วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเกลอ ตอน: เจมส์เผือก


ฉากของยอดนิยายบู๊คู่แข่งของเจมส์ บอนด์ เปิดขึ้นที่โรงแรม “สี่สหาย” โรงแรมที่สวยกว่า ใหญ่
กว่า โอ่โถงกว่า และมีกลิ่นสะอาด มีชีวิตชีวา

ตอนสายวันนั้น ขณะที่คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯกำ ลังนั่งทาํ งานอยู่ในห้องทาํ งานอนั
หรูหรามีแอร์คอนดิชั่น เสียงประตูห้องก็ถูกเคาะเบาๆในจังหวะวอลซ์
“เข้ามา” เสี่ยหงวนผู้อำ นวยการโรงแรมทันสมัยร้องอนุญาต ส่วนสายตาของเขามองดูร่างจดหมาย
ฉบับหนึ่งซึ่งฝ่ายธุรการส่งมาเสนอเขาให้ตรวจแก้ก่อนที่จะส่งพิมพ์ดีด
ผู้ที่เปิดประตูพาตัวเดินเข้ามาคือเจ้าแห้วนั่นเอง เจ้าแห้วแต่งกายเรียบร้อย ผูกโบว์หูกระต่ายแต่ไม่
ได้สวมเสื้อนอกสวมแว่นกันแดดสีชาท่าทางสม้าทขนาดเทพบุตรชั้นเลว เขาเดินตรงมาหาผู้อำ นวยการโรง
แรมแล้วรายงานให้ทราบ
“รับประทานมีแขกมาหาครับ”
“แขกซิกต์หรือแขกปาทาน หรือแขกฮินดูแขกอาหรับวะ” เสี่ยหงวนถาม
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทานแขกผู้มาหาครับ เป็นคนไทยสุภาพบุรุษรุ่นราวคราวเดียวกับอาเสี่ยครับ”
กิมหงวนเงยหน้าขึ้นมองดูเจ้าแห้ว
“ท่าทางมีเงินหรือเปล่า”
พลพูดเสริมขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
“ไหงต้องถามยังงั้นด้วยล่ะ”
“อ้าว ไม่ถามยังไงวะ มานั่งทำ งานเพียงสองชั่วโมง ดาวไถเข้ามาพบกันตั้งห้าหกคน แล้วต้องควัก
กระเป๋าจ่ายให้ไปตามระเบียบล้วนแต่มีเหตุผลที่น่าสงสาร เมียเจ็บท้องจะออกลูกมาหลายวันแล้วแต่ไม่มีเงิน
ให้หมอก็ให้เมียกลั้นไว้ บ้างก็แม่ยายกำ ลังเจ็บหนักชักแหง่กๆ อาการเข้าขั้นโคม่าจะตายมิตายแหล่มาขอเงิน
ซื้อโลง บางคนก็ลูกเจ็บ คนสุดท้ายบอกว่า เมียถูกรถไฟทับตัวขาดสองท่อนนอนซมอยู่ที่บ้านมาครึ่งค่อน
เดือนแล้วทาํ อะไรไม่ได้”
เจ้าแห้วสบตากับอาเสี่ยก็กล่าวว่า
“รับประทานเศรษฐีครับ ไม่ใช่ดาวไถแน่ๆ”
“รู้ได้ยังไงวะ”
เจ้าแห้วอมยิ้ม
“รับประทานแต่งสากลผ้าเสิททั้งชุดครับ รับประทานท่าทางผึ่งผายมารถปอนเตี๊ยคใหม่เอี่ยม คนรถ
ลงมาเปิดประตูให้ยังต้องก้มหัวคำ นับ เขาบอกว่าเขามีธุระสำ คัญจะขอพบกับอาเสี่ยครับ ผมอยู่ตรงเคาเต้อร
แผนกต้อนรับผมก็เชิญเขานั่งรออยู่ที่นั่นแล้วมาเรียนให้อาเสี่ยทราบ”
เสียหงวนพยักหน้ารับทราบ
“เขาไม่ได้ให้นามบัตรมาด้วยหรือ”
“เปล่าครับ แต่ว่ารับประทาน เขาบอกว่าเขาชื่อวิชัย วิศณุรักษ์ครับ ท่าทางภาคภูมิเหมือนกับอาเสี่ย
แหละครับ ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นเศรษฐีมีบุญวาสนาเป็นคนชั้นเจ้านาย”
อาเสี่ยยิ้มแป้น ดึงลิ้นชักโต๊ะทางซ้ายออกหยิบธนบัตรใบละร้อยบาทฉบับหนึ่งออกมาส่งให้เจ้าแห้ว
“พูดถูกเส้น เอาไปใช้หนึ่งร้อย ไปเชิญเขาเข้ามาพบข้าซิ เขามาคนเดียวหรือ”
“ครับ”
แล้วเจ้าแห้วก็พาตัวเดินออกไปจากห้องทำ งานของคณะพรรคสี่สหาย พลมองดูเสี่ยหงวนอย่าง
ขบขันแล้วพูดกับนิกร ซึ่งกำ ลังก้มหน้าก้มตากินแซนวิชในจานที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพร้อมด้วยชาร้อนอีกหนึ่งถ้วย
“อ้ายแห้วมันหากินถูกช่อง เงินเดือนมัน ๖๐๐ บาท เท่านั้น แต่มันได้ทิปจากอ้ายหงวนเดือนหนึ่งไม่
ตํ่ากว่าสองพัน”
นิกรเห็นพ้องด้วย
“ใช่ ก็อ้ายหงวนมันบ้ายอ ใครยอเข้าหน่อยก็ก้นกระดก แต่ถ้าใครขัดคอเป็นยัวะทันที สันดานของ
พวกเศรษฐีมักจะเป็นอย่างนี้” พูดจบเขาก็หันไปมองดูเจ้าคุณปัจจนึกฯ ซึ่งกำ ลังปรึกษาหารือกับนายพลดิเรก
เบาๆ “คุยอะไรกันครับคุณพ่อ”
ท่านเจ้าคุณเปลี่ยนสายตามาที่นิกร
“ดิเรกมันเป็นห่วงคุณดำ รง” ท่านหมายถึงพระภิกษุดำ รง ณรงค์ฤทธิ์ซึ่งบวชจำ พรรษาอยู่ที่วัดธาตุ
ทองไม่ไกลจากโรงแรม “สี่สหาย” พร้อมด้วยลูกชายของพล,นิกร,กิมหงวน คือพระภิกษุพนัส พระภิกษุนพ
และพระภิกษุสมนึก รวม ๔ องค์ด้วยกัน
ศาสตราจารย์ดิเรกยิ้มให้นิกร
“ตั้งแต่บวชคุณดำ รงปวดท้องบ่อยๆ เกี่ยวกับโรคลำ ไส้ซึ่งป่วยเรื้อรังมาจากอเมริกาแล้ว บ๋อยโรง
แรมที่เอาอาหารไปส่งเมื่อเช้าบอกว่าคุณดำ รงฉันข้าวได้ สองสามคำ เท่านั้น เห็นจะต้องรักษากันเป็นงานใหญ่
ผิดนักก็ตัดไส้ทิ้งไปทั้งพวงแล้วหาไส้คนตายมาเปลี่ยนให้ใหม่”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“ดีเหมือนกัน ท่านตี๋ของกันก็บอกว่าขัดยอกซี่โครงข้างซ้าย ถ้ายังไงแกช่วยผ่าตัดเปลี่ยนซี่โครงให้
ใหม่ซีนะ”
สนทนากันถึงเรื่องพระภิกษุทั้ง ๔ องค์ อีกสักครู่ประตูห้องทำ งานก็ถูกเคาะเบาๆเมื่อเจ้าคุณปัจจ
นึกฯกล่าวคำ อนุญาต ประตูกระจกฝ้าก็ถูกผลักออก เจ้าแห้วพาสุภาพบุรุษวัยเดียวกับคณะพรรคสี่สหายคน
หนึ่งเข้ามาในห้อง หนุ่มใหญ่ในวัยใกล้ชราผู้นี้แต่งสากลชุดสีเทาผูกเนคไทเงื่อนกะลาสี ลักษณะท่าทางภูมิ
ฐานร่างสูงโปร่งใส่นํ้าหอมฝรั่งเศสหอมฟุ้ง รองเท้าสีนํ้าตาลเป็นมันวับราวกับกระจก ทั้งเสื้อและกางเกงกลีบ
โง้ง
เขายิ้มให้กิมหงวนแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณกิมหงวน”
อาเสี่ยรับไหว้ทันที
“สวัสดีครับ เชิญครับ เชิญนั่ง สบายดีหรือครับ”
สุภาพบุรุษผู้นั้นทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างหน้าโต๊ะทำ งานของอาเสี่ย
“ขอบคุณครับ สบายดี”
“คุณนายล่ะครับเป็นยังไง”
“เอ๊ะ คุณรู้จักกับภรรยาผมด้วยหรือครับ”
“เปล่าครับ แต่เพื่อมารยาทก็ถามไปยังงั้นเอง” พูดจบ เขาก็พยักเพยิดให้เจ้าแห้วไปจัดเครื่องดื่มมา
ต้อนรับแขกของเขา
“อ้า-ผมชื่อ วิชัย วิศณุรักษ์ ประธานกรรมการบริษัทสร้างรถยนตร์ “วิศณุรักษ์ยานยนตร์” ครับ”
“ยินดีมากครับที่ได้รู้จักคุณ ผมเคยได้ยินชื่อบริษัทของคุณแล้ว เป็นบริษัทแรกที่ประกอบรถยนตร์
จากประเทศเยอรมัน”
“ครับ ถูกแล้วครับ สำ หรับอาเสี่ยและท่านเหล่านี้ผมเคยเห็นในงานสังคมที่มีเกยี รติบ่อยๆ และ
ทราบดีครับว่าใครเป็นใคร” พูดจบเขาก็ยกมือไหว้ พล,นิกร,นายพลดิเรกและเจ้าคุณปัจจนึกฯ
สามสหายกับท่านเจ้าคุณรีบรับไหว้เขา นิกรกล่าวทักทันที
“สวัสดีครับคุณวันชัย”
นายวิชัยหยุดยิ้มทันที
“ผมชื่อ วิชัยครับ วิชัย วิศณุรักษ์ ไม่ใช่วันชัย”
นิกรยิ้มแห้งๆ
“ขอโทษครับ”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“คุณมีธุระอะไรเกี่ยวกับผมหรือครับ หรือจะมาชวนเราซื้อหุ้นบริษัทของคุณ”
“มิได้ครับ เท่าที่ผมมาหาคุณก็เพราะผมต้องการที่จะจ้างคุณทำ หน้าที่สืบสวนเรื่องสำ คัญให้ผม”
“บ๊ะแล้ว…” อาเสี่ยเผลอตัวร้องออกมาดังๆ “ผมเป็นนักธุรกิจการค้านะครับ แล้วก็เป็นนายทหาร
พิเศษของกองทัพบก ผมไม่ใช่นักสืบหรอกครับ แม้แต่นักสืบสมัครเล่นผมก็ไม่เคยเป็น เรื่องหรือ นวนิยายที่
เกี่ยวกับการสืบสวนผมเกลียดเข้าไส้ ยืดยาดอืดอาดเที่ยวเอาแว่นขยายส่องตามพื้นเก็บอะไรต่ออะไรขึ้นมาดู
เสียตอนเวลาไม่เข้าเรื่อง ผมกับเพื่อนๆชอบทำ อะไรรวดเร็วฉับพลันครับ”
“ฟังก่อนครับคุณกิมหงวน แล้วก็ทุกๆคนกรุณาฟังผม ก่อนที่ผมจะมาหาคุณ ผมได้ใคร่ครวญดูแล้ว
ถึงสามวัน ถึงแม้ว่ามีนักสืบเชลยศักดิ์ซึ่งโดยมากเป็นนายตำ รวจนอกราชการรับสืบสวนคดีต่างๆอยู่หลายคน
ผมก็ไม่ศรัทธาเลื่อมใสในนักสืบเหล่านั้น พฤติการณ์ของคุณกับเพื่อนๆที่ได้ทำ งานสำ คัญมามากต่อมากทำ ให้
ผมสนใจอย่างยิ่ง ผมเชื่อว่า ถ้าหากคุณกิมหงวนรับทำ งานให้ผม ผมก็คงจะได้ของอันมีค่ายิ่งซึ่งผมรักเท่าชีวิต
ของผมกลับคืนมา ผมทราบดีว่าพวกคุณเป็นนักเผชิญภัย ทำ งานเสี่ยงภัยเสี่ยงอันตรายได้ดี ทุกคนมีความ
สามารถเหนือกว่า เจมส ์ บอนด์ในหนัง และเฉลียวฉลาดในการสืบสวนเรื่องค่าป่วยการจะเรียกร้องเท่าไหร่
ผมไม่ขัดข้อง และถ้าคุณตกลง ผมจ่ายเงินให้ครึ่งหนึ่งก่อน เพื่อให้คุณได้ใช้จ่ายในการนี้ จริงอยู่ผมไม่ได้เป็น
มหาเศรษฐีเหมือนอย่างคุณ แต่ผมก็มีเงินอยู่ในธนาคารหลายสิบล้านเหมือนกัน อย่างน้อยผมก็มีหุ้นอยู่ใน
บริษัทสร้างรถยนตร์ถึง ๖๕ เปอร์เซ็นต์”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“คุณจะให้เราสืบเรื่องอะไรและสวนเรื่องอะไร หรือว่าทั้งสืบทั้งสวน”
นายวิชัยหันมามองหน้านายนิกรอย่างแปลกใจ
“สืบสวนมันก็เป็นงานอย่างเดียวกันนี่ครับ”
“ไม่ใช่ครับ” นิกรเถียง “สืบ คือหาตัวหรือหาหลักฐาน สวน คือใช้นํ้าสบู่ละลายนํ้าอ่อน สวนเมื่อ
เวลาท้องผูก”
“ว้า…คนละเรื่องแล้วล่ะครับคุณนิกร”
“นั่นน่ะซีครับ ผมก็ว่าอย่างนั้น”
เสี่ยหงวนทำ ตาเขียวกับนายจอมทะเล้น
“แกอย่าพูดอะไรเลยน่า อยู่เฉยๆเถอะ” แล้วเขาก็ยิ้มให้นายวิชัย “คุณจะจ้างผมกับเพื่อนๆสืบสวน
เรื่องอะไร”
ประธานบริษัทสร้างรถยนตร์ขบกรามกรอด แต่แล้วก็ฝืนยิ้ม
“เรื่องเมียสาวของผมครับอาเสี่ย อ้า-อนุญาตให้ผมเรียกคุณเหมือนอย่างที่คนอื่นเขาเรียกกันนะครับ
ผมเป็นพ่อหม้ายครับ ภรรยาผมมีอันเป็นเท่งทึงไปเมื่อประมาณ ๑๐ ปีมานี้ แต่แล้วเมื่อต้นปีนี้เอง ผมก็ได้เด็ก
สาวคราวลูกคนหนึ่งเป็นเมียผม”
“อายุ ๑๓” เสี่ยหงวนพูดต่อ
นายวิชัยสะดุ้งโหยง
“ ๒๕ ครับ ไม่ใช่ ๑๓ คนอย่างผมย่อมรู้สึกว่าผู้หญิงสาววัย ๒๕ ปี ยังเป็นเด็กอยู่ หล่อนชื่อสุพัตรา
ครับ มีชื่อเล่นๆว่า แป๋ว”
“คงจะสวยมาก” อาเสี่ยพูดยิ้มๆ
“”ขนาดอาภัสราเห็นแล้ววิ่งหนีหลบเข้าห้องเลยครับ สุพัตราทั้งสวยทั้งน่ารักเท่านั้น แต่ว่าหล่อน
คือนางกากีกลับชาติมาเกิด หล่อนอยู่กับผมได้เพียง ๕ เดือนกว่า เท่านั้น หล่อนหนีตามชู้ไป”
“ไปกับพญาครุฑหรือคนธรรพ์ครับ” เสี่ยหงวนถามทันที
นายวิชัยกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“ไม่ใช่ครับ นั่นมันเรื่องกากีจริงๆ เมียผมหนีไปอยู่กับอ้ายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นแฟนเก่าของหล่อน
หลบหนีอยู่ในกรุงเทพฯนี่แหละครับ เพราะหล่อนเคยบอกผมว่าหล่อนเกลียดชนบท ความสุขสบายที่ไหนก็สู้
กรุงเทพฯไม่ได้ แต่กรุงเทพฯมันกว้างขวางมากมีบ้านเรือนแออัดยัดเยียด ยากที่ผมจะสืบหาตัวสุพัตราได้ แล้ว
เท่าที่ผมทราบ ชู้ของหล่อนคือผัวใหม่ของสุพัตราเป็นจอมอันธพาลวัย ๓๐ ปี ผมไม่มีทางที่จะสู้รบตบมือกับ
มันได้หรอกครับ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมาหาอาเสี่ย กับเพื่อนๆให้สืบหาเมียผม”
เสี่ยหงวนนิ่งฟังด้วยความสนใจ
“ แปลว่าคุณต้องการตัวสุพัตรา กลับคืน”
“ โอ๊ย ไม่ครับ ถ้ายังงั้นผมก็บ้าเต็มทน คนอย่างผมหาเมียได้ถมเถไปครับ วันละกุรุสยังได้ สาวแก่
แม่ม่ายจะเอาสวยขนาดไหนได้ทั้งนั้น แต่ผมต้องการของของผมคืนครับ คือพระกริ่งปวเรศวร์เลี่ยมทองที่ผม
ให้แป๋วยืมห้อยคอ ให้ยืมนะครับไม่ใช่ให้เลย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯพูดโพล่งขึ้นทันที
“กริ่งปวเรศวร์หรือครับ”
วิชัยหันไปทางท่านเจ้าคุณ
“ครับ กริ่งปวเรศวร์ที่เป็นสมบัติหรือมรดกของคุณพ่อผม ผมรักและหวงแหนยิ่งกว่าชีวิตของผม ดู
เหมือนใต้เท้าก็เป็นนักเล่นพระเหมือนกัน ใต้เท้าคงทราบดีแล้วว่าหลวงพ่อกริ่งปวเรศวร์ในปัจจุบันนี้นั้นมีอยู่
เพียงไม่กี่องค์ ราคาของท่านองค์หนึ่งก็ไม่ตํ่ากว่าแสนบาท ผู้ที่มีไว้ครอบครองก็ไม่ยอมให้ใครเช่า ถึงใครจะ
มาขอเช่าสักกี่แสนก็ไม่ปล่อย”
ท่านเจ้าคุณยิ้มเล็กน้อย
“เป็นความจริงคุณวิชัย พระกริ่งปวเรศวร์มีค่าเหนือกว่าพระเครื่องรางทุกชนิดเพราะหายากและมี
อิทธิปาฏิหาริย์คุ้มครองผู้ที่มีท่านติดอยู่กับตัวได้จริงๆ ปืนหรือศัตราวุธทุกชนิดทำ อะไรไม่ได้ แม้กระทั่งเอา
หลาวสวนทวารยังไม่เป็นไร”
“ก็นั่นน่ะซีครับ นังสุพัตราเมียผมหนีตามชู้ไปขโมยเงินผมไปเกือบสองหมื่น เครื่องเพชรที่ผมซื้อ
ให้หล่อนราว ๒๐ ชิ้นเห็นจะได้”
เสี่ยหงวนขมวดคิ้วย่น
“เครื่องเพชร ๒๐ ชิ้น…”
“ครับ”
“ขอโทษเถอะครับคุณถ้าจะเคยเป็นตั้วโผยี่เก”
นายวิชัยลืมตาโพลง
“เพชรจริงๆนะครับอาเสี่ย ไม่ใช่เพชรยี่เกหรือเครื่องเพชรที่เขาวางขายแถวตลาดนัดสนามหลวง
แล้วกัน”
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ กลั้นหัวเราะแทบแย่ อาเสี่ยรีบยกมือไหว้ผู้อำ นวยการบริษัทสร้างรถ
ยนตร์แล้วพูดยิ้มๆ
“อย่าเข้าใจว่าผมดูถูกดูหมิ่นคุณเลยครับ ผมเคยเห็นเพื่อนฝูงของผมบางคนเขาซื้อเครื่องเพชรปลอม
ให้เมียน้อยของเขาก็คิดว่าคุณจะทำ อย่างนั้นบ้าง เป็นอันว่าคุณสุพัตรา ภรรยาของคุณได้หนีตามชายชู้ไป
ขโมยเงินคุณไปเกือบสองหมื่น นำ เครื่องเพชรติดตัวไปด้วยพร้อมทั้งหลวงพ่อกริ่งปวเรศวร์”
“ใช่ครับ” วิชัยพูดเสียงกร้าว “สำ หรับนังแป๋ว ผมไม่เสียดายหรือไม่อาลัยใยดีหรอกครับ เงินและ
เครื่องเพชรก็เอาไปเถอะ แต่หลวงพ่อกริ่งปวเรศวร์มีค่าเท่าเทียมกับชีวิตของผมก็ว่าได้ ถึงใครจะเอาเงินมาให้
ผมสักเท่าใด ผมก็ไม่ยอมให้เขาเช่า เงินทองหาได้ครับแต่พระดีอย่างนี้ผมจะไปหาที่ไหนได้อีก ที่เขามีอยู่ก็
ล้วนแต่เจ้านายหรือเศรษฐีใหญ่ทั้งนั้น ให้เขากี่แสนเขาก็ไม่ปล่อย ผมมาหาอาเสี่ยก็เพราะผมมั่นใจว่า อาเสี่ย
คงจะสามารถสืบหาตัวนังแป๋วและนำ หลวงพ่อกริ่งปวเรศวร์มาให้ผมได้”
เสี่ยหงวนกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“แต่ผมกับเพื่อนเป็นนักธุรกิจไม่ใช่นักสืบนี่ครับคุณวันชัย”
“ว้า-วันชัยอีกแล้ว ผมชื่อวิชัยครับ อาเสี่ยอย่าถ่อมตัวหรือปฏิเสธเลยครับ อาเสี่ยกับเพื่อนๆทั้งสาม
คนและท่านเจ้าคุณ แต่ละคนล้วนแต่มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีเล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงของลูกผู้ชายครบถ้วน
การเผชิญภัยหรือการต่อสู้ผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน ถ้าอาเสี่ยกรุณารับทำ งานสืบสวนติดตามหานังแป๋ว ผมก็
คงจะได้หลวงพ่อกริ่งปวเรศวร์กลับคืนมาแน่นอน”
อาเสี่ยหันมาทางพล พัชราภรณ์ซึ่งอยู่ที่โต๊ะทำ งานของเขา
“ว่าไงพล ลองเป็นนักสืบดูสักทีดีไหม”
พลยิ้มเล็กน้อย
“ก็แล้วแต่แกซี กันเป็นช้างเท้าหลัง ถ้าแกรับสืบสวนคดีนี้กันก็พร้อมที่จะทำ หน้าที่เป็นผู้ช่วยแก”
ศาสตราจารย์ดิเรกพูดเสริมขึ้น
“ออไร๋ ไอก็เช่นเดียวกัน สนุกดีเหมือนกัน ไอชอบ”
นิกรว่า “ไอชอบหรือชอบไอก็กินยาแก้ไอเสียบ้าง ไอมากราํ คาญคนอนื่ เขา”
นายวิชัยหัวเราะชอบใจ ก่อนที่ใครจะพูดอะไร ประตูห้องทำ งานก็ถูกเปิดออก เจ้าแห้วใช้หลังดัน
บานประตูไว้เพื่อให้พนักงานรับใช้ของโรงแรมคนหนึ่งถือถาดใส่เครื่องดื่มเดินเข้ามา ชายหนุ่มในเครื่องแบบ
คนรับใช้เสิฟนํ้าผลไม้เย็นๆให้นายวิชัยเป็นคนแรกตามคำ สั่งเจ้าคุณปัจจนึกฯ แล้วก็เสิฟให้คณะพรรคสี่สหาย
กับท่านเจ้าคุณโดยทั่วกัน ต่อจากนั้นเขาก็ถือถาดเปล่าเดินออกไปจากห้องซึ่งเจ้าแห้วติดตามออกไปด้วย
เสี่ยหงวนมองดูหน้าสุภาพบุรุษประธานกรรมการบริษัทสร้างรถยนตร์ แล้วนิ่งคิดอยู่สักครู่จึงกล่าว
ว่า
“ชู้ของคุณแป๋วเป็นใครครับ”
“อ๋อ อ้ายหมอนั่นชื่อเชาว์ครับ นามสกุลว่าอย่างไรผมไม่ทราบรู้แต่ว่าเป็นนักเลงใหญ่ที่กำ ลังมีอิทธิ
พลมากในวงอันธพาลทุกแห่งในกรุงเทพฯรู้จักอ้ายเชาว์เป็นอยย่างดี ใครๆเรียกมันว่า เจมส์ บอนด์ครับ ตาม
ข่าวว่าเป็นนักบู๊และเป็นฆาตกร มีอาชีพร้างยิงคน”
“มันอยู่ที่ไหนครับ” เสี่ยหงวนซัก
“ที่อยู่ของมันไม่แน่นอนครับ อ้ายเชาว์มีคดีติดตัวหลายคดี คอยหลบหน้าตำ รวจเปลี่ยนที่อยู่เสมอ
แต่คนรถของผมยืนยันว่ามันอาศัยอยู่ในดงอันธพาลและหาเงินคล่องมากด้วยการรีดไถและเล่นการพนันหรือ
รับจ้างฆ่าคน ตำ รวจเองก็ยังยอมเรียกอ้ายเชาว์ว่า เจมส์ บอนด์ ครับ ผมเห็นว่าอาเสี่ยกับพวกเพื่อนๆเคยบู๊กับ
พวกเหล่าร้ายมามากต่อมากจึงมั่นใจว่าอาเสี่ยกับพรรคพวกกรุณารับทำ งานให้ผม อย่างไรเสียก็คงจะตามหา
ตัวนังแป๋วพบและเอาพระกริ่งปวเรศวร์มาคืนให้ผมได้”
อาเสี่ยยิ้มด้วยมุมฝีปากข้างขวา
“ตกลงคุณวิชัย เมื่อคุณเชื่อถือผม ยกย่องให้เกียรติผมและพวกเรา ผมก็ยินดีรับทำ งานให้คุณ”
วิชัยมีสีหน้าชุ่มชื่นขึ้นทันที เขายกมือไหว้กิมหงวนอย่างนอบน้อม
“เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ ผมทราบมานานแล้วว่าผู้ใดมาขอความช่วยเดหลือจากอาเสี่ยหรือคุณๆ
เหล่านี้ไม่เคยมีใครผิดหวังเลย อาเสี่ยก็กว้างขวางรู้จักพวกนักเลงอันธพาลทั่วเมือง การสืบหาตัวนังแป๋วคงไม่
ยากหรอกครับ เว้นแต่ว่าอาจจะต้องบู๊กับเจมส์ บอนด์และสมุนของมันบ้าง”
เสี่ยหงวนหัวเราะเสียงปร่าแล้วเก๊กหน้าให้ดุๆ
“ก็ดีซีครับ เรื่องบู๊ผมชอบ ผมบู๊จนบู๊มาหลายหนแล้ว ผมสี่คนกับคุณอาของผมเข้าที่ไหนแหลกที่
นั่น เรื่องยิงฟันอ้ายกรเพื่อนผมแน่ที่สุด บางทีล่อกันจนเหงือกแห้งยังไม่ยอมหุบปาก”
นิกรพูดโพล่งขึ้น
“ไปโว้ยพวกเรา ไปบุกอ้ายเจมส์ บอนด์เดี๋ยวนี้ ให้มันรู้ไปทีเถอะว่าเจมส์ บอนด์ มันจะแน่ไปกว่า
เจมส ์ เผอื ก”
เจ้าคุณปัจจนึกมองดูนิกรอย่างแปลกใจ
“ใครวะเป็น เจมส์ เผือก”
“อ้าว-ก็ผมหรืออ้ายหงวนนี่แหละครับ บอนกับเผือกมันเป็นของคู่กันเช่นเดียวกับผักและปลา เมื่อมี
เจมส ์ บอนด ์ ก็ต้องมีเจมส ์ เผอื กคแู่ ขง่ ของ เจมส ์ บอนด”์
นายพลดิเรกหัวเราะก๊าก
“ออไร๋ แต่เจมส์เผือกลืมแปรงฟันไม่ได้นะ เจมส์ เผือกล่อเข้าไปแล้วติดฟันหนามาก”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง นายวิชัยมีท่าทางสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาก สายตาของเขาที่มองดู
คณะพรรคสี่สหายและท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขายิ้มให้เสี่ยหงวนแล้วกล่าวถามอย่าง
นอบน้อม
“อาเสี่ยจะกรุณาคิดค่าป่วยการสักเท่าใดครับในการสืบสวนหาตัวนังแป๋วเพื่อนำ กริ่งหลวงพ่อปวเร
ศวร์คืนมาให้ผม พูดมาเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจ และถ้าผมขอลดแม้แต่บาทเดียวไล่เตะผมออกไปจากห้องได้
เลย”
เสี่ยหงวนมองดูวิชัยด้วยความพอใจที่เขาแสดงนํ้าใจอันกว้างขวางเช่นนี้
“ผมไม่ใช่นักสืบอาชีพ ถ้าหากว่าผมและพวกเราเป็นนักสืบก็หมายความว่าเราเป็นนักสืบอเมเจ้อร
ผมไม่คิดค่าป่วยการอะไรหรอกครับ ในฐานะที่เราเป็นนักธุรกิจการค้าด้วยกันผมยินดีรับใช้คุณฟรี วันหน้า
วันหลังผมจะได้พึ่งพาอาศัยคุณบ้าง”
นายวิชัยขัดขึ้นทันที
“ไม่ได้ครับอาเสี่ย อาเสี่ยกรุณาช่วยเหลือผมอาเสี่ยก็ต้องควักกระเป๋าใช้จ่ายเงินเหมือนกัน นับตั้งแต่
ค่านํ้ามันรถ ค่าเหล้า ค่าอาหารที่ไปสืบหานังแป๋ว หรือจ่ายเงินให้คนของอาเสี่ยที่ใช้ให้แยกย้ายกันไปสืบถิ่นที่
อยู่ของเจมส์ บอนด์ กับนังแป๋ว โปรดเรียกค่าป่วยการจากผมเถอะครับ มากน้อยเท่าใดก็สุดแล้วแต่จะกรุณา”
กิมหงวนหันมามองดูนิกร เพื่อนเกลอของเขา
“ความจริงกันไม่ต้องการเงินคุณวิชัยแม้แต่บาทเดียวเพราะกันถูกชะตาคุณวิชัยมาก แต่เมื่อคุณวิชัย
มีแก่ใจให้เราคิดค่าป่วยการตามสมควรแกลองคิดดูซิอ้ายกรเราจะเรียกร้องสักเท่าใดดี”
ผู้อำ นวยการบริษัทสร้างรถยนตร์หันมาไหว้นิกรอย่างพินอบพิเทา
“กรุณาคิดเถอะครับ ผมจะเซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินมอบให้ครึ่งหนึ่งเดี๋ยวนี้ตามที่ผมพูดไว้ อีกครึ่งหนึ่งผม
จะจ่ายให้เมื่อผมได้รับหลวงพ่อกริ่งปวเรศวร์แล้ว”
นิกรยิ้มแป้น
“เอายังงี้ก็แล้วกันครับ ผมคิดย่อมเยาว์เป็นพิเศษ วันหน้าวันหลังเราจะได้ติดต่อกันอีก”
“ครับ ครับ เป็นพระคุณยิ่ง เท่าไรครับ”
นิกรหยิบปากกาเขียนตัวเลขลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆแต่นายวิชัยนั่งอยู่คนละโต๊ะจึงมองไม่เห็น คง
เห็นแต่นิกรทำ ปากหมุบหมิบยกนิ้วมือขึ้นรับ แล้วนิกรก็ใช้เครื่องคิดเลขขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะคิดเลขใน
สมุดของเขาในราว ๒ นาที นิกรก็เงยหน้ามองดูประธานอาํ นวยการบรษิ ัทสรา้ งรถยนตรแ์ ลว้ พูดเสียงหนกั ๆ”
“คิดหกสลึงครับ”
นายวิชัยอ้าปากหวอ
“เท่าไหร่นะครับ กรุณาพูดอีกครั้ง ผมได้ยินเป็นหกหมื่น”
นิกรหัวเราะ
“หกสลึงครับ หนึ่งบาทห้าสิบสตางค์หรือลั่กจี๊”
นายวิชัยกลืนนํ้าลายเอื๊อก เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ
“นี่ผมอยู่ในแดนสนธยาหรือผมฝันไปครับ มีอย่างที่ไหน ค่าจ้างสืบสวนทำ งานเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิต
พวกคุณทั้งห้าคนคิดค่าป่วยการเพียงหกสลึง โธ่-โอเลี้ยงคนละแก้วก็ไม่พอแล้ว”
นิกรว่า “นั่นเป็นความพอใจของผมนี่ครับ ถ้าคุณเห็นว่าแพงไปผมลดให้สองสลึงเหลือบาทเดียวก็
แล้วกัน ราคาตามที่ผมเสนอให้ทราบตามสมควรแล้วครับ หรือถ้าคุณเห็นว่าที่อื่นเขาจะรับทำ งานให้คุณถูก
กว่านี่ คุณจะไปจ้างเขาก็ตามใจเถอะครับ
“ปู้โธ่” นายวิชัยร้องเสียงลั่น “ผมกำ ลังจะเรียนคุณว่าไหงคุณเรียกค่าป่วยการถูกอย่างนี้”
กิมหงวนพูดเสริมขึ้น
“พวกผมบ้าๆ บอๆ ไม่ใคร่จะเต็มบาทหรอกครับ ถูกใจใคร เรายินดีช่วยเหลือฟรี ถ้ามาเต๊ะท่ากับเรา
หรือเราไม่ชอบใจต่อให้เอาเงินมากองเท่าภูเขาเราก็ไม่สนใจ เป็นอันว่าเราเรียกค่าป่วยการหกสลึงตามที่อ้าย
กรเขาคิด”
ศาสตราจารย์ดิเรกพูดพลางหัวเราะพลาง
“เราตกลงรับทำ งานให้คุณแล้วครับคุณวิชัย โปรดจ่ายเช็คให้เราครึ่งหนึ่งตามที่คุณพูดไว้คือสาม
สลึงหรือเจ็ดสิบห้าสตางค์”
“ว้า-แล้วแบงค์เขาจะจ่ายอย่างไรครับ ถอนเงินเพียงสามสลึงเท่านั้น เงินของผมฝากไว้ที่ธนาคารสี่
สหาย ของพวกคุณครับ”
เสี่ยหงวนหัวเราะชอบใจ
“ถ้ายังงั้นเจ้าหน้าที่จ่ายเงินที่ธนาคารจ่ายให้เราแน่นอน คุณเขียนเช็คมาเถอะสั่งจ่ายให้เราสามสลึง
ถ้าเขาไม่จ่าย ผมจะไล่เขาออกจากงานในฐานะที่ผมเป็นประธานอำ นวยการธนาคาร “สี่สหาย” เราต้องการ
เอาเช็คของคุณไปแสดงหลักฐานให้เมียๆของเราทราบว่าเรามีความจำ เป็นที่จะต้องกลับบ้านดึกดื่นผิดเวลา
เพราะเราต้องทำ งานให้คุณ เขียนเช็คมาเถอะครับ จ่ายเงินสดผมไม่เอา”
นายวิชัยบ่นพึมพำ ว่า เขาเป็นนักธุรกิจการค้ามานานแล้วเพิ่งจะเซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินสามสลึงในวันนี้
เอง แต่แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าในบนเสื้อสากลของเขาหยิบสมุดเช็คออกมา แล้วดึงปากกาปลอกทองยี่ห้อชั้นดีที่
เหน็บกระเป๋าเสื้อออกมาเขียนเช็คที่โต๊ะเสี่ยหงวนเซ็นยั่งจ่ายเงิน ๗๕ สตางค์และเซ็นชื่อเรียบร้อย เสร็จแล้วก็
อ่านทานดูแล้วฉีกมันออกจากเล่มสั่งให้อาเสี่ย
“นี่ครับ ผมเซ็นส่งจ่ายให้อาเสี่ยเลย”
“ดีแล้วครับ ขอบคุณมาก แต่ว่า ประทานโทษ คุณมีเงินในธนาคารพอที่จะจ่ายให้ผมตามที่คุณเซ็น
สั่งจ่ายในนี้แน่นะครับ”
นายวิชัยทำ หน้าเหมือนจะร้องไห้
“โอ้โฮ เงินเพียงสามสลึงถ้าผมไม่มีถ้าผมไม่มีผมจะเป็นประธานบริษัทสร้างรถยนตร์ได้อย่างไร
ครับ”
เสี่ยหงวนหัวเราะ
“ผมก็ต้องเรียนถามดูก่อน โดยมากผมมักจะเจอเช็คเด้งหรือเช็คสปริงทั้งนั้น บางคนจ่ายชำ ระหนี้
ผมเพียง ๕,๐๐๐ บาท ธนาคารยังตีกลับออกมา อ้า-ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณคุณด้วยครับที่คุณฝากเงินไว้ที่
ธนาคารของผม ผมนึกชื่อของคุณออกแล้ว เคยเห็นชื่อในสมุดบัญชีผู้ฝากเงินและจำ นวนเงินฝากของคุณ แต่
ผมมีกิจการค้ามากมายหลายอย่างจำ ชื่อใครไม่ค่อยจะได้หรอกครับ นอกจากจะผ่านตาบ่อยๆ เอาล่ะครับ นับ
แต่บัดนี้ เราจะเริ่มงานสืบสวนให้คุณ อย่างช้าในสามวันนี้รู้เรื่อง”
“ ครับ ขอบคุณมาก อีกสามสลึงแล้วผมจะจ่ายให้นะครับ พร้อมด้วยรถเก๋งเยอรมันอีกคันหนึ่งซึ่ง
ประกอบในเมืองไทยที่บริษัทของผม อาเสี่ยกับเพื่อนๆมีอารมณ์ขันอย่างนี้เอง ทุกคนจึงดูสดชื่น
กระชุ่มกระชวยเหมือนกับเด็กหนนุ่มๆ ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมที่ผมทราบมา อ้า- ท่านเจ้าคุณก็ยังไม่
แก่นะครับ คุณพระสรฤทธิ์ฯข้างบ้านผม เขาเคยบอกผมว่าท่านเป็นนายทหารรุ่นหลังใต้เท้าสามปี แต่ท่าน
งอมและหง่อมจนหลังโกงแทบจะเดินไม่ไหว”
คราวนี้เจ้าคุณปัจจนึกฯยิ้มแก้มแทบแตก
“คนเราถ้ากลัวแก่หรือต้องการให้แก่ช้า ก็ต้องทำ จิตใจให้ชื่นบานครับคุณวิชัย ยิ้มและหัวเราะเสมอ
มองดูโลกด้วยอารมณ์ขันเหมือนอย่างผมและเจ้าสี่คนนี่ นอกจากนี้เราก็ต้องออกกำ ลังบริหารร่างกายไว้ให้มัน
แข็งแรง”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“คุณพ่อผมท่านเป็นนักเพาะกายครับ เช้าๆตีห้า ลุกขึ้นออกจากบ้านไปเขาดิน อุ้มช้างที่เขาดินลง
อาบนํ้าในสระแล้วปลํ้ากับฮิปโปโปเตมัส บางทีก็กระโดดลงไปในสระหมีควายปลํ้ากับหมี กลับมาบ้านยัง
ซ้อมชกลมชกกระสอบเตะปี๊บ ท่านจึงแข็งแรง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ กลืนนํ้าลายเอื๊อก
“พอแล้วอ้ายกร แกเพิ่งรู้จักกับคุณวิชัยเดี๋ยวเดียวเสือกพูดเล่นกับเขาเสียแล้ว ชักจะทะเล้นมากไป
แล้ว”
นิกรหัวเราะ
“คุณวิชัยไม่ถือผมหรอกครับคุณพ่อ เพราะอย่างน้อย พวกเราก็เป็นลูกจ้างหรือลูกน้องคุณวิชัยแล้ว
ตามที่เราตกลงรับทำ งานสืบสวนให้และคุณวิชัยได้จ่ายเงินค่าป่วยการให้เราล่วงหน้าครึ่งหนึ่งแล้ว”
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างสนทนาซักถามมรายละเอียดจากนายวิชัยเกี่ยวกับเมีย
สาวของเขาซึ่งประธานกรรมการบริษัทสร้างรถยนตร์ก็เล่าให้ฟังโดยไม่มีอะไรปิดบัง ในที่สุดเขาลากลับและ
มอบนามบัตร ให้ไว้เพื่อสะดวกในการติดต่อกัน
ถิ่นนั้นเป็นแดนอันธพาลในกรุงเทพฯ
ด้วยกายหว่านโปรยเงินไปหลายพันบาทแจกจ่ายพวกจิ๊กโก๋และอันธพาลหลายคนและหลายตำ บล
เจมส ์ เผอื ก กิมหงวนก็ได้รับรายงานว่า เชาว์ ลิงลมยอดดาวร้ายผู้มีฉายาว่า เจมส ์ บอนดก์ บั สพุ ตั ราหรอื แปว๋
ได้อาศัยหลบซ่อนตัวอยู่ในถิ่นนี้ซึ่งเกือบจะคล้ายกับถิ่นสะลัม เต็มไปด้วยตรอกซอกซอย บ้านเล็กเรือนน้อย
แต่มีตลาดเล็กๆ มีร้านค้าตึกแถวสองชั้นตามซอยใหญ่ ซึ่งทะลุติดกับซอยเล็กและถนนใหญ่
เมื่อสืบทราบแน่นอนเสี่ยหงวนก็พานิกรเพื่อนเกลอของเขามาสืบดูให้รู้แน่อีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะนำ
คณะพรรคของเขามาบุกถิ่นนี้เพื่อนำ พระเครื่องรางกริ่งปวเรศวร์ที่ห้อยคอสุพัตราสาวสวยเอาไปคืนให้นาย
วิชัย วิษณุรักษ์
เจมส์ เผือกกิมหงวนรู้ดีว่าการที่จะนำ หลวงพ่อกริ่งปวเรศวร์ไปคืนให้นายวิชัยนั้น จะต้องเปิดฉากบู๊
อย่างดุเดือดอย่างไม่ต้องสงสัย ในระหว่างคณะพรรคของเขากับพวกนักเลงอันธพาล แต่เขาก็พร้อมแล้วที่จะ
ปะทะกับเจมส์ บอนด์และพรรคพวก ไม่ว่าจะเป็นหมัดลุ่นๆหรือมวยหมู่มืด ไม้หรือปืน
คาดิลแล็คเก๋งคลานเอื่อยๆ แล่นมาหยุดชิดขอบถนนใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างจากซอย “เพ็ญพิมลเพียงเล็ก
น้อย เจ้าแห้วทำ หน้าที่เป็นคนขับเหมือนเช่นเคย เสี่ยหงวนกับนิกรนั่งอยู่ตอนหลังรถ สองสหายกับเจ้าแห้ว
แต่งตัวไม่หรูหราอะไรสวมกางเกงขายาวตัดด้วยผ้าญี่ปุ่นราคาตัวละร้อยกว่าบาท สวมเสื้อยืดแพรบางๆ แขน
สั้นคอปก แต่นิกรกับเสี่ยหงวนมีปืนพกอยู่ในกระเป๋ากางเกงคนละกระบอก สว่ นเจา้ แหว้ มเี สอื ซอ่ นเลบ็ คอื
มีดพกคู่มือสองเล่มรวมอยู่ในซองเดียวกัน เมื่อชักออกมาจากซอง มีดก็จะกลายเป็นมีดสั้นสองเล่ม พวกนัก
เลงเรียกกันว่า เสือซ่อนเล็บ
เสี่ยหงวนกล่าวกับนิกรด้วยเสียงหนักๆ
“ต่อไปนี้แกคือเจมส์ มัน”
นิกรพยักหน้ารับทราบ
“แล้วแกล่ะ”
อาเสี่ยหัวเราะ
“กัน…เจมส์ เผือก”
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้นเบาๆ
“รับประทานผมล่ะครับ”
“แกเรอะ เจมส์ กลอยก็แล้วกัน เผือก,มัน และกลอยมันเป็นของคู่กัน เวลาอดอยากใช้กินแทนข้าว
ได้ดี”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“เข้าทีครับ รับประทาน ผมเป็น เจมส์ กลอย ฟังดูแล้ว ชื่อคล้ายๆฝรั่งเหมือนกัน แต่ชื่ออาเสี่ยเป็น
ไทยไปหน่อย เจมส์ เผือก ฟังเป็นชื่อไทย”
“อ้าว ก็ข้าเป็นคนไทยนี่หว่า ไปโว้ยพวกเรา ลงไปลาดตระเวนในซอยนี้สืบหาบ้านที่อยู่เจมส์
บอนด์กับนังแป๋ว”
“เดี๋ยวๆๆ นิกรพูดขัดขึ้น
“อะไรอีกล่ะ”
“แฮ่ะ แฮ่ะ ปลุกหลวงพ่อก่อน ตอนบ่ายอย่างนี้หลวงพ่อท่านชอบจำ วัดเสียด้วย” พูดจบเขาก็หันมา
ทางเจ้าแห้ว “เฮ้ย-เอาปืนกลมือมาด้วยหรือเปล่า”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“เปล่าครับ”
“ทำ ไมล่ะ”
“รับประทานกลัวติดคุกครับ แล้วก็กลัวชาวบ้านแถวนี้เขาจะตื่นตกใจด้วย ถ้าหากว่าผมลากปืนกล
เดินเข้าไปในซอย รับประทานผมมีมีดสั้นก็พอแล้ว”
นิกรประนมมือไว้ระหว่างอกอาราธนาคุณพระรัตนตรัยให้คุ้มครองเขา เมื่อปลุกหลวงพ่อเสร็จ
เรียบร้อยสองสหายและเจ้าแห้วก็พากันลงจากรถเดินไปตามทางเท้าเลี้ยวซ้ายมือเข้าไปในซอย “เพ็ญพิมล”
เป็นซอยใหญ่ถนนคอนกรีตกว้าง ๖ เมตร รถยนตร์หลีกกันได้สบาย สองฝั่งซอยมีอาคารร้านค้า ตามช่อง
อาคารมีซอยเล็กๆ แยกเข้าไปลึกออกถนนใหญ่ทางด้านอื่นหรือติดต่อกันได้เหมือนตารางหมากรุก หลัง
อาคารสองชั้นเหล่านี้มีบ้านเล็กเรือนน้อยมากมาย และส่วนมากเป็นที่อยู่อาศัยของพวกจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋และพวก
อันธพาลทั้งหลายตลอดจนโสเภณีหมอนวดสาว พาทเน่อรแมงดา กรรมกรหาเช้ากินคํ่า ผู้ที่ประกอบอาชีพ
สุจริตหรือพลเมืองดีก็มีอยู่ไม่น้อย ซอย “เพ็ญพิมล” เป็นซอยตันมีความลึกจากถนนใหญ่ราวหนึ่งกิโลเมตร
นิกรว่า “หาอะไรกินกันนิดหน่อยไม่ดีหรือ”
อาเสี่ยจุปาก
“พอเริ่มทำ หน้าที่นักสืบก็หิวเชียว”
“ฮื่อ ถ้ากันกินอิ่มแล้วทำ งานแคล่วคล่องว่องไวมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”
เสี่ยหงวนมองดูนายจอมทะเล้นด้วยความอิดหนาระอาใจ
“พออิ่มแกก็ง่วง”
“นั่นน่ะซี เฮ้ย-ได้การแล้ว ร้านสองคูหานั่น ขายกาแฟมีข้าวมันไก่ข้าวหน้าเป็ดหน้าหมูแดง อื้อฮือ
ไก่ตอนในตู้ตัวเกือบเท่าอีแร้ง แวะกินก่อนเถอะว่ะ เรื่องงานไว้ค่อยพูดกันทีหลัง”
แล้วนิกรก็เดินนำ หน้าพาเสี่ยหงวนกับเจ้าแห้วเดินข้ามถนนซอยตรงไปยังร้านเครื่องดื่มและอาหาร
ซึ่งมีอาหารขายเพียงสองสามอย่าง ตามที่มองเห็นในตู้กระจกหน้าร้าน ภายในร้านสองคูหานี้มีพวกอันธพาล
เเละจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋นั่งอยู่หลายโต๊ะ ส่วนมากกินโอเลี้ยงเพียงแก้วเดียว หรือนํ้าอัดลมเพียงขวดเดียวก็นั่งแช่อยู่ทั้ง
วัน หากลูกจ้างหรือเจ้าของร้านออกปากขับไล่ ก็จะพบหลาวทองเหลือง,สนับมือหรือ มีดพก ทั้งนี้เพราะซอย
แยกหลังซอยใหญ่นี้เป็นดงอันธพาลและอาชญากรลักเล็กขโมยน้อย ตัดช่องย่องเบานักแซ้งนักต้มหมูขู่
กรรโชกถ้าหากว่ามีรถฉลามบกของปราบปรามสามยอด หรือกองตำ รวจนครบาลแล่นมาสังเกตการณ์แถวนี้
บรรดาดาวร้ายทั้งหลายก็แตกฮือ หลบหนีเข้าบ้าน บางคนก็หนีเตลิดเปิดเปิงไปไกลลิบ ส่วนตาํ รวจทอ้ งที่ คน
เหล่านี้ไม่ใคร่เกรงกลัว
สองสหายกับเจ้าแห้วนั่งรวมกันที่โต๊ะว่างโต๊ะหนึ่งทางหลังร้าน นิกรเรียกลูกจ้างในร้านคนหนึ่งเข้า
มาสั่งอาหาร
“ไก่ตอน ๒๐ บาท เป็ดย่างครึ่งตัวกระดูกไม่เอา”
“ครับ เหล้าเบียร์ต้องการไหมครับ”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“ขอเบียร์เย็นๆสองขวด เอามาแค่นี้ก่อน”
นิกรรู้สึกมีใครต่อใครกำ ลังจ้องมองดูเขากับกิมหงวนและเจ้าแห้วเป็นตาเดียวนอกจากนี้ยังมีซุบซิบ
กันอีกด้วย สายตาของคนเหล่านี้ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นมิตรเลย บางคนยิ้มแสยะเหมือนดูหมิ่นหรือท้าทายทำ ให้
นิกรสะบัดร้อนสะบัดหนาวจึงกระซิบบอกเสี่ยหงวน
“เฮ้ย พวกนักเลงร้านนี้มันกำ ลังจ้องมองดูเราโว้ย”
อาเสี่ยยิ้มเล็กน้อย
“รู้แล้ว”
“อ้า-เราไปหากินที่ร้านอื่นรึ ที่สั่งเขาไปแล้วกันจ่ายเงินให้เขาเอง”
เสี่ยหงวนชักยัวะขึ้นมาทันที
“ทำ ไมมึงขี้ขลาดนักวะอ้ายกร”
“ไม่ใช่ขี้ขลาด” นิกรพูดยานคางแต่เสียงแผ่วเบา “ที่กันชวนแกไปกินที่อื่นก็เพราะกันรู้สึกว่าถ้ากัน
ถูกจ้องมองอย่างนี้กันทนไม่ไหว กันก็จะชักปืนออกมายิงอ้ายพวกนี้เท่งทึงไปตามกันเท่านั้นเอง แกก็รู้นิสัย
กันดีแล้วว่ากันเป็นคนดุยิงคนง่ายๆ”
“ก็เอาสิ ยิงให้ดูสักคนซิ”
นิกรยิ้มแห้งๆ
“อย่าเพิ่งเลยว่ะ วันนี้วันพระเสียด้วยกันไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิต”
สองสหายนั่งสนทนากันเงียบๆ จนกระทั่งลูกจ้างของร้านอาหารและเครื่องดื่มนำ เบียร์และไก่ตอน
กับเป็ดย่างมาเสิฟให้ นิกรกินไก่ตอนจิ้มนํ้าจิ้มอย่างเอร็ดอร่อยเสี่ยหงวนกับเจ้าแห้วดื่มเบียร์คนละแก้วและไม่
สนใจกับแกล้มที่นิกรสั่งมา
เด็กชายอายุประมาณ ๑๒ ขวบคนหนึ่งรูปร่างผอมบางโกโรโกโรก แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดปะ หิ้ว
ตะกร้าหวายเก่าๆใบหนึ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะสองสหายแล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ วางตะกร้าลงบนพื้นประนมมือ
ไหว้นิกรในท่าทางเศร้าสร้อยน่าสงสาร เจ้าหนูซึ่งกำ พร้าพ่อแม่ขาดผู้อุปการะหากินด้วยการรับจ้างขัดรองเท้า
ตามร้านอาหารแถวนี้ได้เงินบ้างไม่ได้บ้าง บางคนขัดรองเท้าแล้วก็ไม่ยอมจ่ายเงินให้ และพาลจะเตะเอาด้วย
ซํ้าไป
“คุณครับกรุณาให้ผมขัดรองเท้าคุณเถอะนะครับ”
นิกรยิ้มเล็กน้อย
“รองเท้าฉันมันแผล็บออกอย่างนี้ ไม่ต้องขัดหรอกหลานชาย เอาเงินไปกินขนมก็แล้วกัน” พูดจบ
นิกรก็ล้วงกระเป๋ากางเกงข้างขวาควานหาเงินอยู่สักครู่ เมื่อไม่พบก็ล้วงกระเป๋ากางเกงข้างซ้ายทำ ท่ายงโย่ยง
หยก เสี่ยหงวนดึงธนบัตรในกระเป๋าเสื้อยืดออกมาปึกหนึ่ง แล้วส่งให้เจ้าหนูน้อย ๑๐ บาท
“เอ้า เอาที่นี่เถอะหนู อ้ายหมอนั่นมันล้วงอีกราวสามสี่ชั่วโมงถึงจะหยิบเงินออกมาได้ หรือม่ายก็ไม่
มีเงิน”
เจ้าหนูน้อยตื่นเต้นยินดีเหลือที่จะกล่าว รีบประนมมือไหว้อาเสี่ยแล้วรับเงินมายัดใส่กระเป๋าเสื้อนัก
เรียนที่เก่าและขาดวิ่นแทบจะเป็นสีดำ พวกอันธพาลที่นั่งอยู่ตอนหน้าร้านไม่มีใครเห็นเพราะโต๊ะอาหารและ
ผ้าพลาสติกปูโต๊ะบังตัวไว้
“ขอบพระคุณครับที่กรุณาให้ทานผม” เจ้าหนูน้อยพูดเสียงสั่นเครือและไม่ดังนัก “คุณครับ…ผม…
ผมสำ นึกในพระคุณของคุณมาก คุณทั้งสามคนรีบออกไปจากซอยนี้โดยเร็วเถอะครับ ขืนอยู่ชักช้าถูกฆ่าตาย
แน่”
เสี่ยหงวนลืมตาโพลง นิกรกับเจ้าแห้วนั่งตะลึง ก่อนที่จะซักถามอะไรเจ้าหนูน้อยก็คว้าตะกร้า
เครื่องขัดรองเท้าลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านเครื่องดื่มและอาหาร พวกอันธพาลและดาวร้ายทั้งหลายหามีใครรู้
ไม่ว่าเจ้าหนูน้อยได้พูดอะไรกับเสี่ยหงวน
อาเสี่ยกวาดสายตามองไปรอบๆร้านและเริ่มระมัดระวังตัว เขาบอกตัวเองว่าถ้าเขาถูกพวกอันธพาล
กลุ้มรุมเขาก็จะใช้ปืนของเขาให้เป็นประโยชน์ทั้ง ๖ นัดในการต่อสู้ป้องกันตัว เสี่ยหงวนกล่าวถามนิกรเบาๆ
“เอายังไงดีอ้ายกร แกได้ยินแล้วซีนะที่อ้ายหนูคนนั้นมันบอกอะไรเรา”
นิกรพยักหน้ารับทราบ
“ได้ยินแล้ว” นิกรพูดเสียงกร้าวและหนักแน่น “เตรียมตัวได้”
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้น
“รับประทานเตรียมสู้กับมันหรือครับ”
“ใครบอกมึงล่ะ ที่บอกให้เตรียมตัวน่ะ หมายความว่าเตรียมหนีโว้ย พวกมันตั้ง ๓๐ คน เห็นจะได้
สู้มันไหวหรือ”
“รับประทานก็คุณกับอาเสี่ยมีปืนพก”
นิกรยิ้มแห้งๆ
“มีปืนเที่ยวยิงส่งเดช ฉันกับอ้ายหงวนก็ต้องมีธุระไปติดตะรางเท่านั้นเอง” แล้วนิกรก็หันมากระซิบ
กระซาบกับเสี่ยหงวน “กันรู้สึกว่า เจมส ์ บอนด์ มันคงเหน็ เราแลว้ มนั คงไดข้ า่ วแลว้ วา่ พวกเรารบั ทาํ งานให้
คุณวิชัย”
“ใช่-ม่ายอ้ายหนูขัดรองเท้ามันคงไม่บอกกันอย่างนั้น มันต้องเป็นเด็กแถวนี้และรู้ดีว่าอ้ายเจมส์
บอนด์ มันกำ ลังจะเล่นงานเรา แกคิดจะหนีจริงๆหรืออ้ายกร”
นิกรเค้นหัวเราะ
“อย่าว่าแต่พวกมันมีแค่นี้แต่ให้มีสักหมื่นหรือแสนคนก็เชิญบุกเข้ามา”
“แล้วยังไง”
“กันก็ยืนปักหลักสู้กับมัน หมื่นคนต่อสามคนเราก็ยืนหันหลังให้กัน เข้ามาเตะซ้ายเตะขวาชกซ้าย
ชกขวากระแทกด้วยเข่าฟันศอกโป้ง บุกเข้ามาอีกเตะกราดล้มไปวันละ ๑๐ คน ๒๐ คน เดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็ขี้
คร้านจะวิ่งหางจุกตูดไปตามกัน”
“ใครวิ่งวะ” เสี่ยหงวนถาม
“ก็เราน่ะซี หมื่นต่อสามขืนสู้ก็ต้องหาเสียมมาขุดเราเท่านั้น เจอเข้าคนละเท้าสองเท้าก็จมลงไปใน
ดิน”
อาเสี่ยอดหัวเราะไม่ได้
“กินเบียร์และกลับแกล้มของเราต่อไป ต้องให้พวกนี้มันเห็นว่าเราเป็นเสือไม่ใช่หมา เต๊ะท่าไว้อ้าย
กร”
“ทำ ยังไงล่ะ”
“นั่งทรงตัวตรง แล้วก็…อกผาย… ไหล่ผึ่ง…หน้าตึง”
“หลังโกง” นิกรพูดต่อ แล้วหยิบซ่อมจิ้มเป็ดย่างสามสี่ชิ้นใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างหน้าตาเฉย
ทันใดนั้นเองเสียงจ้อกแจ้กจอแจเสียงสรวลเสเฮฮาในร้านอาหารและเครื่องดื่ม “ยวดเฮง” ก็เงียบ
กริบลงทันทีเมื่อชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
อ๋อ ไม่มีปัญหาอะไรอีก เขาคือเชาว์ ลิงลมจอมอันธพาลและฆาตกรผู้ยิ่งใหญ่ เหนือกว่า…เร็วกว่า…
ประหยัดกว่า และแน่กว่า เขาและผู้มีสมญาว่า เจมส ์ บอนด์ ดาวร้ายที่แคล่วคล่องว่องไวราวกับหายตัวได้ พูด
จริงทำ จริงปากว่ามือถึงแต่เยือกเย็นเหมือนนํ้าแข็งชอบการต่อสู้หรือชอบบู๊นั่นเอง ในถิ่นนี้และอีกหลายถิ่น
เชาว์เป็นพี่เบิ้มไม่มีใครใหญ่กว่าเขา อันธพาลและจิ๊กโก๋วัยรุ่นล้วนแต่เป็นสมุนของเขา เมื่อตำ รวจมาสืบหาตัว
เขา ชาวบ้านในถิ่นนี้จะปิดปากเงียบ ใครๆก็ปฏิเสธว่าไม่รู้จักเชาว์ ทั้งนี้เพราะเชาว์ขู่ว่าใครทำ ให้เขาเข้าคุกเขา
จะแหกคุกออกมาฆ่าล้างโคตร โดยไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กทารกหรือคนชราซึ่งเขาจะเหวี่ยงระเบิดมือเข้าไปใน
บ้านหรือบุกเข้าไปยิงทิ้ง
เชาว์หรือเจมส์ บอนด์ สวมกางเกงขายาวสีกรมท่า เสื้อยืดคอปกแขนสั้นสีฟ้าแบบทันสมัย แลเห็น
กล้ามเนื้อขึ้นเป็นมัดๆ เขาเป็นชายหนุ่มในวัย ๓๐ เศษใบหน้าคมคายไว้หนวดเส้นเล็กๆ หุ่นของเขาควรจะ
เป็นพระเอกหนังไทยมากกว่าที่จะเป็นฆาตกรและอาชญากรที่ตำ รวจต้องการตัวเขา บุคลิกลักษณะไม่บอกว่า
เป็นนักเลงอันธพาล แต่เขานี่แหละร้ายกาจที่สุด โหดเหี้ยมป่าเถื่อนไร้ศีลธรรม เคยยิงคนขณะที่กำ ลังนั่งถ่าย
ทุกข์ทั้งๆที่ผู้ตายยกมือไหว้ขอร้องให้ถ่ายเรียบร้อยเสียก่อน เขาฆ่าคนได้ทุกเมื่อ ทุกโอกาส และอาจจะตะบัน
หน้าใครได้ทุกขณะ ถ้าเขาไม่พอใจ หลายถิ่นที่เขาเป็นเจ้าถิ่นบรรดาอันธพาลอาจสยบหัวให้เขายอมเรียกเขา
ว่าพี่ แม้กระทั่งนักเลงเก่าที่มีอายุคราวลุงของเขา ฟันหักหมดปากแล้วก็ยังเรียกเขาว่าพี่เชาว์
เชาว์หยุดยืนที่เคาเต้อรซึ่งนายเฮงเจ้าของร้านวัยชรากำ ลังนั่งมองดูเขาด้วยความหวาดกลัว
“แฮ่ะ แฮ่ะ กินเหล้าซีครับพี่เชาว์ ไก่ตอนวันนี้ตัวอ้วนใหญ่”
เชาว์เค้นหัวเราะแล้วแกล้งพูดเสสียงดังลั่นร้าน
“ไม่กินโว้ย อั๊วไม่มีเงินให้ลื้อ เอาบัญชีเงินของอั๊วมาดูซิ อั๊วเป็นหนี้ลื้อเท่าไหร่แล้ว เร็ว-หยิบออกมา
ชักช้าเดี๋ยวพ่อพังร้านเลย”
นายเฮงตัวสั่นงันงก เขาเป็นคนดีมีสัมมาอาชีพจึงเกรงกลัวคนพาลคนชั่วเป็นธรรมดาอยู่เอง เถ้าแก่
เฮงชายจีนวัย ๖๐ ปี รีบเปิดสมุดบัญชีภาษาจีนออกตรวจดูข้อความในนั้นแล้วพลิกไปทีละใบจนพบชื่อเจมส์
บอนด์ เขาก็ดึงลูกคิดมาคิดเสียงเป๊าะแป๊ะๆ สักครู่เขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูยอดดาวร้าย แล้วกล่าวกับเชาว์อย่าง
นอบน้อมเกรงกลัว
“พี่เชาว์ไม่ได้เป็นหนี้ผมหรอกครับ พี่เชาว์กินเหล้ากินอาหารมาสองเดือนกว่า คิดแล้วผมต้องจ่าย
เงินให้พี่เชาว์ ๕๐๐ บาท ถูกไม่ถูกครับ”
เสือร้ายยิ้มแค่นๆ
“ลื้อว่าถูกก็จ่ายเงินมาให้อั๊วซี ลื้อจะได้หากินอย่างสบายใจไม่มีใครรบกวนลื้อ ใครจะมาเบ่งกินฟรี
กินเชื่อก็ไม่ได้ เร็ว-จ่ายมา อั๊วกำ ลังมีธุระต้องการเงินใช้ แต่ว่าดูเหมือนลื้อเป็นหนี้อั๊ว ๖๐๐ นะโว้ย”
“ครับ ครับ ๖๐๐ ก็ ๖๐๐ ผมคงดีดลูกคิดผิดไปร้อยหนึ่ง” พูดจบเขาก็ดึงลิ้นชักโต๊ะออกหยิบธนบัตร
ใบละร้อยบาทปึกหนึ่งขึ้นมานับแล้วส่งให้เจมส์ บอนด์รวม ๖ ฉบับ “แฮ่ะ แฮ่ะ นี่ครับ อย่างไรพี่เชาว์ก็อย่าเผา
ร้านผมนะครับ ผมไม่ได้ประกันไฟ ถ้าไฟไหม้ ผมหมดตัวแน่ ลูกผมก็ตั้ง ๕ คน”
เจมส ์ บอนด ์ หัวเราะชอบใจ
“สันติสุขและเสรีภาพจะเป็นของลื้อตราบใดที่ลื้อให้อั๊วกินข้าวและกินเหล้าฟรี เข้าใจไหมล่ะ ใคร
มาอาละวาดหรือมาเบ่งที่นี่ กินแล้วไม่จ่ายทรัพย์ ลื้อไปบอกอั๊ว คนเราถ้อยที ถ้อยอาศัยกันโว้ย ลื้อดีต่ออั๊ว จ่าย
เงินค่าคุ้มครองให้อั๊ว ลื้อก็ค้าขายได้อย่างสบาย แต่ถ้าลื้อกระดูกขัดมันเหมือนอย่างอ้ายเส็ง ลื้อก็รู้ดีแล้วว่ามี
อะไรเกิดขึ้น มันว่าตำ รวจแน่กว่าอั๊วใช่ไหมล่ะอั๊วเลยโยนระเบิดมือเข้าไปในร้านตูมเดียวตายทั้งอ้ายเส็ง ตาย
ทั้งลูกเมียตายหมด”
ราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่อยู่เหนือกฎหมาย เชาว์เดินไปรอบๆร้านในท่าทางทระนง ทักทายสมุนของเขา
แบบเสียงดังฟังชัด และแล้วเขาก็เดินเข้ามาหยุดยืนหน้าโต๊ะสองสหายกับเจ้าแห้ว
พอสบตากิมหงวนเขาก็ยิ้มให้
“สวัสดีครับอาเสี่ย”
เสี่ยหงวนพยักหน้า
“คุณรู้จักผมด้วยหรือ”
“อ๋อ รู้จักซีครับ แม้กระทั่งคุณนิกรผมก็รู้จักดี เคยเห็นรูปถ่ายในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ บางทีก็เคย
เห็นอาเสี่ยกับพรรคพวกออกทีวี รายการพิเศษเกี่ยวกับกองทัพบกที่ช่อง๗ ตามภัตตาคารที่หรูหราหรือในงาน
สังคมผมก็เคยเห็นแต่งนายทหารบ้างแต่งสากลบ้าง อ้า-ผมชื่อ เชาว์ ลิงลมครับ หวังว่าอาเสี่ยกับคุณนิกรคงไม่
รังเกียจที่จะรู้จักผม”
อาเสี่ยยิ้มให้
“ยินดีมากคุณเชาว์ที่ได้รู้จักกับคุณ นั่งซีครับ”
เชาว์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างระหว่างสองสหายทำ ให้เจ้าแห้วหนาวๆร้อนๆ พวกอันธพาลทั่วร้าน
อาหารต่างพากันมองดูและคอยปฏิบัติตามคำ สั่งของลูกพี่ เชาว์มองดูหน้านิกรอย่างดูหมิ่นในฝีมือ แล้วพูด
ยิ้มๆ
“คุณจะเรียกผมว่า เจมส ์ บอนด์ก็ได้นะครับ ใครๆเขาชอบเรียกผมอย่างนี้
นิกรหยิบซ่อมจิ้มไก่ตอนใส่ปาก
“สำ หรบั ผม ชื่อเล่นๆว่า เจมส ์ มัน แล้วก็กิมหงวนเพื่อนผมคือเจมส ์ เผอื ก”
“ครับ ผมทราบแล้วคนของผมบอกผมว่า เจมส์เผือกกับพรรคพวกได้รับอาสาทำ งานให้คุณวิชัยติด
ตามหาแป๋วภรรยาของผมเพื่อจะเอาพระเครื่องกริ่งปวเรศวร์ ไปให้คุณวิชัย
นิกรทำ หน้าเบ้
“คุณรู้ได้ยังไง”
“รู้เพราะคุณวิชัยแกเที่ยวคุยโอ้อวดให้ใครต่อใครฟังน่ะซีครับ คนงานที่บริษัทสร้างรถยนตร์หลาย
คนเป็นเด็กของผม มันรู้เข้ามันก็รีบมาบอกผม”
นิกรมีท่าทางคึกคักเข้มแข็งไม่ได้หวาดกลัวเจมส์ บอนด์เลย
“ถ้ายังงั้นก็ดีแล้วครับคุณเจมส์ บอนด์ ผม…เจมส์ มัน ซึ่งจะเป็นมันเทศ มันสำ ปะหลัง หรือมันมือ
สืออะไรก็ได้ต้องการเจรจากับคุณอย่างสันติวิธีในฐานะที่เราเป็นตัวแทนของคุณวิชัยผัวเก่าของเมียคุณ”
“ว่าไงครับคุณเจมส์ เผือก”
นิกรยิ้มด้วยมุมปากข้างซ้ายนิดหนึ่ง แล้วเปลี่ยนมายิ้มทางมุมปากข้างขวาทำ หน้าเหมือนคนปาก
เบี้ยวที่ป่วยเป็นโรคอัมพาต
“เราต้องการพระกริ่งปวเรศวร์องค์นั้น”
เชาว์ผิวปากหวือ
“ถ้าผมไม่ให้จะมีอะไรเกิดขึ้น”
“ไม่ให้ผมก็ไม่เอา” นิกรพูดเสียงอ่อยแล้วสะดุ้งโหยง หันมาทางเสี่ยหงวน “กันพูดอย่างนี้พูดแบบ
ชายชาติเสือใช่ไหม”
อาเสี่ยหัวเราะเบาๆ
“ชาติหมาโว้ย ไม่ใช่ชาติเสือ บอกเขาซีว่าเราต้องการได้พระองค์นี้จะด้วยวิธีใดก็ตาม”
เจมส ์ บอนด์จ้องมองดูหน้าเสี่ยหงวนด้วยแววตาแข็งกร้าว แต่ใบหน้าของพยัคฆ์ร้ายยังยิ้มละไม
เหมือนเช่นเดิม
“อาเสี่ยครับ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะเอาพิมเสนมาแลกกับเกลือ คุณวิชัยก็ไม่ใช่ญาติหรือเพื่อน
ของอาเสี่ย สำ หรับผมกับอาเสี่ยก็ไม่รู้จักกันมาแต่ก่อน หรอื ไมเ่ คยมเี รอื่ งผดิ พอ้ งหมองใจกนั ผมขอรอ้ งใหอ้ า
เสี่ยกับเพื่อนๆเลิกล้มความพยายามที่จะเอาพระกริ่งองงค์นี้ไปให้คุณวิชัยเถอะครับ อาเสี่ยเป็นมหาเศรษฐีมี
ชีวิตอยู่ด้วยความสมบูรณ์พูนสุข ยังไม่ถึงคราวตายก็ไม่น่าจะตาย”
เสี่ยหงวนกระชากแว่นตาขอบกระออกพับเก็บใส่กระเป๋า เขาพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจแล้วโต้
ตอบเจมส ์ บอนดอ์ ยา่ งเผด็ รอ้ น
“ผมไม่เคยคิดว่าผมจะอยู่คํ้าฟ้า ตายเป็นเรื่องเล็กสำ หรับผม คุณขู่ผมอย่างนั้นหรือคุณเฉ่า”
เจมส ์ บอนดส์ ะดงุ้ เฮอื ก
“เชาว์ครับไม่ใช่เฉ่า เฉ่าน่ะ แปลว่าเน่า”
“เอาเถอะคุณจะชื่อ เฉ่าหรือเชาว์ หรือชื่อสุนัขไม่สำ คัญแต่คุณขู่ผมใช่ไหมล่ะ”
เชาว์ชักยั๊วขึ้นมาทันที ทั้งๆที่เขาเป็นคนใจเย็น
“ทำ ไมต้องว่าผมเป็นหมูเป็นหมาด้วย คนชื่อสุนัขมีหรือครับ”
“ทำ ไมจะไม่มี คนบ้านนอกยังนิยมเรียกเด็กว่าอ้ายหมาหรืออีหมาทั้งนั้น คุณน่ะคุณจะขู่ใครก็ขู่ได้
เขาอาจจะกลัวคำ ขู่ของคุณเหมือนอย่างที่คุณขู่คุกคามเอาเงินเจ้าของร้านเมื่อกี้นี้ แต่สำ หรับผมไม่กลัวคุณ
หรอก ผมก็หนึ่งไม่มีสองเหมือนกัน”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกที่อันธพาลและเหล่าร้ายทั้งหลายในกรุงเทพฯยอมศิโรราบน่ะใคร”
เจมส ์ บอนด ์ ยิ้มแค่นๆ
“คุณหรือครับ”
“เปล่า ไม่ใช่ผม”
“แล้วใครล่ะ”
“ก็ตำ รวจน่ะซี แม้แต่คุณเองก็ไม่ปฏิเสธว่าคุณกลัวตำ รวจ ผมเองผมก็ยังกลัวทั้งๆที่ผมเป็นนาย
ทหาร คำ ว่า “ไปโรงพัก” มันมีอำ นาจอย่างที่สุด อย่างน้อยก็ทำ ให้คนเราหน้าซีดตัวสั่นไม่ว่าจะผิดหรือจะถูก
จะไปในฐานะพยานหรือเจ้าทุกข์”
อาเสี่ยยิ้มให้นิกร
“จริงโว้ย เปลี่ยนคำ ว่าโรงพักเป็นบาร์ยังจะเข้าที่กว่าตำ รวจจับใครก็บอกว่า ไปบาร์กันเถอะ ฟังแล้ว
ค่อยชื่นใจ” พูดจบกิมหงวนก็หันมาพยักหน้าให้ เจมส ์ บอนด์ “ผมรดู้ วี า่ พระกรงิ่ ปวเรศวรอ์ ยทู่ คี่ อคณุ แปว๋ เมยี
คุณ ไปเอามาให้ผมเถอะครับม่ายคุณเดือดร้อนแน่ ผม…เจมส์ เผือกวางแผนที่จะจัดการกับคุณไว้เรียบร้อย
แล้ว”
เชาว์ลุกขึ้นยืน นิกรพูดเสริมขึ้นทันที
“เออ ว่าง่ายๆอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ไปเอามาให้เราเถอะครับ”
เจมส ์ บอนด์ขมวดคิ้วย่นแล้วตะโกนลั่น
“ใครบอกคุณล่ะว่าผมจะไปเอาพระกริ่งมาให้คุณ ผมลุกขึ้นก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงไปเพราะผมยังไม่
อยากฆ่าคุณกับอาเสี่ย เข้าใจไหม”
เจ้าแห้วพูดโพล่งขึ้นทันที
“ก็ลองดู เจมส ์ บอนด์ คุณทาํ อะไรนายผมผมสู้แค่ตายเท่านั้น ให้มันแน่สักรายเถอะวะ เกดิ มาเปน็
คนกลัวคนก็ไม่ใช่คน วันนี้กูยอมถูกฆ่า ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมเรียงหน้าเข้ามาเถอะ”
เชาว์หัวเราะหึๆ มองดูเจ้าแห้วอย่างขบขัน
“แน่นักเรอะพี่ชาย”
“ก็แน่ขนาดสองบวกสองเป็นสี่แหละเพื่อน นี่สิบเอกแห้วนะโว้ย ใครจะทำ ร้ายทหารก็ลองดู อั๊ว
เรียกพรรคพวกอั๊วมาสักสองกองพันรื้อบ้านเรือนของพวกลื้อ ขนเอาไปเท่านั้นพวกลื้อก็ไม่มีที่ซุกหัวนอนไม่
ต้องปะทะกับพวกลื้อให้เสียเวลา”
เจมส ์ บอนด์หันมาทางสองสหาย
“เอาล่ะครับ ผมก็จะพิสูจน์ตัวเองให้อาเสี่ยและคุณนิกรได้เห็นเหมือนกันว่าผมแน่พอๆกับ เจมส ์
บอนด์ ในหนังหรือเปล่า ผมให้เวลาอาเสี่ยกับคูณนิกร ๕ นาที เพื่อให้ออกไปจากร้านอาหารร้านนี้และรีบไป
เสียจากนี่”
เสี่ยหงวนผุดลุกขึ้นยืน
“ลื้อมีอำ นาจอย่างไรวะมาสั่งอั๊วอย่างนี้ ไม่ต้องให้เวลาโว้ย อั๊วไม่ไป อั๊วจะนั่งอยู่ที่นี่และจัดการกับ
ลื้อ ให้มันรู้ไปซีวะ ว่าเจมส์ บอนด์ กับ เจมส์ เผือก ใครจะแน่กว่าใคร”
หมัดขวาของเชาว์ลั่นตูมออกไป กระแทกปากครึ่งจมูกครึ่งอาเสี่ยอย่างเต็มแรง กิมหงวนไม่ทัน
ระวังตัว เซถลาล้มควํ่าไป ทันใดนั้นเองนิกรหรือเจมส์ มันก็ลุกขึ้นยกเท้าขวาเตะชายโครงเจมส์ บอนด์ดังพลั่ก
พวกอันธพาลเห็นลูกพี่ถูกเตะเซไปปะทะโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งก็ลุกฮือขึ้นวิ่งเข้ามาตะลุมบอนสอง
สหาย เจ้าแห้วเผ่นพรวดลุกขึ้นยืนคว้าเก้าอี้ไม้ โครงเหล็ก ยกขึ้นฟาดกบาลเหล่าร้าย สมุนของงเจมส์ บอนด์
มวยหมู่เกิดขึ้นแล้ว การประจัญบานเป็นไปอย่างดุเดือด นิกร,กิมหงวน และเจ้าแห้วต่างยืนหันหลัง
ชนกันต่อสู้แบบเสือร้าย เสี่ยหงวนเตะและชกอุตลุด เจ้าหนุ่มหน้าเสี้ยมคนหนึ่งโดนอาเสี่ยเตะปลายคางพอดี
ล้มผงะหงายข้างเจ้าแห้ว แล้วถูกเจ้าแห้วกระทืบซํ้าอีกทีหนึ่งเลยนอนกรนคร่อก
โต๊ะ เก้าอี้ล้มระเนระนาด กระจกตู้ใส่เหล้าเบียร์แตก นิกรกับเสี่ยหงวนและเจ้าแห้วเพียง ๓ คนเท่า
นั้นจึงถูกหมัดเท้าศอกเข่าหน้าตายับเยินไปตามกัน แต่ธาตุแท้ของนักสู้ ทำ ให้สองสหายกับเจ้าแห้วสู้อย่าง
ทรหด
“สู้ตายอ้ายกร เราสองคนตายด้วยกันโว้ย”
นิกรถูกหมัดของใครคนหนึ่งชกกระบอกตาข้างขวาเต็มเหนี่ยวทำ ให้นิกรเผลอตัวร้องขึ้นสุดเสียง
“โอ๊ย ต่อยยังงี้ได้เรอะ ตากูบอดไปว่ายังไง”
ร้านค้าแถวนั้นต่างปิดร้านกันโครมคราม ผู้คนบนถนนซอยวิ่งพลานหลบหนีเข้าบ้านเพราะกลัวจะ
ถูกลูกหลง เถ้าแก่เฮงกับภรรยาของเขามุดลงไปนั่งคู้ตัวอยู่ใต้เคาเต้อร
เจ้าแห้วถูกชกหมอบลงไปคนหนึ่งแล้ว นิกรกับอาเสี่ยก็บอบชํ้าอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว เพราะต่าง
ก็มีแขนเพียงสองข้างปิดหมัดและเท้าไม่ทัน พวกอันธพาลใช้วิธีกลุ้มรุมล้อมกรอบเจมส์ บอนด์ ผละจากการ
ต่อสู้ เลี่ยงออกไปยืนดูสมุนของเขา ๒๐ กว่าคนกินโต๊ะสองสหาย
จนกระทั่งใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นที่หน้าร้าน “ยวดเฮง” ซึ่งเสียงตะโกนนี้เป็นเสียงของผู้หญิง
แก่ๆคนหนึ่ง หล่อนแกล้งร้องขึ้นเพราะสงสารเสี่ยหงวนกับนิกรนั่นเอง
“โว้ย ฉลามบกมาโว้ย”
คำ ว่า ฉลามบกทำ ให้เชาว์และสมุนของเขาแตกฮือ ทุกคนผละจากการต่อสู้วิ่งหนีกระจัดกระจาย
ออกไปจากร้าน “ยวดเฮง” และหนีเข้าไปตามตรอกซอกซอยด้วยความสำ คัญผิดคิดว่าฉลามบกมาจริงๆ
เสี่ยหงวนกับนิกรยืนหอบแฮ่กๆ ซี่โครงบาน ส่วนเจ้าแห้วนั่งเหยียดเท้าสะลึมสะลืออยู่ข้างโต๊ะตัว
หนึ่ง นิกรนัยน์ตาข้างขวาเขียวปั้ดเป็นวงกลมเท่าฝาขนมครกพอดี คิ้วซ้ายปูดโปน โหนกแก้มขวาบวมปริ
แทบแตก เสี่ยหงวนริมฝีปากบนปลิ้นยื่นออกมาทำ ให้หน้าตาเปลี่ยนแปลงไป มองดูคล้ายๆกับครุฑ คิ้วขวา
แตกเป็นแผลแต่ไม่มากนัก นัยน์ตาทั้งสองข้างชํ้า ส่วนเจ้าแห้วใบหน้ายับเยินเพราะถูกหมัดจนแทบจะจำ ไม่
ได้
อาเสี่ยปราดเข้ามาประคองเจ้าแห้วลุกขึ้น
“ทำ ไมแกไม่เอามีดออกมาแทงมัน”
เจ้าแห้วหายใจถี่เร็วเพราะความเหน็ดเหนื่อยบอบชํ้า
“รับประทานลืมนึกไปครับว่ามีมีดติดตัวมา แล้วอาเสี่ยกับคุณนิกร ทำ ไมไม่ควักปืนออกมายิงมัน
ล่ะครับ”
เสี่ยหงวนฝืนยิ้ม
“มันไม่มีอาวุธถ้าเรายิงมันตาย ก็จะเป็นการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ แล้วก็กันเชื่อมืออ้ายกรด้วย เห็น
มันคุยว่าต่อให้อ้ายเชาว์ยกพวกมาหมื่นคนก็ไม่กลัว เตะกราดซ้ายขวาก็ขี้คร้านจะแตกกระจายร้องเอ๋งวิ่งกาง
จุกตูดไปตามกัน”
เจ้าแห้วหันมามองดูนิกร
“รับประทานเป็นยังไงบ้างครับ”
“เป็นยังไงล่ะ แย่มันน่ะซี อ้ายพวกนี้เล่นหมาหมู่นี่หว่า นี่ถ้าหากว่า ไม่มีใครร้องตะโกนบอกว่ากอง
ปราบมา เราสามคนก็คงเสร็จมันแล้ว ถ้าไม่ตายก็ต้องถึงกับหยอดนํ้าข้าวต้ม”
อาเสี่ยยิ้มเล็กน้อย
“ช่างมันอ้ายกร ทีของมันแล้วให้มันไว้เป็นทีของเราบ้าง ขอกันกินยิ่งกว่านี้ เจ็บแค่นี้พอทน รีบกลับ
ไปบ้านเถอะ ไปตามอ้ายพล อ้ายหมอ และคุณอามาบุกกับมันอีกคืนวันนี้ เราต้องเอาพระกริ่งไปคุณวิชัยให้
ได้”
“นั่นน่ะซี รับทำ งานให้เขาแล้วก็ต้องทำ ให้สำ เร็จ แต่ว่าค่าจ้างหกสลึงมันถูกไปหน่อย”
“ก็แล้วเสือกเรียกแค่นั้นทำ ไมล่ะ ยังจะพูดดีอีก”
ทั้งสามคนพากันเดินตรงมาที่เคาเต้อร ซึ่งเถ้าแก่เฮงยืนตัวสั่นอยู่หลังเคาเต้อรนั้น
“คิดเงินเถอะเถ้าแก่ อั๊วจะกลับละ” เสี่ยหงวนเจรจาด้วยภาษาจีนกลาง
นายเฮงสั่นศีรษะ
“ไม่คิดล่ะครับ พวกคุณรีบออกไปจากร้านผมดีกว่า ผมให้กินฟรีครับ ขืนชักช้าพี่เชาว์เอาระเบิดมือ
โยนเข้ามาผมก็แย่เท่านั้น”
อาเสี่ยโยนเงินลงบนเคาเต้อร ๑๐๐ บาท
“อ้า-เอาไปเถอะ ไม่ต้องทอน อั๊วไม่เคยกินฟรี และไม่ชอบกินฟรี อั๊วไปละนะ ถ้านายเชาว์เขามาที่นี่
อีก ลื้อช่วยบอกเขาหน่อยว่าให้เขาจัดการสั่งเสี่ยลูกเมียให้เรียบร้อย และควรจะติดต่อกับสัปเหร่อไว้ อั๊วจะ
กลับมาฆ่าเขา กลับมาถนนดินแดงนี้ เหมือนกับ นายพลแมคอาเธ่อร์ สัญญาว่า ท่านจะกลับมาฟิลิปปินส์”
นิกรยกกํ้าปั้นทุบเคาเต้อรดังโครมแล้วพูดเสริมขึ้น
“อั๊วฆ่านายเชาว์แน่ ฆ่าทุกคนแม้กระทั่งตัวอั๊วเอง สวัสดีเถ้าแก่ ค้าขายแบบนี้เจริญดีนะ”
สองสหายกับเจ้าแห้วต่างพากันเดินออกไปจากร้าน “ยวดเฮง” พวกไทยมุงและจีนมุงแตกฮือ
อันธพาลกลุ่มหนึ่งพากันออกมาจากซอยเล็ก พอแลเห็นกิมหงวนกับนิกรและเจ้าแห้ว เจ้าหนุ่มคนหนึ่งก็ร้อง
ขึ้นดังๆ
“ปิดตรอกโว้ยพวกเรา ปิดประตูตีแมวโว้ย”
นิกรดึงปืนพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วร้องตะโกนลั่น
“มา-เข้ามา แมวสองนัวนี่ทีรีวอลเว่อร ๙ มม.โว้ย เรียงหน้าเข้ามาได้เลย” แล้วนิกรก็ยกปืนยิงขึ้นฟ้า
๒ นัดติดๆกัน
เท่านี้เองอันธพาพกลุ่มนั้นก็ห้อแน่บเข้าไปในซอยเล็กอย่างไม่คิดชีวิต ผู้คนที่อยู่ในตรอกวิ่งหนีล้ม
ลุกคลุกคลานไปตามกัน ร้านค้าที่กำ ลังเปิดประตูเพื่อค้าขายต่อไป หลังจากการปะทะกันสงบลงแล้วได้ยิน
เสียงเปิดก็ปิดประตูอีก ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นชาวร้านจะต้องปิดร้านก่อนตามธรรมเนียม
ก่อนคํ่าวันนั้นเอง คาดิลแล็คเก๋งก็มาที่ถนนดินแดงตอนนั้นอีกครั้งหนึ่ง
รถเก๋งคันงามซึ่งขับโดยเจ้าแห้ว และมีเจ้าคุณปัจจนึกฯนั่งอยู่ข้างซ้ายคลานมาจอดชิดบาทวิถีห่าง
จากซอย “เพ็ญพิมล”ราว ๓๐ เมตร สี่สหายนั่งรวมตัวกันอยู่หลังรถ ซึ่งทุกคนเตรียมเปิดฉากบู๊เต็มที่ พล พัชรา
ภรณ์เดือดดาลมากเมื่อเสี่ยหงวนกับนิกรกลับไปบ้าน หน้าตาฟกช้ำ ดำ เขียว ซงึ่ รวมทงั้ เจา้ แหว้ ดว้ ยความรกั
พวกพ้องทำ ให้เขาชวนคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯมาที่ซอย “เพ็ญพิมล” โดยวางแผนไว้ว่าเขาจะบู๊
กับเชาว์เอง แล้วก็จับเจมส์ บอนด์มอบให้ตำ รวจดำ เนินการตามกฎหมาย ถ้าหากว่าเชาว์ไม่ยอมคืนพระเครื่อง
กริ่งปวเรศวร์ให้โดยดี
เจ้าคุณปัจจนึกฯหันมาถามกิมหงวน
“ถึงแล้วเรอะ”
“ครับ”
“ซอยไหน ทางขวาหรือทางซ้าย”
“ทางซ้ายครับ ซอยที่มีตาแก่หัวล้านอุ้มไก่เดินออกมานั่นแหละครับ”
ท่านเจ้าคุณทำ ปากจู๋
“แล้วต้องบอกด้วยเรอะตาแก่หัวล้าน”
“อ้าว ก็ตาลุงนั่นหัวแกล้านจริงไหมล่ะครับ แดงแจ๋ยังกะลูกมะอึก พอฟัดพอเหวี่ยงกับศีรษะคุณอา”
“พอแล้ว” เจ้าคุณปัจจนึกฯตวาดแว็ด “ปากปลิ้นเป็นครุฑยังจะพูดมากอีก ดูได้หรือน่ะ หน้าตายังกะ
ถูกหมาฟัด”
พลกำ ลังขุ่นแค้นใจก็พูดตัดบท
“ฟังทางนี้โว้ยพวกเราถึงเวลาแล้วที่เราจะเปิดฉากบู๊กับอ้ายเชาว์และพรรคพวกของมัน ตำ รวจเขา
ให้สินบนนำ จับอ้ายเชาว์หรือเจมส์ บอนด์ สองหมื่นบาท เราน่ะไม่มีอาชีพเป็นนักล่าเงินรางวัลหรอก แต่ถ้า
อ้ายเชาว์ไม่ยอมคืนพระกริ่งอันมีอ่าองค์นั้น เราก็ต้องช่วยกันจับตัวมันให้ตำ รวจ”
เจ้าคุณปัจจนึกเห็นพ้องด้วย
“ถูกล่ะ แต่ว่าทุกคนต้องระวังตัวให้มาก เพราะพวกมันมีมากกว่าเรา แล้วก็ก่อนจะใช้ปืนยิงป้องกัน
ตัวเองพิจารณาดูให้มีเหตุผลสมควร”
นิกรยิ้มให้พ่อตาของเขา
“ติ๋งต่างว่ามันฟันผมคอขาดกระเด็น ผมยิงมันได้ไหมครับ”
“อ๋อ ยังงั้นได้ เป็นการป้องกันตัวไม่เกินกว่าเหตุยิงได้เลย”
ก่อนที่ทุกคนจะลงจากรถคาดิลแล็คเก๋ง เสี่ยหงวนก็แลเห็นเจ้าหนูน้อยนักขัดรองเท้าที่เขาให้เงินไป
๑๐ บาท เดินออกมาจากปากซอย “เพ็ญพิมล” และเลี้ยวขวามือตรงมาทางรถคาดิลแล็คเก๋ง อาเสี่ยรีบบอกนิกร
ทันที
“เฮ้ย อ้ายหนูขัดรองเท้ากำ ลังเดินมาที่นั่นยังไง เห็นไหม”
“เออ ใช่”
อาเสี่ยยิ้มออกมาได้
“อย่าเพิ่งลงจากรถพวกเรา กันจะซักถามอะไรจากเด็กคนนี้ก่อนอ้ายหนูนี่เป็นพวกเราโว้ย กันก็เล่า
ให้ฟังแล้วที่เด็กคนนี้ทราบซึ้งใจในบุญคุณของกันที่ให้เงิน ๑๐ บาท โดยไม่ต้องให้ขัดรองเท้าให้ มันก็เลย
กระซิบบอกเราว่าเรากำ ลังจะถูกทำ ร้าย ให้เรารีบหนีออกมาจากซอย “เพ็ญพิมล””
เจ้าหนูน้อยผู้ไร้ญาติขาดมิตร เดินผ่านมาทางรถคาดิลแล็คเก๋ง เสี่ยหงวนซึ่งนั่งอยู่ริมซ้ายตอนหลัง
รถก็ร้องเรียก
“หลานชาย มานี่ซิ”
เด็กอนาถาหยุดชะงักมองดูอาเสี่ยอย่างตื่นๆ แต่พอจำ ได้ก็รีบเข้ามาหาหยุดยืนข้างรถวางตะกร้า
เครื่องมือขัดรองเท้าลง แล้วประนมมือไหว้เสี่ยหงวนอย่างนอบน้อมเจียมตัว กิมหงวนส่งธนบัตรใบละร้อย
บาทหนึ่งฉบับให้ทันที
“เอาเก็บไว้ซื้อเสื้อผ้าและกินขนม ลุงให้เธอร้อยบาท” หนูน้อยสั่นศีรษะมองดูเสี่ยหงวนอย่างแปลก
ใจ
“ขอบคุณครับคุณลุง เงินตั้งร้อยบาทมากเกินไป ผมไม่รับหรอกครับ”
“ไหงยังงั้นล่ะหลานชาย เอาไว้เถอะน่า อย่างน้อยก็มีกินมีใช้ไปหลายวัน”
เจ้าหนูน้อยทำ ท่าอิดเอื้อน นิกรพูดเสริมขึ้นเบาๆ
“เด็กมันไม่เอาก็ส่งมานี่เถอะวะ ร้อยบาทความจริงก็ไม่ใช่เงินเล็กน้อย”
“ทะลึ่ง” ศาสตราจารย์ดิเรกดุ
อาเสี่ยยัดเงินให้เจ้าหนูน้อยผู้มีอาชีพขัดรองเท้าจนได้ เด็กอนาถาปลาบปลื้มใจเหลือที่จะกล่าว เขา
กระพุ่มมือไหว้เสี่ยหงวนสักสองสามครั้ง
“ผมกราบขอบคุณครับคุณลุง กรุณาให้ผมเรียกท่านว่าคุณลุงเถอะนะครับ ญาติพี่น้องของผมใน
โลกนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว”
เสี่ยหงวนยิ้มแป้น
“ ตกลง ลุงยินดีเป็นลุงของหนู และอนุญาตให้หนูเรียกลุงว่าลุงได้ แต่ห้ามเรียกลุงถิงอย่างเด็ดขาด”
“ขอบคุณครับ ขอให้คุณลุงมีความสุขความเจริญเถิดครับ ไม่เคยมีใครเมตตากรุณาผมเหมือนคุณลุง
เลย”
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจลุงหรอกวะอ้ายหลานชาย ลุงและพรรคพวกเป็นคนมีเงินที่เห็นอกคนจน
โดยเฉพาะคนจนที่เป็นผู้หญิงเราเคยเห็นอกมามากต่อมาก ได้ให้ความช่วยเหลือทุกคนที่มาพึ่งเรา หนูชื่อ
อะไรล่ะ บอกลุงซิ”
“ชื่อเปี๊ยกครับ”
เสี่ยหงวนขมวดคิ้วย่น
“พูดดังๆหน่อยซิ เปี๊ยกหรือเปียก ได้ยินไม่ถนัด”
“เปี๊ยกครับ ป. สระเอี๊ยก ครับ”
“อือ ชื่อสั้นๆ เรียกง่ายดีเหมือนกัน ลุงจะถามอะไรหน่อย ขณะนี้อ้ายเชาว์อยู่ที่ไหน หนูช่วยพาลุง
กับพรรคพวกไปพบตัวมันหน่อยซีนะถ้าหากว่ามันอยู่ที่บ้านพักของมัน”
เจ้าเปี๊ยกมองดูกิมหงวนด้วยสายตาที่ซาบซึ้งในบุญคุณของเขา
“เจมส ์ บอนด์ หรอื ครบั เขาพาเมียเขากับสมุนคนสนิทของเขาสามคนไปจากซอย“เพ็ญพิมล” แล้ว
ครับ”
“บะแล้ว” นิกรอุทานขึ้นดังๆ “อ้ายเชาว์ไปเสียแล้ว ตั้งใจจะมาฆ่ามันทีเดียวหรือม่ายก็ให้มันฆ่ากัน”
เสี่ยหงวนถอนหายใจหนักๆ จ้องมองดูหน้าเจ้าหนูน้อยตลอดเวลา
“หนูรู้ไหมว่าอ้ายเชาว์ไปอยู่ที่ไหน”
“ไปอยู่โรงแรมทางหัวลำ โพงแหละครับ แต่ผมไม่ทราบว่าโรงแรมไหน อ้า- พอน้าเชาว์มีเรื่องกับ
คุณลุงและคุณลุงคนนั้นกับคนขับรถ น้าเชาว์ก็เรียกประชุมที่บ้านพรรคพวกของเขา”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ตีกลองเรียกประชุม”
เจ้าหนูน้อยหัวเราะคี๊ก
“ไม่ใช่ผู้ใหญ่ลีนี่ครับจะได้ตีกลอง”
พลมองดูนิกรอย่างเคืองๆ
“อย่าเพิ่งพูดเล่นน่าอ้ายกร เรากำ ลงั ฟงั เรอื่ งราวจากเจา้ หนคู นนเี้ พอื่ ตดิ ตามอา้ ยเชาวต์ อ่ ไป” แล้วพลก็
กล่าวถามเจ้าหนูน้อย “หนูรู้หรือเปล่า อ้ายเชาว์มันเรียกประชุมลูกน้องทำ ไม”
“รู้ครับ น้าเชาว์เขาให้ผมขัดรองเท้าให้เขาที่บ้านเขา ผมก็เลยได้ยินเขาพูดกับนักเลงที่นี่ ซึ่งล้วนแต่
เป็นลูกน้องของเขา น้าเชาว์ว่าเขาอยู่ถนนดินแดงไม่ได้แล้วเพราะคุณลุงกับคุณลุงคนนั้นเป็นนายทหารผู้ใหญ่
อย่างไรก็คงไปบอกกับตำ รวจว่าถูกน้าเชาว์กับพรรคพวกกลุ้มรุมทำ ร้าย เขาจะพาเมียของเขากับน้าสอนน้า
เอี่ยมและพี่ก้าน ไปหลลบซ่อนตัวอยู่ที่โรงแรมทางหัวลำ โพง แล้วเขาจะไปหาเช่าบ้านอยู่ทางบางรักหรือ
ตรอกจันทร์บ้านทวายแถวนั้น เขาสั่งให้ลูกน้องของเขาออกไปจากซอย “เพ็ญพิมล” ครับ น้าเชาว์ว่าก่อนคํ่า
วันนี้ตำ รวจกองปราบและตำ รวจท้องที่จะต้องแห่กันมาจับพวกอันธพาลซึ่งเป็นลูกน้องของเขาแน่นอน ถ้า
ใครไม่หลบหนีก็จะถูกจับ”
เสี่ยหงวนกล่าวขึ้นทันที
“เป็นอันว่าอ้ายเฉ่า…เอ๊ย…อ้ายเชาว์กับลูกน้องเปิดไปหมดแล้ว”
“ยังเหลืออีกสองสามคนครับ สำ หรับพี่เชาว์กับเมียของเขาและสมุนสามคนหนีไปอยู่โรงแรมทาง
หัวลำ โพงครับ”
อาเสี่ยซักต่อไป
“แล้วนอกนั้นต่างกระจัดกระจายแยกย้ายกันไป”
“ครับ แต่ไม่ช้าก็จะกลับมาอีก หลายหนแล้วครับที่เป็นอย่างนี้ พอมีเรื่องกับใครพวกนักเลง
อันธพาลและพวกจิ๊กโก๋สมุนของน้าเชาว์ก็หนีไปหมด ในเดือนสองเดือนก็ย่อยๆกันกลับมา”
เสี่ยหงวนหันมาพูดกับพล
“ตามไปที่โรงแรมหัวลำ โพงเถอะวะ มีโรงแรมอยู่ที่นั่นอย่างมากก็ ๑๐ แห่งเท่านั้น ค้นดูทีละแห่ง
คงจะพบตัวเจมส์ บอนด์ แน่นอน วันนี้เราจะต้องเปิดฉากบู๊ให้รู้ดีรู้ชั่ว ฟาดกันให้แหลกไปข้างหนึ่ง คุณอามา
กับเราอย่างนี้ ทำ ให้กันมีขวัญและกำ ลังใจดีขึ้น เพราะถึงแม้ว่าท่านแก่แล้ว ท่านก็คือ เสือเฒ่าสู้ไม่ถอย”
ท่านเจ้าคุณยิ้มแป้น
“เอา-บู๊ก็บู๊กัน”
นิกรยิ้มให้เสี่ยหงวน
“คุณพ่อเอาแน่โว้ย เมื่อเช้าท่านซ้อมเตะปี๊บเปล่าไกลตั้งสามเมตรว่ะ ถ้าอ้ายเชาว์ถูกท่านเตะก็คงง่อย
กระรอกไปเหมือนกัน สำ หรับกันไม่มีปัญหา ถ้าพบอ้ายเชาว์กันจะฆ่ายัดใส่กล่องส่งไปเชียงใหม่”
พลมองดูหน้านิกรอย่างขบขัน
“ส่งไปที่อื่นไม่ได้หรือ ทำ ไมถึงต้องส่งไปเชียงใหม่ด้วย”
“อ้าว ก็ฆาตกรรมใส่กล่องรายแรกเขาทำ มาอย่างนั้น เราก็ต้องเอาอย่างเขาซีวะ ส่งไปเมืองอื่นมันก็
ไม่ตื่นเต้น”
เสี่ยหงวนจะชะโงกหน้ามองดูนายพลดิเรก
“ว่ายังไงหมอ วันนี้สู้ตายนะ”
“ออไร๋ ไหนๆเราก็รับจ้างทำ งานให้คุณวิชัยเขาแล้ว และรับเงินล่วงหน้ามาสามสลึงแล้ว เราก็ต้อง
เอาพระเครื่องกริ่งปวเรศวร์องนั้นไปคืนให้เขาให้ได้ ถ้าพวกเราทำ ไม่สำ เร็จก็เสียชื่อ แต่ถ้าทำ สำ เร็จเงินค่าจ้าง
หกสลึงต้องแบ่งเท่าๆกันนะโว้ย เรื่องเงินเรื่องทองมันเป็นของบาดใจ เราสี่คนกับคุณพ่อและอ้ายแห้วรวมหก
คนเฉลี่ยแล้วคนละสลึงเท่าๆกัน”
เจ้าแห้วพูดโพล่งขึ้น
“รับประทานสำ หรับผมไม่ต้องครับ แฮ่ะ แฮ่ะ เพื่อเจ้านายเงินส่วนแบ่งหนึ่งสลึงผมยอมสละสิทธิ์
ครับ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นลั่นรถ เสี่ยหงวนยิ้มให้เจ้าหนูน้อยซึ่งยืนอยู่บนบาทวิถีข้างรถคาดิลแล็คเก๋ง
“หลานชาย ขอบใจมากนะที่ช่วยบอกลุงว่าอ้ายเชาว์พาเมียกับสมุนร่วมใจหนีไปอยู่โรงแรมทางหัว
ลำ โพง ลุงจะพาพรรคพวกไปพบอ้ายเชาว์เดี๋ยวนี้”
“แหม-ผมเป็นห่วงคุณลุงจังครับ น้าเชาว์เขามีปืนแล้วก็มีฝีไม้ลายมือดีนะครับ ใครๆก็เรียกเขาว่า
เจมส ์ บอนด”
“เอาเถอะน่า อ้ายเชาว์เป็นเจมส์ บอนด์ ลุงเป็นเจมส์ เผือก วันนี้อ้ายเชาว์ เฉ่าแน่ เชื่อลุงเถอะอ้าย
หลานชาย อ้า- ไปโว้ยอ้ายแห้ว พาพวกเราไปหัวลำ โพงเดี๋ยวนี้”
เจ้าเปี๊ยกยกมือไหว้เสี่ยหงวนและพล,นิกร,ดร.ดิเรกและเจ้าแห้วโดยทั่วหน้ากัน เจ้าแห้วสต๊าทเครื่อง
นำ รถเก๋งคันงามเลี้ยวกลับแล่นย้อนออกไปทางต้นถนนดินแดง
คาดิลแล็คเก๋ง มาถึงบริเวณหน้าสถานีรถไฟกรุงเทพฯในเวลามืด ขมุกขมัวพอดี พลสั่งให้เจ้าแห้ว
จอดรถในที่จอดรถทางด้านขวาของสถานี ซึ่งฝั่งตรงกันขา้ มและฝั่งขวาตลอดจนริมถนนรองเมืองหรือถนน
พระรามสี่มีโรงแรมหลายแห่ง ถึงแม้โรงแรมบางแห่ง จะตกเป็นเหยื่อพระเพลิงจากเพลิงไหม้ตรอกสลักหิน
เมื่อเร็วๆนี้ก็ตาม หัวลำ โพงเป็นที่ชุมนุมของชาวชนบทที่เดินทางมากรุงเทพฯ เช่าพักนอนอยู่ตามโรงแรมเพื่อ
สะดวกในการขึ้นรถไฟ นอกจากนี้ราคาโรงแรมแถวหัวลำ โพงถูกกว่าโรงแรมชั้นเยี่ยม เมื่อมีโรงแรมมากก็
ต้องมีนางบังเงาหรือแมงดาและอันธพาลนักรีดนักไถนักต้มหมูขู่กรรโชก นักหยิบ นักเซ้ง นักพนัน และ
อาชญากรรมร้อยแปด รวมความแล้วถิ่นหัวลำ โพงมีทั้งพลเมืองดีและพลเมืองเสียปะปนกัน ที่เป็นพลเมืองดีก็
ตั้งหน้าตั้งตาประกอบอาชีพของตนด้วยความสุจริตธรรม ที่เป็นพลเมืองเสียก็กระทำ ทุจริตผิดกฎหมาย ตี
กบาลคนเล่นบ้าง ชกหน้าคนเล่นบ้าง บางทีก็เอาหลาวหรือเหล็กขูด ช้าฟมีดพกเที่ยวกระซวกใครต่อใครเล่น
แก้เหงา ตีชิงวิ่งราวลักเล็กขโมยน้อยจนกระทั่งขโมยใหญ่คือขโมยรถยนตร์ก็มีบ่อยๆ
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ พากันลงจากรถในเวลาเดียวกันกับที่ประชาชนหลายร้อยคนออกมาจาก
สถานีกรุงเทพฯ เพราะเป็นเวลาที่รถไฟขบวนหนึ่งเพิ่งมาถึงหลังจากเสียเวลาไปบ้าง
นิกรยกมือจับแขนเสี่ยหงวนแล้วกล่าวถามอย่างเป็นงานเป็นการ
“หมายความว่าเรากำ ลังจะบุกแหลกใช่ไหม”
“ใช่ เราจะต้องปราบเจมส์ บอนด์ ให้ได้เพื่อเอาพระกริ่งไปคืนคุณวิชัยตามที่ตกลงกัน”
“ถ้ายังงั้น หาข้าวกินกันเสียก่อนไม่ดีหรือ หิวๆอย่างนี้ แม้แต่ลูกหมาตัวเล็กๆกันก็สู้ไม่ไหว”
อาเสี่ยยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา
“เพิ่ง ๑๘.๓๐ เท่านั้นหิวแล้ว อยู่บ้านกินกันตั้งทุ่มครึ่ง แก่ยัดไปหน่อยแล้วโว้ย บู๊กันเสียก่อนแล้ว
กัน จะพาพวกเราไปกินข้าวที่กินรีนาวา หรือห้อยเทียนเหลาชายทะเลก็ตามใจ”
“ว้า ก็ถ้าเผื่อตีกันแล้วถูกตำ รวจจับ”
“โน” นายพลดิเรกเอ็ดตะโร “ตำ รวจเขาไม่มายุ่งกับเราหรอก แกเคยดูหนังบู๊หรือเปล่า ไล่ยิงกันตาม
ถนนหรือทุบตีกันจนจอพังไม่กล่าวถึงตำ รวจเลย แล้วก็พวกเราเป็นพระเอก รับรองว่าไม่มีตาย อย่างมากก็แค่
บาดเจ็บนิดหน่อยแข้งขาถลอกปอกเปิกเท่านั้น”
นิกรยิ้มแห้งๆ
“ก็ถ้าหากว่าเรื่องนี้อ้ายเชาว์มันเป็นพระเอกล่ะโว้ยเราไม่เน่าหรือ”
ศาสตราจารย์ดิเรกพูดตัดบท
“เถอะน่าอย่าปอดลอยไปหน่อยเลยวะ เตรียมปลุกหลวงพ่อได้แล้วอ้ายกร เราจะขึ้นตรวจค้นโรง
แรมทุกแห่งให้อ้ายหงวนเป็นผู้นำ แล้วก็กันจะนั่งกินกาแฟสังเกตการณ์อยู่ข้างล่าง”
คณะพรรคสี่สหายเดินข้ามถนนเข้าไปในโรงแรมชั้นดีของคนที่ไม่ใคร่มีสตางค์แห่งหนึ่ง โรงแรม
“เจี๊ยะเสียม” เป็นตึกแถว ๒ คูหา ชั้นล่างจำ หน่ายอาหารและเครื่องดื่มเหล้าเบียร์คล้ายๆกับโรงแรมแถวนี้ แต่
ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่นั่งดื่มเหล้า รับประทานอาหารหรือดื่มกาแฟ นํ้าอัดลมสนทนากันจะเป็นผู้ที่มาพักโรง
แรมนี้ คนที่อยู่ในร้านตามโต๊ะต่างๆมีหลายแบบหลายอาชีพ แท็กซี่ก็มี ,กรรมกรหาเช้ากินคํ่าก็มี นอกจากนี้ก็
มีโสเภณี แมงดา และอันธพาลมากหน้าหลายตา รวมทั้งเด็กกระเป๋าและนายตรวจรถเมล์
คณะสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯและเจ้าแห้วยืนลังเลอยู่สักครู่อาเสี่ยก็กระซิบกับพลว่า
“แกพาพวกเราไปนั่งที่โต๊ะขวาสุดนั่นก่อน กันจะบุกขึ้นไปข้างบนคนเดียว สืบให้รู้แน่ว่าอ้ายเชาว์
กับพรรคพวกมานั่งอยู่ที่นี่หรือเปล่า
พลพยักหน้าเห็นพ้องด้วย
“ดีแล้ว ถ้าพบอ้ายเชาว์กับสมุนทั้งสามคน แกคนเดียวก็คงจัดการกับอ้ายพวกนั้นได้เรียบร้อยไม่ใช่
หรือ”
อาเสี่ยกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“พูดเป็นบ้า หนึ่งต่อสี่กันก็เท่งทึงเท่านั้น ต่อให้กันเป็นเทวดาก็สู้มันไม่ไหว กันไม่ใช่พระเอกนักบู๊
นะโว้ย หนึ่งต่อยี่สิบยังสู้ได้ นี่มันเรื่องจริงไม่ใช่ถ่ายหนัง”
พลหัวเราะหึๆ เขาพาคณะพรรคของเขาไปนั่งที่โต๊ะว่างทางขวาสุด กิมหงวนเดินเข้าไปตามส่วนลึก
ของอาคารแล้วขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยไม่มีใครสนใจกับเขา แม้กระทั่งเสมียนโรงแรมที่นั่งอยู่ในเคาเต้อรทาง
ขวาของบันได ก็เขข้าใจว่า เสี่ยหงวนขึ้นไปหาใครคนใดคนหนึ่งที่มาพักอยู่ที่นี่
ชั้นสองและชั้นสามเป็นห้องพักและมีทางเดินติดต่อถึงกัน เมื่อขึ้นมาพ้นขั้นบันไดก็เป็นที่ว่างมีโต๊ะ
เก้าอี้เลวๆตตั้งอยู่สำ หรับให้ผู้พักแรมนั่งพักผ่อนสนทนากัน อาคารชั้นสองสงบเงียบ อาเสี่ยยืนหันรีหันขวาง
สอดสายตามองหาเจ้าตี๋คือเด็กรับใช้ของโรงแรมซึ่งโรงแรมทุกแห่ง จะต้องมีเด็กรับใช้เดินไปเดินมาเสมอ
แต่แทนที่เขาจะพบเจ้าตี๋หรือเจ้าเนี้ยวเขากลับพบสาวสวยร่างสะคราญใบหน้ามีเสน่ห์คนหนึ่ง เดิน
ออกมาจากห้องหมายเลข ๑๓ เขาจำ ได้ว่าหล่อนคือสุพัตราเมียทรยศของนายวิชัยแน่นอน เพราะเขาได้เห็นรูป
ถ่ายของหล่อนที่นายวิชัยให้เขาดูแล้ว เสี่ยหงวนปราดเข้าไปหาหล่อนทำ ให้สาวสวยหยยุดชะงักและมองดู
ด้วยความตกใจว่าอาเสี่ยเป็นนายตำ รวจนอกเครื่องแบบติดตามมาจับกุมเชาว์ ลิงลมผัวใหม่ของหล่อนซึ่งมีคดี
อุกฉกรรจ์ติดตัวหลายคดี มีสินบนรางวัลนำ จับหรือค่าตัวที่กรมตำ รวจประกาศสืบจับถึง ๒๐,๐๐๐ บาท
เสี่ยหงวนหยุดยืนเผชิญหน้าหล่อนในระยะใกล้ชิด ความเข้าใจของเขาถูกต้องแล้วหล่อนคือสุพัตรา
จริงๆ สาวสวยสวมกางเกงสีนํ้าตาล เสื้อคอเชิ้ตแขนสั้นสีเหลืองอ่อน เป็นเสื้อแพรที่บางมาก มองแลเห็นยก
ทรงชั้นในและพระเครื่ององค์หนึ่งที่ห้อยคอหนักหนึ่งบาท มองดูแว่บเดียวอาเสี่ยก็รู้ว่าเป็นพระกริ่งปวเรศวร์
ราคาแสนของนายวิชัย
“ยังไงแป๋ว ผัวของเธอไปไหน” เสี่ยหงวนตะคอกและเต๊ะท่าให้ผึ่งผาย พร้อมกับดึงบัตรประจำ ตัว
นายทหารออกมาจากกระเป๋าเสื้อฮาไวเปิดออกยื่นให้หล่อนดูแล้วรีบปิด
สุพัตราเห็นรูปถ่ายนายทหารสวมหมวกแก๊ป และแก๊ปหมวกมีช่อชัยพฤกษ์ก็ตกใจเข้าใจว่าอาเสี่ย
เป็นนายพันตำ รวจเอก
“อ้า- พี่เชาว์ขึ้นรถไฟไปพิษณุโลกเมื่อสักครู่นี่เองค่ะผู้กำ กับ”
“ตอแหล” อาเสี่ยตวาดลั่น “อย่ามาทำ ตอแหลตอหลด ผายลมใต้นํ้าหน่อยเลย ถ้าไม่บอกความจริง
เธอติดคุกนะ เร็ว-บอกมาเดี๋ยวนี้ อ้ายเฉ่า เอ๊ยอ้ายเชาว์อยู่ไหน”
ใบหน้าของสุพัตราซีดเผือด
“ไปหาเพื่อนที่ตลาดสามย่านค่ะ แต่ประเดี๋ยวก็คงกลับ”
“ก็ดีแล้วฉันจะคอย ถอดสร้อยคอแกะพระกริ่งปวเรศวร์เอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากมีธุระไปติด
ตะราง คุณวิชัยผัวเก่าของเธอเขาไปแจ้งความไว้ว่าเธอขโมยเงินและพระกริ่งองค์นี้หนีมาอยู่กับอ้ายเชาว์ เร็ว-
ถอดออกมาให้ฉัน แล้วฉันจะกันเธอไว้เป็นพยาน นอกจากนี้ฉันจะช่วยพูดให้คุณวิชัยขอถอนคดีที่เขาไปแจ้ง
ความไว้ด้วย รู้ไหมว่าฉันเป็นใหญ่ในกรมตำ รวจ”
สุพัตราตัวสั่นเหมือนลูกนก
“ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
“เป็นอะไรได้ทั้งนั้น อย่ารํ่าไรถอดพระออกมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
สุพัตรารีบถอดสร้อยคออกมาแกะขอออกแล้วดึงพระกริ่งปวเรศวร์อันมีค่ายิ่ง ออกมาส่งให้เสี่ย
หงวนอย่างนอบน้อม อาเสี่ยเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อฮาไวของเขาด้วยความดีใจ เขาพาตัวเดินเข้าไปในห้องนอน
หมายเลข ๑๓ อย่างร้อนรนกวาดสายตา ตามองไปรอบๆ ห้องแต่ไม่ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้
เมื่อเสี่ยหงวนกลับออกมาสุพัตราก็หายไปแล้ว เขาเข้าใจว่าหล่อนลงไปข้างล่างจึงรีบติดตามลง
บันไดไป เพื่อจะซักถามรายละเอียดบางอย่างจากหล่อนเกี่ยวกับเชาว์หรือเจมส์ บอนด์
อาเสี่ยลงมาพ้นขั้นบันได ก็ตรงเข้าไปหาเสมียนโรงแรมซึ่งกำ ลังจ้องมองดูเขา
“เฮ้- น้องชาย เมื่อกี้นี้มีผู้หญิงสาวคนหนึ่งลงมาข้างล่างหรือเปล่า”
หนุ่มจีนวัยเบญจเพสสั่นศรีษะ
“ไม่มีใครลงมานี่ครับ”
“งั้นเรอะ วะ- ขึ้นไปชั้นสามกระมัง ลื้อช่วยบอกอั๊วหน่อยเถอะนะ นายเชาว์กับลูกน้องของเขาอีก
สามคนที่มาพักอยู่ที่นี่น่ะขณะนี้เขาอยู่ข้างบนหรือเปล่า”
เสมียนโรงแรมหน้าถอดสีทันที
“อ้า- คุณเป็นตำ รวจหรือครับ”
“เปล่า ไม่ใช่ตำ รวจหรอกแต่อั๊วเป็นญาติกับเขารู้ว่าเขาพาเมียและลูกน้องมาจากถนนดินแดงเมื่อ
ตอนบ่ายและมาพักอยู่ที่นี่ก็อยากจะมาพบเขา” แล้วเสี่ยหงวนก็มองซ้ายมองขวาเสียก่อนจึงกระซิบกระซาบ
กับเสมียนโรงแรม “ตำ รวจกำ ลังจะแห่มาที่นี่เพื่อจับกุมเขากับเมียของเขาและลูกน้องที่ติดตามมา อั๊วอยากจะ
บอกให้เขารู้ตัวและรีบหลบหนีไปเสียจากนี่”
เท่านี้เสมียนโรงแรมซึ่งเป็นลูกชายของเจ้าของโรงแรมก็หลงกลเสี่ยหงวน
“ยังงั้นหรือครับ โอ – รีบบอกให้เขาไปอยู่ที่อื่นเถอะครับ ถ้าเขาถูกจับที่นี่ ผมกับเตี่ยของผมก็จะ
พลอยเดือดร้อนไปด้วย เขาหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักของผมที่ชั้นสามครับ แต่เขาจองห้อง ๑๒ และ ๑๓ ไว้
สำ หรับเขากับพรรคพวก”
อาเสี่ยยิ้มแป้น
“ขอบใจ ขอบใจมากน้องชาย” พูดจบเสี่ยหงวนก็ผลุนผลันออกทางด้านหน้าโรงแรม ตรงเข้าไปหา
คณะพรรคของเขาซึ่งกำ ลังนั่งดื่มโอเลี้ยงและสนทนากันรอคอยเขาอยู่อย่างร้อนใจ
“ว่าไงโว้ย” เจ้าคุณปัจจนึกฯถาม
กิมหงวนรีบล้วงกระเป๋าหยิบพระกริ่งราคาแสนออกมาส่งให้เจ้าคุณปัจจนึกฯ
“ผมพบนังแป๋วข้างบน สวมสร้อยคอ แขวนพระองค์นี้ ผมก็เลยขู่เอามา ขณะนี้อ้ายเชาว์กับสมุน
สามคนซ่อนตัวอยู่ในโรงแรมห้องเสมียนชั้นสามครับ”
“อ้าว” เจ้าคุณอุทาน “ก้อดีน่ะซี บุกเลยโว้ยพวกเรา ค่าตัวอ้ายเชาว์สองหมื่นบาท เราช่วยกันจับมัน
ส่งตำ รวจจะได้แบ่งเงินกันใช้”
นิกรเห็นพ้องด้วย
“ดีครับ เรื่องบู๊ ผมถนัดนัก” แล้วเขาก็หันมาทางพล
“ไปซี แกนำ หน้ากันอยู่ข้างหลัง คอยส่งกำ ลังบำ รุงหรือเป็นแนวหนุน”
ศาสตราจารย์ดิเรกเรียกลูกจ้างในร้านเข้ามาคิดเงินแล้ว ส่งธนบัตรใบละ ๒๐ บาทให้หนึ่งฉบับ
“เอาไปตี๋ เงินเหลือไม่ต้องทอน พวกอั๊วพิมพ์แบงค์ได้เองไม่เป็นไร”
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต่างลุกขึ้นจากโต๊ะพากันเดินเข้าไปตามส่วนลึกของอาคาร
แล้วขึ้นบันไดไปชั้นบนอย่างรีบร้อน เสมียนโรงแรมมองดูด้วยความแปลกใจแล้วก็ทึกทักเอาว่าคณะพรรคสี่
สหายเป็นตำ รวจนอกเครื่องแบบ
ในเวลาเดยี วกนั นเี้ อง เจมส ์ บอนด์ เชาว์กับสมุนร่วมใจทั้งสามคนได้พักอยู่ในห้องเสมียนโรงแรม
ซึ่งทำ หน้าที่เป็นผู้จัดการโรงแรมด้วย เชาว์กำ ลังซักไซ้ไล่เลียงสุพัตราที่กระหืดกระหอบมาหาเขา และเล่า
เรื่องให้ฟังเท่าที่เผชิญหน้ากับเสี่ยหงวนและถูกบังคับให้คืนพระกริ่งปวเรศวร์ไป
เมื่อไดไ้ ตถ่ ามรปู พรรณ ลักษณะท่าทางของเสี่ยหงวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว เจมส ์ บอนดก์ เ็ ดอื ดดาลอยา่ ง
ยิ่ง เขามองดูเมียรักของเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว
“เซ่อและโง่อย่างบัดซบ ตำ รวจใหญ่ที่ไหนกัน คนที่แป๋วมอบพระกริ่งราคาแสนให้มันไปคืออ้าย
หงวนหรือเสี่ยหงวนที่ปะทะกับพี่และพวกเราเมื่อตอนบ่ายวันนี้อันเป็นเหตุให้เราต้องหลบหนีมาน”ี่ พดู จบ
เขาก็หันมามองทางสมุนของเขาซึ่งสองคนเป็นหนุ่มใหญ่และอีกคนเป็นจิ๊กโก๋วัยรุ่น “ไปโว้ย ลงไปตามมัน
เดี๋ยวนี้ รถมันคงจอดอยู่หน้าสถานีนี่เอง ถ้าตามทันก็ฟาดกันแหลกกูต้องเอาพระกริ่งคืนให้ได้ม่ายยังงั้นกูยิง
เสี่ยหงวนแน่”
เจมส ์ บอนด ์ กับสมุนของเขาต่างลุกขึ้นยืน และพากนั เดนิ มาทปี่ ระตหู อ้ ง เชาวห์ นั มาบอกสพุ ตั รา
ให้รอคอยเขาอยู่ในห้องนี้แล้วถอดกลอนเปิดประตูออก พาสมุนร่วมใจเดินออกไปจากห้องพักของเสมียน
โรงแรม
ทันใดนนั้ เอง พยัคฆ์ร้ายหรือเจมส ์ บอนด์กับสมุนร่วมใจทั้งสามคนก็ได้เผชิญหน้ากับพรรคสี่สหาย
และเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วซึ่งขึ้นบันไดมาพอดี เชาว์กับสมุนหยุดชะงัก แล้วเชาว์ก็แหกปากหัวเราะลั่น
“ไง เสี่ยหงวนพาพวกมาบุกพวกเราหรือครับ”
“ใช่ ตอนนี้กันไม่ใช่เสี่ยหงวนหรอกเชาว์ กันคืออ้ายปืนโตนักล่ารางวัลโว้ย เคยดูหนังทีวีหรือเปล่า
ล่ะ กันได้พระกริ่งปวเรศวร์มาจากเมียแกแล้ว แต่กันจะเอาเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเราจะช่วยกันจับแกส่ง
ตำ รวจ”
“ถ้ายังงั้นลองฟาดมวยหมู่กันเถอะครับอาเสี่ย คุณกับผมต่างก็มีปืนด้วยกันอย่ายิงกันเลย ชกกันดี
กว่า ผมสี่คน คุณหกคน ผมไม่รังเกียจ”
อาเสี่ยถอดแว่นตาขอบกระเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อฮาไว แล้วยิ้มด้วยมุมปากข้างขวาข้างเดียว เขายืน
โยกตัวและโคลงหัวไปมาในท่าจอมนักสู้ซึ่งความจริงเป็นท่าของคนเมามากกว่า
“สี่ต่อสี่เถอะเชาว์จะได้ยุติธรรม คณุ อาของกนั และคนรถของกนั ขอใหเ้ ปน็ คนดหู รอื ผสู้ งั เกตการณ์
เถอะ อย่างนี้ยุติธรรมดี”
“โอ.เค. ครับอาเสี่ย” แล้วเชาว์ก็หันมาพยักเพยิดกับสมุนของเขา “เอาโว้ย พวกเรา ใส่เลย”
มวยหมู่เริ่มต้นทันที ต่างฝ่ายต่างประดาหน้าเข้าตะลุมบอนกัน ศาสตราจารย์ดิเรกเจอหมัดตรงของ
เจ้าสองชายหนุ่มร่างใหญ่เข้าที่ปากครึ่งจมูก ทำ ให้เชาเซถลาร่อนออกไปหวุดหวิดจะตกบันไดเคราะห์ที่คว้า
ราวบันไดไว้ทัน ดร. ดิเรก รีบถอดแว่นตาสายตาสั้นกรอบทองออกเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อทันทีแล้ววิ่งเข้าตะ
ลุมบอลแบบมวยหมู่ ชกซ้ายป้ายขวาอุตลุดตามแบบมวยวัด
ในที่สุดการต่อสู้แบบมวยหมู่ก็ล่อกันเป็นคู่ ๆ พลชกกับเอี่ยม ศาสตราจารย์ดิเรกประทะกับจิ๊กโก๋
ก้านซึ่งมีรูปร่างบอบบางกว่าเพื่อนแต่ก็ได้เปรียบ ดร. ดิเรกอยู่นั่นเอง เพราะใหญ่กว่าและหนุ่มกว่า
เสียงตึงตังโครมครามดังลงไปถึงชั้นสอง การต่อสู้แบบมวยหมู่เป็นไปอย่างออมชอมเหมือนกับ
ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กับเจ้าแห้วยืนอยู่ข้างบันไดอย่างซังกะตาย หรือจำ ใจดู ที่ชกกันเนือย ๆ
ก็เพราะต่างฝ่ายต่างออมแรงไว้นั่นเอง
อย่างไรก็ตามหมัดหลงของศาสตราจารย์ดิเรก ซึ่งเป็นหมัดสวิงขวาได้ลั่นโครมออกไปถูกก้านคอ
เจ้าก้าน เด็กหนุ่มวัย ๑๙ ปีเต็มแรง ถึงแม้ก้านเป็นนักสู้เป็นอัธพาลวัยรุ่นแต่ก็ขาดความทรหดอดทนหรือเรียก
ว่ากระดูกยังอ่อนอยู่ ก้านเซถลาไปปะทะฝาห้อง ศาสตราจารย์ดิเรกกระโดดเข้าประชิดตัว ซํ้าด้วยหมัดฮุดขวา
ถูกปลายคางเจ้าก้านเสียงดังกร๊อบ เท่านี้เองก้านก็ล้มลงนอนแผ่เหยียดยาวโดยไม่ต้องให้เจ้าคุณปัจจนึก ฯ
หรือเจ้าแห้วนับ เพราะนับถึงร้อยก็คงไม่ฟื้น ศาสตราจารย์ดิเรกเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจตาย เขาเดินโซเซเข้า
ไปหาพ่อตาของเขาซึ่งยืนอยู่ข้างเจ้าแห้วแล้วยืนมองดูเพื่อนเกลอทั้งสามซึ่งฟัดกับเชาว์ และสมุนอีกสองคน
อย่างดุเดือด แต่ไม่ใคร่จะตื่นเต้นหวาดเสียวเท่าใดนัก
เอี่ยมกับนิกรออกไปฟัดกันที่ทางแยกไปห้องนํ้า นิกรเอาแต่ถอยตะพืด เจ้าเอี่ยมมีรูปร่างได้เปรียบ
กว่าจึงบุกตะลุยรุกไล่ เจ้าแห้วตะโกนหนุนนิกรจนแสบคอหอย นิกรก็ไม่ยอมเชื่อเจ้าแห้วคงตีกรรเชียงล่าถอย
ไปรอบ ๆ หนักเข้าเจ้าแห้วชักฉิว ก็เลยหันมาเชียร์อาเสี่ยกับพล
“หนักเข้าไปครับอาเสี่ย รับประทานเตะซิครับ ขายาว ๆ เก็บไว้ทำ ไม เตะให้คอขาดเลยครับ”
อาเสี่ยหันมามองเจ้าแห้วอย่างโมโห
“หนุนยังงี้ใช้ได้เรอะ เตะเขาคอขาดข้าก็เข้าคุกน่ะซิ”
กำ ลังพูดหมัดขวาของเจ้าสินคู่ต่อสู้ของอาเสี่ยกฌเหวี่ยงโครมถูกขาตะไกรซ้ายของกิมหงวนอย่าง
จัง อาเสี่ยเซแซ่ด ๆ เหมือนถูกช้างถีบแล้วล้มลงนั่งพับเพียบเรียบร้อย สินปราดเข้าเตะชํ้า แต่เสี่ยหงวนยกแขน
ขึ้นป้องปิดไว้แล้วรีบผลุนผลุนลุกขึ้นยอมือขึ้นชี้หน้าเจ้าสอน
“แกไม่ใช่ลูกผู้ชาย ล้มลงแล้วซํ้ามีอย่างที่ไหนวะ”
เจ้าสอนแสยะยิ้ม
“นี่มันมวยนอกเวทีโว้ยไม่มีระเบียบกติกา”
อาเสี่ยทำ ตาปริบ ๆ
“เออ จริงของแก มา – เข้ามา”
เจ้าสอนเต้นก๋าเข้ามาหา พอขยับจะชกอาเสี่ยเตะด้วยเท้าขวาแบบเตะตวัดปลายเท้าคือเตะขึ้นไป
ตรง ๆ เท้าของเสี่ยหงวนถูกห้องเครื่องของคู่ต่อสู้พอดี เสียงดังราวกับทุกกระบอกไม้ไผ่ผุ ๆ
“โพละ”
เจ้าสอนทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ยกมือกุมใต้สะดือขมวดคิ้วนิ้วหน้าใบห้นาเขียวเหมือนพระอินทร์แล้ว
ลงนอนชักพราด ๆ น่าสงสารเพราะความจุกแน่น เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยกมือชี้หน้าเสี่ยหงวนแล้วเอ็ดตะโรลั่น
“ไม่ได้ใส่กระจับไหงเตะเขายังงี้ ตายนะโว้ย แล้วกันไม่รู้จักที่ตาย”
มวยหมู่เหลืออีกสองคู่คือพลกับเจมส์ บอนด์และนิกรกับเจ้าเอี่ยม สำ หรับคู่พลกับเชาว์ต่างผลักกัน
รุกผลัดกันรับ แต่ชั้นเชิงมวยของพลเหนือกว่า เว้นแต่พลจำ เป็นต้องออมแรงไว้เพราะเกรงว่าจะเพลี่งพลํ้าเสีย
ทีคู่ต่อสู้ พยัคฆ์ร้ายพยายามใช้หมัดและเท้าของเขาควํ่าพล ส่วนนิกรกับเอี่ยมกำ ลังตะลุมบอนกันหน้าห้องนํ้า
นิกรเสียท่าถูกหมัดตรงขวาผงะหงายปะทะประตูห้องนํ้าห้องแรกคือห้องซ้ายสุดพังทลาย หญิงสาวคนหนึ่ง
กำ ลังยืนเปลือยกายอาบนํ้าฝักบัวส่งเสียงวี้ดว้ายลั่น นิกรรีบโบกมือห้ามคู่ต่อสู้
“เดี๋ยวโว้ย เดี๋ยวโวยน้องชาย ช่วยกันยกบานประตูปิดห้องนํ้าเสียก่อน ผู้หญิงอาบนํ้าอยู่นั่นเห็นไหม
เล่า เอาซิประเดี๋ยวชกกันใหม่”
เจ้าเอี่ยมทำ ตามคำ ขอร้องของนิกร สาวสวยยกผ้าเช็ดตัวกั้นเป็นฉากกำ บังร่างหล่อนพลางส่งเสียง
ร้องลั่น มิหนำ ซํ้าเจริญพรนิกรกับเจ้าเอี่ยมด้วย หล่อนคือนางเรียกหรือหมอนวดจับเส้นชั้นดีประจำ โรงแรมนี้
เช่าโรงแรมอยู่เป็นเดือน ๆ หล่อนไม่สนใจกับการปะทะกัน ก็เพราะเคยเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้มามากต่อ
มากแล้ว จึงอาบนํ้าอย่างสบายใจอยู่ในห้องนํ้าพอดีประตูพัง
ขณะนี้การต่อสู้ระหว่างพลกับเจมส์ บอนด์ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว เชาว์เริ่มอ่อนแรงและตกเป็นรอง ทั้ง
สองคนหน้าตาแตกยับฟกชํ้าดำ เขียวไปตามกัน ครั้งหนึ่งเชาว์ถูกพลชกเซมาทางประตูห้องพักของเสมียนโรง
แรม สุพัตราเอาใจช่วยเจมส์บอนด์อยู่ตลอดเวลาเผลอตัวร้องกรี๊ดออกมาดัง ๆ เกรงว่าผัวใหม่ของหล่อนจะ
พบจุกจบ แต่เชาว์เป็นชายชาติเสือเป็นนักสู้ที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วอย่างโชกโชน ดังนั้นเชาว์จึงปราดเข้าปะทะ
พลอีกทั้ง ๆ ที่เขายังเมาหมัดอยู่
ทั้งสองยืนปักหลักแลกหมัดกันบนระเบียงหน้าห้องคราวนี้การต่ดสู้เป็นไปด้วยควมตื่นเต้นดุเดือด
ยิ่งเสี่ยหงวน, ศาสตราจารย์ดิเรก, เจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต่างร้องเชียร์พลเสียงหลง ตามช่องบันไดใคร
ต่อใครยืนจับกลุ่มมองดูมวยนอกเวทีเกือบ ๒๐ คนรวมทั้งเสมียนโรงแรมด้วย
เมื่อทานนํ้าหนักหมัดของพลไม่ได้ เชาว์ก็จำ ต้องล่าถอยเท้าขวาของพลเหวี่ยงโครมถูกใบหน้าซีก
ซ้ายเจมส์บอนด์ดังฉาดพยัคฆ์ร้ายยืนโงนเงน พอขยับจะชกพลหมัดตรงขวาของพลก็ลั่นโครมถูกคางเชาว์
อย่างเหมาะเจาะและรุนแรงเหมือนม้าเตะ
เสือร้ายผงะหงายลงไปนอนบิดตัวอยู่บนพื้นห้อง และแล้วเจ้าเจมส์บอนด์ก็สิ้นสติด้วยหมัดนี้เอง
พลหายใจถี่เร็วผิดปรกติยกมือเสยผมแล้วร้องบอกเจ้าแห้วให้ควบคุมตัวสุพัตราไว้ใน ขณะที่นิกรกับเจ้าเอี่ยม
ยังชกกันคู่สุดท้าย และหลับหูหลับตาต่อยกันแบบมวยวัด
สุพัตราเห็นเจ้าแห้วเดินเข้ามา หล่อนก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบมืดพกสปริงคู่มือของหล่อนออกมา
ง้างออกอย่างรวดเร็วหล่อนจ้องมองดูเจ้าแห้วแววตาถมึงทึง พลางขยับมีดจะแทงเจ้าแห้ว
“เข้ามาซ”ิ
เจ้าแห้วหัวเราะแล้วยกมือชี้หน้าหล่อน
“แม่กากีแกมเขียว หล่อนทรยศต่อผัวของหล่อนขโมยเงินและพระกริ่งราคาแสนหนีมาอยู่กับอ้าย
เจมส ์ บอนด์อย่าแทงเลยคนสวย คนอย่างฉันอย่าว่าแต่มีดเล่มเล็ก ๆ ปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหมยังยิงฉัน
ไม่ออก” แล้วเจ้าแห้วก็เดินเข้ามาอีก
สุพัตราโถมแทงเต็มเหนี่ยว เจ้าแห้วระวังตัวอยู่แล้วก็ยกมือซ้ายจับมือขวาของหญิงสาวไว้ได้แล้ว
เจ้าแหว้ ก็ถือโอกาสปลา้ํ หล่อนทาํ ทีเป็นแย่งมีด
“เฮ้ย” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เอ็ดตะโรลั่น “มีดหลุดจากมือแล้วเสือกไปปลํ้าเขาทำ ไม”
เจ้าแห้วปล่อยมือออกทำ เป็นไก๋ก้มลงมองดูมีดพกซึ่งตกอยู่บนพื้นห้องแล้วก้มลงเก็บมันขึ้นมา มือ
ซ้ายของเจ้าแห้วไม่ยอมปล่อยข้อมือสุพัตรา เจ้าแห้วยิ้มให้ท่านเจ้าคุณแล้วพูดอ้อมแอ้ม
“รับประทานนึกว่ามีดยังอยู่ในมือครับเลยต้องใช้วิธีกอดรัตฟัดหล่อนเพื่อแย่งมีด” พูดจบเขาก็หัน
มายักคิ้วให้สาวสวย “น้องสาว ผัวใหม่ของเธอหมอบเสียแล้ว เธอกับเจมส์บอนด์มีหวังย้ายบ้านเข้าไปอยู่ใน
คุกแน่นอน”
มวยนอกเวทียังเหลืออีกคู่เดียวซึ่งเป็นคู่สุดท้าย ทั้งนิกรและเจ้าเอี่ยมต่างหมดแรงข้าวต้มแล้วยืนโงน
เงนไปมานาน ๆ ก็ชกกันทีหนึ่งแล้วก็จดมวยคุมเชิงกัน เสี่ยหงวนหัวเราะงอไปงอมา
“อ้ายกร เตะห้องเครื่องซิโว้ย”
เจ้าเอี่ยมสะดุ้งเฮือกกระโจนถอยหลังออกไปไกล ยกมือทั้งสองกุมสะดือด้วยความรักตัวกลัวจะ
หน้าเชียว
“อย่านะคุณ เราต้องชกกันอย่างลูกผู้ชายใจนักเลงห้ามเตะห้องเครื่องนะครับ”
นิกรยิ้ม
“เออ ไม่เตะก็ไม่เตะ แกยอมให้กันน็อคแกดี ๆ เถอะวะกันบ้อลัดหมดแรงแล้ว”
เจ้าเอี่ยมเอียงคออมยิ้ม
“ใครจะไปยอมครับ ทำ ไมคุณไม่ยอมให้ผมน็อคล่ะ”
นิกรหัวเราะ
“มันเจ็บนี่หว่า”
ศาสตราจารย์ดิเรกร้องขึ้นดัง ๆ
“จะชกกันหรือคุยกันโว้ย”
นิกรเจ้าเอี่ยมปราดเข้าปะทะกันอีกทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างเหนื่อยแทบจะขาดในตาย ทั้งสองกอดรัดกัน
และพยายามเข้าคลุกวงใน นิกรป้องปิดหมัดเจ้าเอี่ยมแล้วแกล้งพูดทำ ลายขวัญ
“ระวังอั๊ปเป้อคัทนะ ฉันจะต่อยลิ้นปี่แก”
เจ้าเอี่ยมลดมือทั้งสองข้างระวังลิ้นปี่ ทันใดนั้นเองหมัดซ้ายของนิกรก็ลั่นโป้งถูกขาตะไกรข้างขาว
ของเจ้าเอี่ยมอย่างจัง เจ้าเอี่ยมเซแซ่ด ๆ ไปทางช่องบันไดขึ้นลง นิกรรุกประชิดติดพันซํ้าด้วยหมัดฮุคขวาอีกที่
หนึ่งถูกปากครึ่งจมูกครึ่ง ซึ่งนิกรชกสุดแรงเกิดทำ ให้เอี่ยมถอนรากถอนโคนล้มลง ศีรษะฟาดพื้นดังโครม
นิกรยืนตาเหล่ไปเหล่มายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พอสบตากับศาสตราจารย์ดิเรกเขาก็พยักหน้าเรียกแล้วพูด
เสียงอ้อแอ้เหมือนคนเมา
“ช่วยประคองกันหน่อยโว้ยหมอ โอย…”
ศาสตราจารย์ดิเรกปราดเข้ามาประคองนิกรพาไปนั่งบนโซฟาไม้แบบจีนตัวหนึ่ง ทันใดนั้นเองนาย
ร้อยตำ รวจในเครื่องแบบคนหนึ่งก็พาตำ รวจในเครื่องแบบ ๓ คนวิ่งขึ้นบันไดมาจากชั้นสอง ผู้ที่ยืนมุงดูมวย
นอกเวทีบนช่องบันไดต่างแตกฮือเพราะกลัวจะต้องเสียเวลาไปเป็นพยาน
พอแลเห็นคณะพรรคสี่สหาย ร.ต.ท. ประจวบ รองสารวัตรก็ยืนตะลึง เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของ
นายพลดิเรกและเคยรู้จักกับนายสามสหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ มาแต่ก่อน
“คุณประจวบ” พลกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ร้องเรียกรองสารวัตรพร้อม ๆ กัน
ร.ต.ท. ประจวบยกมือวันทยหัตถ์คณะพรรคสี่สหาย และเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ด้วยความตื่นเต้นแปลก
ใจอย่างยิ่ง
“สวัสดีครับ ผมงงไปหมดแล้ว มีคนโทรศัพท์ไปที่โรงพักบอกว่าพวกอันธพาลปะทะกันบนโรง
แรมนี่ผมก็รีบพาตำ รวจมาระงับเหตุ อาจารย์กับท่านผู้การทั้งสามและท่านเจ้าคุณมาที่นี่ทำ ไมครับ”
นายพลดิเรกยิ้มแป้น
“พวกเราทำ หน้าที่เป็นสก๊อตแลนยาร์ดบรรดาศักดิ์แล้วเขาก็เป็นล่าเงินรางวัลของกรมตำ รวจด้วย
นั่นยังไงล่ะเจมส์ บอนด์ หรือนายเชาว์ อาชญากรคนสำ คัญที่ตำ รวจต้องการตัวนอนอมยิ้มอยู่นั่น”
เจ้าเชาว์โพล่งขึ้นทันที
“ไม่ได้ยิ้มครับคุณหมอ”
ศาสตราจารย์ดิเรกหัวเราะชอบใจ
“จัดการเอาตัวไปซิคุณประจวบ พวกเราฟัดกับพวกเจมส์ บอยด์ยํ่าแย่ไปตามกัน บู๊กันอย่างสะบัด
ช่อ ความจริงไม่น่าจะมีตำ รวจเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมดูหนังบู๊หลายเรื่องแล้วยังกันตายเกลื่อนกลาดชกกันอย่าง
อุตลุดขนาดยกพวกตะลุมบอนกันไม่เห็นมีตำ รวจเข้ามายุ่งสักคน”
รองสารวัตรยิ้มเล็กน้อย
“นี่มันเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องหนังนี่ครับอาจารย์ ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับที่อาจารย์กับพรรค
พวกจับเจมส์ บอนด์ได้”
ใน ๕ นาทีนั้นเอง ร.ต.ท. ประจวบกับตำ รวจในบังคับบัญชาของเขาก็นำ ตัวเชาว์กับสมุนร่วมใจทั้ง
สามคน พร้อมด้วยสาวสวยเจ้าของนามสุพัตราไปโรงพัก และเชิญคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
และเจ้าแห้วไปด้วย
ปรากฏว่า นายวิชัยประธานกรรมการบริษัทสร้างรถยนตร์ได้จ่ายเช็คเงินสด ๗๕ สตางค์หรือ ๓
สลึงให้เสี่ยหงวนในวันต่อมา และมอบรถเก๋งเยอรมันที่ประกอบในเมืองไทยที่โรงงานของเราให้อาเสี่ยอีก
คันหนึ่ง เป็นรางวัลเท่าที่สามารถนำ พระเครื่องรางราคาแสนกลับคืนมาให้เขา


อวสาน

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากครับที่ทำเวปบล็อค สามเกลอมาให้เพื่อนๆได้อ่าน

    ตอบลบ