำนวยฯ ผมรู้จักครับ แต่บ้านเริงจิตต์รับประทานผมไม่รู้จัก ไม่รู้จักจริงๆ ให้ดิ้นตายเถอะครับ”
กิมหงวนกลืนน้ำลายเอื๊อก
“อย่าพูดเลยโว้ย พูดกับแกกวนโมโห บ้านเริงจิตต์กับบ้านคุณพระอำนวยฯ มันก็บ้านเดียวกันแหละ”
“เอ้า รับประทานผมจะตรัสรู้ได้อย่างไรล่ะครับ”
อาเสี่ยทำตาเขียว
“เอ…หยุดพูดนะอ้ายแห้ว”
“รับประทานหยุดแล้ว”
“หยุดก็ไม่ต้องพูดซีโว้ย”
“รับประทานไม่พูดอาเสี่ยก็คงไม่ทราบว่าผมหยุดพูดแล้ว”
“ปู้โธ่ อ้ายแห้ว กูโมโหแล้วนา” กิมหงวนตะโกนลั่นรถ
เจ้าสัวกิมไซลืมตาขึ้นมองดูโลก จุ๊ปากจิ๊กจั๊ก
“เลี้ยวกัง คงจานอง ม่ายรู้ว่าทูเลาะกันทำลายปูเหลียวพ่อหล่าทั้งสองคน เก๋าเจ๊ง ขาก…”
กิมหงวนยกมือห้าม
“ช้า อาแป๊ะ นี่มันในรถเก๋งไม่ใช่ถนน กลืนเข้าไปเสีย อะไร้ สอนไม่รู้จักจำทำเป็นเจ๊กลากรถไปได้”
เจ้าสัวกิมไซหน้างอเหมือนม้าหมากรุก
“มันคังคอหอยโว้ย”
“ก็ทนเอาซี ขากออกมาได้เรอะ รถเขาเปื้อนหมด”
“หลุเสียเรื่อยเชียวนะ ฮือ…เห็นข้าเป็นเหล็กๆ โมโหนัก อวกลีเสียใหญ่แล้ว ม่ายรู้จักบาปกรรมหลุผู้ใหญ่ เจ็บหัวจายนัก ฮึ”
กิมหงวนหัวเราะ

“ลำบากนักก็อย่าพูดเลยอาแป๊ะ โธ่เว้ย อยู่เมืองไทยตั้งนมนานมายังพูดไม่ชัด เห็นข้าเป็งเหล็กๆ อวกลีเสียใหญ่เลี้ยว”
นวลลออกลั้นหัวเราะแทบแย่ ยกกำปั้นทุบอาเสี่ยดังพลั่ก
“นี่แน่ะ ไปล้อแกทำไม”
สตู๊ดเก๋งลดความเร็วลงจนเกือบจะหยุดนิ่ง เจ้าแห้วหันมาพูดกับกิมหงวน
“นั่นยังไงล่ะครับ บ้านคุณพระอำนวยฯ”
อาเสี่ยกับนวลลออต่างมองตามสายตาเจ้าแห้ว ทั้ง ๒ ตื่นตะลึงในความงดงามของคฤหาสน์ ‘เริงจิตต์’ สตู๊ดเก๋งแล่นมาหยุดหน้าบ้านพอดี เจ้าแห้วกดแตรไฟฟ้าเสียงลั่น เรียกคนเฝ้าบ้านให้ออกมาเปิดประตูใหญ่
สักครู่หนึ่ง บานประตูซ้ายก็ถูกเปิดออก ชายกลางคนคนหนึ่งเดินมาที่รถสตู๊ดเก็ง กระพุ่มมือไหว้กิมหงวนอย่างนอบน้อม เจ้าแห้วไม่รู้เรื่องเข้าใจว่าไหว้ตนก็รีบรับไหว้
คนใช้ของกิมหงวนสะดุ้งโหยงทำตาเขียวกับเจ้าแห้ว
“ไม่ได้ไหว้แกโว้ย ฉันไหว้นายของฉัน”
เจ้าแห้วลืมตาโพลง
“อ้าว แล้วไม่บอกด้วย ขอโทษทีพี่ชาย”
คนเฝ้าบ้านซึ่งกิมหงวนส่งมาประจำที่นี่พูดกับเสี่ยหงวนอย่างนอบน้อม
“อาเสี่ยกับคุณนายมาดูบ้านหรือครับ”
กิมหงวนพยักหน้า
“เออ ฉันจะพาเมียมาอยู่ที่นี่ และจะอพยพพวกบ้านพาหุรัดมาอยู่ที่นี่ด้วย” พูดจบกิมหงวนยกมือตบบ่าเจ้าแห้ว “เฮ้ย เอารถเข้าไปข้างใน”
สตู๊ตเก๋งแล่นเข้าไปในบ้านเริงจิตต์ อาณาเขตของบ้านนี้กว้างขวางมาก มีรั้วลวดหนามกั้นทั้ง ๔ ด้าน แลสะพรั่งด้วยพันธุ์ไม้ดอกตัวตึกแบบทันสมัยมีดาดฟ้า บ้านหลังนี้เพิ่งสร้างได้ ๕ ปี สวยที่สุดในย่านถนนนี้ สิ่งปลูกสร้างโดยรอบบ้านล้วนแต่งงดงาม มีสระใหญ่และเกาะกลางน้ำอยู่ทางซ้ายมือ บนเกาะมีเรือนพักร้อน ลานตาด้วยดอกไม้ต่างๆ มีสนามใหญ่หน้าตึก หญ้าขึ้นเขียวชอุ่มเป็นระเบียบเรียบร้อยด้านขวาของตัวตึกเป็นสนามเท็นนิส นวลลออพอใจตึกหลังนี้มาก สตู๊ดเก๋งแล่นมาตามถนนลาดยางแอสฟัสท์ริมถนนมีต้นสนขึ้นเป็นแถว
รถยนต์คันงามหยุดเทียบหน้าบันไดตึก เจ้าแห้วลงมาเปิดประตูให้ กิมหงวนหันมาเขย่าแขนเจ้าสัวกิมไซ
“อาแป๊ะ”
เจ้าสัวลืมตาโพลง
“เรียกอีกเลี้ยว เอ็งจาเรียกข้าทำมายวะหงวน”
อาเสี่ยหัวเราะ

“ถึงแล้วจ้ะ อาแป๊ะ”
“อ้อ” เจ้าสัวอุทานมองดูตัวตึก “นี่บ้างเริงจิกเรอะ”
“ถูกแล้ว”
เจ้าสัวพาหลานชายและหลานสะใภ้ลงจากรถ คนเฝ้าบ้านวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา นวลลออพูดกับคนเฝ้าบ้าน
“กุญแจตึกอยู่ที่แกแล้วไม่ใช่หรือ นายพร้อม”
“ครับ อยู่ที่ผมครบถ้วน”
แม่งามพยักหน้า
“แกกับเจ้าแห้วช่วยกันเปิดประตูหน้าต่างห้องทุกๆ บานให้หมด ประเดี๋ยวฉันจะขึ้นไปดูบนตึก ฉันจะดูรอบๆ บริเวณบ้านก่อน”
นายพร้อมรับคำสั่ง หันมาทางเจ้าแห้ว
“อ้ายน้องชาย ฉันเคยได้ยินชื่อแกมานานแล้ว อาเสี่ยท่านพูดถึงแกบ่อยๆ แกรู้จักฉันหน่อยซี ฉันชื่อพร้อมเป็นคนใช้เก่าแก่ที่อาเสี่ยกับคุณนายท่านรักใคร่ไว้วางใจมาก”
“ถุย” เจ้าแห้วร้องดังๆ “ข้านี่แหละเว้ย คนสนิทของอาเสี่ย แค่นจะพูดด้วย อาเสี่ยไว้ใจข้ามากกว่าแกนัก ไม่เชื่อถามท่านดูได้ ข้านี่แหละคนสนิท”
พร้อมเดินหัวเราะ
“อย่า…อย่าโม้ เจ้าแห้ว”
“โม้ยังไงวะ”
“ฮี้…” เจ้าสัวกิมไซร้องลั่น “ม่ายเคยรู้จักกังเลย พอเห็งหน้าก็จะกัดกังเลี้ยว อั๊วซีเว้ย ซูหนิกกับเจ้าหงวนยิ่งกว่าใครๆ”
พร้อมกับแห้วเงียบกริบ เจ้าแห้วยื่นมือให้พร้อม
“อย่าเถียงกันเลยว้า เราจะสนิทกับอาเสี่ยมากน้อยเพียงใด เราก็ต้องเป็นขี้ข้าอาเสี่ยอยู่ดี”
นายพร้อมเห็นพ้องด้วย
“จริงโว้ย ยังงั้นแกกับฉันมาญาติดีกันดีกว่า”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“โอเค หยวน”
ครั้นแล้วพร้อมก็เดินนำหน้าพาเจ้าแห้วขึ้นบันไดไปบนตึก เจ้าสัวกิมไซกับกิมหงวนและนวลลออพากันสำรวจรอบบริเวณบ้าน เจ้าสัวกิมไซพอใจเกาะลอยกลางสระน้ำมาก แกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชี้มือบอกกิมหงวน
“หงวนโว้ย เกาะลอยกลางน้ำถ้ามังสิบายดีฮิ”

กิมหงวนพยักหน้า
“จ้ะ อาแป๊ะชอบหรือ”
เจ้าสัวพยักหน้า
“ชอบซี ข้าอยากอยู่บงเกาะนั่ง นองสูบฝิ่นให้มังสุขกาเษมไปเลย” พูดจบแกหัวเราะชอบใจ
เสี่ยหงวนอมยิ้ม หันมาพูดกับนวลลออ
“ความสุขของแป๊ะอยู่ที่ฝิ่น”
“ค่ะ แล้วก็ความสุขของเฮียล่ะ”
กิมหงวนได้โอกาสก็ลองจีบเมียของเขาเล่น
“อยู่ที่นวลน่ะสิจ้ะ”
“อย่า อย่ามาพูดเลย ประเดี๋ยวก็จะตุ้บตั้บเข้าให้หรอก ฮึ ความสุขอยู่ที่นวล หมั่นไส้”
“อ้าว แล้วอยู่ที่ไหนล่ะจ้ะ”
“อยู่ที่เที่ยวกินเหล้า แล้วก็ผู้หญิงน่ะซีใช่ไหมล่ะ”
กิมหงวนยิ้มแห้งๆ
“เหลวไหลน่า เฮียเที่ยวบ้างกินเหล้าบ้างก็เพราะเฮียเป็นพ่อค้า ต้องทำตนให้กว้างขวางในวงสังคม เพื่อผลประโยชน์ในการค้าของเรา ง่า เราไปดูทางโน้นเถอะจ้ะนวล ที่นี่อากาศโปร่งน่าอยู่มากนะจ๊ะ นวลชอบบ้านนี้ไหม”
แม่เสือยิ้มให้เขา
“ชอบค่ะ เรามาอยู่กันที่นี่เถอะเฮีย หลายปีแล้วที่เราอาศัยอยู่ในร่มไม้ชายคาของคุณอาทั้งสอง ท่านมีพระคุณต่อเราเหมือนกับพ่อแม่ รักใคร่เอ็นดูเราเหมือนกับว่าเป็นลูกหลานของท่านจริงๆ ปีหนึ่งๆ ท่านต้องหมดเปลืองเพราะเราไม่ใช่น้อย สตางค์แดงเดียวเราก็ไม่เคยให้ท่าน”
กิมหงวนพูดขัดขึ้นทันที
“หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เฮียให้เงินท่านเพื่อช่วยเหลือรายจ่ายในบ้าน แต่แล้วก็ถูกคุณอาหญิงเทศนาเอากระบุงโกยไม่ไหว ท่านว่าเฮียดูถูกท่าน ถ้าเคารพรักท่านจริงๆ ที่เราไหนจะกล้าให้เงินท่าน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะรู้มาก คอยแต่จะไชโยตะพึดตะพือไป ความจริงเราก็ได้ช่วยท่านทางอ้อมเหมือนกัน เป็นต้นว่าเราขนของที่ห้างมาให้ท่านใช้ สั่งโรงสีของเราเอาข้าวสารมาส่งเดือนละ ๔ กระสอบ”
นวลลออพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“เราจะเกาะท่านกินอยู่อย่างนี้น่ะ ไม่ได้หรอกค่ะเฮีย นวลเกรงใจท่านเหลือเกิน คุณพล คุณนันทาและทุกๆ คนในบ้านก็ดีต่อเราทั้งนั้น เรามาอยู่บ้านนี้กันเถอะนะคะเฮีย บ้านเริงจิตต์ใหญ่โตกว้างขวางสมเกียรติของเราแล้ว คงจะให้ความสุขสบายแก่เราเป็นอย่างดี”

เสี่ยหงวนพยักหน้าเห็นพ้องด้วย
“ตามใจ เมื่อนวลต้องการมาอยู่กันตามลำพังผัวๆ เมียๆ เฮียก็เห็นพ้องด้วย แต่อย่าลืมว่าเฮียเป็นมหาเศรษฐี เฮียจะต้องทำตัวให้สมเกียรติ ถ้ามาอยู่ที่บ้านเริงจิตต์ จะต้องเป็นอาณาจักรน้อยๆ ของเรา เฮียจะทำบ้านนี้ให้เป็นสวรรค์ สมมุติมันเป็นประเทศเล็กๆ แล้วเฮียจะเป็นผู้เผด็จการ มีอำนาจสูงสุดในบ้านของเรา”
“หนอย เฮียก็มีอำนาจกว่านวลน่ะซี”
“เปล่า เปล่า สำหรับนวลต้องอยู่เหนือเฮียเสมอ”
เจ้าสัวกิมไซยักคิ้ว ที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่นานแล้วจึงเอื้อมมือเขี่ยแขนกิมหงวน
“เฮ้ย คุยกะข้าบ้างซีโว้ย”
อาเสี่ยหันขวับมาทางลุงของเขาทันที
“อะไรนะ ปู้โธ่ ผัวเมียเขาจะคุยกันยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“วะ ก็ข้าอยากคุยบ้างซีโว้ย”
“อือ ชอบกล”
เจ้าสัวทำตาโต
“ชอบกงยังไงวะ เอ็งสองคงผัวเมียคุยกังกะหนุงกะหนิง ป่อยให้ข้ายืนเป็นหัวตอใช้ล่ายเรอะ ฉิกหายต้องว่าชอบกงด้วย”
กิมหงวนอดหัวเราะไม่ได้
“รู้ยังงี้ไม่ยักพามา ผ่าซี”
“ไม่พามาข้ามาเองก็ไล่วะ อย่ามาอวดลีนะจะบอกให้ จองหองเสียใหญ่เลี้ยว ถือว่าเป็งเสดถีมีเงิน ถุย”
อาเสี่ยสั่นศีรษะช้าๆ
“อาแป๊ะกับฉันนี่เหมือนกับขมิ้นกับปูน ไม่น่าเป็นลุงเป็นหลานกันเลย”
เจ้าสัวกิมไซค้อนตาปะหลับปะเหลือก
“เลี้ยวใครให้เอ็งเสือกมาเป็นหลานข้า”
“อ้าว อาแป๊ะอยากเป็นพี่ของเตี่ยฉันทำไมล่ะ”
“อ้อ ยังงั้นข้าก็เป็นคงเสือกน่ะซี”
“ยังไงก็ไม่ทราบ”
“ซิ จองหองพองขง”
นวลลออเดินเข้ามายกมือจับแขนท่านเจ้าสัวแล้วพูดยิ้มๆ
“อย่าทะเลาะกับเฮียเลยค่ะ เสียเวลา เดินตรวจสถานที่รอบๆ บ้านเราดีกว่า อาแป๊ะชอบบ้านนี้ไหมคะ”

ได้ยินหลานสะใภ้พูดจาอ่อนหวาน เจ้าสัวก็สบายใจ แกรักนวลลออมากทีเดียว รักยิ่งกว่าที่แกรักเสี่ยหงวนเสียอีก
“อีหลูชอบไหมล่ะ”
“ชอบค่ะ”
“ยังงั้นอาแป๊ะก็ชอบเหมือนกัง ไป ไปลูทางหลังบ้าง ปูเหลียวขึ้งไปบงตึก”
ทั้งสามคนพากันเดินอ้อมไปทางหลังตึก นวลลออชอบอกชอบใจเรือนต้นไม้ แบบที่ปลูกสวยงามมาก กระจุ๋มกระจิ๋มน่าดู หลังตึกเป็นสวนดอกไม้ มีเนื้อที่ว่างมากมายเรือนพักคนใช้ปลูกเป็นแถว โรงครัวประกอบอาหารอยู่ทางขวามือ กุหลาบ บานชื่น เยียบีร่าออกดอกสะพรั่ง อาเสี่ยเศร้าใจเมื่อนึกถึงความพินาศล่มจมของคุณพระอำนวยฯ อดีตเจ้าของบ้านนี้
“น่าสงสารพระอำนวยฯ” เขาพูดกับเมียของเขา “เจ้าคุณอาประสิทธิ์บอกเฮียว่าแต่ก่อนพระอำนวยฯ ร่ำรวยมาก”
“คนเราอนิจจังไม่เที่ยงค่ะ ฐานะของคนเราไม่แน่นอนหรอก”
เจ้าสัวกิมไซพูดเสริมขึ้น
“เอ็งก็เหมืองกัง อย่าอวดลีว่าเป็งเสดถี วันหนึ่งอาจจะต้องถือกลาขอทานเขา”
กิมหงวนหัวเราะ
“เป็นไปไม่ได้หรอกอาแป๊ะ คนอย่างฉันมันไม่ใช่คนเสียแล้ว คือร่ำรวยเกินคน ฉันมีเงินตั้งหลายสิบล้าน หลักทรัพย์ของฉันมีมากกว่ารัฐบาลเสียอีก ฉันมีทองคำดุ้นใหญ่ๆ ขนาดฟืนรถไฟตั้งหลายพันดุ้น ที่ดินอีกมากมายตึกแถวก็มี ผลประโยชน์ของฉันคิดเฉลี่ยแล้ววันหนึ่งตั้ง ๒-๓ หมื่น แล้วทำไมฉันจะต้องถือกลาขอทานเขากิน เพียงแค่เงินดอกเบี้ยให้แบ็งก์กู้ก็เหลือกินแล้ว”
“เออ คงเรามังไม่พ้ง ชวด ชาหลู จอ กุมหรอก”
“ปู้โธ่” อาเสี่ยปลงอนิจจัง “พูดไม่ถูกยังจะแค่นพูดกับเขาด้วย มีแต่เขาว่าไม่พ้น ชวด ฉลู ขาล เถาะ”
“อือ ข้าม่ายช่ายคงไทยนี่หว่า จาล่ายพูดถูก”
“ก็แล้วจะพูดเอาตะหวักตะบวยอะไรเล่า” กิมหงวนดุ
เจ้าสัวนิ่งอึ้งไม่พูดอะไรอีก ขณะที่ประตูหน้าต่างตึกทุกบานถูกเปิดหมดแล้ว อาเสี่ยพาภรรยากับลุงของเขาเดินขึ้นไปบนตึกทางบันไดหลัง
บ้าน ‘เริงจิตต์’ ใหญ่โตกว่าบ้าน ‘พัชราภรณ์’ มากมายนัก มีห้องหับหลายห้อง ทุกๆ ห้องกว้างขวางมีประตูกลางเปิดติดต่อถึงกัน บันไดขึ้นชั้นบนของตัวตึกมีอยู่ถึง ๒ บันได คือที่เฉลียงหลังตึกแห่งหนึ่งและในห้องโถงอีกแห่งหนึ่ง นวลลออพอใจบ้าน ‘เริงจิตต์’ มากถึงกับขอเงินงบประมาณ ๖๐,๐๐๐ บาท ซื้อเครื่องเฟอร์นิเจอร์ตบแต่งบ้าน กิมหงวนว่าเขายินดีสละเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในการทำบ้าน ‘เริงจิตต์’ ให้เป็นราชอาณาจักรของเขา

๒ ผัวเมียตกลงกันเรียบร้อย ตั้งใจว่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้าน ‘เริงจิตต์’ ในเร็ววันนี้ และจะเริ่มต้นซื้อเครื่องตกแต่งบ้านในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป

ก่อนจะออกจากบ้าน ‘พัชราภรณ์’ มาอยู่บ้าน ‘เริงจิตต์’ กิมหงวนกับนวลลออต้องชี้แจงแสดงเหตุผลให้ท่านเจ้าคุณประสิทธิ์ฯ และคุณหญิงวาดฟังอย่างมากมาย ท่านทั้ง ๒ เสียใจมากไม่อยากให้อาเสี่ยกับนวลลออจากท่านมาเลย เจ้าคุณปัจจนึกฯ พลนิกรและดร.ดิเรกก็เช่นเดียวกัน แต่แล้วในที่สุดเจ้าคุณประสิทธิ์กับคุณหญิงวาดก็อนุญาตให้กิมหงวนพานวลลออมาอยู่บ้าน ‘เริงจิตต์’ ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าทุกๆ วันเสาร์ กิมหงวนจะต้องพาเมียไปนอนค้างที่บ้าน ‘พัชราภรณ์’
บ้าน ‘เริงจิตต์’ ซึ่งถูกทอดทิ้งให้เงียบเหงามาเกือบครึ่งปีได้ครึกครื้นขึ้นอีก อาเสี่ยกิมหงวนเจ้าของบ้านคนใหม่ได้บูรณะซ่อมแซมทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านให้สวยสดงดงามขึ้น ดูราวกับวังเจ้า รั้วลวดหนามทั้ง ๔ ด้านถูกเปลี่ยนเป็นกำแพงอิฐโบกปูน กิมหงวนให้ขนข้าวของที่บ้านถนนพาหุรัดมาไว้ที่นี่ทั้งหมด คนใช้ชายหญิงทุกคนติดตามมาอยู่ที่นี่
ในที่สุดบ้าน ‘เริงจิตต์’ ก็มีสภาพคล้ายกับอาณาจักรน้อยๆ ของเสี่ยหงวนสมความปรารถนา มีข้าราชบริพารนับจำนวนร้อย มีทหารรักษาพระองค์ประจำตัวกิมหงวน ๑ กองร้อย มีทหารหญิงประดับเกียรติยศนวลลออ ๑ กองร้อย ทหารเหล่านี้เป็นทหารจ้าง อยู่ในความควบคุมฝึกหัดสั่งสอนของนายทหารกองหนุนคนหนึ่ง ซึ่งกิมหงวนได้จ้างไว้
ทุกคนที่อยู่ในบ้าน ‘เริงจิตต์’ ได้รับเงินเดือนแพงมาก แต่ทุกคนต้องปฏิบัติตามระเบียบกฎข้อบังคับและคำสั่งของกิมหงวน เขาคือผู้เผด็จการหรือจอมบงการ เมื่อลั่นวาจาออกมาอย่างไร ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามเสมอ
เราจะได้เริ่มเรื่องของคนที่ไม่เต็มเต็งต่อไป
เย็นวันนั้น กิมหงวนได้เชิญคณะพรรค ๔ สหาย คือ พล นิกร ดิเรก กับเมียๆ ของเขาพร้อมด้วยท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ และคุณหญิงวาด ได้มารับประทานอาหารค่ำที่บ้าน ‘เริงจิตต์’ เนื่องในงานขึ้นบ้านใหม่ของกิมหงวน แต่งานนี้เชิญเฉพาะคณะพรรค ๔ สหายเท่านั้น อาเสี่ยกับนวลลออและเจ้าสัวกิมไซ ได้เตรียมการต้อนรับอย่างแข็งแรง คนในบ้าน ‘เริงจิตต์’ ทุกคนต้องเหน็ดเหนื่อยไปตามกัน
๑๘.๓๐ น.
รถยนต์เก๋ง ๒ คันแล่นมาหยุดหน้าประตูบ้าน ‘เริงจิตต์’ ซึ่งปิดอยู่อย่างนี้ตลอดวัน จะเปิดก็ต่อเมื่อมีรถเข้าออก รถยนต์ทั้ง ๒ คันนี้เป็นรถของคณะพรรค ๔ สหายนั่นเอง รถคันหน้ามีเจ้าแห้วเป็นคนขับ ประไพ ประภา นันทาและคุณหญิงวาดเป็นผู้โดยสาร รถคันหลังขับโดยเจ้าคุณปัจจนึกฯ พล นิกร นั่งตอนหน้า เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ และ ดร.ดิเรกนั่งอยู่ตอนหลัง
๑๐
เจ้าแห้วกดแตรไฟฟ้าเรียกคนในบ้านให้ออกมาเปิดประตูให้ สักครู่หนึ่งประตูบานเล็กก็เปิดออก ชายฉกรรจ์คนหนึ่งแต่งกายคล้ายกับทหาร นุ่งกางเกงสักหลาดดำขายาว สวมเสื้อสักหลาดแดง กระดุมสองแถว คาดเข็มขัด สวมหมวกแก็ป พาร่างอันสง่าผ่าเผยเดินออกมาจากประตู เขาคือผู้บังคับหมวดรักษาการณ์ประจำบ้าน ‘เริงจิตต์’
เขาตรงเข้ามาชิดเท้าตรง ยกมือวันทยาหัตถ์แม่งามทั้ง ๓ และคุณหญิงวาด แล้วพูดอย่างนอบน้อม
“มาหาใครครับ”
คุณหญิงวาดอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อเห็นการแต่งกายของทหารอาเสี่ยกิมหงวน
“เราจะมาหากิมหงวน”
“เอ๊ะ ทำไมเรียกกิมหงวนเฉยๆ ล่ะครับ ต้องเรียกท่านกิมหงวนถึงจะถูก ง่า-ก่อนที่จะผ่านเข้าไปในคฤหาสน์อันมโหฬารนี้ จะต้องตอบคำถามผมให้เป็นที่พอใจเสียก่อน”
“ถุย” เจ้าแห้วร้องขึ้นดังๆ “แกเป็นใครวะ”
ผู้ถูกถามชักฉิว มองดูเจ้าแห้วอย่างเคืองๆ
“ฉัน-ผู้บังคับหมวดทหารรักษาพระองค์ประจำตัวท่านกิมหงวน”
เจ้าแห้วหัวเราะก้าก
“แกแต่งตัวคล้ายๆ กับว่าแกอยู่กระทรวงมหาเสน่ห์ นี่-อ้ายน้องชาย เปิดประตูออกโดยเร็วอย่าร่ำไร ท่านที่อยู่ในรถทั้ง ๒ คันนี้ ล้วนแต่วงศาคณาญาติของคุณกิมหงวนทั้งนั้น”
“ไม่ได้ๆๆ ต้องสอบสวนปากคำก่อนตามหน้าที่”
เจ้าแห้วจุ๊ปาก
“สอบสวนเอาตะหวักตะบวยอะไรอีกล่ะ”
“อุวะ กันมีหน้าที่สอบสวนทุกๆ คนที่จะผ่านเข้าไปในคฤหาสน์นี้ ถ้าแกไม่ให้กันสอบสวน กันก็ไม่มีงานทำน่ะซี”
เสียงเจ้าคุณปัจจนึกฯ ตะโกนมาจากรถคันหลัง
“ว่ายังไงโว้ย เสียเวลานานแล้ว จะเปิดประตูหรือไม่เปิดว่ามา”
หัวหน้าหมวดรักษาการณ์เดินเข้าไปที่รถ ๓ เกลอ เขายกมือวันทยาหัตถ์แล้วพูดขึ้น
“โปรดบอกนามและกิจธุระของท่านให้ผมทราบเสียก่อน” พูดพลางหยิบสมุดโน๊ตกับดินสอออกมาเตรียมจด
ดิเรกหัวเราะหีๆ หันมาพูดกับเจ้าคุณประสิทธิ์ฯ
“บ้านนี้ดูมันระเบียบมากเหลือเกิน เป็นยุ่งยากมาก ผมเคยเฝ้ามหาราชาในประเทศอินเดียตั้งหลายคน ไม่เห็นมีพิธีรีตองมากมายอะไรอย่างนี้”
๑๑
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ อมยิ้ม
“เจ้าหงวนถ้ามันจะบ้าแน่ มันคงสั่งเจ้าหมอนี่ไว้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ รำคาญเต็มทน ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียง ก็บอกนามของท่านและทุกๆ คนในคณะของท่านให้ทราบ
ผู้บังคับหมวดรักษาการณ์ จดลงไปในสมุดโน๊ตของเขา
“ประทานโทษ ใต้เท้าเป็นเจ้าคุณใช่ไหม” เขาถามเจ้าคุณปัจจนึกฯ
“แล้วกัน” เจ้าคุณปัจจนึกฯ อุทาน “แกไม่เชื่อหรือว่าฉันเป็นเจ้าคุณ”
เจ้าหมอนั่นหัวเราะ
“มิได้ครับ ใต้เท้าบอกว่าใต้เท้าชื่อพระยาปัจจนึกฯ ผมก็สงสัยว่าใต้เท้าอาจจะเป็นเจ้าคุณ”
นิกรหัวเราะงอหาย
“โธ่-อ้ายทุยเอ๊ย พระยากับเจ้าคุณเหมือนกันโว้ย”
“เหมือนยังไงครับ เขียนก็ผิดกันแล้ว ง่า-พวกคุณมาหาท่านกิมหงวน มีธุระอะไรไม่ทราบ”
นิกรทำตาปริบๆ
“มาเยี่ยมโว้ย เรา ๓ คน เป็นเพื่อนกับเจ้าหงวน ท่านทั้ง ๒ นี่เป็นอา พวกที่อยู่ในรถกับท่านก็ล้วนแต่วงศาคณาญาติของเจ้าหงวนทั้งนั้น”
ผู้บังคับหมวดรักษาการณ์ยิ้มให้เจ้าคุณปัจจนึกฯ
“กรุณานั่งรออยู่ในรถสัก ๕ นาทีนะครับ ผมจะเข้าไปกราบเรียนให้ท่านทราบ ถ้าท่านอนุญาตให้เข้าพบได้ ผมจะเปิดประตูให้รถทั้ง ๒ คันนี้เข้าไปในบ้าน ‘เริงจิตต์’ ”
พลชักฉิว
“อือ-รู้ว่ามันลำบากลำบนอย่างนี้ไม่ยักมาหา”
ผู้บังคับหมวดรักษาการณ์ไม่พูดอะไรอีก พาตัวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ‘เริงจิตต์’ คณะพรรค ๔ สหายบ่นพึมพัมไปตามกัน
เกือบ ๑๐ นาที กว่านายไทยยามคนนั้นจะกลับออกมา เขาตรงเข้ามาที่รถคุณหญิงวาด ยังไม่ทันจะพูดว่ากระไรก็ถูกคุณหญิงโจมตีก่อน
“ว่ายังไงยะ พ่อมหาจำเริญ อีกกี่ชั่วโมงฉันถึงจะได้เข้าเฝ้าพ่อสุลต่านแต้จิ๋วคนนี้ รู้ว่าลำบากยากเย็นอย่างนี้จ้างฉันก็ไม่มา”
ผู้บังคับหมวดรักษาการณ์หรือหัวหน้าไทยยามยกมือวันทยาหัตถ์อย่างสง่าผ่าเผย
“ผมได้นำความขึ้นกราบเรียนพระเดชพระคุณแล้วครับ อนุญาตให้เข้าไปพบได้”
๑๒
ทันใดนั้น ประตูใหญ่ทั้ง ๒ บานก็ถูกเปิดออก สตู๊ดกับฟอร์ดเก๋ง แล่นเข้าไปในบ้าน ‘เริงจิตต์’ อย่างสง่าผ่าเผย บ้านนี้เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ คุณหญิงวาดเคยมาบ่อยๆ เมื่อครั้งยังเป็นของพระอำนวยฯ ส่วนเจ้าคุณปัจจนึกฯ และคนอื่นๆ ยังไม่เคยมาบ้านนี้ ฉะนั้นจึงพากันตื่นตะลึงในความงดงามและความกว้างใหญ่ไพศาลของคฤหาสน์ ‘เริงจิตต์’
รถเก๋งทั้ง ๒ คันแล่นมาหยุดหน้าตัวตึก คณะพรรค ๔ สหายแลเห็นบริวารของกิมหงวนเดินพลุกพล่าน ทหารหญิงหน้าตาแฉล้มแช่มช้อย นั่งสนทนาพาทีกันอยู่ในเรือนต้นไม้แต่งกายเหมือนๆ กัน กระโปรงสีกากีแกมเขียว เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเดียวกัน มีอินทรธนู คาดเข็มขัดกับกระโปรงสวมหมวกหนีบ ต่างคนน่ารักน่าเอ็ดดูสมเกียรติมหาเศรษฐี ทหารหญิงเหล่านี้ไม่ต้องทำอะไร กิมหงวนจัดตั้งขึ้นเพื่อประดับเกียรติยศของเขา
คณะพรรค ๔ สหายพากันก้าวลงจากรถ นิกรจ้องตาเขม็งมองดูทหารหญิงคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาหาเขา
“เชิญค่ะ ท่านบัญชาให้ดิฉันเชิญเข้ามาในห้องโถงค่ะ”
นิกรหัวเราะ
“ท่านน่ะ อ้ายหงวนใช่ไหมครับ”
แม่ทหารหญิงขมวดคิ้วย่น
“อุ๊ยตาย ทำไมคุณพูดดูหมิ่นท่านของดิฉัน”
นายการุณวงศ์ยักคิ้วแผล็บ
“อ้ายหงวนน่ะ มันเป็นเพื่อนเกลอของผมครับ”
คุณหญิงวาดเดินเข้ามายกมือจับคางแม่ทหารหญิง
“หนู หนูเป็นทหารหญิงหรือจ๊ะ”
“เจ้าค่ะ หนูเป็นทหารของท่านกิมหงวน”
คุณหญิงวาดอมยิ้ม หันมาทางสามีของท่าน
“น่าตาน่าเอ็ดดู เข้าทีดีเหมือนกันนะคะ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ พยักหน้าช้าๆ มองดูเจ้าคุณปัจจนึกฯ เพื่อนรักของท่าน
“ผมสงสัยเสียแล้ว เจ้าคุณ”
“สงสัยว่าเราเข้าบ้านผิดยังงั้นหรือ” เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดพลางหัวเราะพลาง
“นั่นน่ะซีครับ นี่มันบ้านมหาเศรษฐีหรือโรงพยาบาลโรคจิตแน่”
ก่อนที่เจ้าคุณปัจจนึกฯ จะพูดว่ากระไร นวลลออก็เดินออกมาจากห้องโถงอย่างรีบร้อน ภรรยาของท่านมหาเศรษฐีแต่งกายเรียบๆ อย่างอยู่กับบ้าน ใบหน้าของหล่อนหม่นหมอง แสดงว่านวลลออไม่มีความสุขสบายเลย
นันทา ประไพ ประภา แลเห็นนวลลออต่างก็ร้องเรียกชื่อนวลลออขึ้นพร้อมๆ กัน
๑๓
“คุณนวล คุณนวลคะ”
นวลลออยิ้มให้เพื่อนหญิงของหล่อน วิ่งเหยาะๆ ลงบันไดตรงมา กระพุ่มมือไหว้ท่านเจ้าคุณทั้ง ๒ และคุณหญิงวาด โผเข้ากอดคุณหญิงแสดงความรักเคารพด้วยความจริงใจ
“เชิญบนตึกเถอะค่ะ หนูดีใจเหลือเกินที่คุณอากรุณามาเยี่ยมหนู”
คุณหญิงวาดจูบซ้ายจูบขวา
“แม่คุณของอา จากกันมา ๓-๔ วันเท่านั้น อาคิดถึงใจแทบขาด เป็นยังไงลูกสุขสบายดีหรือ”
นวลลออสั่นศีรษะช้าๆ
“สบายอะไรกันคะ คุณอา หนูจะอกแตกตายอยู่แล้ว”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ กล่าวถาม
“ทำไมล่ะ ยายนวล”
นวลลออยิ้มให้ทุกๆ คน
“เฮียของดิฉันมีสติวิปลาสไปเสียแล้ว” พูดจบก็มองดูดิเรก “คุณหมอมาก็ดีแล้วช่วยตรวจดูเฮียหน่อยเถอะค่ะ ไปบนตึกซีคะ เชิญทุกๆ คน วันนี้ดิฉันสั่งเขาทำอาหารไว้มากมายทีเดียว เห็นพวกเราแล้วดิฉันมีความสุขอย่างยิ่ง” แล้วหล่อนก็ยกมือขวาจับแขนพล “เป็นอะไรไปหรือคะ เคร่งขรึมไป”
พลหัวเราะ
“ผมกำลังปลงอนิจจังเจ้าหงวนครับ”
“หรือคะ ประเดี๋ยวคุณจะสังเวชใจยิ่งกว่านี้ถ้าได้พบเฮีย บ้าแน่ๆ เชียวค่ะ อย่าสงสัยเลข เฮียกำลังนึกว่าบ้านนี้เป็นประเทศเล็กๆ และเขาเป็นผู้เผด็จการ เขาพยายามสร้างระบอบการปกครองแบบเผด็จการ ดิฉันกลุ้มใจจนพูดไม่ถูกแล้ว”
ต่อจากนั้น นวลลออก็พาท่านผู้ใหญ่และพรรคพวกของหล่อนขึ้นบันไดไปบนตึก เลยเข้าไปในห้องโถงอันหรูหราและกว้างขวาง มีไทยยามแต่งเครื่องแบบคล้ายทหารถือปืนยืนยาม ที่บันไดขึ้นชั้นบนคนหนึ่ง ที่ประตูหน้าและประตูหลังตึกอีก ๒ คน ภายในห้องโถงมีเครื่องเฟอร์นิเจอร์อย่างงดงาม ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นบอกความมั่งมีของท่านเจ้าของบ้าน
คณะพรรค ๔ สหายและนวลลออต่างนั่งลงบนเก้าอี้นวม ห้องนี้เป็นห้องนั่งเล่นของกิมหงวนและเป็นห้องรับแขกที่สนิทสนมกันจริงๆ
สายตาทุกๆ คู่มองดูนวลลออ คุณหญิงวาดเริ่มซักไซร้ไล่เลียงเรื่องราวของกิมหงวน
“พ่อหงวนแกไม่สบายจริงๆ หรือหนู”
๑๔
“ค่ะ หนูมั่นใจว่าเฮียเสียสติแน่ๆ มาอยู่บ้านนี้หนูไม่มีความสุขเลย เฮียกลายเป็นคนถือยศถือศักดิ์ทำอะไรเด็ดขาด ไม่ยอมฟังความคิดความเห็นของใครทั้งนั้น เป็นคนโมโหฉุนเฉียว ใครขัดใจไม่ได้ คนในบ้านนี้ทุกคนต้องเชื่อฟังและทำตามผู้นำ แม้กระทั่งหนูเองก็ต้องกลัวเขา”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ อดหัวเราะไม่ได้
“คนเราบทมันจะบ้า มันก็บ้าเอาง่ายๆ อาคิดว่าเพราะอากาศมันร้อนจัดเกินไปนั้นเอง เมื่อตอนเที่ยงอายังหวุดหวิดไป นั่งอ่านหนังสืออยู่ดีๆ กลุ้มใจขึ้นมาเหวี่ยงหนังสือทิ้ง แล้วอาก็ลุกขึ้นร้องยี่เก พอดีดิเรกมันเห็นเข้าฉีดยาบำรุงหัวใจให้ ๑ เข็ม ค่อยยังชั่วไปหน่อย”
นวลลออสั่นศีรษะช้าๆ
“กลุ้มใจค่ะ หนูจะกลับไปอยู่บ้าน ‘พัชราภรณ์’ ในวัน ๒ วันนี้ ปล่อยให้เฮียแกบ้าของแกไปตามเรื่อง”
นันทาพูดขึ้นทันที
“ไปซีคะ คุณนวล ดิฉันบอกแล้วไม่ให้มาก็ไม่เชื่อ อยู่โน่นเราได้พูดคุยกันปรึกษาหารือกัน หยอกเย้ากันตลอดวัน”
ประไพว่า “คุณนวลจากมาแล้ว หงอยไปตามกันเชียวค่ะ ขาขาดไป ๑ ขาเล่นไพ่ไม่ได้ ในที่สุดต้องเล่นไพ่ป๊อกแทนไพ่ตอง”
สาวใช้ในบ้าน ‘เริงจิตต์’ ๓ คน แต่งเครื่องแบบนางรับใช้ถือถาดใส่เครื่องกินและบุหรี่เดินเข้ามาในห้องโถงทุกคนหน้าตาน่าเอ็ดดู นวลลออบอกให้สาวใช้วางลงบนโต๊ะและอนุญาตให้ออกไปได้
“เจ้าหงวนกำลังทำอะไรอยู่ หลานสาว” เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ ถาม
นวลลออมองขึ้นไปข้างบน
“กำลังแต่งตัวค่ะ ง่า…เฮียลงมาพบคุณอาและทุกๆ คน อย่าถือสาหาความเฮียเลยนะคะ เฮียคนนี้กับเฮียคนก่อนไม่เหมือนกันหรอกค่ะ แกป่วยเอามากทีเดียว”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ ดร.ดิเรกพูดกับเมียของเขา
“ที่รัก ฉันเป็นห่วงเจ้าหงวนมาก เขาป่วยเป็นโรคจิตแน่ๆ คนที่คิดมักใหญ่ใฝ่สูง อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากให้มนุษย์ทั้งหลายพินอบพิเทา มักจะเป็นโรคจิต”
ประภายิ้มเศร้าๆ
“ดิเรกต้องช่วยรักษาแกนะคะ”
นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า
“ออไร้”
นวลลออลุกขึ้นยืน ยิ้มให้เพื่อนหญิงของหล่อน
“ขอโทษนะคะ ดิฉันจะขึ้นไปข้างบนสักประเดี๋ยว ไปบอกให้เฮียรีบลงมา”
๑๕
นันทาว่า “ดิฉันขึ้นไปด้วยคนซีคะ อยากจะดูห้องหับต่างๆ ของบ้านนี้ให้ทั่ว ผิดนักจะได้มาอยู่ด้วย”
แม่เสือนวลลออลืมตาโพลง
“จริงหรือคะ คุณนัน มาจริงๆ นะคะ”
นันทาหัวเราะ
“ถ้าคุณภากับน้องไพมาด้วย ดิฉันก็จะมา”
แล้วนันทา ประภา ประไพก็ลุกขึ้นเดินตามนวลลออขึ้นบันไดชั้นบน นิกรส่งแก้วน้ำส้มคั้นให้เจ้าแห้วซึ่งนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้น
“เอ้า ดื่มแก้คอแห้งเสียหน่อยซี”
เจ้าแห้วสั่นศีรษะ
“รับประทานขอบคุณครับ น้ำส้มอย่างนี้รับประทานผมไม่ชอบ”
นิกรลืมตาโพลง
“ชะช้า คอสูงไปละโว้ย อ้ายแห้ว โอเรนจ์ครันช์แกไม่ชอบ แกจะกินน้ำส้มชนิดไหนวะ บอกข้าหน่อยซิ”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทานผมชอบน้ำส้มมะขามเปียกครับ”
นิกรทำคอย่น
“เดี๋ยวเตะตายห่าเลย”
ขณะนั้นทหารของกิมหงวนอีกคนหนึ่งได้เดินลงบันไดอย่างรีบร้อน เขาหยุดยืนข้างประตูห้องสมุดแล้วร้องประกาศขึ้นดังๆ
“บัดนี้ จอมบงการแห่งราชอาณาจักรเริงจิตต์ กำลังจะลงมาต้อนรับแขกผู้มีเกียรติของท่าน โปรดเตรียมตัว”
๓ สหายหัวเราะลั่นห้อง นิกรได้ยินเสียงเจ้าคุณปัจจนึกฯ ปลงอนิจจังเบาๆ
“โธ่เว้ย คนในบ้านพลอยเป็นไปด้วย” แล้วท่านก็พยักหน้ากับทหารผู้นั้น “เฮ้ย แกชื่ออะไรวะ”
ผู้พิทักษ์มหาเศรษฐีตอบนอบน้อม
“กระผมชื่อจ๋องครับ จ๋อง ชิวหานนท์ คนสนิทของท่านกิมหงวน เป็นที่รักใคร่ไว้วางใจยิ่ง ได้รับเงินเดือนเท่ากับข้าราชการชั้นพิเศษของรัฐบาล”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ โบกมือ
“พอ ฉันถามแกนิดเดียวแกตอบฉันเสียยาวเฟื้อย”
ทันใดนั้นเอง กิมหงวน มหาเศรษฐีแห่งประเทศไทยก็พาตัวเดินลงมาตามขั้นบันได คนใข้ชายหญิงห้อมล้อมพร้อมเพรียง อาเสี่ยนุ่งกางเกงแพรสีแดงเลือดนก สวมเสื้อเชิ้ตแพรสีเหลืองมีคนใช้คนหนึ่งกางร่มให้
๑๖
ดิเรกผุดลุกขึ้นยืน ทำหน้าตื่นๆ จ้องมองดูกิมหงวน
“มายก้อด จะไปเล่นกระตั้วแทงเสือที่ไหนโว้ย”
คุณหญิงวาดหัวเราะลั่น
“ตาย ตายแล้ว ถึงกับกั้นกรดเชียวหรือพ่อหงวน”
ใบหน้าของมหาเศรษฐีเคร่งขรึม เขาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง คนใช้รีบวางหมอนแพร ๒ ใบ รองเท้าให้อาเสี่ย เจ้าคุณปัจจนึกฯ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดกับเจ้าคุณประสิทธิ์เบาๆ
“โถ อาการไม่ใช่น้อยนะเจ้าคุณ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ พยักหน้า
“ครับ น่าสงสารเหลือเกิน เมื่ออยู่ที่บ้านมันยังดีๆ อยู่”
กิมหงวนสะดุ้งโหยง ยิ้มให้ท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ ขยับจะพูดแต่แล้วก็ขี้เกียจ หันมาทางคนใช้สนิทของเขา
“เฮ้ยจ๋อง มานี่”
นายจ๋องปราดเข้าไปหา
“พระเดชพระคุณต้องการอะไรหรือครับ”
“หยิบมือข้าประสานกันทีเถอะวะ ข้าจะไหว้คุณอาของข้า”
จ๋องปฏิบัติตามคำสั่งทันที จับมือทั้งสองของอาเสี่ยให้ประสานกันแล้วยกขึ้นไหว้เจ้าแห้วเป็นคนแรก
มหาเศรษฐีเอ็ดตะโรลั่น
“อ้ายบ้า นั่นมันขี้ข้าไปไหว้มันทำไม หลีกไป ข้าไหว้ของข้าเองก็ได้”
นายจ๋องเขยิบตัวออกมาทันที กิมหงวนยกมือไหว้คุณหญิงวาดและท่านเจ้าคุณทั้ง ๒ แล้ว เขาก็พูดกับนายจ๋อง
“พูดแทนข้าที อ้ายจ๋อง สมมติว่าเอ็งเป็นข้า”
นายจ๋องยิ้มแป้น พูดกับท่านผู้ใหญ่ทั้ง ๓
“สวัสดีครับ คุณอา ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากมายใหญ่หลวง ที่คุณอากรุณามาเยี่ยมผม”
คุณหญิงวาดจุปากลั่น
“โถ ขี้เกียจพูดถืงกับให้คนใช้พูดแทน”
อาเสี่ยหัวเราะ
“ครับ วันนี้ผมไม่อยากพูดกับใครเลย เงินทองมันรัดตัวจนรำคาญ”
“ถุย” นิกรร้องขึ้นดังๆ “แกจะเป็นบ้าหรือวะหงวน”
เสี่ยหงวนค้อนขวับ
“พระสหายทำไมถึงพูดอย่างนี้ บันไม่บ้ากันเพียงแต่เผลอๆ ไผลๆ ไปเท่านั้น”
๑๗
คนใช้คนหนึ่งเปิดกล่องบุหรี่ทองคำออกหยิบบุหรี่โกลเฟลค ๑ มวน ใส่ปากกิมหงวน สาวใช้คนหนึ่งจุดไม้ขีดไฟให้
“แหม” พลพูดยานคาง “ฉันหมั่นไส้แกเต็มทนแล้ว แกป่วยเอามากๆ ทีเดียว”
“อ้าว แกคิดว่าฉันเป็นบ้าหรือนี่”
พลพยักหน้า
“อือ”
กิมหงวนหัวเราะ
“อย่าเข้าใจผิด กันไม่บ้าและกันไม่เมา เดี๋ยวนี้แกรู้ไหมว่า อำนาจสูงสุดในอาณาจักรน้อยๆ นี้เป็นของกัน กันจะต้องทำตัวให้สมกับที่กันเป็นมหาเศรษฐี กันคือผู้เผด็จการหรือจอมบงการ ทุกคนในบ้านนี้ต้องเชื่อและทำตามคำสั่งของกันอย่างเคร่งครัด ในฐานที่กันเป็นผู้นำของเขา”
ดิเรกพูดเสริมขึ้น
“กันเวทนาแกมาก พรุ่งนี้แกอย่าไปไหนกันจะมาตรวจดูอาการของแก ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ อาการมันจะมากขึ้น”
อาเสี่ยขมวดคิ้วย่น
“แกสงสัยว่าฉันเป็นบ้า”
“เปล่า ไม่ได้สงสัยหรอก แต่กันมั่นใจว่าแกเป็นไปแล้ว”
กิมหงวนกลืนน้ำลายเอื๊อก หันมาทางคนใช้คนสนิทของเขา
“จ๋อง แกลงความเห็นว่าฉันเป็นบ้าหรือเปล่า”
นายลิ้นกระดาษทรายรีบพูดทันที
“ถ้าคนอย่างพระเดชพระคุณเป็นบ้า คนดีในโลกนี้คงหาไม่ได้”
อาเสี่ยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“จริง เอ็งพูดถูก ง่า-จ๋องโว้ย เอ็งดูข้าหน่อยเถอะวะ ท่าทางของข้าภาคภูมิสง่าผ่าเผยพอวัดพอเหวี่ยงกับฮิตเลอร์หรือมุสโสลินีหรือยัง”
เจ้าจ๋องยกมือป้องหน้าผากเอียงตัวมองดูกิมหงวน
“ถ้ากระผมพูด พระเดชพระคุณก็จะหาว่ากระผมพูดเพื่อประจบสอพลอท่าน”
กิมหงวนหัวเราะ
“พูดมาเถอะจ๋อง ข้าอยากฟังเอ็งวิจารณ์ข้า จะติหรือจะชมข้าไม่โกรธ”
นายจ๋องพูดโดยเร็ว
๑๘
“หากกระผมจะติใต้เท้าแล้ว กระผมจะต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี ค้นหาความบกพร่องในตัวใต้เท้าบางทีอาจจะพบสักข้อหรือ ๒ ข้อ แต่ถ้าจะให้กระผมชม กระผมก็อาจจะใช้เวลานานถึง ๓ ปี ชมเชยพระเดชพระคุณทุกวันไป กว่าจะหมดคำชมคงไม่ต่ำกว่า ๓ ปี”
ท่านผู้เผด็จการแห่งบ้าน ‘เริงจิตต์’ หัวเราะลั่น
“เอ็งพูดจับใจข้ามาก อ้ายจ๋อง” แล้วเขาก็หันมาทางบริวารคนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง “เฮ้ย ส่งธนบัตรใบละ ๑๐๐ มาให้ข้าหนึ่งปึก”
เจ้าแห้วทำตาปริบๆ มองดูนายจ๋องอย่างอิจฉาแล้วนึกในใจ
“อือ อ้ายหมอนี่ลิ้นมันสำคัญโว้ย เลียแพล็บเดียวได้อัฐใช้แล้ว เราเห็นจะต้องลางานมาอยู่กับอาเสี่ยสักพัก”
กิมหงวนส่งธนบัตรปึกหนึ่งให้จ๋อง
“เอ้า ข้าให้เอ็งเป็นบำเหน็จรางวัล พรุ่งนี้ข้าจะทำแหวนตรางูดินกระพือปีกให้เอ็ง ข้าเกิดปีมะเส็ง ข้าต้องใช้ตรางูดินกระพือปีก เอ็งดีมากอ้ายจ๋อง รู้จักยอข้า ซึ่งข้าเองก็สารภาพตามตรงว่าข้าชอบคนประจบสอพลอยกยอปอปั้นข้า ถามจริงเถอะวะ ข้าสง่าเท่าๆ ฮิตเลอร์ไหม”
เจ้าแห้วคลานเข้าไปหากิมหงวน ชิงพูดขึ้นทันที
“รับประทานเกล้ากระผมของกราบฝ่าเท้า เรียนให้พระเดชพระคุณทราบแทนอ้ายเบื๊อกนี่ได้ไหมครับ”
นายจ๋องเอ็ดตะโรเจ้าแห้ว
“เฮ้ยๆ ข้าเป็นคนสนิท การเพ็ดทูลเป็นเรื่องของข้า”
มหาเศรษฐีตวาดแว้ด
“หยุด อ้ายจ๋อง ข้ารู้สึกว่าลิ้นเอ็งมันไม่ใคร่หยาบเสียแล้ว นิ่ง…ไม่ต้องพูดอะไร เจ้าแห้วเป็นคนใช้เก่าแก่ของข้า ข้าจะลองให้มันวิจารณ์ข้าดูบ้าง แล้วเอ็งคอยฟังคารมมันดู” พูดจบก็พยักหน้ากับเจ้าแห้ว “ว่าไงอ้ายแห้ว เอ็งลองวิจารณ์ข้าดู ท่าทีของข้าสมเป็นผู้เผด็จการไหม”
“โถ” คุณหญิงวาดปลงอนิจจัง “ป่วยเอามากมายถึงเพียงนี้ พ่อคุณเอ๋ย”
กิมหงวนทำตาเขียวกับคุณหญิงวาด
“คนอื่นไม่ต้องพูด ประเดี๋ยวสั่งขังเลย”
พลห้ามคุณหญิงวาด
“อย่าไปยุ่งกับมันครับ คุณแม่ นั่งดูมันเฉยๆ ดีกว่า นึกว่าเราดูคนป่วยโรคจิตเล่นละครให้เราดู”
อาเสี่ยยกมือชี้หน้าพล
“แกไม่ต้องพูด”
นายพัชราภรณ์ยกมือไหว้
๑๙
“กลัวแล้วครับ ใต้เท้า”
อาเสี่ยยิ้มออกมาได้ ยกมือตบศีรษะเจ้าแห้ว
“วิจารณ์ข้าหน่อยเจ้าแห้ว ยอมากๆ นะโว้ย ข้าชอบยอ”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทาน ยอกันให้เหลิงเชียวครับพระเดชพระคุณ รับประทานฟังคำยอของกระผมแล้วอาการจะต้องกำเริบขึ้นอีกเป็นทวีคูณ”
กิมหงวนหน้าเหรอ
“หา แกว่าฉันเป็นบ้าหรือนี่”
“โอ…ข้าแต่ท่านผู้มีอำนาจวาสนา รับประทานกระผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลยครับ”
“แล้วทำไมเอ็งว่าอาการของข้าจะกำเริบขึ้น”
เจ้าแห้วอมยิ้ม
“รับประทาน อาการก็คือความมีสง่าราศีนั่นแหละครับ”
จอมบงการยิ้มแก้มแทบแตก
“งั้นเรอะ ว่ามาซีอ้ายแห้ว ข้ากับอด๊อฟฮิตเลอร์ ใครจะสง่าผ่าเผยกว่ากัน”
เจ้าแห้วยกมือลูบแข้งลูบขา
“รับประทาน ถ้าพูดถึงอำนาจราชศักดิ์พระเดชพระคุณอาจจะมีไม่เท่าฮิตเลอร์หรือมุสโสลินีเมื่อเขายังมีชีวิต แต่รับประทานในอนาคตอันใกล้นี้ ใต้เท้าจะต้องมีอำนาจมีมหิตอานุภาพและฤทธานุภาพ ตลอดจนอานุภาพและรูปภาพใหญ่ยิ่งกว่าผู้นำใดๆ ในโลกนี้ รับประทานหน่วยก้านท่าทางของใต้เท้าสง่าผ่าเผยยิ่งนัก เปรียบประดุจพระยาราชสีห์ อันเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงแก่ฝูงสัตว์เดียรฉานทั้งหลาย รับประทานอย่าว่าแต่คนเลยครับ หมาดุๆ เห็นเข้าก็ต้องวิ่งหนีหางจุกตูด ฮิตเลอร์น่ะหรือครับจะสู้ใต้เท้าได้ รับประทานฮิตเลอร์มีหนวดจิ๋ม หวีผมลงมาปกหน้า มองดูหน้าคล้ายๆ ตั๊กแตนตำข้าว ส่วนเจ้ามุสโสลินีก็ปากแบะยื่น นัยน์ตาพอง หัวโตเหมือนคนโลกพระอังคาร รับประทานพระเดชพระคุณสง่าผ่าเผยกว่ามากมายนัก ให้รากเลือดลงแดงตายเถอะครับ รับประทานไม่มีผู้เผด็จการคนไหนในโลกนี้จะสง่าผ่าเผยยิ่งไปกว่าใต้เท้า”
กิมหงวนปลื้มอกปลื้มใจยิ่งนัก
“แล้วยังไงอีก”
เจ้าแห้วยิ้มแห้งๆ
“รับประทานหมดแล้วครับ วันนี้นึกคำพูดไม่ทัน รับประทานพรุ่งนี้เถอะครับ กระผมจะมาเลียพระเดชพระคุณแต่เช้า”
อาเสี่ยชักฉิว
๒๐
“ไม่เอาน่า ยออีกหน่อยเถอะวะ คำพูดของแกจับใจฉันเหลือเกิน ฟังแล้วเคลิบเคลิ้มทำให้ฉันรู้สึกตัวคล้ายกับว่าฉันไม่ใช่คน”
“โอ๊ย…รับประทานใครบอกว่าอาเสี่ยเป็นคนล่ะครับ”
“อ้าว” กิมหงวนอุทานดังๆ “แล้วข้าเป็นอะไร”
“รับประทานเทวดาครับ”
ท่านมหาเศรษฐีถอนหายใจโล่งอก
“สิ้นเคราะห์ไปที”
ก่อนที่เจ้าแห้วจะพูดอะไรต่อไป นายจ๋องก็คิดหักหน้าเจ้าแห้ว เขาแกล้งจ้องมองดูหน้ากิมหงวนแล้วทำกิริยาตื่นเต้นตระหนกตกใจ
“อะไรวะ จ๋อง” กิมหงวนถามยิ้มๆ “ทำไมเอ็งจ้องมองดูข้าอย่างนี้ ราวกับว่าไม่เคยเห็นข้า”
จ๋องทรุดตัวนั่ง หมอบกราบกิมหงวน
“ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเถอะครับ เกล้ากระผม โอ…ตะกี้นี้กระผมเห็นพระเดชพระคุณสวมมงกุฎเพชรมีรัศมีรุ่งโรจน์ บุญบารมีกำลังเกิดขึ้นแก่ใต้เท้าเหลือที่จะคณนานับแล้วขอรับกระผม”
กิมหงวนทำตาปริบๆ
“มากไปโว้ย จ๋อง เอ็งเล่นยอยังงี้ ขี้กรากมันก็เล่นงานข้าเท่านั้น”
เจ้าแห้วได้ทีขี่แพะไล่
“ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง ยอยังงั้นใช้ได้เรอะ มีอย่างที่ไหนเห็นสวมมงกุฏเพชร มากไปนี่หว่ามันต้องยอแต่พอหอมปากหอมคอซีโว้ย”
อาเสี่ยหันมาทางเลขานุการของเขา ขอเงินมา ๓๐๐ บาท แล้วส่งให้เจ้าแห้วด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ปลื้มใจในคำยอของเจ้าแห้ว
“เอ้า…ข้าให้เอ็งเป็นค่าน้ำชา”
เจ้าแห้วกราบอย่างงดงามถึง ๓ ครั้ง จึงรับเงินมาจากท่านมหาเศรษฐี แล้วก็กล่าวคำยกยอปอปั้นต่อไป
“ลักษณะของมหาบุรุษหรือท่านผู้นำก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือต้องมีทั้งพระเดขและพระคุณ ขอให้อาเสี่ยจงเจริญเถอะครับ เกล้ากระผมขอถือโอกาสนี้ กล่าวคำอวยพรพระเดชพระคุณด้วยคำโคลง ๔ สุภาพสัก ๑ บท” พูดจบเจ้าแห้วก็เอื้อนเอ่ยคำโคลงเสียงแจ๋วๆ เหมือนเด็กนักเรียน
สรวมเดชไตรรัตน์ เรื้อง บุญญฤทธิ์
ทวยเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทั่วหล้า
จบประสบจตุพิธ พรเพริศ
ประสบแต่อาเสี่ยข้า สุขล้น ดลเกษม ไชโย
กิมหงวนหัวเราะชอบใจ หันมาขอเงินจากเลขานุการอีก ๒๐๐ บาท ส่งให้เจ้าแห้ว
๒๑
“ข้าให้เอ็งเป็นรางวัล ที่เอ็งสามารถแต่โคลงได้ไพเราะเช่นนี้”
เจ้าแห้วกราบอีก ๓ หน
“ขอให้อาเสี่ยอายุวรรณโณ สุขขัง พลัง สตัง เถอะนะครับ รับประทานตั้งแต่ผมเกิดมาเป็นตัวเป็นตนยังไม่มีเศรษฐีคนใดที่จะมีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเหมือนอย่างพระเดชพระคุณ น้ำใจของอาเสี่ยกว้างขวางราวกับมหาสมุทรฟ้ายินดี ขอให้อาเสี่ย…”
เสี่ยหงวนโบกมือ
“พอ พอ ดูเหมือนมากไปหน่อย”
เจ้าแห้วยิ้มแห้งๆ
“นั่นน่ะซีครับ ง่า…รับประทานอีกสัก ๒๐๐ ไม่ได้หรือครับ เกล้ากระผมอยากจะซื้อปากกาดีๆ สัก ๑ ด้าม ไว้หัดแต่งโคลงหรือฉันท์ยอเกียรติใต้เท้า”
กิมหงวนขมวดคิ้วย่น
“พอน่า เอาไว้วันหลังบ้างซี”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ คุณหญิงวาด เจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างมองดูหน้ากันอย่างเศร้าใจ พล นิกร ดิเรก หัวเราะลั่น
“หงวน หงวนโว้ย”
อาเสี่ยยิ้มให้สายพัขราภรณ์
“ว่าไง อ้ายเพื่อนยาก แกเห็นหรือยังว่ามนุษย์ที่มีอำนาจวาสนาที่สุดในโลกคือกัน กันใหญ่ยิ่งกว่าอด๊อฟฮิตเลอร์หรือซินยอมุสโสลินี ฮ่ะ ฮ้า โลกนี้เป็นของกันแล้ว กันจะต้องการอะไรอีก นอกจากดาวและเดือนในท้องฟ้า”
ดร. ณรงค์ฤทธิ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หงวน แกอย่าคิดอะไรให้มากมายนักเลยเพื่อนรัก อากาศมันร้อนจัดนักไม่ใช่หรือ”
เสี่ยหงวนอมยิ้ม
“ความร้อนของอากาศไม่ใช่อุปสรรคแห่งความก้าวหน้าของกัน มหาบุรุษทุกคนย่อมไม่สนใจกับธรรมชาติของดินฟ้าอากาศ กันคิดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ กันจะต้องเป็นผู้เผด็จการที่ใหญ่ยิ่งกว่าจอมบงการ ที่ใหญ่ยิ่งทั้งหลาย ดิเรก-แกตอบปัญหาฉันหน่อยซิ พระเจ้าสร้างกันให้เกิดมาทำไม”
ดิเรกทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
“เตี่ยแกเป็นคนสร้างแกต่างหาก ไม่ใช่พระเจ้าหรอก”
“อ้ายโง่” กิมหงวนดุ “แกโง่อย่างที่ช่วยอะไรไม่ได้ เตี่ยสร้างกันตามบัญชาของพระเป็นเจ้า เข้าใจไหม”
เจ้าแห้วได้ทีก็พูดเสริมขึ้น
๒๒
“รับประทาน ผมเชื่อว่าอาเสี่ยคือดาวไท้แป๊ะกิมแชที่เง็กเซียนฮ่องเต้รับประทานให้ลงมาเกิดเพื่อเป็นผู้เผด็จการ”
คราวนี้กิมหงวนยิ้มแก้มแทบแตก หันมาขอเงินจากเลขานุการอีก ๑๐๐ บาท ส่งให้เจ้าแห้วเป็นบำเหน็จรางวัล
“เอ้า-เอาไปอีก ๑๐๐ แกคนเดียวที่ฉลาดลึกซึ้ง”
ก่อนที่ใครจะพูดอะไรอีก เสียงแตรไฟฟ้าของรถยนต์คันหนึ่งก็ดังขึ้นหน้าตึก กิมหงวนหันมาทางนายจ๋องคนสนิทของเขา
“ออกไปดูซิ อ้ายจ๋อง ใครมา บอกเขาว่าข้าไม่มีเวลารับแขก เพราะข้ากำลังต้อนรับวงศาคณาญาติของข้า”
จ๋องจำแตรรถพลีมัสเก๋งได้ ก็เรียนให้เสี่ยหงวนทราบ
“ไม่ใช่แขกหรอกครับ เจ้าสัวกิมไซน่ะครับ”
กิมหงวนทำตาเขียวกับคนสนิทของเขา
“ข้าให้เอ็งออกไปดู ข้าไม่ได้ให้เอ็งวิจารณ์ว่าเป็นใคร เฮ้ย-ทหาร เอาตัวอ้ายจ๋องไปเฆี่ยน ๒ โหล ในฐานรู้ดีกว่าข้า แล้วตัดหัวเสียบประจานไว้ที่ห้องส้วม”
พวกไทยยามหรือทหารของอาเสี่ย ต่างเฮโลกันเข้ามาจับกุมจ๋อง บรรดาบริวารของกิมหงวนเหล่านี้เกลียดน้ำหน้านายจ๋องมานานแล้ว เมื่อมีโอกาสก็ซ้อมกันคนละตุ้บ ๒ ตุ้บ ฉุดกระชากลากตัวออกไปทางหลังตึก
เจ้าคุณปัจจนึกฯ จ้องมองดูกิมหงวนอย่างตื่นเต้นแปลกใจ
“เจ้าหงวน แกมีอำนาจสั่งประหารชีวิตคนของแกเชียวหรือนี่”
อาเสี่ยพยักหน้า
“ครับ ยิ่งกว่านี้ผมก็เคยสั่ง แต่คนรับคำสั่งเขาจะปฏิบัติตามหรือไม่มันเป็นเรื่องของเขา”
ท่านเจ้าคุณถอนหายใจโล่งอก
“สิ้นเคราะห์ไปที อาคิดว่าไม่มีใครเขาทำตามบัญชาของแกหรอก” พูดจบท่านก็หัวเราะ “ชะ ชะ สั่งตัดหัวเสียบประจาน แกทำราวกับว่าแกเป็นแม่ทัพในพงศาวดารจีน โธ่เอ๊ย ป่วยเอามากเชียวนะหลานชาย”
มหาเศรษฐียิ้มสดชื่น
“ไม่มากนักหรอกครับ เพียงแต่คุ้มดีคุ้มร้ายเท่านั้น บางขณะก็รู้สึกตัว บางทีมันก็ลืมตัว”
ชายชราคนหนึ่ง แต่งกายแบบสากล เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างรีบร้อน ท่านผู้นี้คือเจ้าสัวกิมไซ ลุงของกิมหงวนนั่นเอง
“สะหวักลี เจ้าคุง สะหวักลี ทุกๆ คง” เจ้าสัวกล่าวทัก คณะพรรค ๔ สหายอย่างสนิทสนม “มากังนางเลี้ยวหรือครับ คุงหญิง”
“พึ่งมาสักครู่นี้เองแหละจ๊ะ เจ้าสัวไปไหนมาจ๊ะนี่”
๒๓
เจ้าสัวแสดงกิริยาอ่อนอกอ่อนใจ
“ไปหาซินแสครับ”
“เอ๊ะ” เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ อุทาน “เจ้าสัวป่วยเป็นอะไรไป”
เจ้าสัวกิมไซฝืนหัวเราะ
“ม่ายช่วยผม หลางชายผมตังหาก เจ้าหงวนมังไม่สิบาย อยู่ลีๆ จองหองเป็นบ้า บ้าอยากเป็นลิ้กกะเตเตอร์”
คราวนี้ ๓ สหายหัวเราะครืน
“อาแป๊ะพูดเป็นผิดแล้ว” ดิเรกพูดพลางหัวเราะพลาง “เขาไม่ได้เรียกลิ้กกะเตเตอร์หรอกครับ อาแป๊ะ”
ท่านเจ้าสัวทำปากจู๋
“ลิ้กกะเตเตอร์ ม่ายช่าย” แล้วเขาก็หันมาทางคุณหญิงวาด “ผู้พาเด็กกางผะหรั่งเขาเรียกยังงายครับ”
คุณหญิงวาดนั่งทรงตัวตรงวางท่าอย่างสง่าผ่าเผย
“ดิ๊กอีเตอร์ยังไงล่ะจ๊ะ”
นิกรแหกปากหัวเราะลั่น เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ พูดโพล่งขึ้น
“ยิ่งกว่าเจ้าสัวกิมไซเสียอีก ดิ๊กอีเตอร์น่ะสำหรับขุดดิน ปู้โธ่ ลำบากนักก็อย่าพูดก็แล้วกัน”
คุณหญิงค้อนควับ
“แล้วเขาเรียกยังไงล่ะ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ อดหัวเราะไม่ได้
“ดิ๊กเตเตอร์จ๊ะ”
“นั่นแหละ-นั่นแหละ ดิฉันพูดผิดไป แหม-ต้องหัวเราะเยาะด้วย” แล้วท่านก็หันควับมาทางนิกร “ยังจะหัวเราะอีก เดี๋ยวแม่ขว้างด้วยถ้วยแก้วหน้าตาแตกเลย”
เจ้าสัวรีบกล่าวห้าม
“อย่าครับ หน้าแตกม่ายเป็งไร ถ้วยแก้วมังแพง อย่างนี้แก้วอะเมริกังโหลหนึ่งตั้ง ๓๐๐ บากเลี้ยว แพงจับจิกจับใจเลย ง่า-เจ้าคุงทั้งสองกับคุงหญิงออกปายนั่งคุยกับผงทางหลังตึกเย็งสิบายลีกว่า ป่อยให้คงบ้ามังอยู่ตามเรื่องเถอะครับ มันจะเป็นลิ้กกะเตเตอร์ ถุย…จองหองเสียด้วยอยากเป็งใหญ่เป็งโต อีกหน่อยคงในบ้างนี้เซี้ยวหมด”
กิมหงวนชักฉิวก็เอ็ดตะโรลุงของเขา
“อย่าพูดมาก อาแป๊ะ จะไปไหนก็ไปให้พ้น อย่าเข้าใจว่าฉันเป็นบ้านา จะบอกให้ประเดี๋ยวสั่งยิงเป้าเลย”
เจ้าสัวหัวเราะงอหาย
“ยิงเป้า? ถุย ๒๐๐ หง เอ็งจะเป็นฮิตเล่อร์เหรอะ”
๒๔
อาเสี่ยมองดูมหาดเล็กของเขา
“เฮ้ย…เอาอาแป๊ะไปยิงเป้า”
พวกคนใช้ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าสัว ท่านเจ้าสัวมองดูหลานชายอย่างขบขันแกมเศร้าใจ แล้วก็ชวนเจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ และคุณหญิงวาดออกไปสนทนากันทางหลังตึก ปล่อยให้กิมหงวนอยู่กับเพื่อนเกลอทั้ง ๓ และพวกคนใช้ชายหญิง
พล, นิกร, ดิเรก ได้มาเห็นเพื่อนรักมีสติวิปลาสไปอย่างนี้ต่างกลุ้มใจไปตามกันช่วยเหลือรักษาพยาบาลจนสุดความสามารถ
นายแพทย์หนุ่มมองดูท่านมหาเศรษฐีแล้วพูดยิ้มๆ
“หงวน แกยังจำพวกเราได้ดีหรือ”
อาเสี่ยพยักหน้า
“แน่นอน แก ๓ คนคือเพื่อนรักของกัน และกันกำลังขอร้องพวกแกเดี๋ยวนี้ ง่า…มาอยู่กับกันเถอะเพื่อน กันต้องการให้แก ๓ คน เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของกัน”
พลสะดุ้งเล็กน้อย ลองกระเซ้ากิมหงวนเล่น
“กันอยากเป็นรัฐมนตรี”
“อ๋อได้” ท่านผู้เผด็จการพูดเร็วปรื๋อ “กันกำลังวางระเบียบการปกครองราชอาณาจักรของกันให้เรียบร้อยในเร็ววันนี้ กันจะตั้งแกให้เป็นเสนาบดีการะทรวง ง่า…”
“มหาเสน่ห์” นิกรพูดต่อ
กิมหงวนหัวเราะ
“นั่นมันระบำรายหรั่งโว้ย กันจะให้เจ้าพลว่ากระทรวงมหาดไทย ดิเรกอยู่กระทราวงสาธารณสุข”
นิกรอมยิ้ม
“กันล่ะ”
อาเสี่ยนิ่งนึก
“แกกระทรวงเกษตราธิการ กันใจให้เงินเดือนพวกแกคนละ ๓,๐๐๐ บาท และถ้าไม่พอใช้แกแกจะใช้อำนาจหน้าที่ของแกเซ็งลี้อะไรๆ ก็ได้”
ดิเรกถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง
“หงวน กันขอแนะนำแก แกควรพักผ่อนสมองให้มากที่สุด”
“แกเข้าใจว่ากันเป็นบ้า” เขาถามเสียงดุๆ
ดร. ณรงค์ฤทธิ์พยักหน้า
“กันมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์”
๒๕
กิมหงวนชักฉิว
“ถ้าเป็นคนอื่นพูดอย่างนี้ ฉันสั่งตัดหัวแล้ว พับผ่า คนดีๆ แท้ๆ เห็นเป็นบ้าไปได้”
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้นทันที
“จริงครับ รับประทานถ้าพระเดชพระคุณเป็นบ้าคนดีในโลกนี้ก็รับประทานหาไม่ได้ กระผมรู้ว่าอาเสี่ยของกระผมไม่บ้า เพียงแต่หย่อนๆ ไปบ้างเท่านั้น อาเสี่ยกำลังมีบุญวาสนา รับประทานในอนาคตอันใกล้นี้ อาเสี่ยต้องได้เป็นคนสำคัญที่สุดในโลก”
กิมหงวนผิวปากเบาๆ แต่ไม่เป็นเพลง
“ข้าอยากจะปลื้มใจในคำยอของเอ็ง มันก็ปลื้มไม่ลง พอทีซิโว้ย แกเล่นงานข้าตั้งหลายร้อยแล้ว”
เจ้าแห้วหน้าจ๋อย
“รับประทานอีกสัก ๒๐๐ ไม่ได้หรือครับ”
อาเสี่ยตวาดแแว้ด
“บอกว่าพอ”
เจ้าแห้วไม่พูดอะไรอีก กิมหงวนหันมาทางทหารคนสนิทของเขา
“อ้ายจ๋อง ไปเอาวิสกี้ตราดำมาต้อนรับเพื่อนของข้า บอกแม่ครัวจัดกับแกล้มอย่างที่ ๑ มาสัก ๒-๓ จาน”
นายจ๋องรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปจากห้องโถง ใบหน้าของกิมหงวนเคร่งขรึมไป คิ้วทั้ง ๒ ขมวดย่นเข้าหากัน เขามองดูเพื่อนของเขาทีละคน สิ้นสุดที่ใบหน้าดิเรก
“หมอ”
ดิเรกยิ้มเล็กน้อย
“ว่าไง”
“กันสงสัยเสียแล้วละโว้ย สงสัยตัวของกันเอง”
“ทำไมล่ะ”
“สงสัยว่ากันบ้าน่ะซี”
“โธ่” ดิเรกอุทาน “อย่าสงสัยเลยน่าเชื่อเถอะกันเป็นหมอกันรู้ดี”
มหาเศรษฐียิ้มออกมาได้
“แกรู้ว่ากันไม่ได้เป็นบ้าใช่ไหมล่ะ”
นายแพทย์หนุ่มสั่นศีรษะ
“เปล่ากันรู้ดีว่าแกเป็นบ้า”
กิมหงวนหน้าเสีย
“โธ่…กันไปเสียแล้วหรือนี่ กันบ้านิดหน่อยหรือเป็นเอามาก บอกกันซิหมอ”
๒๖
ดร. ณรงค์ฤทธิ์หัวเราะ
“บ้าขนาดหนักทีเดียว โรคบ้าของแกก็คืออยากเป็นจอมบงการหรือผู้เผด็จการ”
“ก็กันเป็นอยู่แล้วนี่นา”
“นั่นแหละ คือโรคจิตอย่างร้ายแรง”
อาเสี่ยนิ่งคิด
“เอาวะ บ้าก็บ้า อากาศร้อนยังงี้ คนเรามันก็ต้องคลุ้มคลั่งบ้าง กันจะเป็นบ้าสักพักปล่อยกันตามเรื่องเถอะอย่าเป็นห่วงกันเลย”
นิกรพูดขึ้นดังๆ
“กินข้าวหรือยังโว้ยหงวน หิวข้าวเต็มทนแล้ว”
นายพัชราภรณ์ยกฝ่ามือผลักหน้าเพื่อนเกลอของเขา
“อ้ายเวรเอ๊ย มาถึงก็จะไชโย”
“ก็มันหิวนี่หว่า”
กิมหงวนยิ้มให้นิกร
“กินเหล้ากันก่อนประเดี๋ยวค่อยกินข้าว แต่ไม่ต้องวิตก วันนี้กันเลี้ยงเต็มที่ มีทั้งอาหารไทยอาหารจีนอาหารแขกและอาหารฝรั่ง”
“ว้า…” นิกรคราง “แล้วก็ไม่บอกแต่เช้าด้วยจะได้ถ่ายยามาให้เรียบร้อย”
พูดขาดคำมหาดเล็กของมหาเศรษฐี ๒ คน คือนายจ๋องกับชายร่างเตี้ยคนหนึ่ง ได้พาตัวเดินเข้ามาในห้องโถง นายจ๋องถือถาดใส่วิสกี้ตราดำ ๑ ขวด ตราขาว ๒ ขวด โซดาอีก ๕ ขวด พรอมด้วยถ้วยแก้ว ส่วนชายร่างเตี้ยถือถาดใส่จานกับแกล้มและน้ำแข็ง
ทั้ง ๒ วางถาดลงบนโต๊ะ พล นิกรกับดิเรกจ้องตาเขม็งมองดูถาดทั้ง ๒ นิกรอ้าปากหวอ
“หงวน” นายการุณวงศ์ร้องขึ้นดังๆ “แกใช้ถาดทองคำเขียวหรือนี่”
อาเสี่ยยิ้มอย่างภาคภูมิ
“แกตกใจหรือกร ทำไมวะ มหาเศรษฐีอย่างกันใช้ถาดทองคำไม่ได้หรืออย่างไร ถาดใบหนึ่งทองหนัก ๔๐ บาท คิดเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เท่านั้นเอง นี่ดีว่าเป็นพวกแกนะ ถ้าเป็นแขกผู้มีเกียรติมาหากัน กันจะต้องใช้ถาดทองคำลงยาฝังเพชร แกก็รู้ดีแล้วนี่หว่า กันมีทองคำมากที่สุดในประเทศไทย”
เจ้าแห้วคลานเข้ามาพิจารณาดูถาดทอคำในระยะใกล้ชิด
“รับประทานทองกาไหล่หรือทองคำจริงๆ ครับ”
กิมหงวนทำปากยื่น
“อ้ายแห้ว ชะชะ มหาเศรษฐีอย่างข้าน่ะรึ ใช้ทองกาไหล่”
๒๗
“รับประทานทองจริงๆ ทำไมมันลอกล่ะครับ ดูไม่ใคร่สม่ำเสมอกันเลย”
อาเสี่ยค้อนควับ
“ช่างสังเกตนัก ช่างเขาชุบไม่เรียบร้อยโว้ย” แล้วอาเสี่ยก็มองดูขวดวิสกี้ในถาด ท่านผู้เผด็จการหัวเสียทันที เอ็ดตะโรคนสนิทของเขา “อ้ายจ๋อง ข้าสั่งให้เอาตราดำทำไมถึงสู่รู้เอาตราขาวออกมาตั้ง ๒ ขวด มีตราดำขวดเดียวเท่านั้น เอ็งควรจะรู้บ้างซีวะ เหล้าเลวๆ อย่างตราขาวข้าเอาไว้ล้างเท้าไม่ได้เอาไว้กิน”
นายจ๋องแสดงกิริยาเกรงกลัวจนลนลาน
“แล้วแต่จะโปรดเถอะครับ กระผมเห็นว่าใต้เท้ากับเพื่อน ๓ คน ดื่มตราดำขวดเดียวคงพอ ที่นำตราขาวออกมาก็เพื่อจะให้พระเดชพระคุณล้างเท้า อวดความเป็นมหาเศรษฐีให้คุณๆ เหล่านี้เห็นประจักษ์แก่ตา”
กิมหงวนยิ้มแป้น
“งั้นเรอะ เอ้งเฉลียวฉลาดดีมาก แต่อ้าย ๓ คนนี่มันเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของข้า ไม่จำเป็นต้องโอ้อวดมันก็รู้ดีว่าข้าเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าอวดมันหน่อยก็ดีเหมือนกัน เฮ้-มหาดเล็ก เอากระโถนฝังเพชรมารองเท้าข้าสักหน่อย”
ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบหยิบกระโถนปากแตรมาวางข้างเท้าท่านมหาเศรษฐี ดิเรกหัวเราะลั่น
“กระโถนทองเรอะ”
อาเสี่ยพยักหน้า
“ทองซีวะ แต่ว่าทองเหลือง”
“ฝังเพชรไว้ที่ไหนล่ะ ชี้ให้ดูหน่อยซิ”
กิมหงวนลอบค้อนดิเรก
“กันบอกว่าผังเพชร แกก็ควรจะพยายามเชื่อซีโว้ย เพชรมันหลุดหายไปหมดแล้ว”
นายแพทย์หนุ่มหันมายิ้มกับพล
“อาการของเจ้าหงวนไม่น้อยเลย” เขาพูดเบาๆ “มหาราชาในอินเดียมีเงินตั้ง ๑๐๐ ล้าน ยังไม่มีกระโถนฝังเพชร”
พลหัวเราะในลำคอ
“ปล่อยมันตามเรื่องเถอะน่า สนใจกันมันเราก็จะพลอยไม่สบายไปด้วย แน่ะ…ดูซีมหาดเล็กกำลังเอาวิสกี้ตราขาวราดเท้าท่านมหาเศรษฐี ถ้าแกมีโอกาสไปเที่ยวประเทศอินเดียอีก ขอให้แกช่วยทูลมหาราชาด้วยว่า เศรษฐีแห่งประเทศไทยใช้วิสกี้ตราขาวล้างเท้า”
ดร. ดิเรกลุกขึ้น เดินเข้ามายืนข้างกิมหงวนมองดูนายจ๋องยกขวดตราขาวราดลงบนหลังเท้ากิมหงวนแล้วเขาก็จุปาก
“รวยเหลือเกินนะหงวน ตราขาวขวดหนึ่งตั้ง ๓๐๐ กว่า แกทำอย่างนี้แกเอาประโยชน์อะไรวะ”
๒๘
กิมหงวนยักคิ้วแผล็บ
“อวดความเป็นเศรษฐีให้แก่พวกแกดูน่ะซี”
“อวดความเป็นเศรษฐีหรืออวดความบ้า”
“ทั้ง ๒ อย่างนั่นแหละ” อาเสี่ยพูดหน้าตาเฉย
ดิเรกแย่งขวดวิสกี้ตราขาวมาจากมือนายจ๋อง ยกขึ้นดื่ม แล้วเขาก็ส่งเสียงหัวเราะลั่นห้อง หัวเราะอย่างขบขันที่สุดในชีวิตของเขา
“เจ้าหงวน ฮ่ะ ฮ่ะ ตราขาวของแกกลิ่นเหมือนน้ำชาโว้ย”
เสี่ยหงวนทำตาปริบๆ ยกมือเขกศีรษะนายจ๋องเต็มแรงเกิด
“นี่แน่ะ อ้ายเวร เสือกให้มันแย่งเอาขวดไปได้ หมด…ขายหน้าหมด ไป-ไปให้พ้น เอาวิสกี้น้ำชาไปเสียด้วย เก๋งเจ๊ง โง่บัดซบ”
เจ้าจ๋องตีหน้ากระเรี่ยกระราด คว้าขวดวิสกี้ตราขาวทั้งหมด ถือเดินออกไปจากห้อง ๓ สหายหัวเราะชอบใจไปตามกัน
นิกรจัดแจงผสมวิสกี้โซดา แล้วพูดกับเพื่อนๆ
“กินกันเถอะโว้ย ใครอยากจะคุยอะไรก็เชิญ กันไม่คุยละ แม่โว้ย พล่ากุ้งหมูแหนมแกงเผ็ด อะไรหว่า…อ้อ แกงไก่เสียด้วย ขอให้ท่านมหาเศรษฐีจงเจริญ ไชโย”
แล้วนิกรก็ยกแก้วน้ำสีเหลืองขึ้นดื่ม วางแก้วลงบนโต๊ะ หยิบช้อนตักแกงเผ็ดใส่ปาก ทันใดนั้นนัยน์ตาของเขาก็เหลือกเพราะความร้อน
“ยังไง” ดิเรกถาม “แกงเขาอร่อยไหม”
นิกรสูดปาก
“อื้อหือ คอหอยแทบพอง กันซดเข้าไปเต็มช้อน”
เสียงหัวเราะดังลั่นห้อง กิมหงวนโบกมือไล่คนใช้ชายหญิงทั้งหมดตลอดจนเจ้าแห้วออกไปจากห้อง แล้ว ๔ สหายก็กินเหล้ากันอย่างสนุกสนาน

อาเสี่ยกิมหงวนป่วยเป็นโรคจิตอย่างร้ายแรงนับวันอาการของเขาก็กำเริบขึ้น กิมหงวนใฝ่ฝันที่จะเป็นผู้เผด็จการหรือจอมบงการ เขาทึกทักเอาว่าบ้าน ‘เริงจิตต์’ ของเขานั้นเป็นประเทศเยอรมันนีและเขาเป็นอด๊อฟฮิตเลอร์ คนใช้ชายหญิงในบ้านพลอยบ้าไปตามกัน อาเสี่ยได้กะทำตัวเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด เมื่อลั่นวาจาอะไรออกมาแล้ว ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขา
๒๙
ความร้อนอบอ้าวของอากาศในเดือนมีนาคมนั่นเอง ทำให้คนดีๆ กลายเป็นบ้า คราวแรกคณะพรรค ๔ สหายเข้าใจผิดว่ากิมหงวนแกล้งทำเป็นบ้า แต่แล้วก็รู้ความจริงว่า กิมหงวนเป็นบ้าจริงๆ ไม่ใช่แกล้งทำ คราวนี้ทุกคนวิตกเป็นทุกข์ไปตามกัน โดยเฉพาะนวลลออถึงกับร้องไห้ไม่เป็นอันกินข้าวกินปลา หล่อนอยากจะส่งกิมหงวนไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิต แต่คณะพรรคไม่เห็นด้วย คุณหญิงวาดว่า ส่งไปอยู่โรงพยาบาลลำบากแก่การไปเยี่ยมและไกลหูไกลตาไม่แน่ใจว่าแพทย์จะให้การรักษาพยาบาลเต็มความสามารถของเขา ให้ ดร.ดิเรกรักษาที่บ้านดีกว่า ดิเรกปวารณาตัวว่า เขายินดีรักษาเพื่อนจนสุดความสามารถ แต่เขาเป็นหมอรักษาคนดี ไม่ใช่คนบ้า จริงอยู่เขาเคยเรียนการรักษาโรคจิตมาบ้าง แต่ก็ไม่สู้จะมีความรู้ความชำนาญเท่าใดนัก อย่างไรก็ตามเมื่อคณะพรรคลงมติให้เขาเป็นผู้รักษากิมหงวน เขาจะใช้ความพยายามจนสุดความสามารถ
๒ สัปดาห์ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว อาการของกิมหงวนมีแต่ทรงกับทรุด เขาคลุ้มคลั่งตลอดวัน ความทรงจำและมันสมองแทบจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ดิเรกถึงกับยอมอดตาหลับขับตานอน คิดค้นตัวยารักษาโรคบ้าแต่ยังไม่สำเร็จ วงศาคณาญาติของกิมหงวนกลุ้มอกกลุ้มใจไปตามกัน
ตอนเที่ยงวันนั้น
แดดร้อนจัด ความร้อนเหมือนกับจะแผดเผาร่างกายให้ละลายไป ฉากของเราเปิดขึ้นที่บ้าน ‘เริงจิตต์’ อีก
ภายในห้องส่วนตัวของท่านมหาเศรษฐี กิมหงวนแต่งเครื่องแบบนายทหารเยอรมันนี ปลอกแขนเครื่องหมายสวัสดิกะ นั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังจ้องมองดูแผนที่ทวีปยุโรป ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม อาเสี่ยหวีผมแสกซ้ายปล่อยปลายผมลงมาปิดหน้าผาก ไว้หนวดจิ๋มซึ่งเป็นหนวดจำลองทำขึ้น
เพราะเครื่องแบบนายทหารเยอรมันเป็นผ้าสักหลาด ซึ่งทำให้กิมหงวนทวีความคลุ้มคลั่งขึ้นอีก ฟือแรเหงื่อไหลไคลย้อย เขาดูแผนที่แล้วก็คิด จนกระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“ใคร” กิมหงวนถามเสียงเด็ดขาด
“รับประทานผมเองครับ จอมพลพิเศษเกอริง”
อาเสี่ยยิ้มออกมาได้
“เข้ามา”
บังตาประตูห้องถูกผลักออกเบาๆ เจ้าแห้วเดิมเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย สวมเสื้อคลุมยาวแบบทหารเยอรมัน มีเครื่องหมายยศจอมพลสวมหมวกแก็ป ที่หน้าอกประดับเหรียญตราต่างๆ ซึ่งหาซื้อมาจากเวิ้งนครเขษม
ดร.ดิเรก ขอร้องให้เจ้าแห้วเป็นจอมพลเกอริง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้กิมหงวนมีกำลังใจดีขึ้นเพราะเมื่อวานซืนนี้ กิมหงวนคร่ำครวญอยากจะพบแม่ทัพอากาศเยอรมันคนนี้ ถึงกับหวุดหวิดจะฆ่าตัวตาย ดิเรกจำต้องให้เจ้าแห้วสมมุติตัวเป็นเกอริง และขอร้องให้พลนิกรเป็นแม่ทัพคนสำคัญของเยอรมัน ผู้ที่ถูกขอร้องต้องทำตามคำสั่งของหมอเพื่อช่วยให้คนไข้หายวันหายคืน
๓๐
เจ้าแห้วรำคาญตัวเองเหลือที่จะกล่าวแล้ว ถ้าไม่เห็นแก่บุญคุณอันใหญ่หลวงของกิมหงวนที่เคยมีต่อเขามา เป็นตายอย่างไรเจ้าแห้วก็คงไม่ยอมแต่งกายแบบนี้ซึ่งไม่ผิดอะไรกับอยู่ในเตาอบ
เจ้าแห้วเข้ามาในห้อง ก็เริ่มแอ็กท่าทางให้เหมือนกับจอมพลเกอริง คือทำปากแบะยื่น นัยน์ตากลอกไปกลอกมา เขาหยุดชิดเท้าตรงยกมือวันทยาหัตถ์กิมหงวน
“สวัสดีครับ ท่านผู้นำแห่งมหาอาณาจักรไรซ์” เจ้าแห้วพูดยิ้มๆ “ใต้เท้าบัญชาให้กระผมมาพบด้วยเรื่องอะไร”
กิมหงวนยื่นมือให้จับ
“เชิญนั่ง ท่านแม่ทัพ ฉันมีธุระสำคัญจะปรึกษากับท่าน แต่ต้องรอท่านนายพลทั้ง ๒ ก่อน เยอรมันจะต้องทำสงครามโลกครั้งที่ ๓ อีก ซึ่งคราวนี้เราจะต้องเป็นเจ้าโลก และหลังจากนั้นข้าพเจ้าจะให้นำกองทัพอันมหาศาลของเราโจมตีโลกพระอังคารต่อไป”
เจ้าแห้วหัวเราะหึๆ พูดแผ่วเบา
“โถ…รับประทานป่วยเอามากทีเดียว”
มีเสียงฝีเท้าคนเดินนอกห้อง และเสียงปืนที่ทหารยามหน้าห้องทำวันทยาวุธ ต่อจากนั้นบังตาประตูห้องจอมบงการก็ถูกเปิดออก นายทหารเยอรมันชั้นนายพล ๒ คนเดินเข้ามา ต่างแต่งเครื่องแบบฝึกหัด คนเดินหน้าคือพล พัชราภรณ์ คนเดินหลังคือนิกร การุณวงศ์ ทั้งสองหัวเราะกันคิกคัก เขาต้องพลอยเป็นบ้าเพื่อเห็นแก่เพื่อนซึ่งเป็นบ้า อาการของกิมหงวนจะทุเลาขึ้นทันทีถ้าได้รับความสมหวังหรือได้รับการพะเน้าพนอเอาอกเอาใจ แต่อาการของเขาจะทรุดหนักถ้ามีใครขัดใจเขาหรือเขาไม่ได้รับความสำเร็จผลจะด้วยประการใดก็ตาม เพราะกิมหงวนนึกว่าตนเป็นอดีตผู้นำเยอรมัน ดิเรกจึงต้องขอให้เพื่อนและเจ้าแห้วสมมุติเป็นขุนศึก คู่คิดของท่านฟือแร
๒ สหายชิดเท้าตรงยกมือวันทยาหัตถ์
“ผมมาแล้วครับ” นิกรพูดยิ้มๆ
เสี่ยหงวนลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะคำนับเพื่อนทั้งสอง
“เชิญนั่ง ท่านนายพลที่รัก”
พลหัวเราะ หันมาพูดกับนิกร
“ตามเรื่องมันก็แล้วกัน อย่าขัดคอมันะ”
นิกรพยักหน้า ๒ เกลอทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้คนละตัว นายพัชราภรณ์กล่าวสรรพยอกคนใช้ของเขา
“ท่านเกอริงมานานแล้วหรือครับ”
เจ้าแห้วเผลอตัวไปชั่วขณะ ยืดหน้าอกให้ผึ่งผายนึกว่าตนเป็นจอมพลจริงๆ
“ข้าพเจ้าพึ่งมาสักครู่นี้เอง”
พลสะดุ้งโหยง ทำตาปริบๆ มองดูเจ้าแห้ว
๓๑
“เฮ้ย…แกก็พลอยเป็นไปด้วยเหมือนกันหรือนี่”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“มันเผลอๆ ไปบ้างเหมือนกันแหละครับ”
ท่านผู้นำแห่งเยอรมันนี ยกมือขวาชูขึ้นทางท่าทางให้สง่าผ่าเผย พูดกับ ๒ สหายและเจ้าแห้วอย่างเป็นงานเป็นการ
“ท่านจอมพลและนายพลที่รัก การเพลี่ยงพล้ำสงความถึง ๒ ครั้ง ไม่ได้หมายความว่าชาวเยอรมันจะหมดมานะที่จะทำสงครามอีกต่อไป ข้าพเจ้ากับทหารบกเรืออากศแห่งเยอรมันพร้อมแล้วที่จะเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ ๓ อีก ท่านทั้ง ๓ จะเห็นเป็นยังไง”
พลพยักหน้า
“สุดแล้วแต่ท่านผู้นำเถิดครับ”
กิมหงวนหัวเราะ
“ดีมาก ท่านพูดอย่างนี้ทำให้ข้าพเจ้ารักท่านอีกเป็นกอง” แล้วกิมหงวนก็หันมาทางเจ้าแห้ว “ง่า…ท่านเกอริง”
เจ้าแห้วยิ้มแห้งๆ
“รับประทานผมชื่อแห้วขอรับ”
กิมหงวนมีอาการคลุ้มคลั่งทันที
“อ้ายบ้า” เขาตะโกนสุดเสียง “แกทำไมขัดใจฉัน โธ่…” แล้วกิมหงวนก็ต้องไห้เหมือนเด็กทารก
พลชักฉิวคนใช้ของเขา
“แล้วกันโว้ย พอที่จะค่อยยังชั่วกลับป่วยหนักไปอีก บอกแล้วว่าให้คล้อยตามอย่าขัดคอ บ้าระยำเชียวแกนี่”
เจ้าแห้วหน้าจ๋อย
“รับประทานผมเผลอไปจริงๆ ครับ”
พลยกมือเกาศีรษะ
“ทีนี้ถ้าแกขัดคอเจ้าหงวนอีก ฉันเตะแกเลย”
กิมหงวนพูดพลางร้องไห้พลาง
“รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นบ้า ก็ต้องตามใจเราบ้าง ยังงี้เมื่อไรมันจะหายล่ะ ฮือ…ฮือ”
“รับประทานขอโทษเถอะครับท่านผู้เผด็จการ โปรดยกโทษให้เกอริงสักครั้ง”
กิมหงวนยิ้มออกมาได้
“ท่านจอมพล บอกฉันซิว่า เวลานี้เครื่องบินของเรามีอยู่เท่าไร แยกประเภทเครื่องบินให้ข้าพเจ้าฟังด้วย”
๓๒
เจ้าแห้วนึกสนุกขึ้นมาก็โม้ไปตามเรื่อง
“มีอยู่ประมาณ ๒๐,๐๐๐ เครื่องครับ รับประทานไม่นับเครื่องบินที่ทำด้วยไม้ระกำ”
“บอกให้ละเอียด” ท่านฟือแรพูดต่อไป “๒๐,๐๐๐ เครื่องน่ะชนิดอะไรบ้าง”
“ขับไล่เมสเซอชมิท ๕,๐๐๐ เครื่อง ดำทิ้งระเบิดสตูก้า ๑,๐๐๐ เครื่อง สตูลิ้น ๕๐๐ เครื่อง”
“เฮ้ยๆ นั่นมันอาหารโว้ยไม่ใใช่เครื่อง” กิมหงวนดุ
“อ้อ จริงครับ รับประทานสตูก้า ๑,๐๐๐ เครื่อง นอกนั้นเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินลำเลียงและเครื่องบินตรวจการ”
จอมบงการนิ่งคิดสักครู่ก็หัวเราะเสียงกังวาน
“มันมากพอที่เราจะเริ่มแผนการรุกรานได้แล้ว” พูดจบก็หันมาทางนิกร “ท่านเมราบิตรถถังของเรามีเท่าไร”
นิกรกลั้นหัวเราะแทบแย่
“ถังใหญ่หรือถังเล็กครับใต้เท้า”
“อ๋อ เอาทุกขนาด”
“ถังใหญ่ขนาด ๖๐ ปอนด์มีอยู่มากครับ”
กิมหงวนทำคอย่น
“ไม่ใช่ถังเทศบาลโว้ย ข้าหมายถึงรถรบคือรถแท๊งค์”
“ปู้โธ่ ใต้เท้าไม่บอกให้ละเอียดนี่ครับ รถถังในบังคับบัญชาของผมทั้งหมดมี ง่า-๑๒,๐๐๐ คันครับ ท่านฟือแร”
เสี่ยหงวนพยักหน้า
“รถถังของเรามีมาก แต่เรากำลังขาดแคลนอาหารสำคัญของเครื่องบินและรถถัง เราจะทำอย่างไรดีช่วยกันคิดหน่อยแม่ทัพ”
นิกรตอบทันที
“ท่านผู้นำอย่าวิตกเลยครับ เมื่อน้ำมันเชื้อเพลิงขาดแคลน ผมอาจจะใช้น้ำมันหมูแทนก็ได้”
“ฮ้า มันจะแล่นได้หรือ ท่านเมราบิต”
นิกรพูดหน้าตาขึงขัง
“จะแล่นได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องของรถไม่ใช่เรื่องของผม ถ้ามันแล่นได้มันก็ต้องแล่น ถ้ามันแล่นไม่ได้ ทำอย่างไรมันก็แล่นไม่ได้”
กิมหงวนอมยิ้ม
“จริงๆ ท่านพูดถูก” แล้วเขาก็หันมาพูดกันนายพัชราภรณ์ “ท่านไกเตน”
๓๓
“ใคร? ผมหรือครับ” พลถามพลางหัวเราะ
“เออ แกนั่นแหละ ชะชะ ชื่อของตัวเองก็ไม่รู้จัก”
“ก็ทีแรกจะให้ผมเป็นนายพลเพารุด แล้วอยู่ๆ มาเรียกผมว่าไกเตน มันก็ต้องงงน่ะซีครับใต้เท้า”
กิมหงวนจุปาก
“อย่าพูดนอกเรื่อง ข้าพเจ้าอยากจะรู้กำลังรบของมหาอาณาจักรไรซ์เท่านั้น ตอบซิเดี๋ยวนี้เรามีทหารประจำการเท่าใด ทหารกองหนุนที่พอจะเรียกระดมได้เท่าใด”
พลกลั้นหัวเราะแทบแย่ กระซิบกันนิกร
“กันจำเป็นต้องพลอยบ้าไปกับมัน ม่ายยังงั้นมันก็ไม่หาย”
“เอาเถอะน่า นึกว่าช่วยเพื่อนเรา”
นายพัชราภรณ์มองดูกิมหงวน ทำเป็นนิ่งคิดสักครู่ก็ตอบว่า
“ทหารประจำการของเรามีอยู่ประมาณ ๒ ล้านคนครับ ทหารกองหนุนชั้น ๑ มี ๓ ล้าน กองหนุนชั้นที่ ๒ มี ๔ ล้าน กองหนุนชั้นที่ ๓ มี ๕ ล้าน กองหนุนชั้นที่ ๔ มี ๓ ล้าน กองหนุนชั้นที่ ๕ มี…”
“พอๆ แล้ว” ท่านฟือแรพูดขัดขึ้น “กองหนุนชั้นที่ ๕ น่ะ แข้งขาหักหูหนวกตาบอดเอามาทำอะไรกัน”
พลอดหัวเราะไม่ได้
“เรามีทหารทั้งหมดที่ใช้การได้ราว ๙ ล้านคนครับใต้เท้า”
“ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นเราก็ยังมีกำลังแข็งแกร่งพอที่จะบุกยุโรปให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ขอให้แม่ทัพทั้งหลายจงเตรียมกำลังไว้ให้พร้อมสรรพ เดือน ๕ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ข้าพเจ้าจะเริ่มบุกยุโรปอีก เราจะเข้าโจมตีเบลเยี่ยมและฝรั่งเศสอีก พวกท่านจะเห็นเป็นยังไง”
นิกรพยักหน้าหงึกๆ
“การจะควรประการใด แล้วแต่ท่านฟือแรเถอะครับ ข้าพเจ้าเป็นผู้ตาม ท่านเป็นผู้นำท่านจะพาไปทางไหน ข้าพเจ้าก็ต้องตามไปด้วย”
ฮิตเลอร์หรือกิมหงวน ปลื้มอกปลื้มใจในคำพูดของนิกรยิ่งนัก
“ข้าพเจ้าขอขอบใจ ท่านแม่ทัพนายกองทั้งหลาย สำหรับท่านเกอริง ข้าพเจ้าได้สั่งกระทรวงมุรธาธรทำใบโอ๊กประดับเพชรไว้สำหรับท่านแล้ว”
เจ้าแห้วลืมตาโพลง
“เพชรซีกหรือเพชรลูกครับผม”
“เพชรลูกโว้ย น้ำหนึ่งเลย เป็นบำเหน็จรางวัลตอบแทนคุณงามความดีของท่าน ที่ตั้งอกตั้งใจรับราชการมานาน ง่า…ท่านเบราบิตที่รัก ข้าพเจ้าจะให้กางเขนอัศวินแก่ท่าน ส่วนท่านไกเตนให้ต้นโอ๊กฝังเพชรทั้งต้นเลย”
เจ้าแห้วชูมือ
๓๔
“รับประทานสงสัยครับ”
“เออ สงสัยยังไงว่ามา ท่านจอมพล”
“รับประทานเพชรลูกน่ะ รับประทานเพชรแท้หรือเพชรเทียมครับ”
“แล้วกัน” ท่านฟือแรเอ็ดตะโร “ท่านเกอริงอยู่กับข้าพเจ้ามานานแล้ว เคยเห็นหรือว่าข้าพเจ้าให้รางวัลใบโอ๊กประดับเพชรเก๊แก่ใครบ้าง”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทานถ้เพชรจริงก็ค่อยยังชั่วหน่อย จะได้เซ็งลี้ได้”
มีเสียงเคาะบังตาประตูขัดจังหวะขึ้น อาเสี่ยชักฉิวเลยหันหน้ามองไปทางประตูทันที
“ใคร? รอก่อน ยังเข้ามาไม่ได้ กำลังประชุมลับ”
มีเสียงหนักๆ พูดเข้ามา
“ข้าพเจ้ามีราชการด่วน”
“อ้อ” กิมหงวนอุทาน “ยังงั้นเข้ามาได้”
บังตาประตูห้องถูกผลักออก ดร.ดิเรกและเจ้าคุณปัจจนึกฯ เข้ามาในห้อง ท่านเจ้าคุณแต่งกายแบบสากลท่านไปธุระกลับมา ก็เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมอาการป่วยของกิมหงวน เจ้าคุณปัจจนึกฯ หนักใจมากเมื่อทราบจาก ดร.ดิเรกว่า อาการของอาเสี่ยไม่ดีขึ้นเท่าใดนัก
กิมหงวนแลเห็นเจ้าคุณปัจจนึกฯ ก็แสดงกิริยาดีอกดีใจ
“โอ…ท่านริบเบ็นท๊อฟ ข้าพเจ้ากำลังต้องการพบท่านทีเดียว”
เจ้าคุณหน้าเหรอ ทำหน้ากระเรี่ยกระราดชอบกล
“เฮ้ยๆ ข้าไม่ได้เล่นกะเอ็งนา ข้ามาเยี่ยม”
อาเสี่ยลกขึ้นโค้งคำนับ
“ขอบคุณท่านดอนริบเบ็นท๊อฟที่กรุณามาเยี่ยมข้าพเจ้า บันนี้ข้าพเจ้ามีความสำคัญยิ่งที่จะขอให้ท่านช่วยโฆษณาปลุกใจประชาชาติเยอรมันทั้งหลาย ให้พร้อมใจกันจับอาวุธกระทำสงครามโลกอีกครั้งหนึ่ง”
ท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ กลืนน้ำลายเอื๊อก
“โธ่โว้ย อาไม่รู้เรื่องจริงๆ”
ดร.ดิเรกรีบกระซิบกระซาบบอกท่าน
“อย่าขัดใจมันครับ ม่ายอาการจะกำเริบเมื่อเจ้าหงวนมันเข้าใจว่าคุณพ่อเป็นริบเบ็นท๊อฟ คุณพ่อก็ต้องทำเป็นว่าคุณพ่อเป็นริบเบ็นท๊อฟ”
“งั้นเรอะ” เจ้าคุณพูดเบาๆ “เอาซีลองบ้ากับมันดูสักพัก” พูดจบท่านก็หัวเราะนั่งลงข้างๆ นิกร
กิมหงวนยิ้มให้ท่าน
๓๕
“เยอรมันจะเริ่มรบอีก โดยข้าพเจ้าเป็นผู้นำ คราวนี้เราจะวางแผนการรบให้ดีกว่าที่แล้วมา เราจะเหยียบโลกให้ราบเป็นหน้ากลอง พวกขุนศึกของเยอรมันจะต้องทำงานอย่างหนัก เราจะโจมตีในเวลาเดียวกันหลายๆ ประเทศ สำหรับข้าพเจ้า… ข้าพเจ้าจะนำกองทัพอันแข็งแกร่งขยี้รุสเซียให้พินาศ แล้วบุกเข้าประเทศจีนตีลงทางอาเซียเฉียงใต้อินโดจีนและประเทศไทย”
เจ้าคุณพูดต่อ
“ยึดกรุงเทพฯ”
“นั่น…ถูกทีเดียว เราต้องยึดนครหลวงของประเทศไทย”
“แล้วก็ยึดธนบุรี ตั้งกองบัญชาการของเราขึ้นที่ปากคลองสาน”
กิมหงวนทำตาปริบๆ
“ปากคลองสาน เอ๊ะ มันอยู่ที่ไหนท่านริบเบ็นท๊อฟ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ กลั้นหัวเราะแทบแย่
“หลังคาแดงๆ ยังไงล่ะ”
อาเสี่ยสั่นศีรษะ
“ปากคลองสาน หลังคาแดง นั่นดูเหมือนโรงพยาบาลโรคจิต ข้าพเจ้าไม่ชอบสถานที่เช่นนั้น โปรดอย่าพูดถึงมันอีก” แล้วกิมหงวนก็มองดูแผนที่ทวีปยุโรป
ท่านมหาเศรษฐีเริ่มมีกิริยากระสับกระส่าย เหงื่อชุ่มโชกเสื้อฟอร์ม ความร้อนทำให้เขาคลุ้มคลั่ง นัยน์ตาขวาง กิมหงวนเหวี่ยงแผนที่ทิ้ง ยกกำปั้นทุบโต๊ะปัง จ้องมองดูหน้าเจ้าแห้วราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
จอมพลเกอริงอกสั่นขวัญแขวน ชักใจไม่ดี
“อ๋อย รับประทานผมเปล่าครับ”
กิมหงวนขบกรามกรอดๆ
“ท่านเกอริง”
“จ๋า…เอ๊ย…ครับ รับประทานกลัวแล้ว โธ่…อย่ามองผมยังงี้ซีครับ”
ท่านผู้นำแห่งมหาอาณาจักรเยอรมันนี แยกเขี้ยวยิงฟันยมมือทึ้งผมตัวเอง ผลุดลุกขึ้นทำปากแบะน้ำลายไหลยืด
“เยอรมันแพ้เพราะท่าน” เขาเอ็ดตะโร “ท่านสร้างเครื่องบินและผลิตเครื่องบินได้น้อยกว่าฝ่ายพันธมิตร ท่านเกอริง ท่านต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้”
“คร้าบ รับประทานผมยอมรับผิดครับ”
อาเสี่ยพยักหน้าหงึกๆ ยกมือชี้หน้านายพลเมราบิตนิกร
“ท่านก็มีส่วนที่ทำให้เยอรมันต้องปราชัย”
๓๖
นิกรหัวเราะ
“สุดแล้วแต่แกเถอะวะ”
ท่านฟือแรยิ้มแค่นๆ
“รถถังของเราน้อยกว่าพันธมิตรตั้งหลายเท่า จนกระทั่งเราไม่อาจจะทำการรบแบบสายฟ้าแลบได้ รายงานของท่านเป็นรายงานเท็จ ตามรายงานท่านบอกว่า เรามีรถถังขนาดใหญ่ทั้งนั้น แต่พอรบเข้าจริงๆ ก็ปรากฏว่ารถถังของเราขนาดเล็กนิดเดียว บรรจุคนได้ ๓ คน ก็เต็มที่เสียแล้ว”
นายหน้าทะเล้น
“กันเป็นแม่ทัพรถรบ ไม่ใช่คนสร้าง ถังใหญ่หรือถังเล็กมันแล้วแต่คนสร้างซึ่งแกเป็นผู้สั่งให้เขาสร้างตามขนาดที่แกต้องการ จริงอยู่รถถังของเราเป็นถังเล็กๆ แต่ที่แกว่าบรรจุได้ ๓ คน ก็เต็มระวางกันขอคัดค้าน ๑๐ คน ยังไม่เต็มถังนี่หว่า นอกจากข้าพเจ้าที่ลืมเปลี่ยนตัวถังทิ้งไว้หลายๆ วันมันอาจจะล้นถังได้”
ฮิตเลอร์นิ่งตรึกตรอง
“เราพูดกันถึงเรื่องรถถังหรือถัง ท่านเมราบิต”
“ทั้ง ๒ อย่างนั่นแหละ ท่านพูดเรื่องรถถังแต่ฉันพูดเรื่องถัง”
“แล้วกัน มันก็ไปคนละเรื่องน่ะซี”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ หัวเราะก้ากใหญ่
“ท่านฟือแรที่รัก เลิกประชุมกันทีหรือ ท่านไม่สบายมากแล้ว อย่าพยายามใช้หัวคิดให้มากนักเลย”
กิมหงวนขมวดคิ้วย่น
“ท่านกลัวว่าถ้าข้าพเจ้าใช้หัวคิดมาก ข้าพเจ้าจะหัวล้านแดงแจ๋เหมือนอย่างท่านยังงั้นหรือท่านริบเบ็นท๊อฟ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ เดือดดาลขึ้นมาทันที
“อ้าว…อย่านะโว้ย” แล้วท่านก็หันมาพูดกับดิเรก “พ่อไปล่ะดิเรก ขืนอยู่ชักช้าไปประเดี๋ยวพ่อจะเกิดเตะปากอ้ายหงวนขึ้น”
อาเสี่ยพูดสอดขึ้นทันที
“ปู้โธ่ คนเป็นบ้าคุณอายังจะถือสาหาความอีก โบราณเขาว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา”
ท่านเจ้าคุณทำตาเขียว
“แกมันบ้ามีสตินี่หว่า”
กิมหงวนสั่นศีรษะ
“ไม่มีหรอกครับ เวลานี้สติผมมันฟั่นเฟือนขาดความรู้สึก ไม่เชื่อถามดิเรกดูก็ได้ อย่าถือผมเลยครับ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ฝืนยิ้ม
๓๗
“นิดๆ หน่อยๆ ข้าไม่ถือ แต่มันมากนักไม่ได้โว้ย เรื่องที่เกี่ยวกับกบาลของข้าห้ามพูดเด็ดขาด ง่า…ถามจริงๆ เถอะวะ เมื่อไรแกจะหายป่วยเสียที”
กิมหงวนนิ่งนึก
“เห็นจะอีกหลายวันครับ อากาศมันร้อนจัดเหลือเกิน ความจริงผมไม่อยากบ้าหรอกครับ แต่เมื่อมันบ้าไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”
พลอดใจอยู่ไม่ไหวก็พูดโพล่งขึ้น
“หงวน…แกบ้าจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นบ้าวะ”
อาเสี่ยหัวเราะ
“นั่นน่ะซี กันก็กำลังถามตัวกันอยู่เหมือนกัน” พูดจบเขาก็เดินไปมาวนเวียนรอบๆ ห้องแล้วก็เริ่มคลุ้มคลั่งอีกร้องตะโกนลั่น “ร้อนจริงโว้ย โธ่ทำไมมันร้อนยังงี้ ราวกับว่าพระอาทิตย์ขึ้น ๒ ดวง”
เจ้าคุณทำปากจู๋ ยกมือชี้หน้ากิมหงวน
“อย่านา…พ่อเตะเอาง่ายๆ นะจะบอกให้ แล้วกันห้ามไม่รู้จักเชื่อ”
“หนอย ท่านฟอนริบเบ็นท๊อฟ ท่านบังอาจจะเตะผู้เผด็จการแห่งเยอรมันนีเชียวหรือ ท่านรู้ดีแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าพเจ้าเป็นใคร”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ หัวเราะเสียงลั่น
“แกมันก็อ้ายบ้า ๕๐๐ จำพวกนั่นแหละ”
กิมหงวนหันควับมาทาง ดร.ดิเรก
“ท่านฮิมเลอร์ นำตัวฟอนริบเบ็นท๊อฟไปยังไว้ เพื่อฟ้องร้องยังศาลทหารในฐานกล่าวคำดูหมิ่นท่านผู้นำเยอรมัน”
“อ้ายบ้า” เจ้าคุณปัจจนึกฯ ตะโกนสุดเสียง
ดิเรกยกมือจับแขนพ่อตาของเขากระซิบบอกท่าน
“อย่าเอะอะไปเลยครับ ผมจะทำเป็นจับคุณพ่อ เจ้าหงวนมีอาการกำเริบขึ้นอีกแล้ว” แล้วเขาก็พูดกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ดังๆ “ท่านริบเบ็นท๊อฟ ในนามแห่งฮิมเลอร์หัวหน้าตำรวจลับเกสตาโป ข้าพเจ้าขอจับท่านในฐานดูหมิ่นท่านผู้นำ”
ท่านเจ้าคุณอดหัวเราะไม่ได้
“เอา-เอายังไงก็เอากันวะ ทีนี้ฉันเห็นจะไม่มาเหยียบบ้านนี้อีกแล้ว”
ดร.ดิเรกพาท่านเจ้าคุณออกไปจากห้อง กิมหงวนมองตามอย่างเคืองๆ เขายกมือทั้งสองข้างกุมขมับ ปวดร้าวในสมองจนเหลือที่จะทนทานแล้ว เจ้าแห้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
๓๘
“รับประทานปิดการประชุมเสียทีเถอะครับ ผมจะได้ไปตรวจโรงงานสร้างเครื่องบิน เพื่อสั่งให้เขารีบเร่งผลิตเครื่องบินให้ทันใช้ในการสงครามคราวนี้”
นิกรว่า “ผมก็จะต้องรีบไปควบคุมดูแลการสร้างรถถังเช่นเดียวกัน”
กิมหงวนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเก่า
“ดีแล้ว ท่านจอมพล” เขาพูดกับเจ้าแห้ว “ขอให้ท่านสละเวลาทั้งหมดเพื่อมหาอาณาจักรเยอรมันนี เชิญกลับได้”
เจ้าแห้วลุกขึ้นโค้งคำนับ รีบเดินออกไปจากห้องด้วยความรำคาญ กิมหงวนพูดกับท่านนายพลเมราบิตหรือนิกรต่อไป
“ท่านเมราบิต ข้าพเจ้าขอให้ท่านเร่งสร้างรถถังขนาดใหญ่ไว้ให้พอเพียงสำหรับกองทัพบกของเรา”
“ได้ครับ” นิกรรับคำ “ต้องการถังไม้หรือถังสังกะสีครับ”
อาเสี่ยทำตาโต
“เหล็กโว้ย รถถังชาติไหนล่ะที่ทำด้วยสังกะสีหรือไม้”
“ของเทศบาลน่ะซิครับ”
“โธ่-เดี๋ยวพ่อด่าแสบไส้เลย รถถังไม่ใช่ถัง แกพยายามพูดถึงเรื่องถังเสมอ”
นายการุณวงศ์หัวเราะ
“เอาละครับ ผมเข้าใจแล้ว ท่านฟือแรต้องการรถถังขนาดใหญ่สำหรับรุกรานยุโรป ง่า…ติดตีนตะขาบด้วยไหมครับ”
“อ้าว” อาเสี่ยอุทาน “ไม่มีตีนตะขาบมันจะแล่นได้อย่างไรกัน”
“อ้อ-จริงครับ ติดปืนใหญ่ขนาดกี่นิ้วครับ”
“๓ นิ้วอย่างน้อย”
นิกรลุกขึ้นยืน
“๓ นิ้วติดทำไมครับ อย่างน้อยต้อง ๓ ฟิต”
ท่านผู้นำอ้าปากหวอ
“ปากกระบอกกว้าง ๓ ฟิต…”
“ไม่ใช่ครับ ๓ ฟิตผมหมายความถึงส่วนยาวของลำกล้องปืน”
“ง่า-ท่านเมราบิตโง่ยิ่งกว่าควายเสียอีก ปืนใหญ่เขาพูดถึงเส้นผ่าศูนย์กลางที่ปากกระบอก เขาไม่ได้พูดถึงความยาวหรือคาลิเบอร์ของมัน อย่าโง่นักเลยท่านนายพล”
นิกรเดินอมยิ้มออกไปจากห้อง สดุดสะเปอร์ตัวเองหัวคะมำเกือบจะหกล้ม กิมหงวนหัวเราะลั่นพูดกับนายพัขราภรณ์
๓๙
“ท่านไกเตน เชิญท่านไปพักผ่อนได้ ขอให้ท่านเตรียมการระดมพลใหญ่ไว้ให้พร้อม เยอรมันจะบุกยุโรปในวันนี้”
พลหัวเราะ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“แล้วแต่ท่านฟือแรเถอะครับ จะบุกยุโรปหรือจะบุกปากคลองสานมันเป็นเรื่องของท่าน ผมมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเท่านั้น สวัสดีครับ” พูดจบพลก็พาตัวออกไปจากห้อง
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ดร.ดิเรกกับนิกรและเจ้าแห้วยืนจับกลุ่มสนทนากันอยู่ที่เฉลียงหลังตึก พลเดินเข้าไปขัดยกมือตบบ่านายแพทย์หนุ่ม
“ว่าไง หมอ”
ดิเรกโครงศีรษะ
“เป็นลำบากมาก อาการของเจ้าหงวนไม่ดีขึ้นเลย ไอคิดว่าถ้ามันคลั่งหนักขึ้น มันอาจจะฆ่าตัวตายก็ได้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ว่า “แล้วแกจะทำอย่างไรต่อไป ดิเรก”
นาณรงค์ฤทธิ์นิ่งคิด
“พรุ่งนี้ผมจะลองฉีดยาของผมให้เจ้าหงวนครับ ถ้าไม่สำเร็จก็จะต้องใช้วิธีอื่น”
นิกรพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“กันสงสัยว่าเจ้าหงวนมันอาจจะแกล้งทำเป็นบ้าก็ได้”
“นั่นน่ะซี” ดิเรกเห็นด้วย “แต่ว่าเจ้าหงวนมันทำในสิ่งที่คนดีๆ ทำไม่ได้ตั้งหลายอย่าง เป็นต้นว่า วิ่งเอาหัวชนกำแพงจนหัวแตก เดินแก้ผ้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกับอยู่ในนิคมอาบแดด ดื่มน้ำปลาต่างเหล้าจนหมดขวด”
“อือ” นิกรคราง “จะว่ามันแกล้งทำก็ไม่แน่นัก ยาฉีดของแกจะได้ผลหรือหมอ”
ดิเรกยิ้มเล็กน้อย
“เชื่อว่าคงได้ผล ง่า…โอรสของมหาราชาในอินเดียองค์หนึ่ง อายุ ๑๙ ปี ทรงเป็นบ้าด้วยโรคจิตอย่างร้ายแรง กันได้รับอาสารักษาพระโอรสของท่านมหาราชาองค์นั้นด้วยยาฉีดของกันซึ่งมีชื่อว่า แอนตี้ไฟว์ฮันเดรทแม็ด แต่ตัวยากันชักจะเลือนๆ จำได้ไม่หมด จึงไม่แน่ใจว่าเจ้าหงวนจะหาย”
พลพูดขึ้นบ้าง
“อย่างไรก็ตาม พวกเราเชื่อในความสามารถของแกเสมอ”
“ออไร๋ กันไม่เคยทำอะไรไม่สำเร็จ กันจะพยายาม”
เจ้าแห้วว่า “รับประทานถ้ายาฝรั่งไม่หายลองให้รับประทานยาไทยดูบ้างไม่ดีหรือครับ”
ดิเรกขมวดคิ้วย่น
“ยาไทย? ไทยเมดิซิน?”
๔๐
“เยส โอเค ออไร๋ เวอรี่กู๊ด”
“เฮ้ยๆ” นิกรดุ “ลำบากนักพูดภาษาไทยดีกว่า ยาที่แกว่าเป็นยาอะไร”
“รับประทานยาผงขอรับ เป็นยาง่ายๆ ลงทุนนิดหน่อย รับประทานผมจำตัวยาได้”
นายแพทย์หัวเราะ
“อะไรบ้างว่ามาซิ”
“รับประทานพริกไทยป่นหนัก ๑ บาท พริกแห้งป่นหนัก ๑ บาท ขี้ผงใต้ที่เช็ดเท้าหนัก ๑ บาท รวมกันเข้าให้คนไข้นัตถุ์ก่อนหรือหลังอาหารวันละ ๓ ครั้ง รับประทานหายเด็ดขาดครับ ถ้าไม่หายก็ตาย ยารักษาคนบ้าขนานนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก นิยมใช้กันมาแต่บุร่ำโบราณแล้ว”
ดิเรกนิ่งอึ้งสักครู่
“ดีเหมือนกัน บาทีฉันจะลองดู”
ครั้นแล้วคณะพรรค ๓ เกลอก็พากันเดินลงบันไดไปข้างล่าง

นายแพทย์ดิเรกจนปัญญาแล้ว หลังจากที่เขาฉีดยา แอนตี้ไฟว์ฮันเดรทแม็ดให้กิมหงวนถึง ๒ เข็ม แทนที่อาเสี่ยจะมีอาการดีขึ้น กิมหงวนจะยิ่งอาละวาดหนักขึ้น ทุบข้าวของแตกหักเสียหาย บางทีก็ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล บางทีก็หัวเราะชอบใจ วงศาคณาญาติของเสี่ยหงวนวิตกเป็นทุกข์ไปตามกัน
เย็นวันนั้น ใกล้จะพลบค่ำ นวลลออนั่งหงอยเหงาอยู่ที่เก้าอี้สนามหน้าตึกตามลำพัง คณะพรรค ๓ เกลอและท่านผู้ใหญ่มาเยี่ยมเมื่อตอนบ่าย พึ่งลากลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง แต่วันนี้ทั้งวันดิเรกยังไม่ได้มาที่บ้าน ‘เริงจิตต์’ เลย
นวลลออซูบผอมลงไปจนผิดรูปเพราะกลุ้มใจในอาการป่วยของสามี หล่อนคิดว่าถ้าอาการของเขามีแต่ทรงกับทรุดเช่นนี้แล้ว หล่อนก็จะขอให้ดิเรกส่งเสี่ยหงวนไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิต
กำลังนึกถึงกิมหงวน ท่านจอมพลพิเศษเกอริงก้ปรากฎตัวขึ้น แม่ทัพอากาศเยอรมันสวมเสื้อกระดุม ๒ แถว นุ่งกางเกงขี่ม้า สวมท๊อบบู๊ท ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ครบครัน สวมหมวกแก็ป มือถือตราจอมพล
ท่านเกอริงถูกท่านฟือแรเรียกไปพบเกือบ ๒ ชั่วโมง เพื่อวางแผนการบุกยุโรป เกอริงหรือเจ้าแห้วอึดอัดแทบตาย ในที่สุดก็เลี่ยงออกมาจากห้องฮิตเลอร์ได้
เจ้าแห้วเดินโซเซลงบันไดตรงเข้ามาหานวลลออ เครื่องแบบจอมพลพิเศษชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขาหยุดยืนข้างหน้าหล่อน ยกมือวันทยาหัตถ์แล้ววพูดนอบน้อม
๔๑
“รับประทานไม่ไหวละครับ อนุญาตให้ผมกลับไปอยู่บ้านพัชราภรณ์เถอะครับ ผมจะให้เจ้าคงมาอยู่แทนผมรับประทานขืนให้ผมอยู่ที่นี่ ผมก็คงเป็นบ้าไปด้วย”
นวลลออยิ้มเล้กน้อย
“ทำไมล่ะ”
เจ้าแห้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อาเสี่ยแกคลั่งมากขึ้นน่ะซีครับ รับประทานผมทนไม่ไหวแล้ว”
“โธ่-แห้ว แกคนเดียวเท่านั้นที่ถูกใจเขา อดทนไปอีกสัก ๒-๓ วันไม่ได้หรือ นึกว่าเห็นแก่ฉันเถอะ เฮียเขาเรียกแกเข้าไปทำไม”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทานประชุมวางแผนการบุกยุโรปครับ ทีแรกก็พูดกันรู้เรื่อง หนักเข้าอาเสี่ยแกอาละวาดบังคับให้ผมถอดเสื้อฟอร์มออกเต้นระบำจ้ำบ๊ะให้แกดู”
“อุ๊ยตาย แล้วแกทำยังไง”
“ทำยังไง รับประทานผมก็ต้องทำตามคำสั่งน่ะซีครับ ว่า-ยั้งงี้แย่ อกแตกจริงๆ นะครับคุณ ไม่ใช่พูดเล่น รับประทานผมอยากจะเข้าใจว่าอาเสี่ยแกล้งทำเป็นบ้ามากกว่า”
นวลลออเม้มปากแน่น
“ฉันก็อยากจะเข้าใจเช่นนั้นแหละแห้วเอ๋ย เอ๊ะ—นั่นรถ---”
นวลลออกับเจ้าแห้วต่างมองไปที่ประตูใหญ่นอกถนน รถยนต์บรรทุกคนไข้ของโรงพยาบาลโรคจิตคันหนึ่งแล่นเข้ามาในบ้าน ‘เริงจิตต์’ แลเห็น ดร.ดิเรกนั่งอยู่ตอนหน้ารถคู่กับชายหนุ่มท่าทางสง่าผ่าเผยคนหนึ่ง และคนขับรถยนต์ของโรงพยาบาล
ชายหนุ่มที่นั่งกลางคือ นายแพทย์มานิต ผู้อำนวยการโรคพยาบาลโรคจิต สำเร็จวิชาแพทย์เฉพาะโรคจิตมาจากสหรัฐอเมริกา เป็นเพื่อนที่คุ้นกับดิเรกคนหนึ่ง ดิเรกเชิญให้มานิตมารักษากิมหงวน เขาเองหมดความสามารถแล้ว เขาได้เล่าอาการของเสี่ยหงวนให้เพื่อนนายแพทย์ฟังและขอร้องให้มานิตช่วยเหลือ ซึ่งมานิตก็ยินดีรักษาให้โดยไม่คิดค่าป่วยการอะไรเลย ทั้งนี้ก็เพราะมานิตหวังจะพึ่งพา ดร.ดิเรกในโอกาสต่อไป
มานิตนำรถของโรงพยาบาลพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อีก ๓-๔ คนมาที่นี่ด้วย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับกิมหงวนไป เว้นแต่ว่ากิมหงวนคลุ้มคลั่งอาละวาดก็จำเป็นจะต้องรับตัวไปโรงพยาบาล เพื่อความปลอดภัยแก่คนทางบ้าน
รถของโรงพยาบาลแล่นมาหยุดหน้าตึก นวลลออรีบลุกขึ้นพาเจ้าแห้วเดินมาที่รถ ดิเรกกับมานิตเปิดประตูแล้วลงมาข้างล่าง ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโรคจิตรูปร่างสูงใหญ่ ๔ คน ก็พากันออกมาทางหลังรถ
๔๒
ดิเรกแนะนำนายแพทย์มานิตให้รู้จักนวลลออ
“คุณมานิต ปมขอแนะนำคุณให้รู้จักกับคุณนวลลออ ภรรยาของอาเสี่ยกิมหงวนเจ้าของบ้านนี้” แล้วเขาก็หันมาทางนวลลออ “ท่านผู้นี้คือผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิต นายแพทย์มานิต นันทศักดิ์ เพื่อนของผมเอง”
นวลลออยกมือไหว้ด้วยการเคารพแบบไทย มานิตโค้งคำนับแบบฝรั่ง สง่าผ่าเผยเหมือนกับหัวนอกทั้งหลาย
“ยินดีค่ะ” นวลลออพูดยิ้มๆ
“ขอบคุณครับ เป็นเกียรติยศแก่ผมอย่างยิ่ง”
เจ้าแห้วนึกขลังยังไงขึ้นมาไม่ทราบ ถือโอกาสแนะนำตัวของเขาเอง ชิดเท้าตรงยกมือวันทยาหัตถ์
“สวัสดีท่านผู้เป็นประมุขแห่งโรงพยาบาลโรคจิต ข้าพเจ้าขอแนะนำตัวเองให้ท่านรู้จัก ข้าพเจ้าคือจอมพลพิเศษเกอริง แม่ทัพอากาศเยอรมัน”
มานิตอมยิ้ม เขามองดูเจ้าแห้วจากศีรษะตลอดปลายเท้า เข้าใจว่าเจ้าแห้วคือกิมหงวนผู้อำนวยการโรคพยาบาลโรคจิต เข้าก้มศีรษะให้เจ้าแห้ว
“เป็นบุญของผมอย่างยิ่งที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับท่านแม่ทัพอากาศเยอรมัน ใต้เท้าขอรับผมได้จัดรถยนต์อันหรูหราสมเกียรติมารับใต้เท้าแล้ว เชิญขึ้นรถเถอะครับ ทางบ้านผมกำลังเตรียมการต้อนรับใต้เท้าอย่างมโหฬาร”
เจ้าแห้วสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาเหลือกลาน รู้เจตนาของนายแพทย์มานิตเป็นอย่างดี
“แฮ่ะ แฮ่ะ รับประทานผมเปล่าครับ คนไข้อยู่บนตึกไม่ใช่ผม”
นายแพทย์หัวเราะ
“มิได้ ผมไม่ได้เข้าใจว่าใต้เท้าป่วยไข้อะไร ขึ้นรถเถอะครับ”
“ปู้โธ่” เจ้าแห้วเอ็ดตะโร “รับประทานไม่ใช่ผม ผมเป็นคนใช้ของอาเสี่ยกิมหงวน”
ก่อนที่ดิเรกและนวลลออจะคัดค้านว่ากระไร นายแพทย์มานิตก้หันมาทางลูกน้องของเขา
“ชนิดนี้อาละวาดขนาดหนักทีเดียว อาจจะฆ่าคนได้อย่างง่ายๆ จัดการเถอะพวกเรา เอาไปสอนเสียเถอะ ทิ้งไว้สัก ๒-๓ วัน ก็คงค่อยยังชั่ว”
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโรคจิตทั้ง ๔ คน ก็ตรูกันเข้ามาหาเจ้าแห้ว หัวหน้าผู้คุมซึ่งมีรูปร่างกำยำยกมือจับแขนเจ้าแห้วแล้วพูดยิ้มๆ
“ท่านแม่ทัพขอรับ ผมจะพาท่านไปตรวจแนวรบเดี๋ยวนี้ เชิญขึ้นรถเถอะครับ”
เจ้าแห้วลืมตาโพลง
“อ้าวๆ อย่าล้อเล่นยังงี้ซิคุณ น่าเกลียด”
ผู้คุมอีกคนหนึ่งก้มศีรษะให้เขา
๔๓
“ไปเถอะครับ ท่านจอมพล รถคันนี้จัดมาเป็นพิเศษเวลาแล่นเปิดไซเรนท์ตลอดทาง”
“ปู้โธ่” เจ้าแห้วเอ็ดตะโร “ผมไม่ใช่คนบ้า แล้วกัน”
พวกผู้คุมไม่ฟังเสียง ช่วยกันฉุดกระชากลากตัวเจ้าแห้วไปที่รถ ดร.ดิเรกหัวเราะงอหาย เดินเข้ามาขัดขวางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโรคจิต แล้วอธิบายความจริงให้ทราบ
“พี่ชาย เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนไข้ของลื้อหรอก เขาเป็นคนดีๆ อย่างเรา คนใช้ของกันเอง”
พวกผู้คุมปล่อยตัวเจ้าแห้วเป็นอิสระตามเดิม ต่างทำหน้าตื่นๆ ไปตามกัน นายแพทย์มานิตถามนวลลออ
“นายคนนี้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีแน่หรือครับ”
นวลลออหัวเราะเบาๆ
“ค่ะ”
มานิตขมวดคิ้วเข้าหากัน มองดูเจ้าแห้วอย่างแปลกใจ
“ทำไมเขาแต่งตัวยังงี้ล่ะครับ”
เจ้าแห้วพูดขึ้นอย่างโมโห
“รับประทานไม่ใช่ผมอยากแต่งหรอกครับ แต่อาเสี่ยกิมหงวนนายของผมแกเป็นบ้า แกเข้าใจว่าตัวแกเป็นฮิตเลอร์ ผมต้องการเอาอกเอาใจแก รับประทานผมจึงต้องสมมุติตัวเป็นจอมพลเกอริง ปู้โธ่ ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรเลย คุณหมอจะเอาผมขึ้นรถเสียแล้ว รับประทานเล่นยังงี้ก็แย่น่ะซีครับ”
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตหัวเราะก้าก ยกมือตบบ่าเจ้าแห้ว
“ขอโทษที น้องชาย ฉันเป็นเข้าใจผิด”
เจ้าแห้วค้อนควับ
“คุณหมอเป็นเข้าใจผิดยังงี้ ผมเป็นลำบาก เล่นเอาใจคอหายหมด รับประทานลูกน้องของคุณหมอตละคนรูปร่างยังกะคิงคอง”
มานิตว่า “ถ้าใช้คนรูปร่างบอบบาง คนบ้าที่โรงพยาบาลก็ทุบตายห่าเท่านั้น พวกนี้เป็นนักยูโดทั้ง ๔ คน”
เจ้าแห้วถอนหายใจโล่งอก นวลลออยกมือจับแขน ดร.ดิเรก แล้วพูดกับเขา
“หมอคะ หมอจะให้คุณหมอมานิตรับเฮียไปอยู่ปากคลองสานหรือคะ”
ดิเรกยิ้มให้หล่อน
“ยังไม่แน่ครับ ถ้าอาการของเจ้าหงวนไม่หนักหนาจนเกินไป ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะให้เข้าไปอยู่โรงพยาบาล คุณมานิตยินดีที่จะมารักษาให้จนถึงบ้าน เขากับผมตกลงกันเรียบร้อยแล้วแต่ว่าหากเจ้าหงวนมีอาการมาก คุณมานิตก็จำเป็นจะต้องเอาตัวไปโรงพยาบาล แกจัดรถและเจ้าหน้าที่มาพร้อมแล้ว”
นวลลออหันมาทางผู้อำนวยการโรงพยาบาล
“ดิฉันขอบคุณคุณหมอมากเชียวค่ะที่กรุณา ช่วยเหลือสุดแล้วแต่คุณหมอจะเห็นสมควรเถอะนะคะ”
๔๔
มานิตก้มศีรษะเล็กน้อย
“ผมกับดิเรกเป็นชอบกันมาก ถึงแม้หมอดิเรกเป็นนักเรียนอังกฤษ ผมเป็นนักเรียนอเมริกา แต่เราต่างก้เป็นหมอมีหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เช่นเดียวกัน ง่า-ดิเรกเป็นเพื่อนรักของคุณกิมหงวนก็เท่ากับว่าคุณกิมหงวนเป็นเพื่อนของผมด้วย ผมยินดีที่จะรักษาพยาบาลจนสุดความสามารถ”
นวลลออกระพุ่มมือไหว้เขาอีกครั้งหนึ่ง
“ดิฉันจะไม่ลืมความกรุณาของคุณหมอเลย เชิญสิคะ เชิญบนตึกเถอะค่ะ” แล้วหล่อนก็หันมาทางเจ้าแห้ว อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นเขาอยู่ในเครื่องแบบจอมพลพิเศษเยอรมัน แล้วนวลลออก้สัพยอกเจ้าแห้ว “ท่านแม่ทัพคะ เฮียของดิฉันอยู่ในห้องนอนใช่ไหมคะ”
เจ้าแห้วสะดุ้งโหยง
“ปู้โธ่ อย่าเรียกผมยังงี้เลยครับ คุณหมอแกยิ่งเข้าใจผิดอยู่ รับประทานอาเสี่ยอยู่ในห้องนอนครับ”
“กำลังทำอะไร” นวลลออพูดพลางหัวเราะพลาง
“รับประทานตอนที่ผมจะลงมา เห็นนั่งเล่นมีดโกนครับ แกบอกกับผมว่ามีโกนเล่มนั้นอาจจะทื่อเกินไป แกจะลองเฉือนลูกกระเดือกดู”
“อุ๊ยตาย” นวลลออร้องขึ้นดังๆ “ดิเรกคะ รีบพาคุณหมอมานิตขึ้นไปเถอะค่ะ ป่านนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ครั้นแล้ว ดร.ดิเรกก็คว้าแขนเพื่อนนายแพทย์ของเขาพาเดินขึ้นไปบนตึกอย่างรีบร้อน นวลลออกับเจ้าแห้วติดตามขึ้นไปด้วย
ภายในห้องนอนอันหรูหราของท่านฟือแร
จอมบงการแห่งเยอรมันนีเดินพล่านไปมารอบๆ ห้อง มือถือมีดโกนเล่มกระทัดรัด อาเสี่ยนุ่งกางเกงชั้นในตัวเดียว เสื้อแสงไม่ได้ใส่แลเห็นขนจักกะแร้ยาวเฟื้อย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิง นัยน์ตาขวาง
“ฉันอยากจะรู้นัก” อาเสี่ยร้องขึ้นดังๆ “ใครจะตอบฉันได้บ้างว่า ฉันเป็นบ้าจริงๆ หรือแกล้งทำเป็นบ้า มันยังไงกันแน่โว้ย”
มีเสียงเคาะประตูห้องขึ้น อาเสี่ยหันควับมาทางประตู
“ใคร?”
ดิเรกร้องบอกเขา
“ฮิมเลอร์ หัวหน้าตำรวจลับครับ กระผมพาผู้บังคับการตำรวจสันติบาลมาพบใต้เท้า เพื่อรับบัญชา”
กิมหงวนยิ้มแป้น
“มากัน ๒ คนเท่านั้นหรือ”
เสียงเจ้าแห้วพูดขึ้นบ้าง
๔๕
“รับประทาน จอมพลพิเศษเกอริงมาด้วยครับ ผมพาหัวหน้าทหารหญิงมาพบใต้เท้า”
ท่านฮิตเลอร์เดินไปเปิดประตูให้ ดร.ดิเรก หมอมานิต เจ้าแห้วกับนวลลออพากันเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนกระทำความเคารพกิมหงวนโดยวิธีก้มศีรษะ อาเสี่ยจ้องมองดูเมียรักของเขา
“ท่านเป็นใคร?”
นวลลอออมยิ้ม
“ดฉันมาดามนวลลออ ผู้บังคับกองทัพทหารหญิงค่ะ”
“โอ-ดีมาก ขอบใจนะจ๊ะ” แล้วเขาก็หันจ้องมองดูผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิต “แกเป็นใคร เจ้าหนุ่ม”
หมอมานิตโค้งคำนับอย่างงดงาม
“ข้าแต่ท่านผู้นำแห่งมหาอาณาจักรเยอรมัน ข้าพเจ้าฟอน บีกริมแอนด์โก ผู้บังคับการตำรวจสันติบาลขอรับ”
“อ้อ-ขอบใจ ท่านมีธุระอะไร”
“ข้าพเจ้ามีงานด่วนและสำคัญยิ่ง ประชาชนและทหารบางหน่วยกำลังคิดปฏิวัติต่อท่าน”
จอมบงการตกตะลึง ยกมือลูบหนวดจิ๋มของเขา
“เป็นความจริงหรือท่านผู้บังคับการ”
“ถูกแล้วขอรับ”
กิมหงวนเม้มปากแน่น เดินวนเวียนไปมารอบๆ ห้อง วางมีดโกนไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงหนักๆ
“ข้าพเจ้าต้องการพูดกับผู้บังคับการตำรวจเกสตาโปโดยเฉพาะ ขอให้ทุกๆ คนรวมทั้งตัวข้าพเจ้าออกไปจากห้องนี้ก่อน”
เจ้าแห้วเอื้อมมือเขี่ยแขนกิมหงวน
“รับประทานใต้เท้าไม่ต้องออกไปหรอกครับ”
อาเสี่ยนึกขึ้นได้
“อ้อ-จริง”
ดร.ดิเรกพยักพะเยิดกับนวลลออ แล้วพาหล่อนกับเจ้าแห้วออกไปจากห้อง หมอมานิตเผชิญหน้ากับท่านผู้นำ ๒ ต่อ ๒ แต่เขาไม่ได้สะทกสะท้านเลยเพราะเคยผจญกับคนบ้ามามากต่อมากแล้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตเริ่มพิจารณากิริยาอาการของกิมหงวนและพอได้สบตากันจังๆ หมอมานิตก็วินิจฉัยได้ทันทีว่ากิมหงวนเป็นโรคจิตมากน้อยแค่ไหน
“ว่าไง ท่านผู้บังคับการ มีอะไรเกิดขึ้นเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเดี๋ยวนี้”
มานิตหัวเราะ
๔๖
“เปล่า ผมไม่ใช่ผู้บังคับการ ผมเป็นผู้อำนวยการ”
กิมหงวนทำตาปริบๆ
“ผู้อำนวยการเกสตาโปไม่มีตำแหน่ง มีแต่ผู้บัญชาการ”
“มิได้ครับ ผมไม่ได้เป็นผู้อำนวยการตำรวจเกสตาโป”
อาเสี่ยจุปาก
“ถ้ายังงั้นท่านเป็นผู้อำนวยการอะไร”
หมอมานิตหัวเราะเสียงกังวาน
“ท่านเดินไปที่หน้าต่างและมองลงไปข้างล่างเถอะครับ ท่านจะรู้ดีว่าผมเป็นผู้อำนวยการอะไร”
กิมหงวนชักสงสัย รีบเดินไปที่หน้าต่าง ทอดสายตามองลงมาข้างล่าง พอแลเห็นรถพยาบาลเขาก็สะดุ้งเฮือก ตัวอักษรที่ข้างรถมองแลเห็นถนัด
“โรงพยาบาลโรคจิต”
อาเสี่ยหันควับมาทางหมอมานิต
“แก-แกทรยศต่อฉัน แกคิดว่าฉันเป็นบ้ายังงั้นหรือ”
มานิตยิ้มอย่างใจเย็น
“เปล่าเลยคุณ ตอนแรกดิเรกเขาไปบอกผม เล่าอาการให้ฟัง ผมก็คิดว่าคุณเป็นบ้าจึงนำรถและบุรุษพยาบาลมาที่นี่ เพื่อจะรับคุณไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ถ้ามีอาการนิดหน่อยผมก็จะมารักษาให้ที่นี่ ครั้นผมมาเห็นคุณเข้าจริงๆ เพียงแต่เห็นแววตาของคุณเท่านั้น ผมก็รู้ทันทีว่าจิตใจของคุณยังเป็นปกติ แต่คุณแกล้งทำเป็นบ้า”
อาเสี่ยค้อนปะหลับปะเหลือก
“อย่ารู้ดีไปกว่าผมหน่อยเลยน่า ใครบอกคุณว่าผมแกล้งทำ ผมเป็นบ้าจริงๆ เป็นมาหลายวันแล้ว”
มานิตหัวเราะก้าก
“บ้าทำไมถึงรู้ตัวล่ะครับว่าเป็นบ้า”
“แล้วกัน มันรู้ทั้งๆ ที่เป็นบ้าน่ะซี อย่า-อย่ามายุ่งกับผม เวลาผมไม่ใช่กิมหงวน ผมคือฮิตเลอร์ ผู้นำประเทศเยอรมันนี”
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตสั่นศีรษะช้าๆ
“ถามจริงๆ เถอะครับ คุณจะเอาประโยชน์อะไรที่คุณแกล้งทำเป็นบ้า”
กิมหงวนเอ็ดตะโรลั่น
“นั่นมันเรื่องของผม ไม่ใช่เรื่องของคุณ อ้า-คุณนี่ยุ่งจริงแฮะ ดิเรกก็เสือกไม่เข้าเรื่องทะลึ่งไปตามคุณมาทำไมก็ไม่รู้” แล้วกิมหงวนก็ร้องเอ็ดตะโรขึ้นดังๆ “บ้าโว้ย บ้าจริงๆ ไม่ใช่แกล้งทำ”
๔๗
มานิตหัวเราะ
“ยังงั้นขอโทษเถอะครับ ผมนึกว่าคุณแกล้งทำเป็นบ้าเสียอีก”
“ปู้โธ่ มีอย่างหรือครับผมจะแกล้งทำเป็นบ้า รำคาญออกจะตายไป คุณคิดดูสิครับผมเป็นอาเสี่ยกิมหงวนมันแสนที่จะมีความสุข แล้วทำไมผมถึงเป็นฮิตเลอร์ ไม่ใช่เพราะผมเป็นบ้าดอกหรือ คนเราเวลาบ้ามันก็คลุ้มคลั่งไปตามฤทธิ์ของมัน คุณเป็นหมอรักษาคนบ้าคุณน่าจะรู้ดี”
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตพยักหน้าช้าๆ
“แล้วเมื่อไรคุณถึงจะหายเสียที”
กิมหงวนนิ่งคิด
“ผมกะไม่ถูกหรอกครับ บทมันจะหายมันก็หายเอง ขอโทษเถอะครับ เชิญคุณหมอออกไปจากบ้านของผมได้ ผมจะอาละวาดทุบข้าวของเล่นสนุกๆ ตามประสาคนบ้าอย่ามายุ่งเกี่ยวกับผมเลย”
นายแพทย์มานิตยกมือเท้าสะเอวมองดูกิมหงวนอย่างขบขัน
“คุณแน่ใจหรือว่าคุณเป็นบ้า”
“ครับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ทีเดียว”
“ดีแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์และเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิต ผมจะต้องนำตัวคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
กิมหงวนโบกมือ
“อย่า-อย่าพูดกับผม ผมไม่รู้เรื่องหรอกว่าคุณพูดว่ากระไร คุณควรจะเข้าใจบ้างซีว่า ประสาทส่วนสมองของผมใช้การไม่ได้เพราะผมกำลังเป็นบ้า”
“ก็นั่นน่ะซีครับ ผมก็ต้องพาคุณไปโรงพยาบาล”
อาเสี่ยสั่นศีรษะ
“ไม่ไป”
หมอหัวเราะก้าก
“ไหนคุณว่าคุณพูดไม่รู้เรื่องยังไงล่ะ ทำไมคุณตอบคำถามผมถูก”
“เอ๊ะ มันก็มีเผลอตัวบ้างน่ะซี จะเอาเรื่องกับผมหรือพิลึกจริงเชียว”
มานิต “ไปเถอะครับ อย่าร่ำไรเลย”
อาเสี่ยแผดเสียงลั่น
“บอกว่าไม่ไป”
“ถ้าคุณไม่ไป ผมจะเรียกผู้คุมทั้ง ๔ คน ซึ่งเป็นนักยูโดขึ้นมาฉุดคร่าเอาตัวคุณไป” พูดจบนายแพทย์มานิตก็เดินมาที่หน้าต่าง
๔๘
“คุณหมอ” กิมหงวนร้องเรียก
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตหันมาดูเขา
“ว่ายังไงครับ”
กิมหงวนยิ้มแห้งๆ เดินเข้ามายกมือจับแขนหมอมานิต
“แฮะๆ ผมหายแล้วครับ”
“หายแล้ว?” มานิตทวนคำแล้วหัวเราะ “ทำไมถึงหายเร็วนัก คนไข้ที่เป็นโรคจิตจะต้องรักษาพยาบาลกันแรมเดือน”
“ก็ผมเป็นบ้าเมื่อไรเล่า ผมแกล้งทำเป็นบ้าต่างหาก”
“อ้อ…คุณแกล้งทำ”
“ครับ ผมอยากเป็นบ้าก็แกล้งทำเป็นบ้ามันก็ครึ้มๆ ดีเหมือนกัน”
นายแพทย์ซ่อนยิ้มไว้ในหน้า
“ดีแล้วครับ เมื่อคุณเป็นคนดีไม่ชอบ อยากเป็นคนบ้า ผมก็จะช่วยให้คุณได้เป็นบ้าสมความปรารถนา ไปโรงพยาบาลกับผมเดี๋ยวนี้แหละ ผมจะขังคุณไว้รวมกับคนไข้บ้าคลั่งขนาดหนัก ผมรับรองว่าเพียงชั่วโมงเดียวคุณจะต้องเป็นบ้า”
กิมหงวนสะดุ้งโหยง
“ไม่เอาละครับ อ้ายพวกนั้นมันจะได้ฟัดผมตายห่า”
หมอมานิตหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง
“หายเสียทีเถอะครับคุณ ผมขอแนะนำคุณด้วยความหวังดี คนดีๆ ถ้าแกล้งทำเป็นบ้าในที่สุดก็ต้องบ้าจริงๆ”
“ฮ้า? จริงหรือครับ”
นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า
“ถูกแล้วคุณ”
“ว้า-ถ้างั้นผมเลิกละครับ ขอบคุณมากคุณหมอ”
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตนึกปลงอนิจจังกิมหงวน เขาคิดว่ามนุษย์ที่อุตริวิตถารอย่างนี้เห็นจะมีคนเดียวในโลก
ขณะนั้นเสียงแตรไฟฟ้าของรถยนต์คันหนึ่งดังขึ้นที่หน้าตึก นายแพทย์กล่าวกับเสี่ยหงวน
“พรรคพวกของคุณเขากำลังพากันมาเยี่ยมคุณ เลิกเล่นตลกเสียทีนะครับ เขาจะได้ดีใจที่คุณหายป่วยแล้ว ง่า…ผมลาละครับ”
กิมหงวนรีบไหว้นายแพทย์
๔๙
“ครับ เชิญครับ ถ้าผมรู้สึกตัวว่าเป็นบ้าจริงๆ เมื่อไรผมจะโทรศัพท์แจ้งไปให้คุณทราบ เพื่อให้คุณหมอมารับผม”
นายแพทย์หัวเราะให้เขา พาตัวเดินออกไปจากห้อง
ที่หน้าตึก สตู๊ดเก๋งของบ้าน ‘พัชราภรณ์’ จอดอยู่ข้างบันไดหินอ่อน พล, นิกร, เจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ และคุณหญิงวาดพากันลงจากรถ ในเวลาเดียวกันนี้ นวลลออ ดร.ดิเรกและเจ้าแห้วก็เดินออกมาจากห้องโถง
คุณหญิงวาดกล่าวถามดิเรกทันที
“พ่อหงวนเป็นยังไงบ้าง ดิเรก ถึงกับต้องส่งโรงพยาบาลเชียวหรือนี่”
“ครับ ถ้าเป็นมากก็ต้องส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลโรคจิต ขณะนี้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตเพื่อนของผมกำลังตรวจดูอาการเจ้าหงวน”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดกับหลาน
“น่าสงสารมัน ไม่นึกเลยว่าเจ้าหงวนจะเป็นบ้า”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ พูดเสริมขึ้น
“แต่มันคุ้มดีคุ้มร้ายมานานแล้ว ผมเคยคิดอยู่เหมือนกันว่า วันหนึ่งเจ้าหงวนจะต้องวิกลจริต”
นายแพทย์มานิตเดินออกมาจากห้องโถงยิ้มให้ ดร.ดิเรก
“ไง…คุณมานิต”
“ไม่ได้ความ เสียเวลาเปล่าๆ คุณกิมหงวนแกไม่ได้บ้าหรอกครับ แกแกล้งทำเป็นบ้าเล่นสนุกๆ”
ทุกคนตกตะลึง ต่างมองหน้านายแพทย์หนุ่ม
“แกล้งทำดอกหรือคะ” นวลลออถาม
“ครับ”
ใบหน้าของนวลลออที่โศกเศร้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที
“เฮียแกล้งทำเป็นบ้า” หล่อนพูดเปรยๆ “ชะ ชะ ไม่มีอะไรจะเล่นแล้ว ดีละประเดี๋ยวจะแก้บ้าให้สมรักทีเดียว”
ก่อนที่ใครจะพูดอะไร นวลลออก็ผลุนผลันเข้าไปในห้องโถง นิกรมองดู ดร.ดิเรกแล้วพูดต่อ
“หมอ แกเอาเครื่องมือผ่าตัดและยารักษาแผลสดมาหรือเปล่า”
ดิเรกสั่นศีรษะ
“เปล่า”
นิกรว่า “ถ้ายังงั้น ประเดี๋ยวแกช่วยพาเจ้าหงวนไปส่งโรงพยาบาลก็แล้วกัน”
๕๐
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิตร่ำลาคณะพรรค ๔ สหายแล้วเดินไปขึ้นรถของเขา ต่อจากนั้นรถยนต์ของโรงพยาบาลบ้าก็แล่นออกไปจากบ้าน ‘เริงจิตต์’
เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดขึ้น
“ขึ้นไปดูเจ้าหงวนมันหน่อยเถอะพวกเรา ยายนวลคงเล่นงานแย่ ประเดี๋ยวถึงกับหัวร้างข้างแตกจะลำบาก”
ท่านผู้ใหญ่ทั้ง ๓ ต่างพา พล นิกร ดิเรก เข้าไปในห้องโถง ทันใดนั้นทุกคนได้ยินเสียงตึงตังโครมครามดังลงมาจากชั้นบน ในเวลาเดียวกัน ท่านจอมพลพิเศษเกอริงก็วิ่งลงบันไดมาอย่างรีบร้อน
“เร็วครับ รับประทานคุณนวลลออแย่แล้ว อาเสี่ยปิดประตูห้องตีคุณนวลครับ รับประทานขึ้นไปช่วยหน่อย”
พลตวาดแว๊ด
“อย่าพูดเลยโว้ย ฟังลำบาก”
คณะพรรคพากันขึ้นไปชั้นบนของตัวตึก คุณหญิงวาดอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินเสียงกิมหงวนเอ็ดตะโร
“ฉันไม่ใช่ขี้ข้าหล่อน จะได้มาตบตีกันง่ายๆ นี่แน่ะอวดดีนัก เลิกเป็นเลิกซิวะ เถียงเรอะนี่แน่ะ”
นวลลออเสียงขรม
“ว้าย ตายแล้ว ช่วยด้วย เฮียขา…กลัวแล้วค่ะ”
คุณหญิงวาดวิ่งตื๋อมาที่ห้องกิมหงวน ทุกคนวิ่งตามมาด้วย แต่แล้วพอเข้ามาในห้อง เหตุการณ์ก็กลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ
นวลลออนั่งคร่อมอยู่บนหน้าอกอาเสี่ย รัวกำปั้นซ้ายขวาชกหน้ากิมหงวน ปากก็ร้องเรียกให้คนช่วย
“ว้าย ตายแล้ว ช่วยด้วย”
กิมหงวนตะเบ็งเสียงแข่งกับหล่อน
“ทีหลังจะข่มผัวอีกไหม หา?”
นวลลออชกปังเข้าให้ถูกปากครึ่งจมูกครึ่ง
“โอ๊ย-ไม่ข่มค่ะ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ เดินเข้ามายกมือผลักศีรษะนวลลออเต็มแรง
“พอทีซีโว้ย ชกเอาๆ แล้วยังจะร้องให้คนช่วยอีก อ้ายเวรนี่ก็เหลือเกิน จะตายห่าอยู่แล้วยังจะปากแข็ง”
นวลลออลุกขึ้นยืน โผเข้ากอดคุณหญิงวาด
“คุณอาขา” พูดพลางร้องไห้พลาง “เฮียเตะหนูค่ะ”
คุณหญิงวาดผลักนวลลออเซแซ่ดๆ แล้วท่านก็หัวเราะ
“มากไปโว้ย อาเห็นเจ้าชกเขาข้างเดียว”
๕๑
“หรือคะ แหม…ไม่อยากเชียว ขึ้นมาดูทำไมก็ไม่รู้ หนูนึกว่าอยู่ข้างล่าง แกล้งร้องให้ช่วยจนแสบคอ”
คณะพรรค ๔ สหายหัวเราะลั่น พลกับนิกรช่วยกันดึงกิมหงวนให้ลุกขึ้น อาเสี่ยหน้าตาฟกช้ำดำเขียวแทบจะจำไม่ได้ นายพัชราภรณ์ยกมือชี้หน้าเขา
“แกเลวมาก มีอย่างหรือรังแกผู้หญิง”
อาเสี่ยพูดหนักแน่น
“กันน่ะไม่อยากจะทำหรอก แต่มันอดโมโหไม่ได้ เลยตุ้บตั้บเข้าให้”
พลหัวเราะลั่น
“โธ่เอ๊ย ประเดี๋ยวพ่อยุให้คุณนวลตีตายห่าเลย ไป-ไปอาบน้ำอาบท่าเสียที หน้าตาเหมือนหมาฟัด”
นวลลออสะดุ้งโหยง
“ดิฉันฟัดเองค่ะ ไม่ใช่หมาหรอก เจ็บใจนัก อยู่ดีๆ ไม่ว่าดีแกล้งทำเป็นบ้า”
กิมหงวนย่องเข้ามาข้างหลัง ยกมือตีก้นนวลลออเต็มแรง
“นี่แน่ะ ตีเสียหน่อยเถอะ”
ครั้นแล้ว เขาก็วิ่งจู๊ดเข้าไปในห้องน้ำปิดประตูใส่กลอน คณะพรรค ๔ สหายหัวเราะชอบใจไปตามกัน นวลลออสูดปากลั่น ทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งแหย ยกมือลูบคลำก้น คุณหญิงวาดถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ดิฉันคิดว่าไม่ช้าพ่อหงวนแกคงจะบ้าจริงๆ” ท่านพูดกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ “กลับบ้านเถอะค่ะ เสียเวลาเปล่าๆ”
นวลลออพูดขึ้นทันที
“รีบไปไหนล่ะคะคุณอา”
“ไปเล่นไพ่”
นวลลออยิ้มอายๆ
“หนูไปด้วย”
“ไปก็แต่งตัวเข้า ง่า…แม่หลานสาว ขนข้าวของกลับไปอยู่บ้านอาตามเดิมเถอะ อย่าอยู่ที่นี่เลย บ้านนี้ให้เช่าก็แล้วกัน”
“หนูตั้งใจอยู่แล้วค่ะคุณอา อยู่บ้านนี้ไม่เห็นจะมีความสุข หงอยจะตายไป คิดถึงคุณนัน คุณภาและคุณไพ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ ว่า “ก็อาบอกเจ้าแล้วนี่นา เจ้ามันยุ่งไปเอง”
นวลลออจับมือเจ้าคุณทั้งสองคนละข้าง
“คุณอาลงไปคอยหนูข้างล่างก่อนนะคะ หนูขอเวลาแต่งตัว ๕ นาทีเท่านั้น อยากเล่นไพ่ใจจะขาดอยู่แล้ว”
๕๒
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ยกมือขยี้ผมนวลลออด้วยความเอ็นดู แล้วท่านก็พาทุกๆ คนออกไปจากห้องนอนของท่านมหาเศรษฐี

จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น