วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเกลอ ตอน: เจ้าทุยเขาหัก


ท่ามกลางสายฝนพรำ ท้ายวสันต์แห่งเดือนพฤศจิกายน “คาดิลแล็ค” เก๋งคันนั้นแล่นไปตามถนนราชดำริ ด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า ๔๐ ไมล์ต่อชั่วโมง แสงไฟหน้ารถพุ่งสว่างไปไกลและโดยไม่มีการหรี่ให้รถที่สวนทางมา ซึ่งแสดงถึงมารยาทอันเลวทรามของคนขับคือ เจ้าแห้ว โหระพาของเรานั่นเอง
ขณะนี้เป็นเวลา ๑.๐๐ น. เศษ สี่สหายแต่งกายชุดราตรีนั่งหลับอยู่ตอนหลังรถในลักษณะมึนเมา กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมดราวกับโรงต้มกลั่นสุรา เจ้าแห้วนั่งคู่กับท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ ในท่าทางสลึมสลือ
คณะพรรคสี่สหายได้ไปในงานราตรีสโมสรที่สมาคมแห่งหนึ่ง ฝนที่ตกพรำตั้งแต่ ๒๐.๐๐ น. ทำให้คณะพรรคสี่สหายและแขกที่ไปในงานสนุกสนานกันสุดเหวี่ยง เจ้าคุณปัจจนึกฯ กรรมการคนหนึ่งของสมาคมนั้น ถึงกับยอมรับสารภาพว่า คืนนี้ท่านดื่มเหล้ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และได้สนุกสนานกับมิตรสหายเกลอเก่าของท่านอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ท่านเจ้าคุณคนเดียวเท่านั้นที่ยังมีสติดีอยู่
“เฮ้ย…ถนนมันลื่นขับช้าๆ หน่อยเถอะวะ” เจ้าคุณเตือนเจ้าแห้ว
เจ้าแห้วลอบค้อนประหลับประเหลือก เนื่องจากง่วงนอนเต็มทน นั่งแกร่วรอคอยคณะพรรคสี่สหายโดยไม่ได้รับประทานอาหารค่ำ ตั้งแต่ ๑๙.๐๐ น. จนถึง ๑.๐๐ น. ของวันใหม่
แทนที่เจ้าแห้วจะลดความเร็วให้ช้าลง กลับเหยียบคันน้ำมันบังคับรถให้แล่นเร็วขึ้นอีก คราวนี้ท่านเจ้าคุณชักฉิว หันมาทำตาเขียวกับเจ้าแห้ว
“เข้าใจภาษาคนไหมวะ บอกให้ขับช้าๆ”
“รับประทาน ผมหิวข้าวจนลมออกหูแล้วครับ รับประทานต้องรีบไปให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด”
ท่านเจ้าคุณขมวดคิ้วย่น
“หา นี่แกยังไม่ได้กินข้าวหรือ” ท่านกล่าวถามอย่างห่วงใย
“รับประทาน เอาที่ไหนรับประทานล่ะครับ รับประทานพวกเจ้านายสนุกสนานกัน รับประทานผมเป็นขี้ข้าไม่มีใครสนใจ”
นิกรค่อยๆ ลืมตามองดูโลกแล้วกล่าวกับเจ้าแห้วด้วยเสียงงัวเงีย
“ว่ายังไงนะอ้ายแห้ว แกยังไม่ได้กินข้าวหรือ”

นิกรล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งออกมาส่งให้เจ้าแห้วอย่างเห็นใจ
“เอ้า…กินรองท้องเสียหน่อยมีไก่ย่างอยู่ครึ่งตัว”
เจ้าแห้วยิ้มออกมาได้ วางห่อไก่ย่างลงข้างๆ แล้วกล่าวกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ
“รับประทานใต้เท้า ช่วยแก้ห่อให้ผมหน่อยครับ รับประทานผมตาลายลมสว้านขึ้นแล้วครับ” พูดจบก็หันมาทางนายจอมทะเล้น “คุณนิกรครับ รับประทานมีไก่ย่างอย่างเดียวหรือครับ”
นิกรทำตาปริบๆ แล้วล้วงกระเป๋าหยิบห่อกระดาษอีกห่อหนึ่งออกมา
“เอ้า เอาไป”
เจ้าแห้วเอื้อมมือรับ
“รับประทานอะไรครับ”
“หมูหันโว้ย”
“โอ้โฮ รับประทานแจ๋วไปเลยครับ รับประทานน้ำจิ้มมีไหมครับ”
นายจอมทะเล้นกลืนน้ำลายเอื๊อก แล้วล้วงกระเป๋าใบบนของเสื้อราตรี หยิบขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาส่งให้เจ้าแห้ว
“ทีนี้อย่ากวนใจอีกนะโว้ย ข้าจะนอน”
เจ้าแห้วยิ้มแป้น
“รับประทานของหวานไม่มีหรือครับ”
“ว้า” นิกรร้องเอ็ดตะโร “ให้ของคาวแล้วยังจะเอาของหวานอีก” พูดจบก็ล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบลิ้นจี่กระป๋องเล็กออกมาหนึ่งกระป๋องส่งให้เจ้าแห้วอย่างรำคาญใจ “เอาไปโว้ย ทีนี้ถ้าขออะไรอีกละก้อโดนเตะนะ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ กล่าวกับเจ้าแห้วอย่างแดกดันว่า
“หยุดรถรับประทานเสียให้เรียบร้อยเสียก่อนดีไหมครับคุณแห้ว”
เจ้าแห้วยิ้มอายๆ
“รับประทานไม่ต้องหรอกครับ เสียเวลารับประทานคอยช่วยผมหน่อยนะครับ รับประทานผมถือพวงมาลัยมือขวาและรับประทานด้วยมือซ้าย กรุณาเปิดลิ้นจี่ให้ผมด้วยครับ”
“อือ…เอา ข้าเห็นใจเอ็งโว้ย ตั้งดึกดื่นแล้วยังไม่ได้กินข้าวนึกไม่ถึงจริงๆ เอ้า…เอาขาไก่ไปแทะก่อน ข้าบริการเต็มที่ ขับช้าๆหน่อยนะพวกเรายังไม่อยากไปนรก”
เจ้าแห้วฮัมเพลงพลางแทะขาไก่พลาง “คาดิลแล็ค” เก๋งลดความเร็วลงเหลือเพียง ๓๐ ไมล์ ต่อชั่วโมง
ขณะที่รถแล่นผ่านซอยมหาดเล็ก เหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายก็เกิดขึ้น ร่างอันดำตะคุ่มของผู้ชายคนหนึ่งวิ่งปราดออกมาจากริมถนนทางด้านรถราง และล้มตัวลงนอนขวางถนนด้วยเจตนาจะทำลายชีวิตตนเอง
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ร้องสุดเสียง เจ้าแห้วนัยน์ตาเหลือก ทิ้งขาไก่และเหยียบเบรกอย่างรวดเร็วฉับพลัน “คาดิลแล็ค” หยุดกึกเหมือนกับถูกอสูรฉุดไว้ เสียงล้อครูดกับถนนดังลั่น เจ้าแห้วหยุดรถได้ด้วยความชำนาญ รถเก๋งคันงามของอาเสี่ยกิมหงวนลื่นไถลเข้ามาหาชายผู้นั้นและหยุดสนิท โดยล้อหน้าข้างซ้ายห่างคอมนุษย์ผู้เบื่อโลกเพียงครึ่งฟุตเท่านั้นเอง

การหยุดรถอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้สี่สหายกระเด็นลงมาจากที่นั่ง สุมกันอยู่บนพื้นรถอย่างทุลักทุเล ต่างคนต่างร้องเอะอะและพยายามช่วยตัวเองลุกขึ้น เจ้าคุณปัจจนึกฯ กับเจ้าแห้วนั่งเซ่อเหมือนถูกสะกดจิต
“อะไรกันโว้ย” พลถามอย่างเดือดดาล “เกิดอะไรขึ้นวะอ้ายแห้ว”
เจ้าแห้วนั่งนิ่งเฉยไม่กระดุกกระดิก สี่สหายลุกขึ้นนั่งบนเบาะตามเดิมบ่นพึมพำไปตามกัน ดร.ดิเรกชะโงกหน้ามาทางเจ้าแห้ว ยกมือเขย่าศีรษะเจ้าแห้วค่อนข้างแรง
“เฮ้…ว็อท อิส เดอะ แมทเทอร์”
เจ้าแห้วรู้สึกตัวแล้ว เขาถอนหายใจโล่งอกค่อยๆ หันหน้ามาทางเจ้านายของเขา
“ใครก็ไม่ทราบครับ วิ่งออกมาจากข้างถนนลงนอนขวางหน้ารถ รับประทานผมเบรกเต็มเหนี่ยว ม่ายตายแล้วครับ”
เสี่ยหงวนพยักหน้ารับทราบ
“เขาอยากตาย ช่วยเขาหน่อยซีวะอ้ายแห้ว นึกว่าเอาบุญ ขับไปซีทับไปเลย”
เจ้าแห้วทำคอย่น
“รับประทาน ผมอยู่นอกคุกสบายดีแล้วครับ”
ชายผู้นั้นลุกขึ้นยืนเบื้องหน้า “คาดิลแล็ค” เก๋ง ไฟหน้ารถจับร่างของเขาอย่างถนัด การแต่งกายและบุคลิกลักษณะของเขา บอกให้รู้ว่าเขาเป็นชาวชนบท เขาจ้องมองมาที่รถเก๋งคนนี้สักครู่ก็เดินมาทางด้านซ้ายของรถ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างมองดูเจ้าหนุ่มร่างใหญ่พันธุ์ลูกทุ่งเป็นตาเดียว
ในที่สุดพลก็กล่าวถามเขาอย่างเป็นกันเอง
“น้องชาย เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันล่ะ แกถึงต้องการให้รถของเราเป็นมัจจุราชฆ่าแก”
ชายผู้นั้นเค้นหัวเราะ แต่แล้วเขาก็ทำคอขย้อนแล้วอาเจียนโอ้กอ้าก นิกรกล่าวกับเพื่อนเกลอของเราด้วยเสียงหัวเราะ
“ลงอ้วกแตกอย่างนี้ ก็คงดื่มเข้าไปไม่น้อย”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งขบกรามกรอด มองเข้ามาในรถแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักๆ
“โปรดชะโงกหน้าดูพื้นถนนหน่อยซีครับ ผมไม่ได้คายของเก่า แต่ผมรากเลือดด้วยความเจ็บใจ”
พล พัชราภรณ์ เปิดประตูก้าวลงจากรถ นิกรกับเสี่ยหงวนและ ดร.ดิเรกกับท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ ตามลงมาด้วย สี่สหายได้ประสบเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นเช่นนี้ ก็หายมึนเมา เต็มไปด้วยความสนใจกับเจ้าหนุ่มรูปร่างใหญ่
“น้องชาย” อาเสี่ยกิมหงวนพูดยิ้มๆ “ชีวิตย่อมมีค่าและมีความหมายยิ่งกว่าสมบัติพัสถารอันใด อย่าคิดสั้นอย่างนี้เลยเพื่อน ขอให้เลิกล้มความคิดนี้เสียเถิด”
เจ้าหนุ่มผู้นั้นมองดูสี่สหายด้วยความซาบซึ้งใจที่ปรารถนาดีต่อเขา และแล้วเขาก็ยกมือไหว้กิมหงวน
“ขอบคุณครับที่กรุณาเตือนสติผม คุณเอ๋ย แค้นของใครเล่าจักเหมือนแค้นของผม เมื่อเชิงชายถูกหมิ่นถูกหยาม ผมเผ่นมาบางกอก เพราะไม่กล้าฝืนคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อ พูดแล้วผมคันหัวใจเหลือเกิน”

อาเสี่ยกลืนน้ำลายเอื๊อก
“แฮ่ะ แฮ่ะ อ้า…พูดกับพวกเราด้วยภาษาง่ายๆ ที่ไม่ต้องแปลเถอะน้องชาย แกเป็นใครมาจากไหนบอกกันเถอะเพื่อน มีอะไรที่จะให้เราช่วยแกได้บ้าง”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งยิ้มแค่นๆ
“ผมชื่อทุยครับคุณ บ้านผมอยู่นครไชยศรีนี่เอง ผมเป็นกระดูกสันหลังของประเทศคนหนึ่งครับ อ้า…เดี๋ยวนะครับ ขอให้ผมรากเลือดอีกหน่อย” พูดจบเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ก็ทำคอขย้อน แล้วอาเจียนออกมาเป็นโลหิตในราวครึ่งกระโถนปากแตร
นิกรปราดเข้ามายกมือลูบหลัง เจ้าหนุ่มที่มีนามเหมือนกับควาย ทิดทุยหรือนายทุยปัดมือนิกรแล้วเอ็ดระโรลั่น
“ลูบลงซีครับ ปู้โธ่…คุณลูบย้อนขึ้นอย่างนี้ผมก็อ้วกตายห่า”
นิกรหัวเราะหึๆ ก้มลงมองดูโลหิตสดๆ บนพื้นถนน แล้วกล่าวกับทิดทุยเหมือนกับว่าสนิทสนมกันมาแรมปี
“เอาละ เป็นอันว่าพวกเรารู้แล้วว่าแกชื่อทุ้ยอยู่นครไชยศรี”
ทิดทุยขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ทุ้ยน่ะพ่อผมครับ ผมชื่อทุยไม่ใช่ทุ้ย”
นิกรอ้าปากหวอ
“ตายห่า…ขอโทษทีนะน้องชายเล่าเรื่องของแกให้เราฟังหน่อยซี เพราะอะไรด้วยเหตุไฉนหรือเหตุผลกลไดแกถึงคิดฆ่าตัวตายแบบแหวกแนวเช่นนี้”
ทิดทุยหรือเจ้าทุยมีสีหน้าเคร่งเครียดบึ้งตึง
“เรื่องของผมมีทุกรสครับ ตื่นเต้น โลดโผน ลึกลับ บู๊และตลกขบขันพร้อม โอย…ผมจะรากเลือดอีกแล้ว”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดเสริมขึ้น
“แกเคยสาบานกับใครหรือเปล่า”
ทิดทุยไม่ตอบ ยืนทำท่าพะอืดพะอมสักครู่ก็อาเจียนอีก โลหิตเป็นลิ่มๆ ผ่านลำคอเขสาออกมาแล้วเขาก็กล่าวว่า
“เห็นไหมครับ ผมแค้นจนรากเลือด จิวยี่รากเลือดยังน้อยกว่าผมนะครับ โอ๊ย…เลือดในตัวผมจะหมดอยู่แล้ว”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งพูดได้เพียงเท่านี้ ก็เป็นลมสิ้นสติล้มฮวบลงกลางถนน พลกล่าวกับนายแพทย์หนุ่มทันที
“เร็ว…ช่วยเขาหน่อยหมอ รีบนำส่งจุฬาฯ เถอะ ย้อนกลับไปแค่นี้เอง”
ดร.ดิเรก มองดูพลอย่างเคืองๆ

“กันไม่ใช่หมอชนิดที่เอะอะก็ส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก เอาไปรักษาที่บ้านเราดีกว่า กันอยากรู้เรื่องของคนไข้คนนี้ด้วย ลงรากเลือดออกมาตั้งปี๊ปยังงี้ก็หมายความว่า ชายผู้นี้ต้องได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจอย่างแสนสาหัส อ้า…กันเคยเห็นที่อินเดียรายหนึ่ง ราชเลขานุการของท่านมหาราชาจันทรกุมาร เมียมีชู้ หมอนั่นรากเลือดออกมารวม ๕ ปี๊ปพอดี ท่านมหาราชาต้องทรงขอร้องให้ราษฎรของพระองค์ในแคว้นนั้นสละเลือดให้ราชเลขานุการของพระองค์คนละ ๒๐ ซี.ซี. คนแก่คนเฒ่าก็ต้องสละเลือดทำให้ยายแก่ตายไปหลายคน”
พลหัวเราะพลางพูดพลาง
“ช่วยกันหามขึ้นรถเถอะโว้ยพวกเรา นึกว่าเอาบุญเถอะวะ กันสงสัยว่านายคนนี้แกไม่สบาย อย่างน้อยก็ท้องผูกมาหลายวัน” แล้วพลก็ยกฝ่ามือผลักหน้านิกร “โธ่…ยืนหลับอยู่ได้ไอ้เวร”
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างช่วยกันหามนายทุยหรือทิดทุยขึ้นไปบนรถ พล, นิกร, กับ ดร.ดิเรกขึ้นนั่งตอนหลังรถคอยพยาบาลคนเจ็บ เจ้าคุณปัจจนึกฯ กับเสี่ยหงวนขึ้นไปนั่งตอนหน้ารถ เจ้าแห้วจัดแจงสตาร์ทเครื่องยนต์นำ “คาดิลแล็ค” เก๋งออกแล่นต่อไป
ที่บ้าน “พัชราภรณ์”
ทิดทุยพบตัวเองนอนอยู่บนเตียงปฐมพยาบาลภายในห้องทดลองของ ดร.ดิเรก เมื่อเวลาเกือบ ๒.๐๐ น. ท่ามกลางแสงไฟอ้นสว่างจ้า หลังจากนั้นคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ก็ช่วยกันปลอบโยนเขา และซักถามเรื่องราวของทิดทุย
เจ้าหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งที่เขาได้รับความเมตตาจากคณะพรรคสี่สหาย เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความหม่นหมอง แล้วกล่าวว่า
“เรื่องของผมหรือครับ ผมยินดีจะเล่าให้พวกคุณฟัง แต่ว่า…กรุณาบอกผมก่อนเถอะครับว่า พวกคุณคือใครบ้าง ผมจะได้จดจำพระคุณไว้”
เสี่ยหงวนยิ้มให้ทิดทุย
“กันชื่อกิมหงวน ซึ่งใครๆ เขาเรียกกันว่าเสี่ยหงวนหรืออาเสี่ย กันเป็นมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของประเทศไทย นี่…ท่านผู้นี้เป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา”
นิกรพูดต่อทันที
“พระยาปัจจนึกพินาศ นามเดิมชื่ออู๊ด นิสัยใจน้อยตามธรรมดาของผู้ที่แพ้ผม”
“ไม่ต้องอธิบายโว้ย” เจ้าคุณเอ็ดตะโร
นิกรหัวเราะ มองดูหน้าทิดทุยแล้วชี้หน้าอกตัวเอง
“กันชื่อนิกร เป็นผัวลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดง่ายๆ ก็คือว่า ท่านเป็นพ่อตาของกัน คนนี้เป็นหมอและนักวิทยาศาสตร์ชื่อดิเรก เป็นเพื่อนของพวกเราและเป็นเขยใหญ่ของท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ คนนั้นชื่อพลโน่นอ้ายนั้นชื่อแห้วเป็นคนใช้ของพวกเรา”
ทิดทุยมองดูเจ้าคุณปัจจนึกฯ และสี่สหายกับเจ้าแห้วโดยทั่วหน้ากัน นิ่งเงียบไปสักครู่เขาก็กล่าวว่า

“เรื่องของผมมีอยู่ว่า ผมถูกนักเลงหนุ่มลูกบ้านเดียวกันลบเหลี่ยมลูบคมผมครับ มันมาเป็นทหารอยู่ที่บางกอกปีครึ่งครับ พอกลับไปก็ตั้งตัวเป็นนักเลงใหญ่ ผมเองเคยเป็นเจ้าถิ่นมาก่อนครับ แต่แม่ของผมซึ่งแก่ชรามากแล้วได้ขอร้องผมให้เลิกเป็นนักเลง บังคับผมให้สาบานกับพระว่าจะไม่ต่อสู่กับใครหรือทำร้ายใคร”
“แกก็ยอมสาบาน…” ดร.ดิเรกพูดเปรยๆ
“ครับ…น้ำตาแม่ทำให้ผมสงสารเห็นใจแม่ ผมจึงสาบานกับพระว่า ผมจะเป็นพลเมืองดี ผมจะไม่เป็นนักเลงอัธพาล จะไม่สู้รบตบมือกับใครทั้งนั้น ถ้าผมฝืนคำสาบานเมื่อไร ก็ขอให้ผมต้องตายด้วยคมหอกคมดาบหรือมีอันเป็นต้องเสียชีวิตในวันสองวัน คุณครับ อ้ายถมพยายามหาเรื่องประทะกับผมครับหวุดหวิดจะฟาดกับหลายครั้งแล้ว แต่ผมไม่กล้าฝืนคำสาบาน เมื่อผมเลิกเป็นเจ้าถิ่น อ้ายถมก็ขึ้นมาแทนผม สร้างอิทธิพลของมันขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็ตั้งตนเป็นเจ้าถิ่น โอ๊ย…ผมปวดเหลือเกินครับคุณหมอ ปวดที่หัวใจของผม อ้า…ขอกระโถนให้ผมหน่อยครับ ผมจะรากเลือดอีกแล้ว”
นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจหนักๆ
“พยายามกลืนเข้าไปโว้ยอ้ายน้องชาย เราไม่มีเลือดที่จะช่วยแก ถ้าขืนแกรากเลือดออกมาอีก เลือดในกายของแกก็จะหมดไป”
ทิดทุยหรือเจ้าทุยน้ำตาไหลพราก เมื่อน้ำตาเสือเก่าไหลก็หมายความว่าเสือมันแค้นสุดแสนแค้น เจ้าทุยขบกรามกรอด แววตาแข็งกร้าวเหมือนกับผีดิบ
“อ้ายถม… ฮะ ฮะ อ้ายถมกับพรรคพวกของมันฉุดอีโรยของผมไป มันบุกเข้าฉุดกลางวันแสกๆ ต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ผมไปธุระที่อำเภอกลับมารู้ข่าวเข้า ผมก็คว้าดาบจะไปติดตามฆ่าอ้ายถม ผมตั้งใจจะเอาเลือดอ้ายถมล้างตีนผมครับ อย่างที่เรียกว่าพิธีปฐมกรรม”
“โอ้โฮ” อาเสี่ยคราง “แกใจเด็ดอย่างนั้นเชียวหรือน้องชาย”
“ครับ เรื่องฆ่าคนเป็นเรื่องเล็กสำหรับผมครับ แต่ว่า…แม่ผมได้ขอร้องห้ามปรามผม แม่ว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไหนๆ ผมก็สาบานไว้แล้วว่าผมจะเป็นพลเมืองที่ดีก็ไม่ควรจะเป็นพลเมืองเสีย ผมก็ระงับใจได้ในที่สุดผมก็ต้องเผ่นมาบางกอก มาโดยไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร มีเงินทองติดตัวมาเพียงเล็กน้อย ก็ใช้จ่ายไปหมดแล้วครับ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ตั้งใจจะให้รถของพวกคุณทับผม แต่ชะตาผมยังไม่ถึงฆาตผมจึงรอดตายได้ ผมกราบขอบพระคุณครับ เท่าที่พวกคุณได้แสดงความเมตตากรุณาต่อผมอย่างมากมายเช่นนี้”
ภายในห้องปฐมพยาบาลเงียบไปชั่วขณะทิดทุย อดีตดาวร้ายแห่งทุ่งบางกระสา นครไชยศรีเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจเหลือที่จะกล่าว
“ผมเห็นจะต้องฝืนคำสาบานในครั้งนี้” เสือมันกล่าวอย่างเคียดแค้น “ผมจะกลับไปเหยียบทุ่งบางกระสาในราบคาบ อ้ายทุยเสือเก่าจะล้างทุ่งเพื่อล้างแค้นอ้ายถมและพรรคพวกของมันต้องตาย”
นิกรจุ๊ปากแล้วโบกมือห้าม

“เบาหน่อยไอ้น้องชาย อาของกันและเมียๆ ของพวกเรากำลังนอนหลับประเดี๋ยวจะตกใจตื่น เมื่อแกคิดจะล้างทุ่งก็ดีแล้ว กันจะช่วยหาถังน้ำกับไม้กวาดและยาดับกลิ่นให้แก มันสกปรกนักก็ล้างเสียที คนสมัยนี้ไม่มีวัฒนธรรมทุ่งไว้เลอะเทอะแล้วไม่ล้าง”
ทิดทุยอ้าปากหวอ
“ทุ่งนานะครับไม่ใช่ทุ่งพันนั้น”
นิกรยิ้มแห้งๆ
“งั้นเหรอะ กันนึกว่าทุ่งอย่างว่า”
ต่อจากนั้นเจ้าคุณปัจจนึกฯ และสี่สหายก็ช่วยกันปลอบใจทิดทุยให้เลิกอาฆาตพยาบาท กิมหงวนชวนเจ้าหนุ่มลูกทุ่งบางกระสาให้ทำงานกับเขา เขาจะบรรจุทิดทุยเข้าเป็นกรรมกรโรงเลื่อยหรือโรงสีของเขา แต่ทิดทุยปฏิเสธเขาว่าเขาได้ตั้งปณิธานไว้แล้ว เขาจะกลับไปฆ่าศัตรูของเขาให้ได้ แล้วก็จะประกาศตนเป็นเสือร้ายเป็นเจ้าทุ่งเจ้าถิ่นแห่งนครไชยศรี บ้างเกิดเมืองนอนของเขา ทิดทุยเล่าถึงความร้ายกาจของเจ้าถมให้ฟัง เจ้าถมทำให้ชาวทุ่งบางกระสานอนตาไม่หลับ เจ้าถมใช้อำนาจไม่เป็นธรรม อยากได้วัวควายของใครก็ต้อนเอาไปเชือดกินกับพรรคพวกของมัน เจ้าถมทำราวกับว่าบ้างเมืองไม่มีขื่อมีแป ไม่ชอบใจใครก็เตะต่อยซ้อมเสียสะบักสะบอม พระสงฆ์องค์เจ้าไม่ละเว้น เคยไล่ฟันท่านสมภารวัดกระบุงทะลุมาแล้ว กระทำตนเป็นดาวร้ายและดาวไถ ใครไม่ให้เหล้ากินเจ้าถมก็เอะอะอาละวาด บางทีก็ลอบเผาบ้านเสีย ขณะนี้ชาวทุ่งบางกระสาล้วนแต่เกรงกลัวอิทธิพลของเจ้าถมไปตามกัน
ตอนหนึ่งทิดทุยได้กล่าวว่า
“ขณะนี้ข้าวในนากำลังสุกงอม ใกล้จะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วครับ อ้ายถมมันประกาศว่าใครขายข้าวได้เท่าไรต้องให้มัน ๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ก็จะเดือดร้อน ผมคิดแล้วครับ ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าผมจะฝืนคำสาบาน กลับไปฆ่าอ้ายถมให้ได้”
สี่สหายมองดูทิดทุยอย่างเห็นใจ แล้วพลก็กล่าวกับเจ้าหนุ่มลูกทุ่งอย่างกันเองว่า
“เอามันอ้ายน้องชาย แกก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งอย่างให้มันดูถูกเชิงชายของเราได้ มันมีสิบนิ้วมีสองมือสองตีนเหมือนกับแก คำสาบานน่ะไม่มีความหมายอะไรหรอก กันขออวยพรให้แกปราบศัตรูของแกให้สำเร็จในครั้งนี้”
ทิดทุยยกมือไหว้พลอย่างนอบน้อม
“ขอบพระคุณครับ เมื่อพวกคุณให้กำลังผมอย่างนี้ ผมคงฆ่าอ้ายถมได้แน่ๆ อ้า…ผมอยากจะเชิญชวนพวกคุณไปบางกระสาเหลือเกิน เพื่อไปดูผมวางแผนการณ์แก้แค้นอ้ายถม บางทีคุณๆ อาจจะได้เห็นผมประดาบกับอ้ายถม ตัวต่อตัวก็ได้ เสือสองตัวมันอยู่ร่วมถ้ำเดียวกันไม่ได้หรอกครับ เว้นแต่ตัวหนึ่งเป็นตัวเมีย ฮึ่ม…ผมอยากรากเลือดอีกแล้ว”
กิมหงวนรีบกล่าวห้าม
“อย่า…อย่า…น้องชาย เก็บเลือดไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นดีกว่า จำไว้ว่าลูกผู้ชายที่ดีย่อมไม่อ้วกแตกหรือพูดหยาบๆ ว่ารากแตก แกจะอ้วกออกมาเป็นเลือดหรืออ้วกออกมาเป็นข้าว หมูเห็ดเป็ดไก่ ก็มีความหมาย

เหมือนๆ กัน” พูดจบเสี่ยหงวนก็ยิ้มให้เพื่อนเกลอของเขา “ไปเที่ยวบางกระสากันหรือเรา นครไชยศรีแค่นี้เอง”
ทิดทุยพูดเสริมขึ้นทันที
“เชิญซีครับ ผมยินดีต้อนรับพวกคุณอย่างเต็มที่ บริการเหล้ายาปลาปิ้งพร้อม ถ้าคุณชอบยิงนก คุณก็จะได้ยิงนกพิราบป่าที่มากินข้าวในนา นอกจากนี้ยังมีนกกระจาบป่า นกปากซ่อม นกเขา นกกระยาง สารพัด”
“นกตะกรุมมีไหมทิดทุย” นิกรถามเบาๆ
ท่าเจ้าคุณยกเท้าขวาเหวี่ยงลูกแปถูกก้นลูกเขยจอมทะเล้นของท่านดังป้าบ
“นี่แน่ะ ตกตะกรุม”
สี่สหายแล้วเจ้าแห้วต่างหัวร่อขึ้นพร้อมๆ กัน นิกรยกมือลูบคลำก้น ต่อจากนั้นคณะพรรคสี่สหายก็ปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้
ดร.ดิเรกว่า “ลองไปเที่ยวท้องไร่ท้องนากันก็ดีเหมือนกันว่ะ อย่างน้อยก็เป็นการพักผ่อนไปในตัว เราจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของพวกชาวนาที่มีชีวิตอยู่ในท่ามกลางท้องทุ่งอันเวิ้งว้าง คนเหล่านี้แหละคือกระดูกสันหลังของประเทศ และบางทีเราอาจจะได้ชมการต่อสู้ด้วยเพลงดาบระหว่างทิดทุยเพื่อนใหม่ของเรากับเจ้าถมผู้เป็นเจ้าทุ่ง”
เสี่ยหงวนเห็นพ้องด้วย
“เข้าทีโว้ย ไปก็ไป” แล้วเขาก็หันมาทางเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ “แกมีที่พักให้พวกเราหรือน้องชาย”
“มีซีครับ ผมเป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่งที่ทุ่งบางกระสา ผมมีนาถึง ๕๐ ไร่ บ้านผมเป็นเรือนฝากระดานสองหลังแฝดครับ ผมจะจัดเรือนหลังหนึ่งเป็นที่รับรองพวกคุณ”
ดร.ดิเรกยิ้มเล็กน้อย
“แกคงมีตู้เย็น มีโทรภาพ วิทยุและเครื่องกระป๋องไว้ต้อนรับพวกเราไม่ใช่หรือ”
ทิดทุยกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“แฮ่ะ แฮ่ะ พวกเราชาวนาไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้หรอกครับ แต่ผมมีอาหารจำพวกเป็ด ไก่และปลา ตลอดจนผักสดมากมายพอที่จะต้อนรับพวกคุณครับ ขอให้ลองไปเที่ยวบางกระสากันสักครั้งเถอะครับ เหล้าเถื่อนที่บ้านผมคงทำให้พวกคุณติดใจแน่นอน”
เสี่ยหงวนลืมตาโพลง
“มีเหล้ากินด้วยเรอะ ตกลงอ้ายน้องชายไม่ว่าที่ไหนถ้ามีเหล้ากินที่นั้นก็คือสวรรค์ของกัน ว้า…พูดถึงเหล้าชักเปรี้ยวปากแล้วโว้ย เฮ้…อ้าวแห้วหาเหล้ามากินสักก๊งเถอะวะ”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทานดึกแล้วอย่ารับประทานเลยครับ”
อาเสี่ยทำปากหมุบหมิบด่าเจ้าแห้ว แล้วหันมายักคิ้วให้นิกร
“ว่าไงกร ไปเที่ยวทุ่งกันเถอะวะ”
นิกรอมยิ้ม

“เอาซี เรื่องเที่ยวตามทุ่งกันชอบมากบุกไปตามทุ่งแล้วก็นั่งทุ่งตามอัธยาศัย ทุ่งมันกว้างเวิ้งว้างไม่ต้องกลัวใครเห็น”
อาเสี่ยเปลี่ยนสายตามาที่เจ้าคุณปัจจนึกฯ
“ไปด้วยกันนะครับคุณอา พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า พาทิดทุยมุ่งตรงไปยังทุ่งบางกระสา เราจะไปยิงนกเล่น และหาความสุขความเพลิดเพลินในท้องทุ่งเหล่านั้น ตามธรรมดาของคนมีเงินอย่างพวกเรา”
เจ้าคุณว่า “ถ้าเราไปทิดทุยก็จะต้องหมดเปลืองเงินค่ารับรองเราไม่น้อย”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งกล่าวขึ้นทันที
“เรื่องเล็กครับเจ้าคุณ ผมยินดีต้อนรับอย่างเต็มที่เชียวครับ ผมถือว่าเจ้าคุณกับคุณๆ เหล่านี้มีบุญคุณต่อผม เท่าที่ช่วยชีวิตผมไว้ให้รอดตายและกรุณาพาผมมาที่นี่ ไปนะครับ ผมจะได้ตอบแทนพวกคุณๆ อย่างเต็มที่และพวกคุณจะได้เห็นลวดลายของผมที่จะปราบเจ้าถิ่นคืออ้ายถม ผมจะฟันกับมันให้พวกคุณได้ชมเป็นขวัญตา ฝีมือดาบของผมไม่ใช่ย่อยนะครับ เมื่อครั้งผมยังเป็นผู้กว้างขวางเกกมะเหรกเกเร ผมเคยเผชิญกับพวกอ้ายหนุ่มลูกทุ่งด้วยกันมามากต่อมาก ครั้งหนึ่งงานยกช่อฟ้าที่วัดกระบุงทะลุ ผมคนเดียวปะทะกับพวกนักเลงถึง ๔๐ คน”
พลกล่าวขึ้นทันที
“แล้วยังไง อ้ายพวกนั้นถูกแกฆ่าหมด”
“ไม่ทันฆ่าหรอกครับ ผมวิ่งหนีเสียก่อน ไล่กวดกันในทุ่งเกรียวกราวเชียวครับ แต่ผมวิ่งเร็วกว่าอ้ายพวกนั้นผมจึงปลอดภัย”
นิกรเงื้อมือขวาขึ้นจะเขกกบาลทิดทุย แต่ ดร.ดิเรกคว้ามือนายจอมทะเล้นไว้แล้วกล่าวห้าม
“โน”
ทิดทุยยิ้มแห้งๆ
“จริงซีครับคุณหมอ ลงถูกมะเหงกอย่างจังๆ เช่นนี้กบาลผมต้องโนแน่นอน อ้า…เป็นอันว่าพวกคุณจะไปทุ่งบางกระสากับผมแน่นอนนะครับ”
เสี่ยหงวนกล่าวแทนคณะพรรคของเขา
“แน่นอนน้องชาย พรุ่งนี้เช้ากินข้าวเรียบร้อยแล้วพวกเราจะพาแกไปส่งที่ทุ่งบางกระสา และเราจะไปพักอยู่กับแกในราวหนึ่งสัปดาห์”
ทิดทุยแสดงท่าทางดีอกดีใจอย่างยิ่ง
“ผมจะต้อนรับพวกคุณให้เต็มที่เชียวครับ ถ้าอย่างไรผมจะขอร้องพวกคุณคนใดคนหนึ่งให้เป็นกรรมการนะครับ ผมจะท้าฟันกับอ้ายถมตัวต่อตัว”
พลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วกล่าวว่า
“ดึกมากแล้ว หลับนอนกันเสียทีเถิดพวกเรา พรุ่งนี้ก็จะต้องเดินทางกันไปแต่เช้า”
นิกรเห็นพ้องด้วย
“จริงว่ะ กันน่ะง่วงจนนัยน์ตาลืมไม่ขึ้นต้องเอาก้านไม้ขีดค้ำหนังตาไว้ทั้งสองข้างเห็นไหมล่ะ ดูนี่ซี”
๑๐
ทุกคนพากันดูนิกรเป็นตาเดียว เจ้าคุณปัจจนึกฯ เอ็ดตะโรลั่น
“เล่นยังงี้เดี๋ยวตาแหกนะโว้ย เอาก้านไม้ขีดออก”
นิกรหัวเราะหน้าเป็นตามเคย เขาดึงก้านไม้ขีดที่ค้ำหนังตาไว้ออกทั้งสองข้าง พลกล่าวกับทิดทุยด้วยความรักใคร่พอใจว่า
“น้องชาย แกไปนอนพักผ่อนกับเจ้าแห้วนะ พรุ่งนี้พวกเราจะพาแกไปส่งบางกระสา” แล้วเขาก็หันมาทางเจ้าแห้ว “เอ็งจะไปบางกระสากับพวกเราไหมล่ะ หรือขี้เกียจไปจะอยู่บ้านก็ได้”
เจ้าแห้วยิ้มหวานจ๋อย
“โธ่…รับประทาน ขี้ข้าที่ดีต้องติดตามไปรับใช้เจ้านายซีครับ รับประทานเรื่องทุ่งผมชอบครับ”
นิกรว่า “นั่นนะซี พูดถึงทุ่งกันชักปวดท้องทุ่งตะหงิดๆ แล้ว ไปก่อนละโว้ย ขืนร่ำไรเดี๋ยวเสือจะต้องล้างทุ่ง”
นิกรรีบเดินออกไปจากห้องทดลองวิทยาศาสตร์ของนายแพทย์หนุ่มอย่างร้อนรน เจ้าแห้วหัวเราะงอหาย ต่อจากนั้น ท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ ก็กล่าวถามทิดทุยอย่างเป็นงานเป็นการ
“แกบอกพวกเราหน่อยซีทิดทุย หมู่บ้านบางกระสาน่ะมีรถยนต์ไปถึงหรือเปล่า”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งมองดูเจ้าคุณปัจจนึกฯ ด้วยความยำเกรง
“ไปไม่ถึงหรอกครับ บางกระสาอยู่ห่างจากทางหลวงราว ๓ กิโลเมตร เป็นหมู่บ้านกลางทุ่ง แต่ถ้าเก็บเกี่ยวข้าวแล้วรถยนต์วิ่งได้ครับ นายอำเภอเขาขับรถจี๊ปไปเยี่ยมพวกผมทุกปี”
ท่านเจ้าคุณหันมายิ้มกับพล
“เห็นจะต้องไปแท็กซี่ซีนะพวกเรา”
“ครับ ไปแท็กซี่สะดวกดีครับ จ้างเขาไปส่งเราสักสองคัน จะได้บรรทุกข้าวของสัมภาระของเราไปด้วย ผมรู้สึกตื่นเต้นอยากไปเที่ยวบางกระสามากเชียวครับ นานๆ เที่ยวทุ่งกันสักทีคงสนุกดี”
“นั้นน่ะซี อาก็อยากไป เป็นการพักผ่อนการงานไปในตัว”
ดร.ดิเรกกล่าวขึ้นบ้าง
“ผมจะนำยารักษาโรคและเครื่องมือผ่าตัดเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย เพื่อเปิดการรักษาพยาบาลฟรีแก่พวกชาวนาทั้งหลาย”
เสี่ยหงวนยิ้มให้นายแพทย์หนุ่ม
“ดีมากหมอ การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ย่อมเป็นบุญกุศลของแก หมอบางคนหน้าเลือดสิ้นดีไม่ยอมรักษาคนไข้ฟรีๆ บ้างเลย ดึกดื่นเที่ยงคืนถ้าคนจนไปเคาะประตูเรียกให้ไปรักษาคนไข้ คนที่บ้านมักจะโกหกว่าไม่อยู่หรือไม่ก็แนะนำให้ส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลแต่ถ้ามีรถเก๋งไปรับ เขาจะรีบแต่งตัวไปรักษาไข้ทันที”
นายแพทย์หนุ่มทำหน้าชอบกล
“อย่าด่าหมอให้กันฟังหน่อยเลยวะ ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมอาชีพของกัน เรื่องคนเลวน่ะ ไม่ว่าอาชีพไหนก็ต้องมีปนอยู่ด้วย แกเป็นพ่อค้าแกก็คงจะรู้ดีว่า พ่อค้าที่เลวหน้าเลือดเป็นนักฉวยโอกาสก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย จริงไหมล่ะ”
๑๑
อาเสี่ยหัวเราะชอบใจ
“แต่อะไรไม่ร้ายเท่ากับคนที่ออกเงินให้เขากู้ แล้วรีดดอกเบี้ยอย่างทารุณโหดร้าย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ลอบค้อนกิมหงวน
“คุยเรื่องอื่นเถอะวะ อ้า…แยกย้ายไปนอนกันเสียทีก็ดีเหมือนกัน พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า”
การสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ทุกคนพากันออกไปจากห้องทดลองวิทยาศาสตร์
ตอนสายวันรุ่งขึ้น
เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษ รถแท็กซี่สองคันได้แล่นมาหยุดริมทางหลวงในเขตท้องที่อำเภอนครไชยศรีแห่งหนึ่ง ซึ่งสองฟากทางมีท้องทุ่งนาอันเวิ้งว้าง แลเห็นต้นข้าวแตกรวงเหลืองอร่ามไปทั่ว
ทิดทุยกับ พล, นิกร, กิมหงวน นั่งอยู่รถคันหน้า เจ้าคุณปัจจนึกฯ ดร.ดิเรกและเจ้าแห้วนั่งอยู่รถคันหลัง ทุกคนพากันลงจากรถ เสี่ยหงวนจัดการชำระเงินค่าโดยสารเรียบร้อย เจ้าคุณปัจจนึกฯ พา ดร.ดิเรกกับเจ้าแห้วเข้ามารวมกลุ่มกับสามสหาย ต่างคนต่างหอบข้าวของพะรุงพะรัง นอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าแล้ว ยังมีปืนลูกซอง, เป็ดตกปลาอันทันสมัย กล้องถ่ายรูป กระเป๋ายาเครื่องเวชภัณฑ์
รถแท็กซี่ทั้งสองคันได้กลับรถบนถนน และแล่นย้อนกลับไปกรุงเทพฯ คณะพรรคสี่สหายต่างพากันมองไปทางท้องนา ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรงกล้า พลก็กล่าวถามทิดทุยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา
“แถวนี้อยู่ในเขตหมู่บ้านบางกระสาใช่ไหม”
ทิดทุยยิ้มให้เขา
“ไม่ใช่ครับ หมู่บ้านบางกระสาอยู่กลางทุ่งครับ คุณมองดูซีครับ แลเห็นต้นไม้ลิบๆ ในระหว่างต้นตาลห้าหกต้น”
ทุกคนมองตามสายตาทิดทุย นิกรขาอ่อนทำท่าเหมือนกับจะเป็นลม
“โอ๊ย ไม่ไหวละโว้ยทิดทุย ไม่ใช่ใกล้เลย กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องหยุดสูบน่องหลายครั้ง”
ทิดทุยหัวเราะเบาๆ
“ใกล้แค่นี้เองครับ เดินไปตามคันนาอย่างมากชั่วโมงเดียวก็ถึง”
อาเสี่ยว่า “กันเห็นจะไม่รับประทานแล้ว แดดร้อนอย่างนี้ กันเดินไปได้เพียงกิโลเมตรเดียวก็เป็นลมแล้ว”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งซ่อนยิ้มไว้ในหน้า
“ผมสังเกตดูรู้สึกว่า อาเสี่ยไม่ใช่คนอ่อนแอเลยครับ”
คราวนี้กิมหงวนยืดหน้าอกขึ้นในท่าเบ่งวางท่าทางให้ทิดทุยเห็นว่าเขาเป็นคนเข้มแข็ง
“กันพูดเล่นน่ะทุย กันเคยเดินไกลๆ มาแล้ว”
ทิดทุยหันมาทางนิกร
“ท่าทางของคุณก็แข็งแรงดีนี่ครับ”
นิกรฝืนหัวเราะ
๑๒
“ยอคนอื่นแกอาจจะยอสำเร็จ แต่สำหรับกันยอไม่ขึ้นแน่”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดตัดบท
“อย่ามัวพูดพล่ามทำเพลงอยู่เลยวะ ไหนๆ เรามาถึงนี่แล้วก็ต้องพยายามไปให้ถึงหมู่บ้านบางกระสา ไปโว้ยทิดทุยนำทางซี”
ครั้นแล้วเจ้าหนุ่มลูกทุ่งผู้มีความแค้นฝังแน่นอยู่ในหัวใจถึงกับรากเลือดด้วยความแค้นตั้งหลายครั้ง ก็เดินนำหน้าพาคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วลงไปจากทางหลวงสู่คันนาอันยาวเหยียด คนเคี้ยวไปมาท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรงกล้า
ในตอนแรกทุกคนก็สัพยอกสรวลเสเฮฮากัน แต่เมื่อเดินไปได้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร คณะพรรคสี่สหายรู้สึกร้อนและอ่อนเพลียจนแทบจะทนไม่ไหว เสี่ยหงวนเริ่มบ่นกระปอดกระแปดตะโกนเรียกทิดทุยอย่างโมโห
“ทุยโว้ย ปู้โธ่…เดินช้าๆ หน่อยซี ไม่รู้ว่าจะรีบจ้ำไปไหนกัน”
ทิดทุยหยุดชะงัก หมุนตัวกลับเดินเข้ามาหาคณะพรรคสี่สหาย
“เหนื่อยหรือครับอาเสี่ย”
กิมหงวนค้อนขวับ
“ก็เหนื่อยน่ะซี ที่หมู่บ้านของแกมีร้านเครื่องดื่มหรือเปล่า”
ทิดทุยหัวเราะ
“ไม่มีหรอกครับ แต่ผมมีมะพร้าวที่ต้อนรับอาเสี่ยและคุณๆ เหล่านี้”
นิกรถามขึ้นว่า “ไอศครีมอย่างราชวงศ์มีบ้างไหม”
ทิดทุยกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ในชีวิตของพวกผม ไม่เคยมีใครกินไอศครีมหรอกครับ”
คณะพรรคสี่สหายออกเดินทางต่อไป พวกชาวนาที่ทำงานอยู่ในฝืนนาของเขาต่างพากันมองดูทิดทุยและชาวกรุงเทพฯ ไปตามกัน ชายหนุ่มปากเปราะคนหนึ่งร้องตะโกนถามทิดทุยด้วยเสียงอันดัง
“อ้ายทิด…อ้ายทิดโว้ย แกพาพวกยี่เกบางกอกมาเล่นงานอะไรวะ”
ทิดทุยไม่ตอบ นึกด่าเพื่อนชาวนาของเขาที่เข้าใจผิดว่าคณะพรรคสี่สหายเป็นคณะนาฎดนตรี นิกรแกล้งร้องยี่เกขึ้นด้วยเสียงอันดัง
เราเป็นยี่เกบางกอก
มาเล่นงานบ้านนอกเราแสนจะดีใจ
คืนวันนี้จะเล่นจันทะโครบ
ตั้งแต่ต้นจนจบเล่นอย่างทันสมัย
เปิดผอบพบโมราแม่หน้ามน
เมื่อโจรป่าได้ยลเลยรบกันใหญ่
จันทะโครบเสียท่าถูกฆ่าบรรลัย…
๑๓
ทิดทุยวิ่งจู๊ดเข้ามาหานิกรด้วยความตื่นเต้น
“โอ…คุณเป็นยี่เกหรือครับนี่”
นิกรอมยิ้ม
“นี่แหละลูกนายพักตร์ละ แกเคยได้ยินชื่อนายพักตร์ไหมล่ะ ยอดยี่เกของเมืองไทย”
นิกรร้องยี่เกอีก
มาเอ๋ยมาถึง
ยังซึ่งบางกระสาเป็นทุ่งใหญ่
กระดิ่งทองเห็นทุ่งอยากจะทุ่งตะหงิดๆ
“เฮ้ย” พลเอ็ดตะโรลั่น “ลำบากนักก็อย่างร้องเลยวะ”
ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน ทิดทุยพาคณะพรรคสี่สหายออกเดินทางต่อไป มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านบางกระสา ซึ่งในตอนแรกเห็นทิวไม้ลิบๆ บัดนี้ใกล้เข้ามาตามลำดับ พวกชาวนาหลายคนต่างตะโกนเรียกทิดทุย พอใกล้จะถึงหมู่บ้านเจ้าหนุ่มชาวนาคนหนึ่งซึ่งเป็นพรรคพวกของเจ้าถมผู้เป็นเจ้าถิ่นบางกระสาก็ร้องตะโกนขึ้น
“ชะช้า อ้ายทุย มึงพานักเลงบางกอกมาโค่นพี่ถมหรือโว้ย มึงจะให้นักเลงต่างถิ่นมาลบเหลี่ยมลูบคมลูกบางกระสาหรือยังไงวะ เฮ้ย…อ้ายพวกบางกอก ๖ คนนั่นน่ะ ถ้ายังไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่ ก็รีบกลับไปเสียเถอะเว้ย เอ้อเฮอนักเลงแก่พุงพลุ้ยคนนั้นน่ะ ทำไมหัวล้านเหน่งกบาลแดงแจ๋ยังงั้นโว้ย”
กิมหงวนมองไปทางเจ้าหนุ่มบ้านนอก ซึ่งกำลังยืนอยู่บนหัวคันนาทางขวามือ แล้วอาเสี่ยก็ตะโกนตอบ
“หัวล้านก็ล้านพระยาโว้ย ถึงเหม็นเขียวก็เหม็นเขียวอย่างสง่า ฮา…”
นิกรร้องตะโกนไปบ้าง
“หัวล้านก็ไม่หนักกบาลใครเว้ย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ยกมือเขกศีรษะนายจอมทะเล้นค่อนข้างแรง
“พอแล้ว ไม่ต้องไปโต้ตอบกับเขา แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร พวกเรามาเที่ยวบางกระสาในฐานะนักสังเกตการณ์ ไม่ได้มาช่วยทิดทุยทำศึกกับเจ้าถมนักเลงใหญ่ ใครเขาจะว่ายังไงก็เฉยเสีย”
กิมหงวนแกล้งทำเป็นโกรธ
“เฉยยังไงครับ มันดูถูกคุณอานี่นา ดูถูกผม ผมทนได้ แต่มันดูถูกคุณอา ผมทนฟังไม่ได้ ยิงมันทิ้งเสียดีไหมครับ ผมจัดการเอง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ โบกมือห้าม
“อย่า อย่า อ้ายหงวน”
เจ้าหมอนั่นซึ่งเป็นพรรคพวกของเจ้าถม ถือดาบเดินบุกกอข้าวตรงเข้ามาหาทิดทุยกับคณะพรรคสี่สหายในท่าทางคุกคาม ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชายฉกรรจ์อีกสี่คนซึ่งเป็นพรรคพวกของเจ้าถมก็วิ่งออกมาตามคันนา ทุกคนถือดาบเป็นอาวุธ แต่ละคนมีใบหน้าเหี้ยมเกรียมลักษณะท่าทางบอกว่าเป็นนักเลงเต็มตัว
๑๔
เจ้าทุยกับสี่สหายหยุดชะงักและรวมกลุ่มกัน พรรคพวกเจ้าถมกระจายกำลังห้อมล้อม แล้วคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหยุดเผชิญหน้าทิดทุย
“หมายความว่ายังไงวะอ้ายทุย ที่มึงพานักเลงบางกอกมาเล่นงานพวกเรา อย่าลืมว่าบางกระสาสำหรับชาวบางกระสานะโว้ย จะชั่วจะดีมึงกับพวกกูและพี่ถมก็เหมือนกับพี่น้องกัน”
ทิดทุยเค้นหัวเราะ
“อ้ายผัน มึงอย่าเข้าใจผิด ที่กูพูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่ากูกลัวมึง ความจริงมีอยู่ว่า คุณๆ เหล่านี้ต้องการมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น มึงดูหน้าเสียก่อนซีโว้ย หน้าตาอย่างงี้เป็นนักเลงมีหรือวะ ล้วนแต่ท่านผู้ดีมีเงินทั้งนั้น คุณลุงหัวล้านนั่นน่ะ เป็นพระยาโว้ย ไม่ใช่คนต่ำๆ มึงน่าจะรู้ว่า คนหัวล้านแบบนี้ล้วนแต่คนมีบุญวาสนาทั้งนั้น ไม่ใช่ล้านง่ามถ่อแบบอีแร้งกระพือปีก”
พวกลูกทุ่งสมุนของเจ้าถม ต่างพากันมองดูเจ้าคุณปัจจนึกฯ เป็นตาเดียว ท่านเจ้าคุณวางท่าทางให้ผึ่งผาย เสี่ยหงวนยกมือขวาตบพุงกระทิเจ้าคุณปัจจนึกฯ เบาๆ แล้วกล่าวกับพรรคพวกของเจ้าถมว่า
“เฮ้ย…อ้ายน้องชาย ท่านผู้นี้เป็นนายทหารนอกราชการมียศเป็นพลโท มีราชทินนามว่าพระยาปัจจนึกพินาศ นามจริงว่านายอู๊ด ศิริสวัสดิ์ เป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกเรา อ้า…พวกเราไม่ใช่ผู้กว้างขวางหรือนักเลงอันธพาลหรอกเพื่อน เรามาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจกันเท่านั้น ใครจะฆ่ากันตาย จะตีกันหรือกัดกันไม่ใช่เรื่องของพวกเรา”
ทิดทุยร้องตวาดพรรคพวกของเจ้าถมทันที
“หลีกไป หลีกทางเดี๋ยวนี้ มึงไปบอกอ้ายถมเถอะว่ากูจะเริ่มต้นเป็นเสือร้ายแห่งทุ่งบางกระสานี้ กูจะไม่เกรงกลัวอิทธิพลอ้ายถมอีกแล้ว ถ้าอ้ายถมรักสงบก็ส่งอีโรยกลับคืนมา และอย่าได้ก่อกวนทำลายความสงบสุขของกูอีกเป็นอันขาด สำหรับพวกมึงซึ่งเป็นลูกน้องของอ้ายถม กูไม่ปรารถนาสู้รบตบมือด้วย มือมันคนละชั้นโว้ย”
เจ้าพวกนั้นเห็นทิดทุยคึกคักเข้มแข็งก็เสียขวัญ ทุกคนรู้ดีว่าทิดทุยเคยเป็นเจ้าถิ่นมาแต่ก่อน ที่ไม่สู้กับเจ้าถมผู้ตั้งตัวเป็นใหญ่ในถิ่นนี้ ก็เพราะทิดทุยได้ให้สัตย์สาบานไว้กับแม่ แต่บัดนี้ทิดทุยคงจะฝืนคำสาบานแล้ว ดังนั้นพรรคพวกของเจ้าถมจึงหลีกทางให้โดยดี
ในที่สุด ทิดทุยก็พาคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ เข้ามาในหมู่บ้านบางกระสา ซึ่งหมู่บ้านที่กล่าวนี้ตั้งอยู่กลางนามีต้นไม้และกอไผ่ปกคลุมหนาแน่น มีบ้านเล็กเรือนน้อยประมาณ ๓๐ หลังคาเรือน ชาวบ้านบางกระสาล้วนแต่มีอาชีพด้วยการทำงานและส่วนมากรักความสงบ
พวกชาวนาทั้งหลายต่างพากันมองดูพวกชาวกรุงเทพฯ อย่างแปลกใจ ทิดทุยพาคณะพรรคสี่สหายตรงไปยังบ้านพักของเขา ซึ่งเป็นเรือนฝากระดานขนาดกลางสองหลังแฝด มีนอกชานแล่นถึงกันหลังคามุงกระเบื้องแผ่นเล็กๆ แสดงให้เห็นว่าทิดทุยมีฐานะมีอันจะกินคนหนึ่ง
เมื่อขึ้นมาบนเรือน หญิงชราคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาหาทิดทุยและคณะพรรคสี่สหายในท่าทางตื่นๆ และขลาดกลัว หญิงชราผู้นี้ชื่อแย้ม ซึ่งใครๆ เรียกแกว่าป้าแย้มเป็นแม่บังเกิดเกล้าของทิดทุย
“อ้ายทุย เอ็งหายไปไหนตั้งสามวัน ไปยังไงมายังไงกันลูก”
๑๕
ทิดทุยยิ้มให้แม่ของเขา
“ข้ากลุ้มใจก็เลยไปเที่ยวบางกอก อ้า…แม่รู้จักกับเจ้านายของข้าหน่อยซี ท่านผู้นี้คือเจ้าคุณปัจจนึกฯ นั่นคุณพล, คุณนิกร, อาเสี่ยกิมหงวน นั่นคุณหมอดิเรก จะมาเปิดการรักษาโรคฟรีที่นี่ คนนั้นชื่อนายแห้วเป็นคนใช้ของพวกเจ้านายเหล่านี้ แม่คงไม่รังเกียจที่เจ้านายของข้าจะมาพักอยู่กับเรา”
หญิงชราเต็มไปด้วยความเคารพเกรงกลัวคณะพรรคสี่สหาย ป้าแย้มยกมือไหว้อย่างพินอบพิเทาแล้วกล่าวว่า
“อิฉันไม่รังเกียจเลยเจ้าค่ะ เชิญพักผ่อนตามสบายเถอะนะคะ อิฉันกับอ้ายทุยจะต้อนรับอย่างเต็มที่”
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต่างไหว้หญิงชรา และกล่าวทักทายป้าแย้มอย่างกันเอง ทิดทุยรับกระเป๋าเสื้อผ้ากับปืนลูกซองกล้องถ่ายรูปและภาระอื่นๆของสี่สหายเอาไปไว้ที่เรือนด้านตะวันตก ต่อจากนั้นทุกคนก็นั่งรวมกลุ่มสนทนากันอยู่บนระเบียงเรือนด้านตะวันออก คนของป้าแย้มซึ่งเป็นเด็กหญิงในวัย ๑๒ ขวบ รีบหาน้ำมาให้ดื่มโดยทั่วหน้ากัน ทิดทุยกับเจ้าแห้วจัดข้าวของอยู่ในห้องสักครู่ ก็กลับออกมาเดินผ่านนอกชานเรือนตรงเข้ามาหาคณะพรรคสี่สหายซึ่งกำลังไต่ถามทุกข์สุขของป้าแย้มด้วยการพูดอย่างสนิทสนม
“แม่” ทิดทุยร้องเรียกหญิงชรา “แม่จะโกรธเคืองข้าอย่างไรก็ตามเถิด ข้าเสียใจที่จะบอกแม่ว่าคำสาบานที่ข้าให้ไว้กับแม่นั้นข้าต้องขอถอน”
ป้าแย้มใจหาย ใบหน้าซีดเผือด แกมองดูลูกชายสุดที่รักคนเดียวของแกด้วยความรักและเป็นห่วง
“อ้ายทุย ทำไมเอ็งคิดอย่างนี้ คนที่ฝืนคำสาบานน่ะแย่นะลูกนะ”
ทิดทุยหัวเราะ
“อาเสี่ยกิมหงวนแกบอกฉันว่า สัจจะสมัยนี้ไม่มีเสียแล้ว คนเราสาบานแล้วสบัดได้ คำสาบานมีความหมายสำหรับคนโง่เท่านั้น”
หญิงชรายกมือขวาทาบอก
“อนิจจังทุกขัง…ทำไมถึงพูดอย่างนี้ล่ะลูก เชื่อแม่เถอะอ้ายทุยเอ๋ย ไหนๆ เจ้าก็กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีแล้ว อย่าไปคิดสู้รบตบมือกับคนชั่วอย่างอ้ายถมเลย คนอย่างอ้ายถมมันก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก มันต้องตายด้วยคมหอกคมดาบ หรือถูกเจ้าพนักงานเขายิงตายในไม่ช้า”
อ้ายทุยยิ้มแค่นๆ
“อ้ายถมมันอยู่หรือเปล่าแม่”
หญิงชราพาซื่อบอกตามตรง
“อยู่ แม่ไปธุระบ้านทิดฟองเพิ่งกลับมาเมื่อครู่นี้เอง ผ่านหน้าบ้านอ้ายถมแลเห็นอ้ายถมกำลังวิดบ่อจับปลา เอ็งอย่าไปยุ่งกับมันเลยวะอ้ายทุย”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งหัวเราะ
“แม่ไม่อยากให้ข้ายุ่งกับอ้ายถม ก็ช่วยไปพูดกับมันทีว่า มันเอาอีโรยไปกักขังไว้ที่ไหน ถ้าอ้ายถมรักสงบและจะเป็นมิตรกับข้าก็ส่งอีโรยมาให้ข้าเสียโดยดี ม่ายก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”
๑๖
ป้าแย้มทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
“โธ่…อีโรยน่ะป่านนี้มันคงจะยับเยินไปแล้วอ้ายทุยเอ๋ย เอ็งอย่าไปนึกถึงมันเลย”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ขบกรามกรอด
“ข้าไม่ได้ขอให้แม่วิจารณ์ในเรื่องนี้ เร็วไปหาอ้ายถมและเจรจากับมันเดี๋ยวนี้ แม่ที่ดีต้องทำตามคำสั่งลูกเข้าใจไหม”
“หนอยแน่” นิกรร้องลั่น “มันจะหนักไปละโว้ย ทุย แม่น่ะคือพระของเรานะเพื่อน เราต้องเคารพสักการะเทินทูนแม่ไว้เหนือหัวเข้าใจไหม”
ป้าแย้มร้องไห้สะอึกสะอื้น กล่าวกับลูกชายของแกด้วยเสียงสั่นเครือ
“เอ็งก็รู้อยู่แล้วว่า อ้ายถมเป็นคนพาลมีสันดานชั่ว เอ็งจะให้ข้าไปเจรจากับมัน ถ้าเผื่อมันตบตีข้าล่ะ ข้ามิเจ็บตัวหรือ”
ทิดทุยเบิกตากว้าง
“ถ้ามันทำกับแม่อย่างนั้น ข้าจะฆ่ามันให้หมดทั้งโคตร ลูกหลานของมันแม้แต่หัวเท่ากำปั้นก็จะไม่เอาไว้ ไปซีแม่ อย่าขัดคำสั่งข้านะจะบอกให้”
ป้าแย้มสั่นศีรษะ
“ข้าไม่ไปหรอก ข้ากลัวมัน”
ทิดทุยผุดลุกขึ้นยืน เขาเดินเข้าไปในห้องอย่างร้อนรน สักครู่ก็กลับออกมาพร้อมด้วยดาบคู่มือของเขา
“แม่กลัวอ้ายถม ข้าจะไปพบกับมันเอง”
ป้าแย้มร้องไห้โฮ หันมาทางคณะพรรคสี่สหายแล้วกล่าวว่า
“เจ้านายขา ช่วยคัดค้านห้ามปราบอ้ายทุยหน่อยเถอะค่ะ อิฉันห้ามปรามมันไม่ได้แล้ว ขืนบุกเข้าไปหาอ้ายถมที่บ้าน อ้ายทุยก็คงถูกฆ่าตายหรือม่ายก็เจ็บตัวกลับมา อ้ายถมมันกำลังคนองมือค่ะ ฆ่าคนตายมาหลายคนแล้วบางทีก็ฟันหัวคนเล่นทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้ากำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน”
พลมองหญิงชราด้วยความสงสาร
“ปล่อยเขาเถอะป้า ปล่อยให้ทุยไปเจรจากับเจ้าถมเถอะ พวกเราได้รู้เรื่องของทุยก็รู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อย เขาถูกลบเหลี่ยมลูบคมมากมาย ฉันเชื่อว่าลูกชายของป้าก็หนึ่งไม่มีสองเหมือนกัน”
เจ้าทุยยิ้มออกมาได้
“ผมสู้เสมอตายเท่านั้นแหละครับ กลับมาบางกระสาครั้งนี้ ตั้งใจจะหลั่งเลือดตะวันรอนฟันกับอ้ายถมตอบพลบค่ำวันนี้ แต่อดใจไม่ไหว ผมจำต้องหลั่งเลือดตะวันเที่ยง”
นิกรสนับสนุนเต็มที่
“เอาเลยน้องชาย ตัดหัวอ้ายถมเอามาให้กันดูด้วยนะ” พูดจบนิกรก็สะดุ้งโหยง “พูดเล่นนะโว้ย อย่าเอามาจริงๆ ล่ะกลัวตายห่า”
เจ้าทุยมองดูนายแพทย์หนุ่มแล้วกล่าวว่า
๑๗
“คุณหมอกรุณาเตรียมยาใส่แผลสดไว้ด้วยนะครับ อีกสักครู่ผมจะกลับมา อย่างไรผมก็ต้องมีบาดแผลบ้าง”
พลพูดเสริมขึ้น
“พวกเราอยากจะตามไปดูด้วย”
ทิดทุยนิ่งคิด
“อย่าเลยครับ อ้ายถมมันจะเข้าใจผิดคิดว่าผมพาพวกเจ้านายไปกลุ้มรุมเล่นงานมัน พักผ่อนกันอยู่ที่บ้านผมเถอะครับ ผมรับรองว่าฝีมือดาบของอ้ายถมสู้ผมไม่ได้แน่”
ครั้นแล้ว ด้วยอารมณ์อันวู่วามของเสือร้ายที่เคยเป็นเจ้าถิ่นมาแต่ก่อน ทิดทุยรีบลงไปจากเรือนทันที เจ้าแห้วลุกขึ้นกล่าวกับสี่สหายอย่างร้อนรน
“รับประทานผมเป็นห่วงทุยมาก รับประทานต้องคอยไปช่วยเหลือ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ เห็นพ้องด้วย
“ดีแล้ว รีบไปเถอะ”
เจ้าแห้วทำท่าลังเล แล้วทรุดตัวลงนั่งพับเพียบตามเดิม
“อ้าว” ดร.ดิเรกอุทาน “ทำไมไม่ไปล่ะ”
เจ้าแห้วยิ้มแห้งๆ
“ผมลืมหลวงพ่อไว้ที่บ้านครับ รับประทานไม่มีพระใจมันเสียครับ”
พลขยับมือเหมือนกับจะชกหรือตบหน้าเจ้าแห้ว แต่เจ้าแห้วรีบถอยออกไปเสียก่อน และถอยอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ต่อจากนั้นคณะพรรคสี่สหายก็สนทนาปราศัยกับป้าแย้ม ด้วยการยกย่องป้าแย้มเหมือนกับญาติผู้ใหญ่ของตน ดิเรกต่างปลอบโยนป้าแย้มไม่ให้เป็นห่วงลูกชายจนเกินไป ดร.ดิเรกชี้แจงว่าถ้าทุยไม่มั่นใจในฝีมือของตนก็คงไม่กล้าบุกไปหาเจ้าถมตามลำพัง
เวลาผ่านพ้นไปตามลำดับ ใน ๑๐ นาทีนั้นเองชายชราคนหนึ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนเรือนของป้าแย้มในท่าทีร้อนรน
“พี่แย้ม พี่แย้มโว้ย”
ป้าแย้มหน้าตื่น
“ว่ายังไงทิดฟอง”
ทิดฟองกลืนน้ำลายติดๆ กันหลายครั้ง
“อ้ายทุยเขาหักเสียแล้ว”
“หา” ป้าแย้มอุทานเสียงลั่น “มันเป็นยังไงทิดฟองบอกข้าซิ”
“มันฟันกับอ้ายถมตัวต่อตัวในเขตบ้านอ้ายถม สู้กันได้สักพักหนึ่งอ้ายทุยเสียท่าถูกฟันล้มลงไป ดาบหลุดมือกระเด็นจากมือ อ้ายถมปราดเข้าฟันซ้ำ อ้ายทุยยกแขนขวาขึ้นรับเลยถูกฟันแขนขวาขาดกระเด็น”
หญิงชราหวีดร้องสุดเสียง
“โธ่…ลูกของแม่…”
๑๘
ชายชราผู้มีนามว่าทิดฟองรีบผลุนผลันลงไปจากเรือน หลังจากนั้นสักครู่ทิดฟองก็ประคองเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ลูกชายคนเดียวของป้าแย้มขึ้นมาบนเรือน มือขวาของทิดทุยขาดไปแล้วนับตั้งแต่ข้อมือลงไป มือซ้ายถือมือของเขาที่ถูกศัตรูฟันขาด ใบหน้าของทิดทุยเคร่งเครียด เขาขบกรามกรอดแสดงความเจ็บปวดรวดร้าวจากพิษบาดแผล ป้าแย้มแลเห็นลูกชายแขนขาดก็ร้องไห้โฮ
ทิดทุยตรงเข้ามาหาคณะพรรคสี่สหาย แล้วทิดทุยก็ยืนมือของเขาลงมาบนตักนิกร
“เอ้า ผมให้คุณไว้ดูเป็นที่ระลึก”
นิกรอกสั่นขวัญแขวนร้องวี๊ดสุดเสียง ไม่ผิดอะไรกับผู้หญิงสาวที่ถูกโยนจิ้งจกใส่ เขาลุกขึ้นเผ่นหนีไปพ้นจากมือนั้น ดร.ดิเรกเอื้อมมือตะครุบมือขวาของทิดทุยขึ้นมาพิจารณาดู ทุกคนทำหน้าเบ้ไปตามกัน
“หมอ” เสี่ยหงวนพูดเสียงสั่นทำท่าเหมือนกับจะเป็นลม “แกช่วยต่อมือให้ทิดทุยหน่อยซิ”
นายแพทย์หนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อก แต่แล้วก็ตอบอาเสี่ยอย่างไว้เหลี่ยมนายแพทย์ชั้นดี
“ต่อไม่ได้หรอกหงวน กระดูกข้อมือมันขาดเสียแล้ว แต่ทิดทุยถูกฟันคอขาดถือเอาคอมาให้กัน กันก็อาจจะต่อได้โดยไม่ยากลำบากอะไรนัก”
ลุงฟองหรือทิดฟองประคองให้ทิดทุยให้นั่งลงบนระเบียงเรือน ข้อมือข้างขวาของทิดทุยมีโลหิตสีแดงเข้มไหลชุ่มโชก เขาเลื่อนตัวเข้ามาหา ดร.ดิเรกแล้วกล่าวกับนายแพทย์หนุ่มอย่างยิ้มแย้มว่า
“ช่วยใส่ยาให้ผมหน่อยเถอะครับคุณหมอ มือขาดเรื่องเล็กครับ อย่างน้อยผมก็ยังมีมือซ้ายอีกข้างหนึ่งพอที่จะใช้เหนี่ยวไกปืนคอลท์ตราควายยิงอ้ายถมได้ วันนี้เป็นทีของมัน วันหน้ายังมีอีก ฮ่ะ ฮ่ะ”
ดร.ดิเรกทำตาปริบๆ
“แกคงจะปวดมากซีนะทุย”
เจ้าหนุ่มลูกทุ่งเค้นหัวเราะเสียงปร่า
“อย่าถามเลยครับคุณหมอ มันปวดจนบอกไม่ถูกเชียวครับ”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“แกอดทนผิดมนุษย์ ทุย แกไม่ได้ร้องครวญครางแสดงให้เห็นว่าแกเจ็บปวดเลย”
ทิดทุยยิ้มแค่นๆ
“ผมเป็นเสือครับ ไม่ใช่หมา ถูกเจ็บจะได้ร้องเป๋งๆ เสือทุกตัวที่ถูกเจ็บไม่เคยร้องครวญครางให้ใครได้ยินหรอกครับ”
พลขมวดคิ้วย่นจ้องมองดูทิดทุยอย่างชื่นชม
“อ๋อ แกแน่มากอ้ายน้องชาย” แล้วเขาก็หันมาทางนายแพทย์หนุ่ม “ช่วยใส่ยาตกแต่งบาดแผลให้ทุยหน่อยซีหมอ นั่งเฉยอยู่ทำไมเล่า”
ดร.ดิเรกพิจารณาดูมือของทิดทุยอีกครั้ง มือที่อยู่ในมือนายแพทย์หนุ่มนั้นซีดเซียว โลหิตแห้งกรังแล้ว ดิเรกโยนไปบนตักเจ้าแห้วทันที
“เอ้า เอาเก็บไว้ดูเล่น”
๑๙
เจ้าแห้วร้องไม่เป็นเสียงมนุษย์ เขาล้มลงนอนกลิ้งแล้วลุกขึ้นวิ่งออกไปนอกชาน เจ้าคุณปัจจนึกฯ กับเสี่ยหงวนหัวเราะงอหาย ต่อจากนั้น ดร.ดิเรกก็พาทิดทุยเข้าไปในห้องเพื่อตกแต่งบาดแผลและใส่ยาให้
ในชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านบางกระสา เจ้าทุยกับเจ้าถมประดาบกันตัวต่อตัวผลของการต่อสู้ที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันปรากฎว่า อ้ายทุยเขาหัก คือถูกฟันข้อมือข้างขวาขาดสะบั้น ชัยชนะเป็นของเจ้าถมอย่างง่ายดาย บรรดาเจ้าหนุ่มอันธพาลพรรคพวกของเจ้าถมต่างตื่นเต้นดีอกดีใจไปตามกัน แต่พวกชาวนาที่ตั้งมั่นอยู่ในความสงบสุขต่างพากันสงสารทิดทุยอย่างยิ่ง มีผู้มาเยี่ยมทิดทุยมากหน้าหลายตา ลูกชายของป้าแย้มกลายเป็นคนทุพลภาพไปแล้ว เขาต้องเสียมือไปข้างหนึ่ง แต่ทิดทุยได้ตั้งปณิธานไว้ว่า เขาจะต้องล้างแค้นให้จงได้ เขากล่าวกับคณะพรรคสี่สหายว่า
“ต่อให้มันฟันคอขาดผมก็ไม่ยอมเลิกอาฆาตพยาบาทมัน คอยดูนะครับ ภายในสองสามวันนี้ ผมจะฆ่าอ้ายถมให้ได้ ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่ยอมให้อ้ายถมเป็นเจ้าถิ่นเจ้าทุ่งเป็นอันขาด ทุ่งนี้จะมีเสือเพียงคนเดียวเท่านั้น ผมจะล้างทุ่งบางกระสาให้ราบ แล้วผมจะประกาศตนเป็นอ้ายเสือ ฮึ่ม…โอย…ผมจะรากเลือดอีกแล้ว”
เย็นวันนั้นเอง มีข่าวแพร่ไปทั่วหมู่บ้านอีกอ้ายถมเสือร้ายในบางกระสาหลบหน้าไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าถมหนีไปไหนหลายต่อหลายคนวิพากษ์วิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันว่า เจ้าถมกลัวว่าชาวกรุงเทพฯ ที่มาพักอยู่กับเจ้าทุยจะนำความไปร้องเรียนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองให้มาจับกุมมัน เจ้าถมจึงหลบหนีไปอยู่ที่อื่นชั่วระยะเวลาหนึ่งต่อเมื่อชาวกรุงเทพฯ คณะนี้กลับไปแล้ว เจ้าถมก็คงจะกลับมาเป็นเจ้าทุ่งตามเดิม
สามวันผ่านพ้นไปแล้ว
เจ้าทุยมันทรหดอดทนอย่างยิ่ง ถึงแม้ถูกฟันมือขวาขาดและบาดแผลยังไม่หาย เจ้าทุยก็สามารถพาคณะสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯและเจ้าแห้วออกยิงนกในทุ่งนาอย่างสนุกสนาน และระหว่างนี้เจ้าทุยได้พยายามสืบหาตำแหน่งแห่งที่ของเจ้าถม จากพรรคพวกของเขาซึ่งพอจะรู้เบาะแสบ้างแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่า เจ้าถมจะหลบไปอยู่หนองส้มป่อยหรือคลองคด
บ่ายวันนั้น
ทุยพาสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯและเจ้าแห้วออกยิงนกอีกครั้งหนึ่ง
ท่ามกลางความร้อนแรงของแสงแดด ทุกคนยืนรวมกลุ่มกันบนคันนากลางทุ่ง เมื่อนกปากซ่อมฝูงหนึ่งบินลงมาในหมู่กอข้าว ห่างจากคณะพรรคสี่สหายประมาณ ๓๐ เมตร เจ้าคุณปัจจนึกฯ ก็กล่าวกับนิกรลูกเขยจอมทะเล้นของท่าน
“เอาซีกร แสดงฝีมือให้ดูหน่อยเถอะวะ”
นิกรอมยิ้ม
“ได้ซีครับ” แล้วเขาก็ถอยหลังออกไปยกปืนลูกซองขึ้นประทับบ่าในท่าเตรียมยิง เล็งศูนย์ปืนหมายหน้าอกเจ้าคุณปัจจนึกฯ
ท่านเจ้าคุณสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาเหลือกลาน
๒๐
“ยิงนกโว้ยไม่ใช่ยิงข้า” ท่านเอ็ดตะโร
นิกรหัวเราะ ลดปืนลง
“ผมนึกว่าคุณพ่อให้ผมลองยิงคุณพ่อเสียอีก ถ้าระยะแค่นี้ผิดละก้อผมยอมให้คุณพ่อเตะเลย”
เจ้าคุณชี้มือไปทางหมู่นกปากซ่อม
“โน่น…ยิงนกโน่น”
นิกรสั่นศีรษะ
“ไม่ละครับ ผมไม่ชอบทำบาป นกมันก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“แล้วพวกเรายิงได้แกเสือกกินทำไม”
นิกรหัวเราะหน้าเป็นตามเคย
“กันไม่ได้เป็นคนฆ่า เป็นคนกินไม่บาปหรอก”
อาเสี่ยยกปืนขึ้นในท่าเตรียมยิง เขาบุกลงไปตามกอข้าว เมื่อเข้าไปใกล้ฝูงนกปากซ่อม ฝูงนกก็ตกใจบินขึ้นสู่อากาศ เสี่ยหงวนประทับปืนเหนี่ยวไกยิงอย่างรวดเร็ว
ไม่ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกนกตัวหนึ่งตัวใด อาเสี่ยร้องตะโกนลั่น
“ไปตายรังโว้ย”
พล, นิกร, ดร.ดิเรก และเจ้าคุณปัจจนึกฯ หัวเราะลั่น อาเสี่ยหมุนตัวกลับ เดินกลับมาหาพรรคพวกของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นเอง คณะพรรคสี่สหายก็แลเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างร้อนรน
“นั่นใครน่ะ” ดร.ดิเรกถามทิดทุย
“เพื่อนผมครับคุณหมอ แต่ไม่ได้พบกันนานแล้ว” พูดจบเขาก็ตะโกนเรียก “วู้…อ้ายเชือน อ้ายเชือนโว้ย”
“โว้ย กูมีข่าวดีมาบอกมึงโว้ย”
เจ้าเชือนรีบสาวเท้าเดินเข้ามาหาเพื่อนเกลอของเขา สองสหายหยุดยืนเผชิญหน้ากัน เชือนจ้องมองดูมือขวาของเจ้าทุยซึ่งมีผ้าพันแผลพันจนถึงข้อศอกและมีผ้าพันคล้องโยงไว้กับไหล่
“อ้ายเพื่อนยาก” เชือนมันพูดเสียงเครือ “กูไปเล่นถั่วที่หนองส้มป่อยหลายวันแล้ว กูพบอ้ายถมเมื่อเย็นวานนี้ อ้ายถมกับพรรคพวกร่วมใจหลายคนพากันไปที่นั่น อ้ายผันพรรคพวกอ้ายถมมันเล่าให้กูฟังว่า มึงกับอ้ายถมฟันกันตัวต่อตัว มึงเสียท่าถูกฟันข้อมือขาด”
เจ้าทุยฝืนหัวเราะ
“ถูกแล้วอ้ายเชือน ระหว่างที่ฟันกันกูถอยหลังไปสะดุดตอไม้ล้มลง ดาบหลุดมือ อ้ายถมปราดเข้าฟันกูทันที กูยกแขนขวาขึ้นรับเลยถูกฟันมือขาด เรื่องเล็กโว้ยอ้ายเชือน”
เจ้าเชือนยิ้มออกมาได้
“อือ…ใจมึงเด็ดมากอ้ายทุย เขามึงหักเสียแล้วอ้ายทุยเอ๋ย กูสงสารและเห็นใจมาก”
๒๑
ทุยมันหัวเราะหึๆ
“แต่กูจะต้องสังหารอ้ายถมให้ได้”
“กูรู้ใจมึงอ้ายทุยกูรีบมาจากหนองส้มป่อยเพื่อจะนำข่าวมาบอกมึงว่า อ้ายถมหลบหน้ามึงไปอยู่ที่นั่น มีคนบอกกูว่าอีโรยหวานใจของมึงถูกกักขังอยู่ที่นั่นด้วย อยู่ในความคบคุมของพรรคพวกอ้ายถม”
ทิดทุยลืมตาโพลง
“เป็นความจริงหรืออ้ายเชือน”
“ข้าคิดว่าเป็นข่าวที่แน่นอน”
ทุยมันขบกรามแน่น สายตาที่มันมองดูเจ้าเชือนนั้นวาวโรจน์น่ากลัว
“ดีแล้วอ้ายเชือน กูขอบใจมึงมากเท่าที่มึงนำข่าวนี้มาบอกกู กูจะรีบไปหนองส้มป่อยเดี๋ยวนี้” แล้วเจ้าทุยก็ตะโกนสุดเสียง “กูจะเหยียบหนองส้มป่อยให้ราบเป็นหน้ากลอง เสือทุยจะล้างทุ่งให้หมด”
นิกรพูดเสริมขึ้นเบาๆ
“ดีแล้วน้องชาย การล้างทุ่งเป็นบุญกุศล อย่างไรก็อย่าลืมไม้กวาด ถังน้ำและยาดับกลิ่น”
เจ้าทุยหันมาทำตาเขียวกับนิกร
“ทุ่งนาครับ ไม่ใช่ทุ่งคน”
นิกรหัวเราะ
“ใจเย็นๆ น่าอ้ายทิด พวกเราจะติดตามแกไปหนองส้มป่อยด้วยเพื่อช่วยเหลือแกทำศึกกับพวกอ้ายถม ฮะ ฮะ เลือดจะนองทุ่งในคราวนี้ เพราะทุ่งเป็นมูกเลือด เอามันอ้ายทิด รีบไปให้มันตัดมืออีกข้างหนึ่ง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ เอื้อมมือจิกผมนิกรกระชากจนหน้าหงาย ดึงตัวลูกเขยจอมทะเล้นเข้ามาหาท่าน
“ทะลึ่งมากไปแล้ว กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานอย่าไปล้อทิดทุยมัน ดีไม่ดีมันก็จะกระชากดาบออกมาฟันแกเจ็บตัวไปเท่านั้น”
ทิดทุยหัวเราะ
“สำหรับพวกคุณๆ ผมถือว่ามีบุญคุณต่อผม ผมไม่ทำหรอกครับ” แล้วเขาก็หันมาพูดกับเพื่อนเกลอของเขา “เฮ้ย…นี่เจ้านายของกู เพิ่งมาจากบางกอกเมื่อสามวันนี่เอง เอ็งไหว้ท่านเสียหน่อยซี”
เชือนมันยกมือไหว้คณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึกฯ แต่ไม่ยอมไหว้เจ้าแห้ว ดังนั้นพอสบตากับเจ้าแห้ว เจ้าแห้วก็เก็กหน้าให้ภาคภูมิแล้วต่อว่าเจ้าเชือน
“ทำไมแกไม่ไหว้กัน”
ทิดเชือนมองดูเจ้าแห้วอย่างขบขัน
“กับจำเป็นจะต้องไหว้ขี้ข้าของเจ้านายเหล่านี้ด้วยหรือ”
เจ้าแห้วชักฉิว
“รู้ได้ยังไงวะว่ากันเป็นขี้ข้า กันนี่แหละโว้ย เสี่ยใหญ่ในบางกอก”
“ถุย” ทิดเชือนร้องลั่น “คนเราน่ะมองดูแพล็บเดียวก็รู้แล้วโว้ยว่าเป็นทาสีทาสาหรือเป็นผู้ดีมีตระกูล หน้าตาของแกมันบอกชัดๆ ว่าเป็นขี้ข้าร้อยเปอร์เซนต์ใช่ไหมล่ะ”
๒๒
เจ้าแห้วพูดเสียงอ่อย
“ก็ใช่น่ะซี”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง ทิดทุยหันมามองดูคณะพรรคสี่สหายแล้วกล่าวกับทุกคนอย่างนอบน้อม
“กลับบ้านกันเถอะครับ ผมจะรีบเดินทางไปหนองส้มป่อย ไปฆ่าอ้ายถมและไปช่วยอีโรยของผม ผมจะต้องเดินทางราว ๑๐ กิโลเมตรจากบางกระสาไปหนองส้มป่อย” พูดจบทิดทุยก็ชี้มือไปทางทิศใต้ “โน่นแหละครับ หมู่บ้านไม้เขียวๆ กลางทุ่งที่ปล่องโรงสีนั่นแหละครับ คือหนองส้มป่อย อ้ายถมมีพรรคพวกอยู่ที่นั่นหลายคน”
พลยิ้มให้ทิดทุยแล้วกล่าวว่า
“น้องชาย แกอย่าลืมว่าขณะนี้แกเป็นคนพิการมีมือซ้ายเพียงข้างเดียว”
“ไม่เป็นไรครับคุณพล เท้าของผมยังใช้การได้และมือซ้ายของผมก็ถนัดเท่ามือขวา ผมจะพกคอลท์ตราควายไปด้วย พวกคุณอย่าเป็นห่วงผมเลยครับ อย่างช้าสองทุ่มคืนวันนี้ผมจะพาอีโรยกลับมาบางกระสา พวกคุณไปคอยผมอยู่ที่บ้านเถอะครับ”
พลว่า “เราจะยอมให้แกไปตามลำพังไม่ได้หรอกทิดทุย จริงอยู่ กันเชื่อว่าแกกล้าหาญและมีฝีไม้ลายมือพอตัวทีเดียว แต่ธรรมดาน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟไม่ใช่หรือ”
กิมหงวนพูดเสริมขึ้น
“เราทั้งหกคนนี้ พร้อมแล้วที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับแก”
ดร.ดิเรกว่า “ถ้าแกไปคนเดียวแกต้องตายแน่ ขอให้พวกเราไปกับแกเถอะทิดทุย เราสี่เสือจะช่วยแกล้างทุ่งในคราวนี้”
เจ้าทุยมองดูคณะพรรคสี่สหายอย่างซาบซึ้งใจ เขานิ่งคิดอยู่สักครู่ก็กล่าวว่า
“เมื่อเจ้านายกรุณาผมเช่นนี้ก็ตกลงครับ เป็นอันว่าไปด้วยกันครับ ผมจะไม่ลืมพระเดชพระคุณของพวกคุณๆ เลย กลับบ้านกันเถอะครับ ผมจะหาเครื่องแต่งตัวให้ผลัดเปลี่ยนตามแบบชาวนาและผมจะหาดาบให้คนละเล่ม”
เจ้าแห้วว่า “สำหรับกันของสองเล่มนะทิดทุย กันถนัดดาบสองมือ”
ทิดทุยยิ้มให้เจ้าแห้ว แล้วหันมาทางเจ้าเชือนมิตรรักเกลอเก่าของเขา
“เอ็งจะไปกับข้าไหมวะอ้ายเชือน”
เชือนสั่นศีรษะ
“ข้าต้องขอตัวอ้ายทุย เราเป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กแต่น้อย มึงน่าจะรู้ดีว่าคนอย่างกูถ้าสู้คนก็ตายเสียนานแล้ว อย่าพยายามอ้อนวอนข้าอีกเลยนะ ข้อขอพูดกับเอ็งอย่างลูกผู้ชายว่า ข้ากลัวตายโว้ย”
เจ้าทุยหัวเราะก้าก
“กูแกล้งชวนมึงไปยังงั้นเอง รู้อยู่แล้ว่ามึงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว แต่เพื่อมารยาทก็ชวนส่งเดช”
๒๓
ครั้นแล้ว เจ้าทุยเสือร้ายในบางกระสาก็พาคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วเดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน เจ้าแห้วสะพายปืนลูกซองถึงสองกระบอกหิ้วนกหนึ่งพวงซึ่งมีทั้งนกกระจาบและนกปากซ่อม
ในราว ๑๕ น. เศษ ทิดทุยกับคณะพรรคสี่สหายของเราพร้อมด้วยเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วก็พากันเดินทางจากบางกระสามุ่งตรงไปยังหนองส้มป่อยซึ่งมองแลเห็นลิบๆ อยู่เบื้องหน้า
ทุกคนแต่งกายแบบลูกทุ่งในชุดสีดำ กางเกงขายาวคลุมเข่า เสื้อแขนกระบอกแขนยาวจรดข้อมือ มีผ้าขาวม้าคาดพุงคนละผืน ซ่อนปืนพกไว้ใต้ผ้าขาวม้าคนละกระบอก โดยเฉพาะปืนพกของทิดทุยเป็นปืนคอลท์ตราควายเมดอินไทยแลนด์สร้างจากโรงงานอาวุธปืนเถื่อนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม นอกจากปืนพกประจำตัวแล้ว ทุกคนยังมีดาบคู่มือคนละเล่มซึ่งทิดทุยเป็นผู้จัดหามาให้
ท่าทางของเสี่ยหงวนน่าดูมาก เขาเดินส่ายไหล่ไปมา ทำปากแบะยื่นเล็กน้อย นัยน์ตาขวางเหมือนคนบ้า อาเสี่ยกำลังคิดว่าเขาเป็นเจ้าทุ่งหรือเสือร้ายแห่งผืนแผ่นดินนี้ คณะพรรคสี่สหายต่างสนทนากับทิดทุยมาตลอดทาง การเดินทางต้องเดินไปตามแนวคันนาอันคดเคี้ยว
ประมาณ ๑๘.๐๐ น. เศษ ทุกคนเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว และกำลังสวนทางกับชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งรวม ๕ คน คนเหล่านั้นมีปืนกลมือและปืนเล็กยาวเป็นอาวุธ เมื่อเข้ามาใกล้จะถึงตัวกันทั้งสองฝ่ายก็หยุดยืนเตรียมพร้อมที่จะปะทะกันถ้าอีกฝ่ายหนึ่งบุกก่อน
“เตรียมตัวโว้ยพวกเรา อ้ายพวกนั้นต้องเป็นเสือร้ายในถิ่นนี้แน่ๆ” เจ้าคุณปัจจนึกฯ ร้องเตือน
“ไม่ใช่โจรหรอกครับเจ้าคุณ ตำรวจนอกเครื่องแบบน่ะครับ หรือไม่ก็พวกเจ้าพนักงานอำเภอมาตรวจท้องที่ จับเหล้าเถื่อนหรือการพนัน”
ฝ่ายนั้นร้องตะโกนถามมา
“นั่นพวกไหน คนดีหรือคนร้าย”
เสี่ยหงวนร้องตอบไปทันที
“พวกเราพลเมืองดี”
ฝ่ายนั้นร้องขึ้นอีก
“นี่เจ้าพนักงานตำรวจภูธร”
อาเสี่ยกลืนน้ำลายเอื๊อก หันมามองดูหน้านิกร
“แย่ละโว้ย เจอเอาโปลิศเข้าแล้วพวกเราไม่มีใบอนุญาตพกปืน แล้วปืนของทิดทุยก็เป็นปืนเถื่อน ทำไงดีล่ะ”
นิกรยิ้มเล็กน้อย
“เรื่องเล็ก พวกเราทุกคนอยู่เฉยๆ นะ กันจะรับหน้าตำรวจเหล่านี้เอง วางท่าทางให้ผึ่งผายอย่าให้เขาเห็นว่าเราเกรงกลัวเขาเป็นอันขาด” แล้วนิกรก็กระซิบกระซาบกับทิดทุยเบาๆ “แกต้องแสดงตนเป็นผู้นำทางพาพวกเราไปหนองส้มป่อย”
ตำรวจภูธรนอกเครื่องแบบทั้ง ๕ คนพากันเดินเข้ามา คนนำหน้ามียศเป็นร้อยตำรวจโทสะพายบาเร็ตต้าเป็นอาวุธคู่มือ นิกรปราดเข้าไปหานายตำรวจแล้วถามอย่างองอาจ
๒๔
“พวกคุณไปไหนกันมา”
ร.ต.ท.ฉัตร ในวัยกลางคนมองดูนิกรอย่างตื่นๆ ลักษณะท่าทางของนิกรเป็นชาวกรุงเทพฯ ทำให้นายตำรวจไม่อาจจะเข้าใจว่าคณะพรรคสี่สหายเป็นใคร มาที่นี่ทำไม
“ผมมาตรวจท้องที่ครับ พวกคุณกำลังจะไปไหน อ้อ…ขอให้ผมดูใบอนุญาตพกปืนหน่อย”
นิกรหมุนตัวไปทางเจ้าคุณปัจจนึกฯ แล้วชิดเท้าตรง
“ผู้การครับ เราจำเป็นต้องแสดงใบอนุญาตพกปืนให้ตำรวจพวกนี้ดูไหมครับ”
กิมหงวนปรี่เข้ามาหา ร.ต.ท ฉัตร ซึ่งเลื่อนขึ้นมาจากนายสิบตำรวจและจ่านายสิบตำรวจ อาเสี่ยกิมหงวนพยักหน้ากับนายตำรวจภูธรแล้วถามว่า
“คุณเป็นใคร”
“ผม…นายร้อยตำรวจโทฉัตร แก้วสีงามครับ”
อาเสี่ยยิ้มด้วยมุมปากข้างขวา
“ผมคือพันตำรวจโทสงวน ไทยแท้ นายตำรวจคนสนิทของท่านผู้บังคับการ เราสงสัยว่าศพนายเตียงถูกฝังอยู่ที่หนองส้มป่อย เราได้รับคำสั่งให้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เพื่อค้นหาศพนายเตียงและศพนักการเมืองอีกหลายคน อ้า…ผมสังสัยว่าพวกคุณคงจะพยายามเคลื่อนย้ายศพนายเตียงหรือมิฉะนั้นก็ไปขู่บังคับชาวบ้านไม่ให้ปริปากพูดถึงเรื่องนี้ ผมจำเป็นต้องจับกุมคุณและตำรวจในบังคับบัญชาของคุณ”
ร.ต.ท. ฉัตรกับตำรวจในบังคับบัญชาของเขาหน้าซีดเผือดไปตามกันหลงเชื่อสนิทว่า คณะพรรคสี่สหายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเดินทางมาจากกรุงเทพฯ เพราะระหว่างนี้ทางการกำลังรื้อฟื้นคดีนักการเมืองที่ถูกฆ่าตายหรือสูญหายไป ร.ต.ท. ฉัตรงันงกตกประหม่า
“โอ…ผมและตำรวจของผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับคุณ”
อาเสี่ยเค้นหัวเราะ
“ไม่รู้ไม่ได้ ผมเป็นกรรมการสะสางคดีฆ่านักการเมืองคนหนึ่ง และนั่นท่านผู้บังคับการของเราเป็นประธานกรรมการ ไปพูดกันที่กรุงเทพฯ เถอะครับ”
ร.ต.ท. ฉัตรทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
“โธ่ ผู้กำกับครับ ผมเป็นตำรวจอาชีพจริงๆ ลูกผมตั้ง ๖ คน พ่อตาคนหนึ่ง แม่ยายสอง น้องเมียอีกห้าคน ผมไม่ยุ่งกับเรื่องการเมืองหรอกครับ”
อาเสี่ยกลั้นหัวเราะแทบแย่
“เชิญคุณไปพูดกับท่านผู้การซี ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้”
ร.ต.ท. ฉัตรกลืนน้ำลายเอื๊อก พาตัวเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้าเจ้าคุณปัจจนึกฯ ชิดเท้าตรงในระเบียบวินัยอันแข็งแรง
“ผู้การครับ กรุณาผมเถอะครับนาย ผมนำกำลังตำรวจเหล่านี้ไปตรวจท้องที่กลับมา ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องศพของนักการเมืองเลยครับ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ วางท่าทางให้สมกับเป็นนายตำรวจใหญ่
๒๕
“เอาล่ะ อั๊วจะเชื่อ แต่ลื้อต้องบอกอั๊วตามตรง ลื้อรู้ข่าวเรื่องคุณเตียงถูกฆ่าตายบ้างไหม อั๊วทราบว่าศพคุณเตียงถูกฝังอยู่ในบริเวณอำเภอนครไชยศรีนี้”
ร.ต.ท. ฉัตรหายใจไม่ทั่วท้องเลย
“ประทานโทษครับผู้การ คุณเตียงน่ะมีกี่คนครับ ประเดี๋ยวพบศพที่โน่น ประเดี๋ยวพบศพที่นั่น”
“นั่นน่ะซี อั๊วก็สงสัยเหมือนกันว่าคุณเตียงคงมีหลายคน แต่ว่าเมื่อทางการส่งพวกอั๊วมาสำรวจ เราก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา” พูดจบเจ้าคุณปัจจนึกฯ ก็หัวเราะชอบใจ “ไปเถอะน้องชาย พาตำรวจของลื้อไปได้ แต่อย่าพูดมากปากพล่อยนะว่ากำลังตำรวจกรุงเทพฯ ถูกส่งมาสืบสวนเรื่องศพนักการเมืองที่ถูกฆ่าตาย สั่งกำชับลูกน้องของลื้อด้วย ถ้าใครพูดอั๊วจะถือว่าเป็นฝ่ายผู้ต้องหา อั๊วอาจจะจับกุมเอาตัวไปกรุงเทพฯ ก็ได้”
ร.ต.ท. ฉัตรดีใจเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่
“ผมไม่พูดหรอกครับผู้การ ผมสาบานให้ก็ได้ให้รากเลือดลงแดงตายซีครับ ผมยังรักที่จะรับราชการเป็นตำรวจอาชีพต่อไป ผมไม่ยอมกระทำตามคำสั่งที่ผิดกฎหมายหรอกครับ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ พยักหน้าช้าๆ
“ดีแล้วน้องชาย ตำรวจที่ดีจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น การสร้างความดีความชอบจากความทุกข์ทรมาน จากชีวิตและเลือดเนื้อของผู้อื่นนั้นอาจจะได้รับความดีความชอบอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็หนีชะตากรรมไปไม่พ้น กรรมย่อมสนองกรรมเสมอ ไปเถอะน้องชายพาตำรวจของลื้อกลับไปได้”
ร.ต.ท. ฉัตร หันไปร้องตะโกนเรียกตำรวจในบังคับบัญชาของเขา
“ตำรวจ เดินเรียงเดี่ยวผ่านมาทางนี้แล้วกระทำความเคารพผู้การ”
บรรดาตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสี่คนต่างพากันเดินผ่านมาแล้วกระทำความเคารพเจ้าคุณปัจจนึกฯ ด้วยวิธีแลขวา ตำรวจกองตรวจผ่านไปแล้ว สี่สหายหัวเราะคิกคักไปตามกัน พลยกมือตบศีรษะนายจอมทะเล้นแล้วกล่าวว่า
“แกแน่โว้ยอ้ายกร แกเป็นคนที่มีความสามารถเกินตัวในการแก้ปัญหาคับขันเฉพาะหน้า ม่ายเราก็ถูกจับไปสถานีตำรวจแล้ว ในฐานพกอาวุธปืน ขณะนี้อยู่ในระหว่างกฎอัยการศึกด้วย ดีไม่ดีก็ต้องติดตะรางไปตามกัน”
ดร.ดิเรกยื่นมือให้นิกรจับ
“กันขอชมเชยปฏิภาณอันเฉียบแหลมของแก”
นิกรยืดหน้าอกขึ้นในท่าเบ่ง แต่เมื่อถูกเสี่ยหงวนยกฝ่ามือตบหน้าอกด้งป้าบ นายจอมทะเล้นก็ทำหลังโกงขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ทิดทุยกล่าวกับพลอย่างนอบน้อม
“คุณนิกรเด็ดขาดเลยครับ วางท่าทางราวกับนายตำรวจใหญ่จริงๆ เล่นเอาผมภาคภูมิไปด้วย คิดว่าเป็นคนของนายตำรวจใหญ่ ออกเดินทางต่อไปเถอะครับ อย่างเร็วก็อีกชั่วโมงครึ่งกว่าเราจะถึงหนองส้มป่อย”
ดร.ดิเรกอ้าปากหวอ
๒๖
“มองเห็นทิวไม้เขียวๆ แค่นี้เดินตั้งชั่วโมงครึ่งเชียงหรือทิดทุย”
“ครับ ราวชั่วโมงครึ่งครับ กลางทุ่งนาเราเห็นที่หมายก็มักจะคิดว่าอยู่ใกล้ๆ ความจริงไม่ใกล้หรอกครับ เรายังอยู่ห่างจากหนองส้มป่อยอย่างน้อย ๖ กิโลเมตร”
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้นอย่างท้อแท้
“รับประทาน ไปถึงหนองส้มป่อยเห็นจะต้องปะน่องกันเสียที รับประทานเดินกลางทุ่งแดดแจ๋อย่างนี้ไม่น่าสนุกเลย”
กิมหงวนดุเจ้าแห้ว
“อย่าบ่นหน่อยเลยวะเจ้าแห้ว คุณอาท่านไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว ท่านร้อนจนเหงื่อหัวล้านไหล ท่านยังไม่ได้ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ทำปากจู๋ กระชากปืนพกที่เหน็บไว้ใต้ผ้าขาวม้าออกมา
“บ่นน่ะไม่บ่นหรอก แต่จะยิงแกทิ้งไว้ที่นี่”
อาเสี่ยเย็นวาบไปหมดทั้งตัว รีบชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข ดร.ดิเรกรีบคว้าข้อมือพ่อตาของเขาทันที
“อย่าครับผู้การ อย่ายิงคนสนิทของท่านซีครับ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมๆ กัน ต่อจากนั้นทิดทุยก็พาคณะพรรคสี่สหายออกเดินทางต่อไป
ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง คือหมู่บ้านหนองส้มป่อย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีบ้านเรือนหนาแน่น ประมาณ ๒๐๐ หลังคาเรือน ชาวบ้านหนองส้มป่อยส่วนมากเป็นนักการพนันและนักเลงอันธพาล มีการต้มเหล้าเถื่อนและเล่นการพนันกันอย่างเปิดเผย หนองส้มป่อยเจริญกว่าบางกระสามาก ที่นี่มีร้านค้าเล็กๆ และมีตลาดขายของสดของแห้ง ผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง หลังหมู่บ้านมีวัดอยู่หนึ่งวันคือวัดช่องลม
นับตั้งแต่ทิดทุยพาคณะพรรคสี่สหายเข้ามาในหมู่บ้านยังไม่ทันจะได้พักผ่อน ข่าวก็เข้าหูเจ้าถมแล้ว ตามเวลาที่กล่าวนี้เจ้าทุ่งกำลังเพลิดเพลินกับโบกำหรือถั่ว
“อ้ายทุยแน่หรืออ้ายจวง” เจ้าถมถามอ้ายหนุ่มหน้าเสี้ยมที่รีบมารายงานให้มันทราบ
“แน่ซีพี่ ข้าจำอ้ายทุยได้ถึงแม้ไม่เคยพูดจาวิสาสะกับมันก็ตาม มือขวามันขาดมีผ้าคล้องแขนห้อยคอไว้ มีพวกบางกอกมากับอ้ายทุยรวม ๖ คน มีตาแก่หัวล้านเตี้ยพุงพลุ้ยคนหนึ่ง”
เจ้าถมพยักหน้ารับทราบ
“ถ้ายังงั้นอ้ายทุยแน่ อ้ายทุยต้องพานักเลงบางกอกมาบุกกู แต่ทว่า…กูยังไม่อยากสู้รบตบมือกับอ้ายพวกบางกอกหรอก ถึงแห่กันมาที่นี่ก็ทำอะไรกูไม่ได้ มึงจัดการกับอ้ายทุยได้กูจะให้รางวัลมึง ๑,๐๐๐ บาท”
เจ้าฟ้อนยิ้มแป้น
“เงินสดหรือพี่ถม”
“เงินสดซีวะ”
“ดีแล้ว ถ้างั้นข้าจะจัดการเก็บอ้ายทุยเสีย แล้วข้าจะเอาหัวอ้ายทุยมาให้พี่ถมดู เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าข้าฆ่าอ้ายทุยแล้ว”
๒๗
เจ้าถมขมวดคิ้วย่น
“มึงทำได้รึ อ้ายฟ้อน”
“นั่นน่ะซี แต่ข้าจะลองดูนะ อย่างไรก็ตามข้าต้องฆ่าอ้ายทุยได้แน่ๆ มือมันข้างเดียวมันสู้ข้าไม่ได้หรอก”
“ดีแล้ว พาเพื่อนร่วมใจไปสักคน ถ้าอ้ายพวกบางกอกมันช่วยอ้ายทุย มึงต้องรีบกลับมาบอกกู เราจะได้ยกพวกไปสู้กับมันฟาดกันให้แหลกไปเลย”
“พันบาทแน่นะพี่ถม”
“บ๊ะแล้ว…คนอย่างกูพูดคำไหนคำนั้นซีโว้ย”
เจ้าฟ้อนลุกขึ้นยืน พาตัวออกไปจากโรงบ่อนอย่างร้อนรน รีบไปเอาดาบที่บ้านพักของเขา
ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านหนองส้มป่อย แล้วบรรดาชาวนาทั้งหลายต่างโจษจันกันเซ็งแซ่ว่า เสือเก่าแห่งบางกระสาหรือเจ้าทุยผู้เสียมือให้กับเจ้าถิ่นคนใหม่ได้พาพรรคพวกบุกมาหนองส้มป่อย เพื่อล้างแค้นเจ้าถมและหวังจะช่วงชิงอีโรยสาวเอากลับคืนไปบางกระสา เจ้าหนุ่มลูกทุ่งที่เป็นบริวารและเพื่อนเกลอของเจ้าถมต่างรุดไปยังโรงบ่อนพร้อมด้วยอาวุธคู่มือเพื่อคุ้มกันเจ้าถมและรอคอยฟังคำสั่ง แต่เจ้าถมคงสนใจกับการเสี่ยงโชคจากโปกำ
“อย่าวุ่นวายไปเลยโว้ย” ถมกล่าวกับพรรคพวกของเขา “ชุมนุมกันอยู่ที่นี่แหละ ข้าสั่งอ้ายฟ้อนไปเก็บอ้ายทุยแล้ว อ้ายทุยน่ะเขามันหักแล้ว มันไม่มีฤทธิ์เดชอะไรหรอก ส่วนอ้ายพวกบางกอกก็คงไม่มีฝีไม้ลายมืออะไร”
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าคนหนึ่งได้กล่าวว่า ศึกล้างทุ่งคงจะเกิดขึ้นก่อนค่ำวันนี้ การหลั่งเลือดตะวันรอนย่อมหมายถึงชีวิตและเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่าย
ขณะนี้ทิดทุยกับคณะพรรคสี่สหายกำลังบ่ายโฉมหน้าตรงมายังทางโรงบ่อน พวกชาวนาที่เป็นกลางต่างพากันมองดูด้วยความตื่นเต้น บ้างก็ติดตามมาห่างๆ หลายต่อหลายคนติดใจท่วงท่าอันน่ากลัวของเสี่ยหงวนกับนิกร
เมื่อทิดทุยแลเห็นเจ้าฟ้อนกับชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งถือดาบเดินตรงเข้ามา ทุยมันก็ชูมือซ้ายขึ้นเหนือศีรษะเป็นสัญญาณให้สี่สหายหยุดการเคลื่อนไหว แล้วทุยก็บอกสี่สหายว่า
“ผมสงสัยว่า อ้ายสองคนนั่นเป็นพรรคพวกของอ้ายถมครับ อ้ายถมคงส่งสมุนมาเล่นงานเรา”
นิกรขบกรามกรอด
“กันเองทุย กันปราบมันเอง”
“อย่าเลยครับ คุณนิกร เรื่องของผมปล่อยผมเถอะครับ”
นิกรค่อยๆ ดึงดาบออกจากฝัก ถือกระชับมั่นไว้ในมือ จ้องตาเขม็งมองดูเจ้าฟ้อนกับเจ้าแก้วเพื่อนคู่หูของเจ้าฟ้อน แล้วนิกรก็ร้องระโกนสุดเสียง
“หลั่นเลือดตะวันรอนหรือวานรได้แก้วโว้ย”
ดร.ดิเรกหัวเราะก้าก
๒๘
“วิกไหนวะ”
“ตลาดทุเรียนโว้ย” นิกรตอบเสียงหนักแน่น
เจ้าฟ้อนกับเจ้าแก้วได้ยินเสียงนิกรตะโกนโหวกเหวกก็หยุดชะงัก เจ้าฟ้อนทำหน้าตื่นๆ กล่าวกับเพื่อนเกลอของมันว่า
“อ้ายหนุ่มบางกอกคนนั้นถ้ามันจะไม่สบายกระมังโว้ย”
เจ้าแก้วยิ้มแห้งๆ
“นั่นน่ะซี แดดมันร้อนจัดอย่างนี้คนเราอาจจะเผลอไผลไปได้เหมือนกัน”
เจ้าฟ้อนดึงดาบออกจากฝัก
“มันเดินเข้ามาหาเราแล้ว ถ้าอย่างไรกูจะฟันกับมันเอง นักเลงบางกอกน่ะไม่เท่าไหร่หรอกวะ เห็นเลือดเข้าก็วิ่งจู๊ด”
นิกรปรี่เข้ามาหยุดยืนเผชิญหน้ากับสมุนของเจ้าถม ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องมองดูหน้ากัน สักครู่หนึ่งเจ้าฟ้อนอดีตยี่เกก็กล่าวถามนิกรด้วยเสียงหวานแบบยี่เกตอนเจรจา
“ตัวของเจ้าเป็นใคร”
นิกรลืมตาโพลง แล้วยิ้มให้เจ้าฟ้อน พูดเสียงยี่เกเช่นเดียวกัน
“เรามีนามว่ากระดิ่งทอง เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ก็เจ้าล่ะเป็นใคร”
เจ้าฟ้อนขยับดาบ
“ตัวของเรามีนามกรว่านายฟ้อน นี่แน่ะ เจ้ากระดิ่งทอง ถ้าเจ้ารักตัวกลัวตายล่ะก้อ ขอให้ถอยทัพกลับไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น เราจะเข่นฆ่าให้ตายให้หมด เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากับพรรคพวกของเจ้าได้ล่วงล้ำเข้ามาในบ้านเมืองของเรา”
นิกรยกดาบชี้หน้าเจ้าฟ้อนแล้วร้องยี่เกทันที
กระดิ่งทองแสนจะเจ็บใจ
ตัวของเรานี้ไซร้แสนจะเก่งกล้า
เราจะช่วยเพื่อนทุยรบข้าศึก
ที่มาทำหาญฮึกอหังการ์
ว่าแล้วเข้ารบเอ๋ยปัจจา…
นายจอมทะเล้นกับเจ้าฟ้อนปราดเข้าตะลุมบอนทันที แต่เป็นการรบตามแบบนาฎดนตรีหรือยี่เก ต่างฝ่ายต่างยกดาบขึ้นฟันกันสองสามทีแล้วหมุนตัวกลับ การต่อสู้ของสองเสือเป็นไปตามแบบฉบับของยี่เกทั้งหลาย บางครั้งต่างฝ่ายก็จับดาบของอีกฝ่ายหนึ่งไว้ แล้วปล่อยมือออก พลกับกิมหงวน, ดร.ดิเรก, เจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าแห้วต่างมองดูนิกรกับเจ้าฟ้อนอย่างปลงอนิจจัง ส่วนทิดทุยหัวเราะงอหาย
นิกรกับเจ้าฟ้อนรบกันได้สักครู่ เจ้าฟ้อนก็ผละออกจากการรบถอยออกไปยืนตั้งมั่นอยู่ใต้ต้นมะขามเทศแล้วเจ้าฟ้อนก็ต้องยี่เกเสียงแจ๋ว
กระดิ่งทองคนนี้มิใช่ชั่ว
๒๙
มีชั้นเชิงรอบตัวทั้งกล้าหาญ
ถ้าหากเราจะสู้รบต่อไป
เราก็คงบรรลัยหรือว่าวายปราณ
ยังไม่ทันจะร้องจบ เจ้าแก้วเพื่อนเกลอของเจ้าฟ้อนก็เอ็ดตะโรขึ้น
“พอทีโว้ย นี่มึงจะมาสู้กับอ้ายพวกนี้หรือมาเล่นยี่เกวะ เออแน่ะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งเคยเห็นวันนี้ มึงรบกับเจ้าหมอนั่นแบบยี่เกรบกัน อย่างนี้มันจะเจ็บปวดอะไร”
เจ้าฟ้อนหัวเราะ
“ก็เขารับกับข้าแบบยี่เก ข้าก็ต้องรบกับเขาอย่างนั้นซีวะ อย่างไรก็ตาม ฝีมือสู้เขาไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องรีบกลับไปบอกพี่ถม” พูดจบเจ้าฟ้อนก็ร้องยี่เกอีก
คิดแล้วหนุ่มน้อยสั่งถอยทัพ
ไพร่พลย่อยยับเกือบไม่มีเหลือ…
เจ้าแก้วตะโกนลั่น
“ไม่ต้องร้องโว้ย ปู้โธ่…”
เจ้าฟ้อนทำหน้ากระเรี่ยกระราด เขามองดูนิกรแล้วกล่าวตามแบบยี่เกว่า
“นี่แน่ะกระดิ่งทอง ฝีมือของเราอาจจะอ่อนไปจึงสู้ท่านไม่ได้ เราจะรีบไปบอกลูกพี่ของเราให้ยกไพร่พลมารบกับพวกท่าน ขอให้รวมพลกันอยู่ที่นี่แหละ ถ้าเป็นคนจริงก็ไม่ควรหลบลี้หนีหน้าไปไหน อีกสักครู่ทัพใหญ่ของเราจะยกมาที่นี่”
นิกรยิ้มแป้น
“ไปเถอะสหาย พวกเราจะรอคอยกันอยู่ที่นี่ ไม่ต้องวิตกว่าพวกเราจะหลบหนีพวกท่านเอาตัวรอดหรอก ที่พวกเราบุกบั่นมาจากบางกระสา ก็เพื่อหวังจะทำศึกใหญ่กับท่าน”
เจ้าฟ้อนพยักหน้ากับเจ้าแก้ว สองสหายพากันเดินทางย้อนกลับไปทางโรงบ่อนอีก ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงของคณะพรรคสี่สหาย ดร.ดิเรกหัวเราะจนน้ำตาไหล เขาเดินเข้ามาหานิกรแล้วยื่นมือให้นายจอมทะเล้นสัมผัส
“เข้าทีโว้ยกร ท่าทางของแกราวกับพระเอกยี่เกจริงๆ ถ้ารบกันอย่างนี้ล่ะก้อ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิตหรอก อย่างมากก็ดาบบิ่นบู้ไปเพียงเล็กน้อย”
นิกรทำตัวอ่อนช้อยเหมือนพระเอกยี่เก แล้วเจรจาเสียงอ่อนเสียงหวานแบบนาฎดนตรีทั้งหลาย
“พระเจ้าพี่พูดเช่นนี้ก็มิถูก การสู้รบกันตามระเบียบแบบแผนของยี่เกก็ต้องเป็นไปอย่างนี้”
“พอโว้ย” อาเสี่ยเอ็ดตะโร “หมั่นไส้เต็มทนแล้ว”
ทิดทุยเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแปลกใจที่นิกรมีศิลปะในทางยี่เกอย่างน่าดูเช่นนี้ เขากระซิบถามเจ้าแห้วเบาๆ ว่า
“เฮ้ย อ้ายแห้ว นายของเอ็งเคยเล่นยี่เกหรือวะ”
เจ้าแห้วกระซิบตอบ
๓๐
“นี่แหละ หลานนายดอกดินจอมยี่เกเมื่อครั้งก่อนละ”
ทิดทุยยิ้มแห้งๆ ต่อจากนั้นทิดทุยก็ปรึกษาหารือกับคณะพรรคสี่สหายอย่างเป็นงานเป็นการ เจ้าคุณปัจจนึกฯ ให้ความเห็นอย่างแยบคายว่า
“เรายึดพื้นที่บริเวณนี้เป็นที่มั่นของเราดีกว่า ถ้าขืนบุกเข้าไปอาจถูกโอบล้อม ชัยภูมิที่นี่เหมาะที่เราจะตั้งรับตามแบบยุทธศาสตร์ ถ้าสู้ไม่ไหวจะได้ล่าถอยออกนองทุ่ง”
พลเห็นพ้องด้วย
“ดีแล้วครับ ผมรู้สึกว่าพวกชาวบ้านหนองส้มป่อยคงจะเป็นพรรคพวกของอ้ายถมทั้งหมด”
ทิดทุยถอนหายใจอย่างหนักๆ เขากำลังนึกถึงดวงใจของเขาที่ถูกกักขังอยู่ในหมู่บ้านนี้
“เจ้าคุณครับ”
ท่านเจ้าคุณหันมาทางทิดทุย
“ว่าไงอ้ายหลานชาย”
ทิดทุยมองดูเจ้าคุณปัจจนึกฯ อย่างเกรงใจ
“เราเคลื่อนกำลังเรื่อยๆ ไปไม่ดีหรือครับสำรวจหมู่บ้านนี้ให้ทั่ว ผมเป็นห่วงหวานใจของผมมาก อีโรยถูกฉุดคร่ามา ๑๐ วันแล้ว ผมยังไม่ทราบว่าอีโรยของผมจะเป็นตายร้ายดีประการใด คงรู้แต่เพียงว่าโรยมันถูกกักขังตัวอยู่ที่หนองส้มป่อยนี้เท่านั้น ผมอยากจะสืบสวนหาตำแหน่งแห่งที่ของโรยมันครับ โธ่…ป่านนี้คงยับเยินไปหมดแล้ว”
กิมหงวนมองดูทิดทุยอย่างเห็นใจ
“โรยของแกสวยมากไหมทิดทุย”
“โธ่…สวยซีครับอาเสี่ย สวยกว่าอุทัยวรรณตั้งหลายเท่าครับ”
เสี่ยหงวนลืมตาโพลง
“ฮ้า ยังงั้นเชียวหรือ”
“เป็นความจริงครับ อาเสี่ยก็น่าจะทราบดีว่า ผู้หญิงสวยต้องนครปฐม บางกระสาเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจังหวัดนครปฐมนี่ครับ”
ดร.ดิเรกหัวเราะหึๆ
“แต่เท่าที่กันเห็น สาวๆ ที่บางกระสาหน้าตาเหมือนผู้ชายที่หว่า”
“คนสวยๆ เขาหลบหน้าไม่ยอมให้คุณหมอเห็นเขาน่ะซีครับ”
“เออ เห็นจะจริง” แล้วดิเรกก็หันมาทางนายพัชราภรณ์ “ว่าไงพล เราจะยึดที่มั่นอยู่ที่นี่หรือจะบุกเข้าไปในหมู่บ้าน เพื่อช่วยกันค้นหาโรยให้ทิดทุย”
พลนิ่งคิดอยู่สักครู่
“บุกเข้าไปดีกว่า ผิดนักก็ตะลุมบอนกับพรรคพวกของเจ้าถมให้มันรู้ดีรู้ชั่ว ไหนๆ เราก็พากันมาถึงหนองส้มป่อยแล้ว ถ้าตั้งมั่นอยู่ที่นี่อ้ายถมจะคิดว่าเราเกรงกลัวมัน” แล้วพลก็กล่าวถามนิกรซึ่งกำลังจุดบุหรี่สูบ “ว่ายังไงอ้ายกร”
๓๑
นิกรพ่นควันบุหรี่เป็นรูปมังกรสองตัวลอยขึ้นสู่อากาศ
“ตามความเห็นของกันกันเห็นว่า เราควรจะล่าถอยออกไปตั้งมั่นอยู่กลางทุ่ง ถ้าอ้ายถมยกพวกมาเมื่อไรเราจะได้รีบล่าถอยหลบหนีมันไป”
“ถุย” กิมหงวนร้องลั่น “ขี้ขลาดถึงเพียงนี้เชียวหรือวะอ้ายกร คนเราเป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวเหมือนกัน มีสองมือสองตีนเหมือนกันกลัวอะไรมันวะ”
นิกรยักคิ้วแผล็บ
“กลัวน่ะไม่กลัวหรอก แต่กันยังไม่อยากตาย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ มองดูนิกรอย่างหมั่นไส้
“ถ้ายังงั้นแกกลับไปบางกระสาก่อน พวกเราจะทำศึกกับอ้ายถมเอง ไหนๆ เราก็ตั้งปณิธานกันไว้แล้วว่าเราจะช่วยทิดทุยปราบเจ้าถม”
นิกรยิ้มให้พ่อตาของเขา
“คุณพ่อนี่แหละ เป็นลูกเขยพ่อตากันมานานนมแล้วช่างไม่รู้ใจผมบ้างเลย คนอย่างผมกลัวคนมีหรือครับ ปู้โธ่ นักเลงอย่างอ้ายถมขี้ผงเหลือเกิน ช้างที่เขาดินตัวเบ้อเริ่ม ผมยังกระตุกหางดึงเล่นเสียหกล้ม”
พลหัวเราะก้าก
“ใครหกล้มวะ”
“กันน่ะซี”
ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ คณะพรรคสี่สหายปรึกษาหารือกันอยู่สักครู่ แล้วก็ลงความเห็นสอดคล้องต้องกันว่าควรจะเคลื่อนพลต่อไป ขณะนั้นเด็กชายอายุประมาณ ๑๒ ขวบ แต่งกายขะมกขมอมคนหนึ่งได้เดินเข้ามาหยุดยืนมองดูหน้าคณะพรรคสี่สหายอย่างตื่นๆ ทิดทุยชักไม่พอใจก็โบกมือไล่
“เฮ้ย…ไปๆ อ้ายหนู ไม่ใช่เรื่องของเด็กโว้ย”
พลปราดเข้ามาตบหลังเจ้าหนูน้อย แล้วกล่าวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หนู…หนูอยากได้เงินใช้บ้างไหม”
เจ้าหนูถ่มน้ำลายปรี๊ดแล้วตอบอย่างฉาดฉาน
“เรื่องเงินใครๆ ก็อยากได้โว้ย มึงจะให้กูหรือ”
นายพัชราภรณ์ทำคอย่น
“ว้า…แกพูดมึงกูไม่น่าฟังเลยอ้ายหลานชาย พ่อแม่แกเขาไม่อบรมสั่งสอนบ้างหรือ”
เจ้าหนูน้อยหัวเราะ
“พ่อกูหรือแม่กู กูก็พูดกับมันอย่างนี้ นี่มันบ้านนอกโว้ยไม่ใช่บางกอก พวกกูเขาไม่ถือกันหรอก จะพูดกันเพราะหรือไม่เพราะไม่สำคัญ สำคัญที่มีจิตใจร่วมรักสามัคคีกันเท่านั้น พวกกูไม่เหมือนกับพวกมึงหรอก ต่อหน้าปราศรัยกัน ลับหลังก็ติฉินนินทากัน ปัดแข้งปัดขา อิจฉาริษยากัน”
พลทำตาปริบๆ เขายกมือตบศีรษะเจ้าหนูน้อยแล้วกล่าวว่า
๓๒
“น้าจะให้เงินแกร้อยบาทเดี๋ยวนี้ถ้าแกบอกเราว่าอ้ายถมพาโรยไปกักขังไว้ที่ไหน แกรู้หรือเปล่าหลานชาย”
“ทำไมจะไม่รู้ กูเกิดที่หนองส้มป่อยนี่หว่า หมู่บ้านมีอยู่ไม่กี่หลัง อะไรๆ กูก็รู้ทั้งนั้น ใครจะเข้าส้วมเวลาไหนกูก็รู้”
พลกลืนน้ำลายเอื๊อก
“อ้ายหลานชาย เปลี่ยนกูเป็นฉันได้ไหมจะได้ฟังเพราะหูขึ้นหน่อย”
เจ้าหนูน้อยสั่นศีรษะ
“ไม่ได้หรอกน้า เสียเทรดดิชั่น คำว่ามึงกูไม่ใช่คำหยาบ น้าก็เคยเล่าเรียนมาแล้ว แม้แต่พระร่วงขุนรามคำแหงมหาราชก็นิยมใช้คำพูดกูมึง น้าจำไม่ได้หรือศิลาจารึกของพระร่วงเขียนไว้ว่าอย่างไร พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง กูพี่น้องท้องเดียว ๕ คน ผู้ชายสามผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตรียมแต่ยังเล็ก เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า”
พลโบกมือห้าม
“พอแล้วอ้ายหลานชาย” แล้วเขาก็หันมายิ้มกับเพื่อนเกลอของเขา “อ้ายหนูนี่ไม่ใช่ย่อยโว้ย”
นิกรพูดเสริมขึ้น เหมือนเด็กนักเรียนอ่านหนังสือให้ครูฟัง
“เมื่อชั่วขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ในกระเป๋ามีทรัพย์ เจ้าเมืองบ่เอาจะกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปค้าตกมาขาเป๋ ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าฝิ่นค้า ไพร่ฟ้าหน้าเศร้า ผู้ยิ่งใหญ่สบายแฮ”
“เฮ้ย” เจ้าคุณปัจจนึกฯ ตวาดลั่น “มากไปแล้วอ้ายกร”
พลโบกมือห้ามนิกรและท่านเจ้าคุณให้สงบปากเสียง เขากล่าวกับเจ้าหนูน้อยต่อไป
“หนูชื่ออะไรหลานชาย”
“กูชื่อเพราะ” เจ้าหนูพูดยิ้มๆ
“ก็นั่นน่ะซี ชื่อเพราะน่ะชื่ออะไรล่ะ”
เจ้าหนูน้อยยกมือเกาศีรษะ
“ว้า…คนบางกอกนี่พูดไม่ค่อยรู้ภาษาคนโว้ย กูบอกแล้วว่ากูชื่อเพราะ แล้วยังเสือกถามกูอีกว่ากูชื่ออะไร สระเอ พ. พาน ร. เรือ สระอะ อ่านว่าเพราะ นั่นแหละชื่อกู”
เสี่ยหงวนเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ พลแล้วพยักหน้ากับเจ้าหนูน้อย
“เฮ้ย…ตอบปัญหาง่ายๆ จากกูเดี๋ยวนี้ ถ้าตอบได้ร้อยบาทเป็นของมึง กูอยากรู้ว่านักโรยถูกกักขังอยู่ที่ไหน”
เจ้าหนูน้อยแสดงท่าทีชอบอกชอบใจกิมหงวนมากที่พูดกันแบบชาวชนบท อันเป็นภาษาไทยเดิมอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
“มึงจะให้รางวัลกูเท่าไรนะน้า แหม…มึงนี่สูงจังโว้ย ยังงี้ยืนดูยี่เกไม่ต้องเขย่งดูสบายไปเลย อ้า…เมื่อกี้น้าว่าจะให้รางวัลกูเท่าไรนะ”
๓๓
อาเสี่ยล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบธนบัตรใบละร้อยบาทออกมาหนึ่งฉบับ
“ให้มึงร้อยบาท นี่ยังไงล่ะ”
เจ้าหนูสั่นศีรษะ
“มากไป คนอย่างกูเด็กท้องนาไม่เคยใช้ใบละร้อย ห้าบาทก็พอแล้ว”
อาเสี่ยทำคอย่น รีบเก็บธนบัตรไว้ในกระเป๋าตามเดิม แล้วค้นหาธนบัตรใบละห้าบาทได้หนึ่งฉบับยื่นให้เจ้าหนูน้อยดู
“นี่เงินห้าบาทนี่จะเป็นของมึง”
เจ้าหนูน้อยหัวเราะ
“โตเป็นควายแล้ว พูดกับเด็กให้มันน่าฟังหน่อยซีน้า อะไร้พูดมึงกูไม่มีวัฒนธรรมเสียเลย”
อาเสี่ยอ้าปากหวอ
“ก็ไหนแกว่าเป็นเทรดดิชั่นของแกไม่ใช่หรือ”
เจ้าหนูน้อยหัวเราะก้าก
“น่าสงสารเหลือเกิน คุณน้าไม่น่าจะเชื่อผมเลยครับ ผมหลอกเล่นสนุกๆ ก็เชื่อ คนบ้านนอกคอกนาน่ะเขาพูดกันเพราะหูกว่าชาวบางกอกเสียอีก กูมึงน่ะเขาเลิกพูดกันมานานแล้ว”
กิมหงวนกลืนน้ำลายติดๆ กันหลายครั้ง แล้วยกมือไหว้เจ้าหนูน้อยอย่างพินอบพิเทา
“พ่อคุณพ่อมหาจำเริญ กรุณาบอกผมหน่อยเถอะครับว่านังโรยถูกกักขังตัวไว้ที่ไหน”
เจ้าหนูน้อยไหว้ตอบทันที
“อย่าถือโทษผมเลยครับคุณน้า อ้ายผมมันเป็นคนมีอารมณ์ขัน ชอบยั่วเย้าผู้ใหญ่เล่นสนุกๆ เงินทองผมไม่ต้องการหรอกครับ ผมยินดีที่จะบอกให้ทราบว่านังโรยสาวงามบางกระสาถูกกักตัวอยู่ที่บ้านทิดสอนพรรคพวกของอ้ายถม เท่าที่ผมบอกให้รู้เพราะผมเกลียดอ้ายถม มันเล่นโกงพ่อผมไปสองชั่งเมื่อวานนี้”
“บ้านทิดสอนอยู่ตรงไหน” พลถามโดยเร็ว
“ตรงไปทางซ้ายมือนี่แหละครับ เดินไปจากนี่ราว ๒ เส้น ก็จะเห็นเรือนฝากระดานเก่าๆ หนังหนึ่งมีรั้วไม้รวกล้อม นั่นแหละครับบ้านทิดสอน บุกเลยครับคุณน้า ผมเชียร์เต็มที่”
ทิดทุยชูดาบคู่มือขึ้นเหนือศีรษะ
“เอามันครับ ผมต้องชิงอีโรยของผมกลับคืนมาให้ได้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ เห็นพ้องด้วย
“เอา…พวกเราพร้อมแล้วจะช่วยแก”
“เวท อะ มินิท” นายแพทย์หนุ่มร้องขึ้นดังๆ แล้วเดินเข้ามายกมือจับแขนเจ้าหนูน้อย “อ้ายหลานชาย น้าสนใจในเรื่องศิลาจารึกของพระร่วงมาก แกว่าให้ฟังอีกทีซี เลือกเอาตอนไหนก็ได้”
เจ้าหนูน้อยนิ่งคิด แล้วพูดเร็วปรื๋อโดยไม่ติดไม่ค้าง
๓๔
“เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูใด้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้มากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปที่บ้านที่เมือง ได้ช้างได้งวง อ้า…ผมจำได้แค่นี้แหละครับคุณน้า”
นายแพทย์หนุ่มหัวเราะชอบใจ
“เก่งมากอ้ายหลานชาย แกเรียนหนังสือชั้นอะไร”
“จบ ป.๔ โรงเรียนประชาบาลวันราษฎร์ลิงจ๋อครับ”
ดร.ดิเรกรู้สึกรักใคร่พอใจหนูน้อยมาก เขาล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบธนบัตรย่อยปึกหนึ่งออกมาส่งให้เจ้าหนูน้อยแล้วกล่าวว่า
“เอ้า น้าให้เงินไว้ซื้อขนมกิน”
เจ้าหนูน้อยสั่นศีรษะ
“เงินไม่มีความหมายสำหรับผมหรอกครับคุณน้า ผมชอบบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ผมรู้ดีว่าพวกคุณน้ามาติดตามผู้หญิงที่ชื่อโรย ผมก็เลยบอกให้ทราบว่าโรยถูกกักขังอยู่ที่บ้านทิดสอน นักเลงโตที่นี่ คุณน้ากับพรรคพวกระวังตัวนะครับ พวกหนุ่มๆ ละแวกบ้านนี้โดยมากเป็นพรรคพวกของอ้ายถมทั้งนั้น”
ดร.ดิเรกพยักหน้ารับทราบ
“ออไร๋ ขอบใจมากหลานชาย แกไปเรียนหนังสือต่อที่บางกอกเอาไหมล่ะ น้าจะช่วยอุปการะแกเอง”
หนูน้อยสั่นศีรษะ
“ขอบคุณครับ พ่อผมบอกว่าหนังสือหนังหาไม่จำเป็นนักหรอกครับ การทำนาสำคัญกว่า ตระกูลของผมเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ผมก็อยากเป็นกระดูกสันหลังของชาติต่อไป คุณน้ากับพรรคพวกจะไปที่บ้านทิดสอนก็ไปซีครับ ผมจะพาไป”
ทันใดนั้นเอง นิกรก็ร้องขึ้นดังๆ
“เฮ้ย มันมากันแล้วโว้ยพวกเรา”
ทุกคนต่างหันไปทางขวามือ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วกับทิดทุยต่างแลเห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งมีกำลังประมาณ ๑๕ คน กำลังเคลื่อนที่เข้ามา ทุกคนถือดาบเป็นอาวุธคู่มือ ทิดทุยรีบบอกให้สี่สหายทราบ
“อ้ายถมยกพวกมาเล่นงานเราแล้วครับ อ้ายหนุ่มร่างใหญ่ที่ถือดาบเดินนำหน้ามานั่นแหละครับ คืออ้ายถม”
พลพยักหน้ากับเจ้าแห้ว
“แสดงฝีมือให้ข้าดูหน่อยซีอ้ายแห้ว ไปท้าฟันกับอ้ายถมตัวต่อตัวเดี๋ยวนี้ ฝีมือดาบของแกก็คงไม่เลวอะไรนัก”
เจ้าแห้วเย็นวาบไปหมดทั้งตัว
“อ้า…รับประทานผมปวดท้องเหลือเกินครับ ขืนให้รบกับอ้ายถม รับประทานผมคงสู้มันไม่ได้”
๓๕
พลหัวเราะก้าก
“อ้ายขี้ขลาด” พลพูดพลางหัวเราะพลางแล้วหันมาทางนายจอมทะเล้นเพื่อนเกลอของเขา “เอาเลยอ้ายกร ชู้ว์…เอามัน”
นิกรกลืนน้ำลายเอื๊อก
“จะให้กันบุกยังงั้นหรือ”
“เออ”
นิกรยิ้มแหยๆ
“บุกเข้าไปซีมันจะได้ฟันเป็นหมูบะช่อ เห็นไหมล่ะมันยกมาตั้งเกือบ ๒๐ คน กันบุกเข้าไปคนเดียวก็ซี้เท่านั้น”
ทิดทุยว่า “อย่าวุ่นวายไปเลยครับ ผมต้องการให้พวกคุณเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่า ผมจะฟันกับอ้ายถมเอง ถ้าสู้ไม่ได้ผมยอมตาย”
เสี่ยหงวนมองดูทิดทุยด้วยความห่วงใย
“แกมีมือข้างเดียวแกจะสู้มันได้หรือ”
ทิดทุยฝืนหัวเราะ
“สู้ได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญครับ สำคัญว่าสู้มันก็แล้วกัน คนเรารักจะสู้แล้วเรื่องแพ้ชนะไม่ต้องคำนึงถึง ผมก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน”
“นี่มันนครปฐมไม่ใช่ตองอูนะโว้ย เอาอย่างนี้ดีกว่าทุย รบกันแบบตะลุมบอนเลย พวกเราทั้ง ๖ พร้อมแล้วที่จะสู้ตาย”
ทิดทุยมองดูคณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึกฯ อย่างซาบซึ้งใจ
“เป็นพระคุณหาที่สุดมิได้เชียวครับ ความกรุณาของเจ้าคุณและคุณๆ เหล่านี้ที่มีต่อผม ผมจะไม่ลืมเลยครับ จะเอายังไงกันก็สุดแล้วแต่จะกรุณาผมเถอะครับ”
นิกรกระชากดาบออกจากฝักชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วร้องขึ้นดังๆ
“เอามันพวกเรา อ้ายเสือ…ถอย”
อาเสี่ยแยกเขี้ยว แล้วเอื้อมมือเขกกบาลนายจอมทะเล้นดังโป๊ก
“นี่แน่ะ เอามันพวกเรา แต่อ้ายเสือถอย”
“อ้าว ถอยออกไปคุมเชิงยังไงล่ะ”
เจ้าถมพาพรรคพวกเคลื่อนที่เข้ามาและกระจายกำลังออกเป็นแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยว เว้นระยะห่างจากกันประมาณ ๓ เมตร ชายฉกรรจ์พรรคพวกของเจ้าถมแต่ละคนหน้าตาโหดเหี้ยมและล้วนแต่เป็นนักเลงอันธพาลหรือพวกปล้น เจ้าคุณปัจจนึกฯ สั่งแปรขบวนเผชิญหน้ากับเจ้าถมทันที คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าแห้วและทิดทุยต่างเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับฝ่ายอันธพาล ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็หยุดยืนคุมเชิงกันในระยะห่างพอสมควร
เจ้าทุยปราดออกไปรับหน้าเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ใบหน้าเหี้ยม แล้วทุยมันก็หัวเราะขึ้นด้วยเสียงกังวาน
๓๖
“อ้ายถม ในที่สุดก็ได้พบกับมึงอีก”
เจ้าถิ่นยิ้มแค่นๆ
“พบกับกู แขนมึงก็ต้องขาดไปอีกข้างหนึ่งเท่านั้นเอง หรือม่ายคอของมึงก็จะต้องเซ่นคมดาบกู กูไม่อยากสู้กับคนพิการหรอกอ้ายทุย กูชนะมึง กูไม่ได้เกียรติอะไรรังแต่จะให้เขาดูหมิ่นกู ว่าชนะคนพิการมีมือข้างเดียว กูอยากประดาบกับนักเลงบางกอก พรรคพวกของมึงมากกว่า”
ทิดทุยขบกรามกรอด
“ไม่ใช่นักเลงโว้ยอ้ายถม ท่านเหล่านี้เป็นเจ้านายกู”
เจ้าถมหัวเราะอย่างผยอง
“จะเป็นใครก็ตาม เมื่อบุกมาถึงหนองส้มป่อยและมีอาวุธอยู่ในมือเช่นนี้ กูก็ต้องถือว่าเป็นศัตรูของกู มึงอย่าสู้กับกูเลยอ้ายทุย ถึงอย่างไรมึงก็สู้กูไม่ได้ บอกให้พวกบางกอกเรียงหน้าเข้ามาเถอะ จะตะลุมบอนกันก็ได้ กูจะคัดพวกกูออกไปให้เหลือ ๗ คนเท่าๆ กัน เสือร้ายอย่างกูไม่เคยเอาเปรียบคู่ต่อสู้หรอกอ้ายทุย”
พลกล่าวกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ทันที
“ผมจะฟันกับอ้ายถมนะครับ คุณอา”
อาเสี่ยจับแขนพลไว้
“อย่า…พลให้กันดีกว่า ขอให้กันได้แสดงฝีมือเพลงดาบสักครั้ง กันนี่แหละคือเหลนของเหลนพระยาพิชัยดาบหัก”
นายพัชราภรณ์มองดูเสี่ยหงวนอย่างขบขัน
“เอาซี แกออกไปประดาบกับอ้ายถมเดี๋ยวนี้ ถ้าแกถูกฟันตาย พวกเราจะพยายามเอาศพแกไปกรุงเทพฯ ให้ได้”
อาเสี่ยสะดุ้งโหยง
“แล้วกัน แทนที่จะอวยพรให้ชนะกับพูดให้ใจเสีย เชื่อมือเสี่ยหงวนเถอะวะ ศึกครั้งนี้ไม่ร้ายแรงอะไรนัก กันจะตัดหัวอ้ายถมเอามาเตะเล่นต่างตะกร้อให้จงได้”
นิกรยกมือตบบ่าเสี่ยหงวนเบาๆ
“เสี่ยโว้ย กันดีกว่า ฝีมืออย่างอ้ายถมอย่างมากสามสี่เพลงเท่านั้น ขึ้คร้านจะวิ่งหนึหากจุกตูด”
เสี่ยหงวนหัวเราะ
“ถ้างั้นเอาซีกร กันไม่อยากหักหน้าแกหรอก”
นายจอมทะเล้นยืดหน้าอกขึ้นในท่าเบ่ง ถือดาบกระชับมั่นเดินรี่เข้าไปหาเจ้าถม ซึ่งเจ้าถมก็ปราดเข้ามาหานิกรทันที นายจอมทะเล้นหยุดชะงักหมุนตัวกลับวิ่งเข้ามาหาพรรคพวกของเขา
“กลับมาทำไมวะ” พลพูดเสียงหนักๆ
นิกรทำหน้าเบ้
“ไม่ไหวโว้ย อ้ายถมทั้งสูงทั้งใหญ่กว่ากัน หน้าตามันดูเหมือนยักษ์วัดแจ้ง ให้อ้ายหงวนฟัดกับมันดีกว่า”
๓๗
อาเสี่ยหัวเราะชอบใจ ถอดแว่นตาขอบกระออกเก็บไว้ในกระเป๋า เมื่อเสี่ยหงวนถอดแว่นตาออกทีไรก็หมายความว่า อาเสี่ยของเราสู้แค่ตาย เขาเดินรี่เข้าไปหาเจ้าถมผู้เป็นเจ้าทุ่งหรือเจ้าถิ่น ท่าทางของเสี่ยหงวนทำให้เจ้าถมชักปอดลอยเหมือนกัน สองเสือหยุดยืนเผชิญหน้ากันในระยะใกล้ชิด
“แกเป็นใคร” เจ้าถมถามเสียงกร้าว
อาเสี่ยยักคิ้วและยิ้มด้วยมุมปากข้างขวาเพียงเล็กน้อย
“กันชื่อกิมหงวน”
“ดีแล้ว กันคืออ้ายถมแห่งทุ่งบางกระสาแกต้องการฟันกับกันตัวต่อตัวใช่ไหม”
เสี่ยหงวนยิ้มด้วยมุมปากข้างซ้าย
“เป็นการคาดคะเนที่ถูกต้อง พวกเราพร้อมที่จะช่วยทิดทุยทำศึกกับพวกแก แต่เราเห็นว่าไม่ควรที่จะต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อมากมาย กันจึงขอฟันกับแกตัวต่อตัว”
เจ้าถมหัวเราะ
“ได้ซีเพื่อน มา…เข้ามา กันพร้อมแล้ว”
เสี่ยหงวนรำดาบเข้าใส่เจ้าถมทันที ต่างฝ่ายต่างจดๆ จ้องๆ กัน เมื่อฝ่ายหนึ่งขยับดาบอีกฝ่ายหนึ่งก็รีบกระโจนออกห่าง ไพร่พลทั้งสองฝ่ายต่างพากันมองดูอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีการตื่นเต้นหวาดเสียว
ครั้งหนึ่งเจ้าถมกระโดดเข้าฟันกิมหงวนเต็มเหนี่ยว อาเสี่ยหลับหูหลับตารับดาบในท่าทางเก้งก้างและถอยอย่างไม่เป็นกระบวน เจ้าถมบุกทะลวงรุกไล่ใช้สันดาบฟันกบาลอาเสี่ยสองทีติดๆ กัน กิมหงวนร้องลั่นวิ่งจู๊ดกลับมาหาพรรคพวกของเขา
“ไม่ได้ความโว้ย ฝีมือกันสู้อ้ายถมไม่ได้แต่เคราะห์ดีที่เอาหลวงพ่อมา ม่ายก็กบาลแบะแล้ว”
พลอดหัวเราะไม่ได้
“ไม่ใช่หลวงพ่อคุ้มกบาลหรอก อ้ายถมมันฟันแกด้วยสันดาบต่างหาก อย่าสู้กับมันอีกเลย ฝีมือแกสู้มันไม่ได้หรอก กันดีกว่า”
ครั้นแล้วพลก็ถือดาบเดินออกไปเผชิญหน้าเจ้าทุ่งในท่าทีอาจหาญ พรรคพวกของเจ้าถมต่างถอยกรูดและมองหน้ากันคล้ายกับจะบอกกันว่าพลคงเป็นเสือร้ายที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บอันแหลมคม
อ้ายเสือรูปหล่อหยุดเผชิญหน้าเจ้าทุ่งแล้วเปิดการเจรจากันด้วยสันติวิธีก่อน
“อ้ายเพื่อนเกลอ รู้จักกันไว้เสียก่อนซีนะ กันชื่อพล เป็นชาวกรุงฯ ก็จริง แต่กันเกิดที่นครปฐมในสมัยที่พ่อของกันเป็นหัวหน้าศาลจังหวัดนี้ กันก็คือลูกนครปฐมคนหนึ่ง เท่าที่กันติดตามทิดทุยมาที่นี่ ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาหักโค่นแกหรอกเพื่อน”
เจ้าถมยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าเช่นนั้นแกต้องการอะไรจากกัน”
“ต้องการเจรจากับแกอย่างเพื่อนฝูงสิเพื่อน ขอให้แกมอบโรยคืนให้ทุยเสียเถิด แล้วก็เลิกข่มเหงรังแกทุยเสียที เท่านี้ทั้งแกและทุยก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข”
เจ้าถมหัวเราะก้าก
๓๘
“ถ้ากันไม่คืนอีโรยจะมีอะไรเกิดขึ้น”
พลว่า “สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความตายน่ะซีเพื่อน แกหรือกันคนใดคนหนึ่งจะต้องเป็นผีเฝ้าหนองส้มป่อยนี้”
เจ้าถมพยักหน้า
“ดีแล้วพล กันอยากรู้นักว่าฝีมือของแกจะแค่ไหน เข้ามีซีเพื่อน กันไม่ชอบพูดพล่ามทำเพลง กันชอบฟันกันหรือยิงกันแบบชายชาติเสือ”
พลมองดูดาบในมือของเขา แล้วปรี่เข้าใส่เจ้าถมทันที เจ้าถมจ้วงแทงก่อน แต่พลป้องปัดคมดาบไว้ได้และฟันตอบไม่ลดละ สองเสือปะทะกันอย่างดุเดือด ดาบต่อดาบกระทบกันเป็นประกายไฟ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าทุยและเจ้าแห้วต่างเอาใจช่วยนายพัชราภรณ์ ส่วนพรรคพวกของเจ้าถมทั้ง ๑๓ คนเอาใจช่วยเจ้าทุ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้เอง พวกชาวนาหนองส้มป่อยทั้งหญิงและชายต่างพากันวิ่งมายังที่เกิดเหตุ ยืนจับกลุ่มมองดูเจ้าถมประดาบกับเจ้าหนุ่มรูปหล่อด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ไหวพริบปฎิภาณของพลเหนือกว่า
เจ้าถมมานะกัดฟันบุกทะลวงรุกไล่ฟาดฟันซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว พลจำเป็นต้องออมแรงไว้จึงสู้พลางถอยพลาง เสี่ยหงวนเห็นพลล่าถอยก็เดือดดาลร้องตะโกนลั่น
“ถอยทำไมวะ อ้ายพล สู้ตายซีโว้ย”
นิกรตะโกนขึ้นบ้าง
“สู้เขาลูกพ่อ”
อ้ายเสือรูปหล่อล่าถอยไปรอบบริเวณนั้น พอได้โอกาสก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกทันที ปลายดาบของพลเฉี่ยวแก้มซ้ายของเจ้าถมทำให้เกิดบาดแผลเล็กน้อย พลแกล้งยั่วเย้าคู่ต่อสู้ของเขาให้บันดาลโทสะ
“อ้ายน้องชาย ชั้นเชิงของแกยังอ่อนมากระวังให้ดีนะ วันนี้แหละแกมีหวังได้ไปคุยกับยมบาลแน่นอน”
เจ้าถมนัยน์ตาวาวโรจน์ ขยับดาบหลอกล่อแล้วทะลวงฟันซ้ายขวาติดกันหลายครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งพลก้มศีรษะหลบได้อย่างหวุดหวิด แล้วกระโจนถอยหลังออกไปตั้งหลักมั่น
“เข้ามาเพื่อน” พลพูดพลางพยักหน้า “ถ้าแกถูกกันฆ่าตายละก้อ อโหสิให้กันด้วยนะถม อย่าผูกเวรจองกรรมกันเลย”
เจ้าถมยกมือซ้ายป้ายเลือดที่แก้ม พอเห็นเลือดก็เดือดดาลมุทะลุดุดันขึ้นมาทันที เจ้าทุ่งปรี่เข้าฟันพลอีก คราวนี้พลไม่ยอมถอยอีกแล้ว เขาควงดาบฟาดฟันคู่ต่อสู้ของเขา การต่อสู้ได้ทวีความดุเดือดขึ้นอีก คนดูใจหายใจคว่ำไปตามกัน เจ้าถมล่าถอยป้องปัดคมดาบของพลอุตลุด และแล้วดาบเจ้าถมก็หลุดกระเด็นไปจากมือเมื่อถูกพลฟันเต็มแรง
เจ้าทุ่งเสียขวัญแล้ว ถอยหลังออกไปให้ห่างพลโดยเร็วที่สุด ยืนหันหลังพิงต้นมะพร้าวต้นหนึ่งเตรียมพร้อมที่จะสู้กับพลด้วยมือเปล่า เจ้าถมมีมีดพกอยู่ในกระเป๋าเสื้อแต่ไม่มีเวลาพอที่จะหยิบออกมา
๓๙
เจ้าทุยร้องตะโกนลั่น
“ฆ่ามัน ฆ่ามันซีครับคุณพล”
แทนที่พลจะถือโอกาสสังหารคู่ต่อสู้ของเขา อ้ายเสือรูปหล่อกลับยิ้มให้เจ้าทุ่ง แล้วกล่าวกับเจ้าถมอย่างใจเย็นว่า
“เก็บดาบของแกขึ้นมาซีถม คนอย่างกันไม่ฆ่าคนที่ไม่มีอาวุธหรือไม่มีทางต่อสู้กันหรอกเพื่อน”
เจ้าถมนึกละอายใจไม่น้อย แต่ก็อดชมน้ำใจลูกผู้ชายของเจ้าหนุ่มชาวกรุงไม่ได้ เจ้าทุ่งค่อยๆ เลื่อนตัวไปที่ดาบของเขาไม่แน่ใจว่าพลจะไม่ทำร้าย แล้วถมก็ก้มลงหยิบดาบคู่มือขึ้นมาถืออย่างรวดเร็วฉับพลัน
อ้ายเสือรูปหล่อกระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้ทันที คราวนี้เจ้าถมมุมานะฟาดฟันซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว ปลายดาบของเจ้าทุ่งเฉี่ยวโดนแขนข้างซ้ายของพลจนเสื้อขาดเป็นทางบาดแผลที่เกิดขึ้นไม่มากมายอะไรนัก แต่ถ้าพลขาดความว่องไวแขนซ้ายของเขาก็คงจะขาดออกจากกันแน่นอน
ผู้ที่ได้ชมการต่อสู้ต่างรู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียวอย่างยิ่ง สองเสือตะลุมบอนกันด้วยชั้นเชิงของเพลงดาบ ครั้งหนึ่งพลถอยเท้าก้าวผิดจังหวะ พอถูกฟันก็ยกดาบขึ้นปิดป้องทำให้พลล้มลงก้นกระแทกพื้น
เจ้าถมจ้วงฟันสามสี่ครั้งติดๆ กัน พลสามารถรับดาบไว้ได้และยกเท้าถีบเจ้าถมซวดเซออกไป พลรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วปรี่เข้าใส่คู่ต่อสู้ของเขาและฟันเจ้าถมอย่างอุตลุด เจ้าทุ่งถอยกรูด อ้ายเสือรูปหล่อขยับดาบหลอกล่อแล้วเงื้อดาบจ้องฟันเต็มเหนี่ยว เจ้าถมกัดฟันยกดาบรับ
“โครม”
แรงเหวี่ยงจากแขนขวาของพลประกอบทั้งดาบคู่มือของพลเป็นเหล็กกล้า จึงทำให้ดาบของเจ้าถมหักสะบั้นออกเป็นสองท่อน
นิกรกระโดดตัวลอยแล้วตะโกนสุดเสียง
“เอาเลยโว้ยพล”
เจ้าถมเผ่นแผล็วกระโจนออกห่างคู่ต่อสู้ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบมีดพกคู่มือออกมาถือจังก้า โยนดาบทิ้งแล้วเปลี่ยนมีดมาถือไว้ในมือข้างขวา
“มา…เข้ามาพี่ชาย”
พลหัวเราะเบาๆ
“แกก็เสียเปรียบกันน่ะซีถม ดาบของกันยาวกว่ามีดพกของแกมาก” พูดจบเขาก็หันไปทางคณะพรรคของเขา “ใครมีมีดพกโยนมาให้กันหน่อยโว้ย”
ดร.ดิเรกดึงมีดพกที่เหน็บไว้ที่เอวออกมาแล้วโยนไปให้นายพัชราภรณ์
“เอาโว้ย สู้มันอ้ายพล”
พลแบมือรับมีดพกของนายแพทย์หนุ่มไว้ได้ เขาโยนดาบคู่มือทิ้งไป บรรดาผู้ที่ยืนชมการต่อสู้ต่างพากันสดุดียกย่องน้ำใจลูกผู้ชายของอ้ายเสือรูปหล่อ เพราะพลไม่ได้ฉวยโอกาสสังหารคู่ต่อสู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาทำได้อย่างสบาย
๔๐
“อ้ายเพื่อนเกลอ” พลพูดยิ้มๆ “คราวนี้แหละนะ ไม่กันก็แกจะต้องตายจากกันไปข้างหนึ่ง กันจะไม่ยอมให้โอกาสแกอีกแล้ว”
ทั้งสองต่างจดจ้องคุมเชิงกันและหมุนตัวไปรอบๆ เจ้าถมปราดเข้าแทงก่อน พลเอี้ยวตัวหลบฉากปลายมีดอันแหลมคมเฉี่ยวเสื้อของพลขาดแคว่ก พรรคพวกของเจ้าถมต่างกระโดดโลดเต้นร้องเชียร์ลูกพี่ของตน
“ฆ่ามันให้ได้พี่ถม บุกเข้าไปอย่าถอย”
พลล่อถอยออกห่างและตั้งหลักมั่น สองเสือขยับมีดย่างสามขุมเข้ามาหากัน เจ้าคุณปัจจนึกฯ ยืนนิ่งเฉยเหมือนรูปหุ่น เสี่ยหงวนเผลอตัวยกฝ่ามือทั้งสองข้างวางบนศีรษะท่านเจ้าคุณ จ้องเขม็งมองดูพลด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นพลถอยเท้าออกไป อาเสี่ยก็เดือดดาลใช้ฝ่ามือทั้งสองตีศีรษะเจ้าคุณปัจจนึกฯ เหมือนกับตีกลอง
“อย่างถอยซีโว้ย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ รู้สึกตัวก็ทำปากจู๋ แล้วยกศอกขวากระแทกถูกท้องกิมหงวนดังพลั่ก ทำให้อาเสี่ยจุกแอ้ดๆ ถึงกับทำหลังโกง
การต่อสู้ด้วยมีดสั้นทำความตื่นเต้นให้กับผู้ดูมาก ทั้งสองพยายามหาทางสังหารอีกฝ่ายหนึ่ง พลระวังตัวอย่างดีที่สุด นานๆ จึงจะเข้าจ้วงแทงสักครั้ง เจ้าถมหมายมั่นปั้นมือที่จะฆ่าคู่ต่อสู้ของเขา ต่างฝ่ายต่างจ้องมองดูกันแทบไม่กระพริบตา
ครั้งหนึ่ง เจ้าถมปราดเข้าแทงพลเต็มเหนี่ยว อ้ายเสือรูปหล่อหลบไม่ทันจึงยกมือซ้ายคว้าข้อมือเจ้าถมไว้แล้วแทงสวนลงไป แต่เจ้าถมก็ว่องไวพอตัวยกมือซ้ายจับข้อมืออ้ายเสือรูปหล่อไว้ได้เช่นเดียวกัน
ต่างฝ่ายต่างใช้กำลังปลุกปล้ำกันและแย่งมีดกัน กำลังของเจ้าถมเหนือกว่าพลเล็กน้อย ดังนั้น เมื่อข้อมือข้างขวาของพลถูกบิดเต็มแรง พลก็ปล่อยมีดพกร่วงหลุดจากมือด้วยความเจ็บปวด
พลรู้ดีว่าเขาตกเป็นรองคู่ต่อสู้แล้ว พลรีบถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็วที่สุดและดึงเอาตัวเจ้าถมตามออกไปด้วย อ้ายเสือรูปหล่อใช้เข่าขวากระแทกหน้าอกเจ้าถมอย่างถนัดใจ เจ้าทุ่งปล่อยมือซ้ายที่จับข้อมือขวาของพลออกและแล้วทันใดนั้นเอง ฮุคขวาของพลก็เหวี่ยงโครมออกไปกระแทกถูกปลายคางเจ้าถมดังพล็อก
เหมือนกับนกปีกหัก เจ้าทุ่งปล่อยมีดหลุดออกจากมือผงะหงายล้มลงนอนเหยียดยาวอย่างไม่เป็นท่า คณะพรรคสี่สหายกระโดดโลดเต้นตบมือโห่ร้องกันเกรียวกราว
พลโยนมีดสั้นคู่มือทิ้งไปแล้วจ้องมองดูคู่ต่อสู้ของเขา ซึ่งกำลังพยายามพยุงกายลุกขึ้นนั่งอย่างมึนงงไม่ผิดอะไรกับไก่ตาแตก
“ลุกขึ้นมาถม เราสู้กันด้วยดาบและมีดสั้นมาแล้วอย่างโชกโชน ฝีมือของเรายังก้ำกึ่งกันอยู่ ลองสู้กันด้วยหมัดรุ่นๆ ดูบ้าง”
เจ้าถมหายใจถี่เร็วแสดงความเหน็ดเหนื่อยและบอบช้ำ อย่างไรก็ตาม จิตใจของเจ้าถมยังดีอยู่เสมอ เจ้าทุ่งผุดลุกขึ้นยืนและยกหลังมือซ้ายเช็ดปากของเขา สมุนของเจ้าถมคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นดังๆ
“สู้ตายพี่ถม พี่จะยอมให้เสือต่างถิ่นเหยียบหน้าพี่ยังงั้นหรือ”
๔๑
เจ้าถมปราดเข้าเตะพลด้วยเท้าขวาทันที พลยกแขนขึ้นปิดและชกสวนด้วยหมัดขวา แต่ถมหลบทันและถอยออกห่างเล็กน้อย เมื่อพลกระโจนเข้าประชิดตัวตีเข่าลอย ถมก็หลบฉากเหวี่ยงด้วยหมัดสวิงขวาถูกก้านคอนายพัชราภรณ์ดังฉาด อ้ายเสือรูปหล่อซวนเซไปหลายก้าว แต่ไม่ถึงกับเสียหลักหกล้ม
เสี่ยหงวนแหกปากตะโกนลั่น
“เตะซีโว้ยพล จดจ้องอยู่ทำไมเล่า หน้ามันไม่มีส่วนเหมือนพ่อแกสักนิด เอาเลยพวกเรา”
เจ้าแห้วร้องตะโกนขึ้นบ้าง
“รับประทานกระโจนขึ้นเหยียบชายพกถองกบาลมันซีครับ”
พลยอมรับว่าเขาเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย คู่ต่อสู้ของเขาทรหดอดทนที่สุด เข้มแข็งทั้งกำลังกายและจิตใจ พลเต้นเท้าเข้าหาเจ้าถมทีละน้อย เมื่อเจ้าถมบุกเข้ามาจะชกเขา พลก็ยกเท้าซ้ายถีบถูกหน้าเจ้าถมพอดี เล่นเอาเจ้าทุ่งผงะหน้าเซออกไปด้วยแรงถีบ
เจ้าถมเป็นฝ่ายเข้าทำอีก ปรี่เข้าชกพลด้วยหมัดสวิงขวา คราวนี้พลยืนปักหลักมั่น ซดหมัดกับเจ้าถมในระยะใกล้ชิดแบบแลกหมัด ทั้งสองรัวหมัดเข้าใส่กันถ้อยทีถ้อยชกหน้ากัน พรรคพวกของทั้งสองฝ่ายตบมือโห่ร้องลั่นอย่างที่เรียกว่าถึงใจพระเดชพระคุณ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ผละออกจากกัน
ทิดทุยร้องตะโกนบอกพล
“น๊อคเลยคุณพล เอาซีครับอ้ายถมหมดแรงแล้ว”
พลปรี่เข้าชกฮุคขวา เจ้าทุ่งก้มศีรษะหลบหมัดของพลได้อย่างหวุดหวิด แล้วล่าถอยเพื่อออมแรงไว้ พลรุกตามด้วยหมัดตรงขวา เจ้าถมตัดสินใจเข้าแลกหมัดกับพลอีก เสียงตบมือโห่ร้องดังอยู่ตลอดเวลา
ศอกซ้ายซึ่งเป็นศอกสั้นของเจ้าทุ่งเปิดแผลที่คิ้วขวาของพลได้แล้ว โลหิตสีแดงเข้มไหลทะลักลงมาที่โหนกแก้ม พรรคพวกของเจ้าถมกระโดดตัวลอย บางคนก็เป่าปากลั่น เจ้าถมรัวหมัดและศอกเข้าใส่พลจนกระทั่งพลไม่มีโอกาสที่จะใช้หมัด ได้แต่ปิดป้อง
แต่เพียงเสี้ยวของนาทีที่เจ้าถมเปิดช่องว่าง ทันใดนั้นเอง หมัดขวาของพลก็เหวี่ยงโครมออกไปถูกปากครึ่งจมูกครึ่งของเจ้าถมพอดี
เจ้าถมลงไปนอนหงายเหยียดยาวอย่างไม่เป็นท่า เสี่ยหงวนวิ่งเข้ามากันพลไว้ ทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามมวยนอกเวที อาเสี่ยมองดูเจ้าถมซึ่งกำลังบิดตัวไปมาลุกก้งโค้งตูดโด่งแล้วล้มฮวบลงไปอีก
กิมหงวนตะโกนนับเสียงลั่น
“หนึ่ง…สอง…สาม…”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ นิกร, ดร.ดิเรก, เจ้าแห้วและทิดทุยต่างช่วยกันนับพร้อมๆ กัน จนกระทั่งถึงสิบเจ้าถมก็คงยังนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง อาเสี่ยกิมหงวนคว้ามือข้างขวาของพลชูขึ้นเหนือศีรษะ ร้องประกาศให้คนดูทราบ
“เหลืองชนะ”
ดร.ดิเรกวิ่งเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างเจ้าถม ประคองช้อนศีรษะขึ้นให้ความช่วยเหลือเจ้าถมตามหน้าที่ของนายแพทย์ ใครต่อใครต่างเข้ามาห้อมล้อมมองดูเจ้าถมซึ่งปราชัยเจ้าหนุ่มชาวกรุงอย่างยับเยิน บรรดา
๔๒
พรรคพวกของเจ้าถมต่างรู้สึกครั่นคร้ามในฝีมือของพล แต่พลกับคณะพรรคสี่สหายไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูของพรรคพวกเจ้าถมเลย
ด้วยการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องเพียงครู่เดียว เจ้าถมก็ฟื้นคืนสติ เมื่อเจ้าทุ่งลืมตาขึ้นมองดูโลก นายแพทย์หนุ่มก็ช่วยประคองให้ลุกขึ้นนั่ง
“เป็นไงบ้างน้องชาย” ดร.ดิเรกถามยิ้มๆ “ฟันฟางในปากยังอยู่ครบดีหรือ สำรวจดูเสียซี”
เจ้าถมยิ้มแค่นๆ เต็มไปด้วยความอับอายขายหน้าเหลือที่จะกล่าว แต่เจ้าถมมีจิตใจเป็นนักกีฬาคนหนึ่ง คือรู้แพ้ รู้ชนะและรู้อภัย เจ้าถมไม่ตอบคำถามของดร.ดิเรก เขาเงยหน้าขึ้นมองดูพลซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา พร้อมด้วยคณะพรรคสี่สหาย เจ้าถมยกมือขวาแล้วกล่าวกับพลว่า
“กันยอมแพ้แก พล”
อ้ายเสือรูปหล่อยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือขวาให้เจ้าทุ่ง
“เราฟาดปากกันมาพอหอมปากหอมคอกันแล้ว เลิกเป็นศัตรูกันเสียทีเถอะเพื่อน เรามาเป็นมิตรกันดีกว่า กันและพวกเราไม่มีเจตนาที่จะลบเหลี่ยมลบคมแกเลย แต่กันจำใจต้องปะทะกับแกเพราะไม่มีทางหลีกเลี่ยง”
เจ้าถมลังเลใจอยู่สักครู่ก็สัมผัสมือกับพลด้วยดี
“แกแน่มากพล ฝีมือของแกเหนือกันจริงๆ พ่อของกันพูดไว้ไม่มีผิด ถึงพ่อกันตายไปแล้วกันก็ยังจำคำพูดของพ่อได้ดี พ่อว่าเจ้าถิ่นหรือยอดนักเลงทั้งหลายจะถูกคนดีมีฝีมือมาปราบในวันหนึ่ง คนดีไม่มีวันหมดสิ้น ศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี กันสิ้นศักดิ์ศรีและเขี้ยวเล็บเสียแล้ว”
พลเลื่อนตัวมาประคองเจ้าทุ่งให้ลุกขึ้นยืน ทุกคนก็พลอยลุกขึ้นด้วย
“แต่เมื่อกันกลับไปแล้วแกก็จะเป็นเจ้าทุ่งหรือเจ้าถิ่นตามเดิม กันอยากจะขอร้องให้แกเป็นมิตรไมตรีกับทิดทุยเสียเถิด อย่าเป็นศัตรูกันเลยเพราะนอกจากแกกับทิดทุยเป็นพี่น้องร่วมชาติกันแล้ว ยังเป็นคนเมืองเดียวบางเดียวกันด้วย”
ทิดทุยกล่าวกับพลทันที
“ผมเป็นมิตรกับอ้ายถมไม่ได้หรอกครับ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ยกมือตบหลังเจ้าทุยเบาๆ
“พลมันอุตส่าห์ไกล่เกลี่ยให้ปรองดองกันแล้ว อย่าให้เจ้าพลมันเสียหน้าเลยวะ”
ทิดทุยขบกรามกรอด
“ใต้เท้าคิดดูซีครับ อ้ายถมมันทำกับผมเจ็บปวดเพียงใด เริ่มต้นด้วยการขโมยควายผมเอาไปเชือดกินถึงสองตัว”
นิกรพูดโพล่งขึ้น
“ของมันขโมยกันได้นี่นา อย่าไปคิดอะไรเลย”
ทิดทุยทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้
๔๓
“เอาละครับ เรื่องควายผมจะไม่คิด แต่อ้ายถมฟันมือผมจนมือขวาขาดแล้วก็ฉุดคร่าพาเอาคนรักของผมมาหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ อ้ายถมทำให้ผมอายเขาไปทั้งบาง ผมต้องเสียสัตย์ฝ่าฝืนคำสาบานก็เพราะความเจ็บช้ำน้ำใจของผม”
ดร.ดิเรกยิ้มให้ทิดทุยแล้วกล่าวว่า
“โลกเรานี้มีอยู่สองค่าย คือค่ายคอมมิวนิสต์และเสรีประชาธิปไตย หากสองค่ายนี้รวมกันได้เมื่อไร สันติภาพอันแท้จริงก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น แกกับถมก็เช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นเสือร้ายที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บอันแหลมคม ควรจะเป็นมิตรกันดีกว่า เท่าที่แกถูกฟันมือขาดก็เนื่องจากฝีมือของแกสู้ถมไม่ได้ การต่อสู้กันใครพลาดก็ต้องบาดเจ็บหรือล้มตายไป อย่าลืมว่าแกกับถมสู้กันตัวต่อตัว เป็นไปด้วยความยุติธรรมแล้ว”
เจ้าถมยิ้มให้ศัตรูคู่อาฆาตของเขา
“เราเป็นมิตรกันเหมือนแต่ก่อนเถอะวะอ้ายทุย ความจริงมึงกับกูก็เหมือนกับญาติกัน พ่อมึงกับพ่อกูเป็นเพื่อนน้ำสาบานกัน แม่กูกับแม่มึงก็เป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กแต่น้อย มึงกับกูเคยเล่นหัว เคยร่วมกินร่วมเที่ยวกันตั้งแต่เป็นเด็กทารก มา…เช็คแฮนด์กับกูอ้ายทุย มือขวามึงขาดเอามือซ้ายจับก็ได้”
เจ้าทุยยิ้มแค่นๆ
“กูยังไม่ยอมจับมือกับมึงง่ายๆ หรอกอ้ายถม กูไม่ติดใจในเรื่องที่มึงขโมยควายกูไปเชือด กูไม่โกรธมึงเท่าที่มึงฟันมือกูขาดทำให้กูทุพพลภาพตลอดชีวิต แต่มึงจะต้องตกลงกับกูก่อนในเรื่องอีโรยดวงใจของกู”
เจ้าถมยิ้มแห้งๆ
“อีโรยมันได้เสียเป็นเมียกูแล้ว”
ทิดทุยสะดุ้งเฮือก
“ไม่จริง มึงอย่าโกหก”
เจ้าทุ่งหัวเราะ
“มึงคิดดูอ้ายทุย กูไม่ใช่พระอิฐพระปูนโว้ย กูเป็นโสดเต็มไปด้วยความปล่าวเปลี่ยวใจ กูฉุดคร่าเอาอีโรยมากักขังไว้ที่หนองส้มป่อยก็เพราะกูรักมัน เวลาเกือบครึ่งเดือนมันน้อยอยู่หรือ กูทนว้าเหว่ไม่ไหวกูเลยปล้ำมัน”
ทิดทุยโกรธจนตัวสั่น ยกมือชี้หน้าเจ้าถม
“มึงโหดร้ายป่าเถื่อนไม่มีศีลธรรม มึงรังแกผู้หญิง”
“อ้าว ขืนไปรังแกผู้ชายก็ถูกเตะปากเอาเท่านั้น อย่าคิดอะไรเลยวะ มึงหาเอาใหม่เถอะอ้ายทุย ผู้หญิงที่บางกระสายังมีอีกถมเถไปมึงชอบใจใครบอกกู กูจะช่วยฉุดให้ เรื่องฉุดผู้หญิงกูชำนาญนัก เอามีดโกนจี้คอหอยเท่านั้นขี้คร้านจะเดินตามต้อยๆ”
ทิดทุยปวดร้าวใจอย่างยิ่ง
“กูไม่ยอมอ้ายถม เป็นตายอย่างไรกูไม่ยอม ถ้าจะเป็นมิตรกับมึงต้องส่งดวงยิหวาของกูคืนมา ถึงได้เสียเป็นเมียมึงแล้วกูไม่รังเกียจ กูรักของกู”
เจ้าถมหัวเราะ
๔๔
“ของเซ็คกันแฮนด์มึงจะเอาไปทำอะไรวะ เปรียบอีโรยก็เหมือนกับรถยนต์ใช้แล้ว”
“เออ ช่างกูเถอะ กูรักอีโรยเหมือนชีวิตกู ถึงเป็นรถเซ็คกันแฮนด์ ตัวถังและเบาะตลอดจนเครื่องแตรก็ยังดีอยู่ รถที่ออกจากอู่ใหม่ๆ กูก็ไม่ชอบเหมือนกัน เครื่องมันตึงเกินไป”
คณะพรรคสี่สหายและพรรคพวกของเจ้าถมต่างหัวเราะชอบอกชอบใจไปตามกัน พล พัชราภรณ์กล่าวกับเจ้าทุ่งอย่างกันเอง
“น้อยชาย กันขอร้องแกให้คืนโรยให้ทุยเสียเถิดเพื่อน ความเป็นศัตรูก็จะกลายเป็นมิตร”
เจ้าถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ก็เอาซี กันพร้อมแล้วที่จะคืนอีโรยให้”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ต้องทำพิธีลุยไฟ ให้โรยมันลุยเพื่อแสดงความบริสุทธิ์เหมือนอย่างนางสีดาลุยไฟ”
เจ้าทุยค้อนนิกร
“ขืนให้โรยมันลุยไฟ ตีนมันก็พองเท่านั้นแหละคุณ อ้ายถมมันบอกอยู่หยกๆ อีโรยได้เสียเป็นเมียมันแล้ว”
เจ้าถมมองดูด้วยความสงสาร แล้วมันก็ยิ้มให้ทิดทุย
“อ้ายเกลอ กูจะมอบตัวอีโรยให้มึงเดี๋ยวนี้ เท่าที่มึงกับกูผิดพ้องหมองใจกันมา ขอให้เราอโหสิกันเสีย มึงกับกูจะเป็นมิตรกันต่อไป อ้า…ไปซีอ้ายทุย ตามกูไปบ้านทิดสอนเดี๋ยวนี้ อีโรยถูกขังอยู่ที่นั่นและได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เดี๋ยวนี้แฟนมึงด่าเก่งขึ้นโว้ย ด่าเป็นไฟแลบทีเดียว สามารถลำดับปู่ย่าตายายของกูได้ถูกต้องไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คนเดียว อ้อ…เดี๋ยวก่อนโว้ย ตกลงกันให้เรียบร้อยเสียก่อน”
เจ้าทุยขมวดคิ้วย่น
“ตกลงตะหวักตะบวยอะไรกันอีกวะ”
“อ้าว…ก็ตกลงเรื่องอีโรยน่ะซี กูก็รักอีโรยไม่น้อยกว่าที่มึงรักมัน”
เจ้าทุยค้อนปะหลับปะเหลือก
“จะตกลงอย่างไรก็ว่ามา”
เจ้าถมมองดูทุยอย่างเกรงใจ
“เอายังงี้ก็แล้วกัน มึงถามความสมัครใจของอีโรยมันดู ถ้ามันรักมึงสมัครใจที่จะไปกับมึงก็รับตัวมันไป แต่ถ้ามันรักกูสมัครใจอยู่กับกู มึงก็สละอีโรยให้กูเถอะนะ กูคิดว่ามันต้องรักกูแน่”
เจ้าทุยทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งแหย
“มึงมั่นใจอย่างนั้นหรือ ดีแล้ว…ถ้าเช่นนั้นตกลงตามนี้”
ครั้นแล้วเจ้าถมก็พาเจ้าทุยกับคณะพรรคสี่สหายมุ่งตรงไปยังบ้านทิดสอน บรรดาพวกชาวบ้านหนองส้มป่อยที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ ต่างแยกย้ายกันไป สมุนของเจ้าถมบ่นพึมพัมที่เจ้าถมไปเป็นพันธมิตรกับศัตรู
ระหว่างที่เดินมาตามทางเสี่ยหงวนได้ถามทิดทุยเบาๆ ว่า
“ถามจริงเถอะวะทุย โรยของแกน่ะสวยมากเชียวหรือ”
๔๕
ทิดทุยถอนหายใจหนักๆ
“สามโลกหาเปรียบเทียบไม่ได้หรอกครับ อาเสี่ยเห็นโรยของผมอาเสี่ยจะต้องตื่นเต้นในความงามของโรย ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า โรยมันเป็นยอดกัลยาแห่งทุ่งบางกระสา ถึงผิวเนื้อมันดำเพราะถูกแดดลม มันก็ขำคมและอวบอัดไม่ใช่เล่นนะครับ”
อาเสี่ยถามต่อไป
“อายุเท่าไร เพิ่งรุ่นสาว”
“ครับ แตกเนื้อสาวเมื่อปีก่อนนี้เองแหละครับ มันผ่านฤดูฝนมา ๑๗ ครั้งแล้ว พวกผู้ชายที่บางกระสาแทบทุกคนล้วนแต่หลงรักมันครับ แต่ผมโชคดีกว่าคนอื่น โรยมันยอมอยู่ในอ้อมกอดของผม”
เสี่ยหงวนหัวเราะชอบใจ
“ฟังแกพูดถึงโรย กันชักตื่นเต้นเสียแล้วอยากเห็นจังว่ะ กันเชื่อทีเดียวว่าโรยของแกคงสวยไม่น้อย ม่ายงั้นถมคงไม่ฉุดโรยมาจากบางกระสา”
“ไม่เพียงแต่อ้ายถมหรอกครับ โรยมันหวุดหวิดจะถูกฉุดตั้งหลายครั้ง นักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานตั้ง ๒๐ กว่าคนนะครับที่มีติดอีโรยของผม วันเสาร์ทางโรงเรียนเขาปล่อยกลับกรุงเทพฯ แทนที่จะกลับไปบ้าน กลับไปป้วนเปี้ยนที่บางกระสา”
“อือ” อาเสี่ยคราง “ถ้ายังงั้นก็หยาดฟ้ามาดินทีเดียว จริงโว้ย…ช้างเผือกย่อมเกิดในป่าดงพงไพร ผู้หญิงบางกอกน่ะไม่ได้ความหรอก ตัดและดัดผมสั้นแลเห็นหางเต่ายาวเฟื้อย นุ่งกระโปรงบานปล่อยให้กระโปรงระกบาลคนตอนที่เดินผ่านคนที่นั่งดูหนังเข้าไปนั่งยังที่นั่งของหล่อน”
การสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เมื่อเจ้าถมชะลอฝีเท้าลงมาเดินเคียงคู่กับทิดทุยแล้วกล่าวกับทิดทุยว่า
“อ้ายทุย มึงหายอาฆาตพยาบาทแล้วหรือยัง”
ทิดทุยฝืนยิ้ม
“หายแล้ว”
“เออ…ขอบใจมึงมาก กูก็เลิกเป็นศัตรูกับมึงแล้ว ต่อไปนี้กูจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีเสียที กูรู้สึกสำนึกตัวแล้ว ถ้ากูขืนเอาแต่เที่ยวเล่นการพนัน ไม่ช้ากูก็ต้องเป็นโจรและเมื่อเป็นโจรกูก็มีหวังติดคุกหรือถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย กูจะเป็นคนดีเหมือนอย่างมึงบ้าง”
“กูโมทนาสาธุด้วย”
เจ้าถมพาทิดทุยกับคณะพรรคสี่สหายพร้อมด้วยเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วมาถึงหน้าบ้านทิดสอน แล้วเมื่อเจ้าถมเอื้อมมือผลักประตูรั้วออก เสียงสุนัขสองสามตัวก็เห่าลั่น เจ้าถมเดินนำหน้าพาทุกคนผ่านประตูรั้วเข้าไปร้องตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน
“สอน สอนโว้ย อ้ายสอน”
เงียบกริบไม่มีเสียงขานรับ เจ้าถมยกมือขวาเกาศีรษะแกร็กๆ
“ว้า…ถ้าไม่อยู่กระมังหว่า ดูบ้านมันเงียบเชียบเหลือเกิน”
“คงอยู่น่า” ทิดทุยพูดเสียงหนักๆ “ถ้าจะให้ดีมึงลองตะโกนเรียกชื่อพ่อทิดสอนซีวะ”
๔๖
เจ้าถมหัวเราะลั่นและเห็นพ้องด้วย เจ้าทุ่งป้องปากตะโกนลั่น
“อ้ายสิงห์…อ้ายสิงห์โว้ย”
ชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าต่าง เขาคือทิดสอนลูกชายคนเดียวของผู้ใหญ่สิงห์นั่นเอง ทิดสอนยกมือขวาป้องหน้าผากมองมาที่เจ้าถม แล้วแกล้งตะโกนล้อชื่อพ่อเจ้าถม
“อ้อ…อ้ายแถม มึงหรอกรึ ขึ้นมาซี”
เจ้าถมทำคอย่นแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก หันมาพูดกับทิดทุยเบาๆ ว่า
“มึงกับพวกเจ้านายของมึงรออยู่ที่นี่เถอะอย่าแห่กันขึ้นไปบนเรือนเลย กูจะขึ้นไปพบอ้ายสอนขอตัวอีโรยคืนมาแล้วจะพามามอบตัวให้มึง”
ทิดทุยพยักหน้า
“ดีแล้ว กูไม่ชอบขึ้นบ้านคนที่กูไม่รู้จักหรอก”
เจ้าทุ่งยิ้มให้คณะพรรคสี่สหายแล้วเดินขึ้นไปบนเรือนผู้ใหญ่สิงห์ ทิดทุยมีท่าทางกระสับกระส่ายอยากจะเห็นหน้าสุดที่รักของเขาถึงกับชะเง้อคอมองดูตามหน้าต่างและประตูนอกชาน
นิกรสัพยอกอ้ายด้วนหรือทิดทุย
“แฟนของแกยกให้กันได้ไหมเพื่อน”
ทิดทุยสะดุ้งเฮือกเหมือนถูกเข็มแทง เขามองดูนายจอมทะเล้นแล้วกล่าวกับนิกรด้วยความเกรงใจ
“อ้า…คุณขออีโรยก็เท่ากับขอดวงใจของผม”
“แกคงรักปานจะกลืนกิน”
“ครับ เท่าชีวิตของผมก็ว่าได้ โรยมันมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจเชียวครับ นัยน์ตากลมโตแจ่มใสเหมือนดาวรุ่ง ปากน้อยๆจิ้มลิ้มพริ้มเพรา คิ้วโก่งเหมือนคันศร แก้มเป็นพวงรับกับจมูก”
เสี่ยหงวนพูดต่อ “อกขนาดเจน รัสเซล…”
“โอ๊ย…ใหญ่กว่าอีกครับ” เจ้าทุยร้องลั่น “หนุ่มๆ บางกระแสให้สมญาโรยของผมว่า อกภูเขาร็อคกี้ครับ”
ดร.ดิเรกจุ๊ปาก
“ไม่เลวโว้ย อยากเห็นจัง ถ้าอย่างไรกันขอตัวโรยไปประกวดนางสาวไทยปีนี้ได้ไหม”
เจ้าทุยหน้าจ๋อย รีบปฏิเสธทันที
“อย่าครับคุณหมอ เรื่องนี้ผมกราบเท้าขอเสียทีนะครับ ถ้าอีโรยขึ้นประกวดยอดพธูของไทย บังเอิญมันโชคดีได้สวมมงกุฎ มันก็คงไม่รู้จักผม เรื่องทำนองนี้เคยมีตัวอย่างมามากแล้วครับ”
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้นเบาๆ
“โรยของแกตะโพกเท่าไร หน้าอกเท่าไรวะทุย”
ทิดทุยหันมาทางเจ้าแห้ว
“ไม่บอก เดี๋ยวแกแอบไปบอกคณะกรรมการจังหวัดนครปฐม ให้เขาเอาตัวอีโรยไปประกวดนางสาวไทย ข้าก็แย่เท่านั้น”
๔๗
เจ้าแห้วหัวเราะแล้วพูดเสียงยานคาง
“หวงฉิบหายเลย เดี๋ยวแย่งเสียนี่”
“ก็ลองดูอ้ายแห้ว กว่ามึงจะแย่งไปได้เลือดก็ต้องนองทุ่งนี้แหละวะ กูสู้ตายถวายชีวิตเลย”
คณะพรรคสี่สหายหัวเราะครืน พลล้วงกระเป๋าหยิบซองบุหรี่แจกจ่ายเพื่อนๆ เจ้าคุณปัจจนึกฯ กับดร.ดิเรกกำลังสนใจกับนกเขาป่าตัวหนึ่งซึ่งขันคูอยู่บนยอดไผ่ข้างบ้านผู้ใหญ่สิงห์
เวลาผ่านพ้นไปประมาณ ๑๐ นาที เจ้าถมก็เดินลงมาจากเรือนหลังนั้น หญิงสาวคนหนึ่งติดตามลงมาด้วย หญิงสาวผู้นี้อายุไม่เกิน ๑๘ ปี รูปร่างอ้วนใหญ่ผิดปกติ น้ำหนักตัวประมาณ ๗๕ ก.ก. ผิวเนื้อดำสนิท แขนแต่ละข้างเหมือนขาหมูแฮม ใบหน้ากว้างใหญ่มู่ทู่ คอสั้น ริมฝีปากแบะหนา จมูกบานรั้น นัยน์ตากลมโต ดัดผมทาปากเขียนคิ้วและแต่งกายทันสมัย สวมกระโปรงฮาไวสีตองอ่อน สวมเสื้อคอกว้างสีบานเย็นเว้าหน้าเว้าหลัง คาดเข็มขัดเส้นเล็กๆ ทับเสื้อนอก ทั้งๆที่หล่อนไม่มีเอวหรือหาส่วนเอวไม่พบ สวมรองเท้าส้นสูงสีแดงสด ท่าทางของหล่อนเต็มไปด้วยความกระดากอาย
นิกรเผลอตัวร้องขึ้นสุดเสียง
“ว้าย ใครปล่อยผีเสื้อสมุทรลงมา”
ทิดทุ้ยเอื้อมมือเขี่ยแขนนิกรแล้วพูดยิ้มๆ
“นี่แหละครับ อีโรยของผม”
นิกรนัยน์ตาเหลือก
“ตายห่า…นี่นะเรอะโรยของแก”
“ครับ” ทิดทุยตอบอย่างภาคภูมิ “อย่ามองผาดซีครับ คุณนิกร ต้องมองพิศ”
นิกรทำท่าเหมือนกับจะเป็นลม
“จะมองผาดหรือมองพิศก็ไม่ไหวทั้งนั้น อุ๊ยตาย…ดัดผมทรงออเดรซะด้วย โถ…แม่คุณ อายม้วนต้วนไปเลย”
อาเสี่ยกลืนน้ำลายติดๆกันหลายครั้ง เขาจ้องตาเขม็งมองดูโรย ซึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนเบื้องหน้าเขา กิมหงวนทำท่าพะอืดพะอมเหมือนกินน้ำมันละหุ่ง เขากล่าวถามถมด้วยเสียงสั่นเครือ
“ใครน่ะถม คนตายจนขึ้นอึ่ดทึ่ดอย่างนี้แล้วแกพามาทำไม”
เจ้าถมรู้สึกไม่พอใจแต่ฝืนหัวเราะ
“ทำไมคุณพูดดูหมิ่นคนรักของผมอย่างนี้ล่ะครับ นี่แหละครับโรย สาวน้อยหรือยอดพธูที่ทำให้ผมกับอ้ายทุยต้องประกาศสงครามกัน”
เสี่ยหงวนอ้าปากหวอ
“อนิจจังทุกขัง…กรโว้ย ร้องยี่เกชมโฉมโรยหน่อยเถอะวะ”
นิกรรำป้อเข้าไปหาโรยแล้วร้องยี่เกทันที
แม่กุหลาบสีหมึก
ใจพี่เต้นระทึกเมื่อได้ยลโฉม
๔๘
ยอดนารีศรีสยามแม่เอ๋ยช่างงามนัก
สวยสง่าเหมือนนางยักษ์อยากเล้าโลม
น้องโผล่จากใต้ดินหรือบินมาจากกรุงโรม
สาวน้อยโกรธตุปัดตุป่อง ค้อนนิกรแล้วกระทืบเท้า
“เค้าอายไม่ใช่เหรอ เห็นเค้าเป็นผู้หญิงยังไงยะถึงได้มาล้อเลียนเค้าอย่างนี้ คนอะไรไม่มีจรรยา”
นิกรหัวเราะงอหาย ย่องเข้าไปยกมือขวาตีก้นโรยดังเพียะ
“นี่แน่ะ ตีเสียหน่อยเถอะ อุ๊ยตาย…หัวเราะโว้ย ฟันโตเกือบเท่าจอบ อื้อฮือ กลิ่นจั๊กแร้แรงซะด้วย อ้อ…ไม่ใช่โว้ย กลิ่นอั๊วเอง”
กิมหงวนเดินเข้ามาหาสาวน้อยอย่างขบขัน ความที่อยากเห็นหน้าชัดๆ อาเสี่ยถึงกับถอดแว่นตาขอบกระออกมาดูหล่อน
“หนู หนูชื่ออะไรจ๊ะ”
หล่อนยิ้มเอียงอาย
“หนูนะฮะ หนูชื่อโรยฮ่ะ”
อาเสี่ยระบายลมหายใจออกมาจากปากเบาๆ
“หนูอายุเท่าไหร่”
โรยเจ้ายิ้มพร้อมกับพยักหน้าทำตาหวาน
“๑๗ ฮ่ะ”
กิมหงวนกลืนน้ำลายเอื๊อก
“หนูไปอยู่กรุงเทพฯ ไปเป็นเมียน้อยน้าเอาไหม”
“ไม่เอ๊า” หล่อนร้องเสียงแหลมและยกฝ่ามือทั้งสองข้างปิดหน้า “พูดยังงี้เค้าอายไม่ใช่เหรอ”
เจ้าถมโบกมือขอร้องอาเสี่ยให้เลิกสัมภาษณ์แฟนของเขา แล้วเจ้าทุ่งก็กล่าวกับทิดทุยอย่างเป็นงานเป็นการ
“คนกลางเขายืนอยู่แล้ว มึงกับกูมาตกลงกันให้เรียบร้อย มึงถามอีโรยมันซีว่ามันจะไปกับมึงหรือมันจะอยู่กับกู”
ทิดทุยพยักหน้ารับทราบ เดินเข้ามาหาโรยและยกมือซ้ายจับแขนหล่อน
“โรย…ข้าอุตส่าห์เสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตทำศึกกับอ้ายถมจนกระทั่งข้าเป็นคนพิการไปแล้ว ข้ายอมเสียสละทุกอย่างด้วยความรักเอ็ง ข้ายกทัพมาจนถึงหนองส้มป่อย เอ็งคงจะเห็นใจข้า บอกข้าซิโรย เอ็งจะไปกับข้าไหม”
โรยมันสลัดมือทุยออก แล้วถอยหลังไปยืนข้าง “แฟน” ใหม่
“พี่ทุย ถ้าพี่เป็นควายก็เหมือนกับว่าพี่เขาหักเสียแล้ว มีมือเพียงข้างเดียวพี่จะทำมาหากินอะไรได้ ข้าบอกตามตรงว่าข้าไม่รักพี่ทุยแล้ว”
เจ้าทุยโกรธจนหน้าเขียว
๔๙
“ชะช้า…อีวันทองสองใจ ไหนเอ็งบอกว่า ข้ารักทุย…ข้ารักทุย แล้วทำไมเอ็งถึงสลัดรักข้าอย่างง่ายดายเช่นนี้”
โรยยกมือขึ้นท้าวสะเอว วางท่าให้สมาร์ทเหมือนกับชาวบางกอก
“พี่เป็นแต่เพียงแฟนของข้าเท่านั้น ไม่มีอะไรมาผูกมัดข้า ส่วนพี่ถมเป็นผัวข้าแล้ว ข้าก็ต้องรักเขา ซื่อสัตย์ต่อเขา”
เจ้าทุยขบกรามกรอด
“อ้ายถมมันปล้ำเอ็ง เอ็งถึงต้องเป็นเมียมัน”
สาวเจ้ายิ้มเอียงอาย
“ใครบอกว่าพี่ถมปล้ำข้ายะ ข้าปล้ำพี่ถมต่างหาก”
คณะพรรคสี่สหายหัวเราะครืน แต่เจ้าทุยร้องไห้น้ำตาไหลพราก เจ้าถมเขยิบตัวเข้ามาหาทิดทุย ยกมือขวาตบบ่าเจ้าทุยเบาๆ
“อ้ายเพื่อนยาก อย่าเสียอกเสียใจเลยวะ เมื่อโรยมันสมัครใจอยู่กับกู มึงก็ตัดใจสละให้กูเถอะ”
เจ้าทุยสะอื้น
“กูเสียดายว่ะ เสียดายแก้มที่เคยจูบ เสียดายความโอ่งโถงของโรยที่เคยให้ความสุขแก่กู อ้ายถมเอ๋ย…เป็นอันว่ากูเซ้งให้มึงแล้ว กูเชื่อแล้วว่า สามวันจากนารีเป็นอื่น ขอให้กูได้พูดกับโรยเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
“รู้แล้ว” โรยมันขึ้นเสียง “ไม่ต้องมาเห่าหอนให้รำคาญหูหรอก ข้ารักกับพี่มาสองปีก่อน ไม่เคยซื้ออะไรให้ข้าเลย พี่ถมฉุดข้ามาไว้ที่นี่เพียงสองวันเท่านั้น ซื้อสร้อยคอให้ข้าเส้นเบ้อเริ่ม”
ทิดทุยยิ้มแค่นๆ
“เออ…เอ็งมีหน้ามีตา ข้าก็ดีใจด้วย แต่ว่าสร้อยคอของเอ็งบางข้อมันเริ่มออกสีเขียวแล้วโว้ย ถ้าเข้าไปในเมืองเมื่อไหร่ก็จ้างเขาชุบเสียใหม่”
“อ้าว” เจ้าถมร้องเสียงลั่น “นี่มึงดูถูกกูนี่หว่าอ้ายทุย มึงหมายความว่าสร้อยคอทองคำหนัก ๕ บาทที่คออีโรยเป็นสร้อยเก๊ยังงั้นหรือ”
เจ้าทุยหันมาทำตาเขียวกับศัตรูที่เป็นมิตร
“กูไม่ได้ว่าอย่างนั้น กูไม่ได้พูดสักคำว่าสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยเก๊ แต่ช่างเขาชุบบางไปจนบางข้อขึ้นสีเขียวมองเห็นถนัด”
เจ้าถมยิ้มแห้งๆ
“มึงรู้แล้วก็ไม่น่าจะพูดให้สะเทือนใจกู อ้า…อ้ายเกลอเอ๋ย มึงจะว่ายังไงเมื่อโรยมันสมัครใจอยู่กับกู”
นิกรหัวเราะก้าก ยกมือตบหลังเจ้าทุยค่อนข้างแรง
“ทุยโว้ย ที่ถูกแกควรจะหัวเราะมากกว่าร้องไห้ แกอย่าเสียอกเสียใจเลย ถ้าแกได้โรยเป็นเมียมันคงจะจับแกหักคอจิ้มน้ำพริกกินสักวันหนึ่ง แกดูซี รูปร่างมันขนาดนางผีเสื้อในเรื่องพระอภัย”
โรยมันค้อนนิกรทันที
“แหม…มาว่าเค้า เดี๋ยวเค้าบังคับให้ตัวเป็นผัวเค้านะ”
๕๐
นิกรทำคอขย้อนเหมือนกับจะอ้วกแตก
“ไม่รับประทานละแม่คุณ ต่อให้ผู้หญิงมีแต่เธอคนเดียวในโลก ฉันก็ไม่ปรารถนา”
“หนอยอย่าว่าเค้าเลย ลองได้เค้าเป็นเมียหน่อยเถอะน่า ขี้คร้านจะรักและหลงจนโงหัวไม่ขึ้น” แล้วหล่อนก็ทำตาเล็กตาน้อย “ตัวชื่ออะไรบอกเค้าหน่อยซี พาเค้าไปกรุงเทพฯ ด้วยคนได้ไหมล่ะ”
นิกรกลืนน้ำลายเอื๊อก ผายมือไปทาง ดร.ดิเรก
“ถามคนใส่แว่นตาคนนั้นเขาดูซี เขากำลังว้าเหว่มีอารมณ์เปลี่ยว เผื่อเขาจะรักเธอบ้าง”
โรยมันเดินกระตุ้งกระติ้งเข้ามาหยุดยืนเผชิญหน้านายแพทย์หนุ่มแล้วก็ยิ้มอย่างท้าทาย
“คุณน้าขา คุณน้าจะใจดีพาหนูไปเที่ยวบางกอกด้วยคนได้ไหมคะ หนูอยากขึ้นประกวดนางสาวไทยฮ่ะ”
ดร.ดิเรกทำหน้าชอบกล
“ได้ซีหนู เอาไว้ให้ใกล้ๆ เดือนธันวาคมเสียก่อนน้าจะมารับ” นายแพทย์หนุ่มพูดพลางหัวเราะพลาง “ฟิตตัวไว้ให้ดีนะ พยายามทำน้ำหนักตัวให้ขึ้นอีกสัก ๑๐ กิโล พอถึงกรุงเทพฯ จะได้ส่งขึ้นเขียงเลย”
หล่อนค้อนปะหลับปะเหลือก
“คนใจร้าย มีอย่างรึเห็นเค้าเป็นหมู”
นิกรพูดเสริมขึ้นอย่างขบขัน
“อีหนู ถ่ายยาเสียบางซีครับ นี่ท้องคงผูกมาหลายวันแล้วใช่ไหมล่ะ หาโอกาสถ่ายยาเสียสักครั้งเถอะ”
โรยมันเงื้อมือจะตบหน้านิกร นายจอมทะเล้นถอยกรูด
“คนฉิบหาย มาว่าเค้าบ้า ตัวน่ะซีบ้า หน้าตาทะลึ่งเหมือนกะอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวแม่จับสองตีนฟาดกับตันไม้คอหักเลย”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง ท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดตัดบทว่า
“พูดกันเป็นงานเป็นการเถอะโว้ย นี่มันก็พลบค่ำแล้ว เป็นอันว่าโรยสมัครใจอยู่กับเจ้าถม พวกเราจะได้กลับบางกระสากันเสียที กว่าจะถึงบางกระสาก็คงไม่ต่ำกว่าสามทุ่ม”
เจ้าถมยกมือไหว้เจ้าคุณปัจจนึกฯ อย่างนอบน้อม
“ยังกลับไม่ได้ครับคุณลุง ผมจะเลี้ยงต้อนรับคุณลุงและคุณๆ เหล่านี้อย่างเต็มที่ เป็นการเลี้ยงฉลองมิตรภาพระหว่างผมกับอ้ายทุยด้วย ต่อไปนี้ผมกับอ้ายทุยจะเป็นเพื่อนเกลอกันเหมือนอย่างเช่นเดิมแล้ว ส่วนอีโรยผมจะส่งไปบ้านโป่งในวันสองวันนี้”
โรยมันลืมตาโพลง
“ว่าไงนะพี่ถม จะส่งเค้าไปที่ไหนนะ”
“ไปบ้านโป่ง” เจ้าถมมันพูดยิ้มๆ “ไปอยู่บ้านเจ๊ลัดดา”
“อุ๊ยตาย นี่จะให้เค้าเป็นกะหรี่หรือนี่ เค้าไม่ไป เป็นตายอย่างไรเค้าก็ไม่ไป ตัวรู้หรือเปล่าว่าเค้ารักนวลสงวนตัวเหมือนจามรีรักษาขนของมัน”
“อ้วก” อาเสี่ยกับนิกรต่างร้องขึ้นพร้อมๆกัน
๕๑
เจ้าถมหัวเราะก้าก ยักคิ้วให้โรยแล้วกล่าวว่า
“ข้าไม่รับประทานเอ็งอีกแล้วอีโรย ข้าจะขายเอ็งให้เจ๊ลัดดาเขา อย่างน้อยก็คงจะได้เงินสัก ๓๐๐ บาท ถ้าเอ็งไม่ยอมไปข้าจะฆ่าเอ็งเสีย”
เจ้าทุยหัวเราะหึๆ
“เอาเลยอ้ายถม กูช่วยมึงด้วย ฆ่าแล้วหมกไว้ในป่าละเมาะแถวนี้แหละ”
โรยมันยิ้มแค่นๆ
“ดีล่ะ ข้าจะไปอยู่กับเจ๊ลัดดาเอเย่นต์ใหญ่ที่บ้านโป่ง บุญมาวาสนาช่วยข้าได้ผัวอาเสี่ย ข้าจะพาผัวข้ามาเยาะพี่ถมกับพี่ทุย” พูดจบหล่อนก็หมุนตัวกลับเดินตุปัดตุป่องขึ้นไปบนเรือนผู้ใหญ่บ้านสิงห์
เจ้าถมมันมองดูทิดสอนเพื่อนเกลอของมัน ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างแล้วตะโกนบอกทิดสอนว่า
“กูยกให้มึงโว้ย อ้ายสอน”
ทิดสอนทำหน้าเบ้
“ไม่เอาโว้ย รูปร่างขนาดเรือประจัญบานยังงี้เอามาทำหอกอะไร จะจัดการยังไงก็จัดการเสียนา อยู่กับข้าหลายวันแล้ว ยัดข้าวจุเสียด้วย”
ทิดถมเปลี่ยนสายตามาที่คณะพรรคสี่สหาย
“ไปบ้านพักของผมเถอะครับ ผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อพวกคุณให้เต็มที่ทีเดียว ผมมีความสุขมากเท่าที่ผมปรองดองกับอ้ายทุยเหมือนแต่ก่อน ความจริงเรารักกันมากครับ คบกันมาแต่เล็กแต่น้อย” แล้วเขาก็ยกฝ่ามือตบหน้าเจ้าทุยเบาๆ “ไปบ้านกูอ้ายทุย กูจะให้มึงเอาดาบฟันมือขวากูออกเช่นเดียวกัน เราจะได้มือด้วนเหมือนๆ กัน ผิดนักก็ไม่ต้องทำนา เดินทางไปบางกอกเปลี่ยนอาชีพเป็นขอทานสบายไปเลย”
เจ้าทุยหัวเราะชอบใจ
“กูทำมึงไม่ลงหรอกถม เมื่อกูพิการไปแล้วก็นึกว่ามันเป็นกรรมของกู และเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ต่อไปนี้บางกระสาและหนองส้มป่อยคงจะร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ในเมื่อเสือสองตัวญาติดีกันและร่วมถ้ำเดียวกัน อ้า…กูถามจริงๆ เถอะวะ มึงได้อีโรยเป็นเมียจริงๆ หรือ”
เจ้าทุ่งหน้าจ๋อย
“ก็ได้น่ะซี มันฟัดกูเสียแทบแย่ ปลุกปล้ำข่มขืนใจ กูตัวเท่านี้จะไปสู้แรงนางยักษ์ได้อย่างไร”
คณะพรรคหัวเราะงอหาย ต่อจากนั้นเจ้าถมก็พาทุกคนกลับไปยังบ้านพักของเขา ที่ข้างโรงบ่อน ขณะนี้พลบค่ำพอดี ความมืดขมุกขมัวแผ่ไปทั่วอาณาเขต
ค่ำวันนั้นเอง เจ้าถมได้เลี้ยงสุราและอาหารแก่คณะพรรคสี่สหายอย่างเต็มที่ เป็นการเลี้ยงเพื่อมิตรภาพระหว่างเจ้าหนุ่มลูกทุ่งทั้งสองด้วย เมื่อศัตรูกลับกลายเป็นมิตร สันติสุขอันแท้จริงก็เกิดขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น