วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเกลอ ตอน: ๔ สมิงริงโก้



เมื่อสักครู่นี้เอง เวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.อาเสี่ยกิมหงวนของเราได้รับโทรศัพท์จากชายลึกลับคนนึ่งซึ่งไม่ยอมเปิดเผยชื่อของตนเพียงแต่บอกว่า เขามีเรื่องสำ คัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศชาติและอยากพบคณะพรรคสี่สหายในเวลา ๑๘.๐๐ น.ตรงที่ห้องอาหาร “สิรี” ในซอยลาลีวัณย์ ถนนพหลโยธิน สะพานควาย และขอให้สละเวลามาพบกับเขาตามนัดให้ได้
คาดิลแล็คเก๋งซึ่งขับโดยเจ้าแห้วได้พาคณะสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ มาถึงสะพานควายในเวลา ๑๘.๐๐ น.เศษ ซึ่งเลยเวลานัดพบไปเล็กน้อย เจ้าแห้วเบารถและบังคับรถเก๋งคันงามเลี้ยวซ้ายมือเข้าไปในซอยลีลาวัณย์ข้างร้านทองรัศมี เจ้าแห้ว เคยพาลูกชายของสี่สหายมารับประทานอาหารกลางวันที่ “สิรี” สองสามครั้ง แต่สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ พึ่งมาห้องอาหาร “สิรี” เป็นครั้งแรก เจ้าแห้วขับรถเลยเข้าไปตามความลึกของซอยและจัดแจงกลับรถให้เรียบ
ร้อย นำ คาดิลแล็คเก๋งคลานเอื่อย ๆ มาหยุดชิดขอบถนนตรงข้ามกับ “สิรี” ห้องอาหารคนไทย สถานที่กว้างวางโอ่โถงสะอาดเรียบร้อยและสงบเงียบเหมาะสำ หรับสุภาพชนที่พึงพอใจรสอาหารไทยฝีมือยอดเยี่ยมแต่ราคาเยา
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วพากันลงจากรถเดินข้ามถนนซอยตรงไปที่ร้าน “สิรี” พลหันมาเห็นเข้าแห้วเข้า เขาก็หยุดชะงัก
“เฝ้ารถซีโว้ย ตามมาทำ ไม”
เจ้าแห้วหน้าจ๋อย
“รับประทานผมไม่ได้รับประทานด้วยหรือครับ”
“แกไม่เกี่ยว”
“เป็นยังงั้นไป” เจ้าแห้วพูดเบา ๆ “รับประทานผมน่ะไม่อยากรับประทานหรอกครับ แต่ผมอดเป็น
ห่วงเจ้านายไม่ได้ ผู้ที่โทรศัพท์ไปถึงอาเสี่ยอาจจะเป็นพวกเหล่าร้ายที่หลอกลวงให้เจ้านายมาที่นี่ก็ได้แล้วมัน
ก็จะเล่นงานเจ้านายเสีย รับประทานถ้าผมอยู่ด้วยมีอะไรเกิดขึ้นก็น่าดูชมแหละครับ”
พลอดหัวเราะไม่ได้
“แปลว่าแกจะยอมตายเพื่อเรา”
เจ้าแห้วยิ้มแห้ง ๆ
“ไม่ใช่ยังงั้นครับ รับประทานถ้าเกิดเรื่องขึ้น ผมจะวิ่งไปบอกตำ รวจโรงพักบางซื่ออยู่ใกล้แค่นี้เอง”
พลชี้มือไปที่รถคาดิลแล็คเก๋งแล้วพูดเสียงหนักแน่น
“ไปอยู่ที่รถ”
แล้วพลก็เดินตามเพื่อนเกลอทั้งสามกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ เข้าไปในร้าน “สิรี” และตรงไปนั่งร่วมโต๊ะบคณะพรรคของเขาและท่านเจ้าคุณ เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานรับใช้แต่งกายสะอาดเรียบร้อยยืนฟังคำ สั่งอยู่ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวโต๊ะนั้นเสี่ยหงวนหยิบสมุดรายชื่ออาหารขึ้นมาเปิดดู แล้วอ่านดัง ๆ
“ขนมจีนนํ้าพริก ขนมจีนนํ้ายาซาวนํ้า ขนมจีนแกงไก่แกงเนื้อแกงปลาเข็ม…เอ๊ย…ปลาดุก ข้าว
คลุกกะปิ ข้าวหน้าไก่ กุ้ง หมู ห่อหมกหมู ปลา แกงกะหรี่ไก่ มัสมั่นไก่ แกงเผ็ดนกตะกรุม อ๊ะ…ไม่ใช่นกเฉย ๆ โว้ย ทอดมันปลากราย กุ้งทอด ขนมเบื้องญวน ขนมศีรษะผักกาด ปอเปี๊ยะทอด – สด ยำผ้าขี้ริ้ว ว้า…เยอะแยะ ขี้เกียจอ่าน ใครจะเอาอะไรบ้างล่ะ”
นิกรยิ้มให้อาเสี่ย
“กันเอาทุกอย่าง”
เสี่ยหงวนทำ หน้าเหมือนกับจะร้องไห้
“ที่กันอ่านให้แกฟังน่ะเรอะ”
“เออ”
“แกกินหมดเรอะ”
“หมดซีวะ ไม่หมดยอมให้แกเอาละเลงหัว ร้านคนไทย อาหารไทย แม่ครัวไทย คนรับใช้ก็เป็น
ไทย แค็ชเชียร์ที่นั่งอมยิ้มอยู่นั่นก็เป็นคนไทย กันต้องกินเต็มที่”
พลมองตามสายตาเสี่ยหงวน แล้วเขาก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะรับเงินสดทำ หน้าที่เป็นแค็ชเชียร์
“เอ – ดูเหมือนเราเคนเห็นที่ปีนังฮิลนี่หว่า กันจำ ได้ เราขึ้นรถรางขึ้นเขาคันเดียวกับเธอ ตอนนั้น
เธอเป็นนักเรียนอยู่ที่ปีนังพวกเรายังได้พูดคุยไต่ถามทุกข์สุขเธอในฐานที่เราเป็นคนไทยด้วยกัน”
นิกรร้องขึ้นดัง ๆ
“ฟูสิรี ฮ่ะ ฮ่ะ ใช่แล้ว”
ศาสตราจารย์ดิเรกขมวดคิ้วย่นแล้วถามนิกร
“ชื่ออะไรนะ ฟูหรือเฟ่…….”
“ฟูโว้ยไม่ใช่ฟู่ ฟู่น่ะมันไม้ขีดหรือเตาสูบลมที่เรียกว่าเตาฟู่ คุณฟูสิรีจริง ๆ แต่เธอคงจำ พวกเราไม่ได้ เพราะได้เห็นหน้ากันเดี๋ยวเดียวหลายปีมาแล้ว ห้องอาหารนี้คงเป็นของเธอแน่ ๆ รู้จักค้าขายยังงี้น่ารักดีว่ะ ดีกว่านุ่งกางเกงฟิตเปรียะไปโยนโบลิงก์หรือไปเที่ยวเต้นรำ กับเพื่อน ๆ แซมบ้า กัวราช่า วาตูซี่ อโกโก้โต้ลมร้อน หรืออโกโก้โต้โปลิศอะไรเหล่านี้”
พลเงยหน้าขึ้นมองดูเด็กรับใช้แล้วกล่าวถาม
“หนู คุณแค็ชเชียร์นั่นชื่อคุณฟูสิรีใช่ไหม”
“ยังไงไม่ทราบค่ะ หนูไม่เคยรู้จักชื่อของเธอ”
“งั้นเรอะ เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารนี้ใช่ไหม”
“ใช่ก็ได้ค่ะ”
“บ๊ะแล้ว…” พลอุทานแล้วหัวเราะ ดึงสมุดรายการอาหารจากมือเสี่ยหงวนและหันมาพูดกับท่านเจ้าคุณ
“คุณอาจะทานอะไรสั่งเลยครับ เรารับประทานเหล้าและอาหารกันเสียที่นี่เลย คนที่โทรศัพท์นัด
พบกับพวกเราจะนั่งกินเหล้ากินอาหารอยู่ที่นี่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ มองดูรายการอาหารในมือพล
“อากินขนมจีนนํ้าพริกดีกว่า นานแล้วไม่ได้กิน ร้านอาหารไทยแบบนี้มักจะทำ อร่อย สั่งขนมจีน
นํ้าพริกแล้วก็ทอดมันปลากรายให้อาพอแล้ว”
พลสั่งเด็กสาวตามที่เจ้าคุณต้องการและสั่งก๋วยเตี๋ยวผัดไทยสำ หรับเขากับปอเปี๊ยะสดอีกจานหนึ่ง เขาส่งสมุดรายการอาหารไปให้ศาสตราจารย์ดิเรก
“แกสั่งเอาเองเถอะหมอ”
นายพลดิเรกพิจารณาดูรายการอาหารในสมุดแล้วสั่งเด็กสาว
“ของฉันแหนมสดหนึ่งจานแล้วก็ห่อหมกหมู”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“จำ ให้แม่นนะหลานสาว อ้า ฉันเอากะปิคลุกข้าวอย่างเดียว ขอเบียร์เย็น ๆ สักสามขวด”
“กะปิคลุกข้าวไม่มีค่ะ มีแต่ข้าวคลุกกะปิ” เด็กสาวพูดยิ้ม ๆ
อาเสี่ยจุปาก
“มันก็เหมือนกันแหละน่า เอาข้าวคลุกกับกะปิหรือเอากะปิคลุกกับข้าว มันแตกต่างกันตรงไหน”
แล้วเสี่ยหงวนก็หันมาพยักเพยิดกับนิกร “แกล่ะ จะยัดอะไร สั่งเขาซี”
พลส่งบัญชีรายการไปให้นิกรเพื่อนของเขา นิกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เปิดออกดูตั้งแต่รายการแรก แล้วเขาก็สั่งอาหาร
“เนื้อสันสลัดผักหนึ่งจานแล้วก็ขนมเบื้องเวียตนาม”
เด็กสาวทำ หน้าฉงน
“ขนมเบื้องเวียตนามเป็นยังไงคะ”
“ว้า ก็ขนมเบื้องญวนยังไงล่ะ” พูดจบนิกรก็โบกมือให้แค็ชเชียร์สาวและร้องขึ้นดัง ๆ “สวัสดีครับ
คุณฟูสิรี จำ ผมได้ไหม”
แค็ชเชียร์สาวหันไปมองดูข้างหลังแล้วก็ก้มหน้าเขียนหนังสือต่อไป ศาสตราจารย์ดิเรกหัวเราะหึ ๆ
“ผิดตัวไปเสียแล้วอ้ายกร เด็กสาวที่ชื่อฟูสิรีเคยพบกับเราที่ปีนังฮิลไม่ใช่คนนี้หรอก แต่รูปร่างหน้าตากล้ายกันมาก”
นิกรยิ้มแหย ๆ
“นั่นน่ะซี ดูไปดูมาคนนี้หน้าตาคล้ายขนมถ้วยฟู คนละคนแน่ ๆ ถ้าคนเดียวกันอย่างน้อยก็คงจะ
มองดูพวกเราด้วยความสนใจ”
พนักงานรับใช้กล่าวถามขึ้นเบา ๆ
“ต้องการอะไรอีกไหมคะ”
นิกรยิ้มให้
“พอแล้วหนู อย่าลืมนะ ของฉันเนื้อสันสลัดผักแล้วก็ขนมเบื้องเวียตนาม อ้า – ขอยำ ผ้าขี้ริ้วอีก
จาน”
“ยำ ผ้าขี้ริ้วหมดค่ะ”
“อ้าว ยังงั้นเอายำ ผ้าขาวม้าหรือผ้าเช็ดตัว ผ้าโสร่งก็ได้”
เด็กสาวเดินหัวเราะไปจากที่นั้น คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ต่างกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ห้องอาหาร บรรดาผู้ที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ ไม่มีใครสนใจกับสี่สหายกับท่านเจ้าคุณเลย
เสี่ยหงวนบ่นพึมพำ ว่า
“อ้ายหมอนั่นถ้าจะเหลวเสียแล้ว คงจะมีใครคนหนึ่งแกล้งโทรศัพท์ไปถึงกันเล่นสนุก ๆ หลอกให้เราเสียเวลามาที่นี่”
นิกรว่า “ช่างมันเถอะวะ อย่างน้อยเราก็ได้มาอุดหนุนห้องอาหารของคนไทยและมีโอกาสได้ทดลองฝีมือแม่ครัวที่นี่ แต่อาหารขายถูกเป็นบ้า จานละสามบาทห้าบาทเท่านั้น ถ้าหากว่ากันเปิดร้านอาหารกันต้องขายอย่างน้อยจานละร้อยบาทรวด กินหนเดียวเข็ดไปจนตาย สั่งลูกสั่งหลานไม่ให้ไปร้านกัน”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ มองดูรายชื่ออาหารในสมุดปกหุ้มพลาสติคเล่มนั้น
“ร้านอาหารที่สะอาดโอ่โถงและจำ หน่ายอาหารไทยในราคาถูกเช่นนี้ เหมาะสำ หรับคนไทยอย่างยิ่งเงียบดีเสียด้วย เรามาหุ้นกันเปิดร้านอาหารกันบ้างรึ เซ้งตึกริมถนนใหญ่แถวสะพานควายนี่แหละ”
เสี่ยหงวนยิ้มให้ท่านเจ้าคุณ
“เปิดกี่ร้านครับ”
“หา ก็ร้านเดียวน่ะซี แกจะให้เปิดกี่ร้าน”
นิกรพูดเสียงหัวเราะ
“ถ้าเราเปิดร้านจัดร้านให้สวยงามอย่างนี้คงมีคนเข้าร้านเราตลอดวัน ร้านอาหารของเราก็เจริญกว่าร้านอื่น ๆ เรื่องร้านอาหารหรือห้องอาหารสำ คัญที่แม่ครัว ร้านไหนแม่ครัวฝีมือดีร้านนั้นก็มีคนติด มารยาทของพนักงานประจำ ร้านก็เหมือนกัน ร้านไหนบ๋อยหรือแค็ชเชียร์พูดจากระโชกโฮกฮาก ร้านนั้นก็ซบเซาสู้ร้านอื่นไม่ได้ เอาซีครับคุณพ่อ เข้าหุ้นกันคนละแสนเปิดร้านอาหารแข่งขันกับร้านแถวนี้”
“พอแล้วอ้ายกร” ท่านเจ้าคุณขบกรามพูด “แกพยายามพูดคำ ว่าร้าน แต่แกออกเสียงเป็น ล.ลิงมาหลายคำ แล้ว ประเดี๋ยวจะเกิดการเตะปากกันขึ้น”
“อ้าว เตะผมในร้านนี้ข้าวของในร้านก็จะแตกหักเสียหาย เจ้าของร้านก็จะคิดเงินจากผม ถ้าจะเตะก็ออกไปเตะนอกร้านเถอะครับ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เค้นหัวเราะ ยกมือขวาชี้หน้านิกร
“ประเดี๋ยวเถอะมึง ตายนะโว้ย เสืออยู่ดี ๆ อาไม้เข้ามาแหย่เสือ”
นิกรขมวดคิ้วย่น
“เอ๊ะ เสือทำ ไมหัวล้านล่ะครับ” พูดจบเขาก็ผลุนผลันลุกขึ้นวิ่งเหยาะ ๆ ไปที่โต๊ะแค็ชเชียร์ หยุดยืนมองดูหน้าสาวสวยลักษณะท่าทางบอกว่าเป็นลูกผู้ดีมีสกุล แต่งกายเรียบร้อยไม่ฉูดฉาด
“มีอะไรที่จะให้หนูช่วยเหลือคุณหรือคะ”
“แฮ่ะ แฮ่ะ ไม่มีอะไรหรอกครับ พ่อตาผมจะเตะผม ผมก็ลุกขึ้นวิ่งหนีมาหาคุณเพื่อยึดคุณเป็นที่พึ่งว้ก่อน คุณน่ะชื่อฟูสิรีใช่ไหมครับ”
แค็ชเชียร์สาวยิ้มเล็กน้อย
“หนูชื่อสิรีเฉย ๆ ค่ะ”
นิกรเม้มปากแน่น
“ไม่มีฟูนำ หน้า…..”
“ค่ะ”
“คุณเคยไปเรียนหนังสือที่ปีนังหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ หนูเรียนที่กรุงเทพ ฯ ค่ะ”
“ว้า โกหกหน้าตายเสียด้วย ก็ผมจำ คุณนี่นา คุณชื่อฟูสิรีหรือสิรีฟู ผมก็ชักจะเลือน ๆ เสียแล้ว
ผม….พันเอกนิกรอย่างไรล่ะ”
แค็ชเชียร์สาวกลั้นหัวเราะแทบแย่
“หนูพึ่งเคยเห็นหน้าคุณวันนี้แหละค่ะ”
“เป็นยังงั้นไป” นิกรพูดเสียงหนัก ๆ “ถ้ายังงั้นผมก็จำ คนผิดจริง ๆ ผมเคยพบเด็กสาวคนหนึ่งที่ปีนัง ชื่อฟูสีรีครับ หน้าตาผิวพรรณเหมือนอย่างคุณนี่แหละ คุณพ่อเป็นนายพลมีตำ แหน่งใหญ่โตในกองทัพบก ซึ่งผมก็รู้จักท่าน ท่านยังหนุ่มฟ้อรูปหล่อเสียด้วย หรือคุณเป็นพี่น้องฝาแฝดกับคุณฟูสิรี”
“ถ้าอยากทราบความจริงว่าหนูเป็นใคร กรุณาไปถามคุณแม่ของหนูซีคะ ท่านอยู่ในห้องครัวโน่น
ค่ะ”
นิกรลืมตาโพลง
“คุณแม่คุณอยู่ที่นี่”
“ค่ะ”
นิกรกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“งั้นผมกลับไปนั่งที่โต๊ะผมจะปลอดภัยดีกว่า ช่วยบอกเด็กรับใช้ให้นำ อาหารที่เราสั่งไปให้เร็ว ๆ นะรับ ผมกำลังหิวอดข้าวมาสามสี่วันแล้ว”
“โถ – อดข้าวตั้งสามสี่วันทำ ไมถึงอยู่ได้ล่ะคะ”
“ก็ผมกินกินก๋วยเตี๋ยวบ้าง เย็นตาโฟบ้าง บางทีก็เนื้อสะเต๊ะ พออยู่ได้ครับ” พูดจบนิกรก็หมุนกลับและเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา
พอนิกรทรุดตัวลงนั่ง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็มองดูลูกเขยจอมทะเล้นของท่าน แล้วยิ้มแค่น ๆ
“ขอให้ฉันฟาดกบาลแกด้วยขวดเบียร์หนึ่งที ฉันถึงจะหายโกรธแก”
นิกรยกมือไหว้ประหลก ๆ
“อย่าเลยครับ เบียร์ยังอยู่เต็มขวดน่าเสียดาย เอาไว้กลับบ้านเอาขวดเบียร์หรือขวดเหล้าเปล่า ๆ ตีหัวผมดีกว่า ผมให้ตีสองที”
“จริงนะ”
“จริงซีครับ ปู้โธ่ – คนอย่างผมพูดไหนเป็นคำ นั้นมีวาจาสัตย์ พูดแล้วไม่คืนคำ ”
พลพูดเสริมขึ้นเบา ๆ
“หุบปากเสียทีเถอะวะอ้ายกร ฉันรำ คาญแกเต็มทนแล้ว แกนี่พูดมากเหลือเกิน”
“อ้าว ปากเขามีไว้สำ หรับพูดนะโว้ย ปากไม่ใช่ก้นจะได้ทำ ได้แต่เสียงสั้นหรือเสียงยาว เสียง
แหลมหรือเสียงทุ้มเสียงตํ่า เมื่อคนเรามีปากไว้ให้พูดมันก็ต้องพูด ทำ เป็นขรึมอย่างแกไม่ระบายลมในท้องออกมาเสียบ้าง แกก็คงท้องขึ้นตายในวันหนึ่ง หรือม่ายลมในท้องมันก็ต้องพยายามหาทางดัน หรือลั่นออกมาจนได้ ทำ ให้คนที่อยู่ใกล้เคียงเขารำ คาญเปล่า ๆ”
พลพยักหน้าช้า ๆ
“พูดไปอ้ายกร อยากพูดก็เชิญพูด”
“พอแล้ว” นิกรพูดยิ้ม ๆ
เด็กรับใช้ผู้หญิงคนหนึ่งและผู้ชายคนหนึ่งต่างนำ อาหารมาเสิฟให้ตามที่สั่งนายพลดิเรกกล่าวชมว่าห้องอาหาร “สิรี” มีบริการรวดเร็วทันใจผิดกว่าห้องอาหารบางแห่งสั่งอาหารกว่าจะได้ร่วมชั่วโมง บางทีลูกค้าเป็นลมไปเพราะความหิวก็เคยมี
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ต่างดื่มเบียร์รับประทานอาหารว่างกัน และสนทนากันถึงเรื่องที่ชายลึกลับโทรศัพท์ถึงเสี่ยหงวน ขอให้คณะพรรคสี่สหายมาพบที่ห้องอาหารนี้ในเวลา ๑๘.๐๐ น. แต่ขณะนี้ใกล้จะถึง ๑๘.๓๐ น.แล้วไม่เห็นมีใครมาพบทันใดนั้นเองกระทาชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาในห้องอาหาร “สิรี” ในท่าทางที่คล้ายกับคนเมาหรือคนที่หมดเรี่ยวแรง หนุ่มใหญ่ผู้นี้ร่างสูงโปร่งอายุในราว ๔๐ ปี เขาสวมกางเกงขายาวสีดำ และเชิ้ทแขนยาวสีฟ้าพับปลายแขน เสื้อกางเกงของเขายับยู่ยี่และสกปรก ชายผู้นี้พยายามรวบรวมกำลังเดินเปะปะเข้ามาที่โต๊ะสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และแล้วเขาก็ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะตรงข้ามกับท่าน
เจ้าคุณ
“โอย…ผม…..ผมมาช้าไปครึ่งชั่วโมง” เขาพูดเสียงขาดเป็นห้วง ๆ “ผมถูกยิงครับ ผมถูกยิงที่ท้องกระสุนฝังใน โอย…..มันยิงผมเหนือสะดือผมเพียงนิดเดียว เบียร์….กรุณาให้เบียร์ผมดื่มเอาแรงหน่อยเถอะครับ ถึงผมจะตายผมก็จะเล่าเรื่องสำ คัญให้พวกท่านทราบเสียก่อน โอย…อยากกินเหล้ามากกว่าเบียร์ครับ”
กิมหงวนส่งแก้วเบียร์ให้ชายผู้นั้น
“เอ้า – แดก..เอ๊ย…กินเสียน้องชาย”
ชายผู้นั้นยกมือไหว้อาเสี่ยก่อนจึงรับแก้วเบียร์มาถือไว้
“ขอบคุณครับท่าน…โอย…ผม”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“กินเสียก่อนเถอะแล้วค่อยร้อง”
ชายกลางคนขมวดคิ้วนิ่วหน้าแสดงความเจ็บปวดรวดร้าว แล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มอั๊ก ๆ รวดเดียวหมดแก้ว เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วมองดูหน้าคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ มือขวาของเขาปิดท้องตอนสะดือของเขาแน่น
“พวกท่านคงจำ ผมไม่ได้ ผมคือสิบเอกแม้น มุ่งเมฆา แห่งกรมสรรพาวุธทหารบกยังไงล่ะครับ
โอย…ผมปวดแผลเหลือที่จะทนแล้ว กระสุนมันฝังอยู่ในท้องของผมครับ ผมคงไม่รอดแน่ เจ้านายนึกออกไหมครับว่าผมเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่คอยต้อนรับพวกเจ้านายทุกครั้งที่เจ้านายไปตรวจอาวุธต่าง ๆ ที่กรมสรรพาวุธทหารบก”
พล.ต.พลยิ้มให้เขาและกล่าวว่า
“อั๊วนึกออกแล้วแม้น แต่ว่าดูเหมือนเราไม่ได้พบกันปีกว่าแล้วนี่นะ รู้สึกว่าลื้อเปลี่ยนแปลงไปมาก”
“ครับ ใช่ครับ ผมได้ทำ ผิดวินัยย่างร้ายแรง ถูกปลดออกจากราชการเมื่อปีก่อนนี้ ถูกละครับผมแก่ไปเพราะจิตใจของผมไม่มีความสุข ผมต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตของผมแบบตีนถีบปากกัด ยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของผม ผมต้องทำ ทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพ” แล้วเขาก็สะดุ้งเฮือกบิดตัวไปมา นัยน์ตาของอดีต ส.อ.แม้นช้อนกลับเหลือกลาน เหมือนที่กำ ลังจะสิ้นใจตาย
เสี่ยหงวนจุปากและกล่าวขึ้นทันที
“อย่าพึ่งตายน้องชาย อดทนหน่อยเพื่อน แกต้องเล่าเรื่องของแกให้พวกเราฟังก่อนว่าที่แกนัดให้พวกเรามาพบที่นี่ และแกบอกไปทางโทรศัพท์ว่าเกี่ยวกับความเป็นความตายของประเทศชาติของเรานั้นน่ะเรื่องอะไร”
ตัวของเขาบิดไปมาเหมือนงู นิกรรีบรินเบียร์ใส่แก้วและส่งแก้วเบียร์ให้
“เอ้า – ยัดเสียอีกแก้ว แล้วรีบเล่าเรื่องของแกให้เราฟัง ก่อนที่แกจะสิ้นใจตาย กินอาหารอะไรบ้างไหมล่ะจะสั่งให้”
“ไม่ต้องการหรอกครับผู้การ ผมอยากจะดื่มแต่เหล้าหรือเบียร์เท่านั้น ขอเหล้าให้ผมสักกั๊กไม่ได้
หรือครับ”
นิกรกวักมือเรียกเด็กหนุ่มรับใช้คนหนึ่งให้เข้ามาหาเขา
“น้องชาย ขอวิสกี้ไทยสักขวดแล้วก็โซดาสักสองขวด เร็วหน่อยนะประเดี๋ยวจะทิปลื้อให้สมใจ”
เด็กหนุ่มรับคำ สั่งและวิ่งไปจากที่นั้นในนาทีเดียวเขาก็ถือถาดใส่ขวดเหล้า โซดาและแก้วเหล้านำ มาเสริฟให้ตามคำ สั่ง นิกรส่งเหรียญ ๕๐ สตางค์อันหนึ่งให้เด็กหนุ่ม
“เอ้า อั๊วทิปลื้อ แล้วอย่าไปบอกใครนะว่าอั๊วทิปตั้งสองสลึงคนอื่นเขาจะอิจฉาลื้อ”
เด็กหนุ่มเดินบ่นพึมพำ กลับไป เสี่ยหงวนรีบผสมวิสกี้โซดาให้แม้น ในเวลาเดียวกันนี้เองนายพลดิเรกได้ลุกขึ้นเดินมาหา ส.อ.แม้นที่หัวโต๊ะ
“ขอให้กันดูรอยกระสุนปืนที่ท้องแกหน่อยซิแม้น บางทีกันอาจจะช่วยเหลือแกได้บ้าง”
“ไม่มีทางครับท่าน” แม้นพูดเสียงเครือและเปิดฝ่ามือข้างขวาที่สะดือออก ดึงชายเสื้อเชิ้ทขึ้นถลกขอบกางเกงลงไป
ศาสตราจารย์ดิเรกกับนิกร กิมหงวนต่างมองดูแผลที่เหนือสะดือ ส.อ.แม้นด้วยความสนใจ โลหิตยังคงไหลรินออกมา
“โอ้โฮ” นิกรร้องขึ้นดัง ๆ “อย่างนี้ไม่รอดนี่หว่า ลื้อรีบเล่าเรื่องของลื้อให้เราฟังเถอะและรีบกลับไปตายที่บ้าน ถูกยิงแบบนี้ร้อยทั้งร้อยเท่งทึงทุกราย”
“โธ่ – ผู้การ พูดให้กำ ลังใจผมบ้างซีครับ” พูดจบเขาก็เอื้อมมือรับแก้วเหล้าจากกิมหงวนยกขึ้นดื่มส่วนมือซ้ายของเขาคงปิดสะดือของเขาไว้เช่นเดิม
ในที่สุด ส.อ.แม้นก็เริ่มเรื่องของเขา
“ผมถูกปลดจากทหารผมก็เดินทางไปเสี่ยงโชคที่กาญจนบุรีครับ โอย…เห็นจะเล่าต่อไปไม่ไหวปวดแผลเหลือเกินครับ”
นิกรตวาดแว็ด
“แข็งใจหน่อยซีโว้ย แล้วกัน เขาถูกรถไฟทับคอขาดเขายังให้การกับตำ รวจว่าเพราะเขาเผลอไปนอนบนรางรถไฟ เอาหัวหนุนรางต่างหมอนรถไฟก็เลยถูกรถไฟทับคอเขาขาดไม่ใช่ความผิดของพนักงานขับรถไฟเพราะหมดความสามารถที่จะหยุดได้ทัน”
พลจุปากดุนิกร
“แกเงียบ ๆ เถอะน่า” แล้วก็ถามศาสตราจารย์ดิเรกซึ่งยังยืนอยู่ข้าง ๆ ส.อ.แม้น “อาการของแม้นเป็นยังไงบ้างหมอ”
นายพลดิเรกส่ายหน้าแทนคำ ตอบ กลับมานั่งที่ของเขาซึ่งอยู่ทางซ้ายของกิมหงวนตามเดิม เขากระซิบกระซาบบอกท่านเจ้าคุณว่า ส.อ.แม้นถูกยิงที่หน้าท้อง กระสุนฝังในอย่างไรก็คงไม่รอด
กิมหงวนผสมเหล้าให้เขาดื่มอีกแก้วหนึ่ง
“เข้มแข็งนะน้องชาย แกต้องเล่าเรื่องของแกให้จบเสียก่อนแล้วค่อยตาย”
แม้นยกแก้วสีเหลืองขึ้นดื่มอย่างดุเดือด วางแก้วลงยกแขนซ้ายเช็ดปากและเล่าเรื่องต่อไป
“ที่ป่าลึกของกาญจนบุรีทางทิศตะวันตกของอำ เภอไทรโยคระหว่างช่องบ้องตี้กับวังใหญ่ ธรรมชาติป่าดงพงไพรสวยงามมากเชียวครับเจ้านาย ขุนเขาน้อยใหญ่แลทะมึนสลับซับซ้อน นกเล็ก ๆ หลากสีปรากฏอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ทั้งยูงยางตะแบกตะเคียนมะค่าและสัก ลำ ธารเล็ก ๆ คดเคี้ยวไปมานํ้าใสแจ๋ว บางแห่งมองเห็นหน้าผาสูงตระหง่านเงื้อม”
“วู้” นิกรกับกิมหงวนร้องขึ้นพร้อมกันราวกับนัดกันไว้
พลมองดูหน้า ส.อ.แม้นอย่างแปลกใจ
“เอาแต่เนื้อล้วน ๆ เถอะเพื่อน อย่าเอานํ้าเลย แกชักจะเละแล้ว”
“นั่นน่ะซีครับ” แม้นเห็นพ้องด้วย “ผมอดบรรยายไม่ได้ครับว่าธรรมชาติป่าสูงของกาญจนบุรีมันสวยวิเศษจริง ๆ ครับเจ้านาย อ้า – เอาละครับเริ่มเรื่องเสียทีห่างจากช่องหรือด่านบ้องตี้ไม่ถึง ๕ กิโลเมตรเป็นดินแดนของพวกดาวร้ายทั้งหลายมีทั้งคนไทยและพม่าซึ่งล้วนแต่เป็นฆาตกร เป็นอาชญากรที่หลบหนีตำรวจไปอยู่ที่นั่น แล้วช่วยกันสร้างบ้านเมืองของมันขึ้น”
นิกรพูดโพล่งขึ้น
“มีสภาพเหมือนกับเมืองในหนังเคาบอยใช่ไหมล่ะ”
“ครับ ก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละครับ ที่นั่นเรียกว่าตำ บลวังกระทิงครับ เจ้านายโปรดจำ ไว้ให้ดี”
“แล้วยังไง” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พูดขึ้นด้วยความสนใจ
“มันเป็นดินแดนของพวกก่อการร้ายมั่วสุมกันครับ มีการอบรมวิชาการรบในป่าและฝึกอาวุธต่าง ๆ พลพรรคพวกก่อการร้ายที่วังกระทิงมีจำ นวนไม่น้อยกว่า ๒๐๐ คนครับ วันหนึ่งในไม่ช้ามันจะต้องบุกเข้ายึดเมืองกาญจน์และสุพรรณ ขุมกำ ลังของมันจะมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงขึ้นตามลำ ดับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองของเราไม่มีทางปราบปรามมันได้หรอกครับ เพราะมันอยู่ในป่าสูงและใกล้กับพรมแดนพม่า ตำรวจภูธรชายแดนเคยยกกำ ลังไปแล้วแต่ก็ค้นหาวังกระทิงไม่พบ พอฝนตกชุกไข้ป่าชุกชุมก็ต้องกลับเพราะตำ รวจเจ็บป่วยล้มตายไปหลายคน โอย…ขออนุญาตให้ผมร้องครางสักนาทีนะครับ ปวดเหลือเกิน”
อาเสี่ยโบกมือห้าม
“อย่าครางเลยวะ กินเหล้าดีกว่ากันจะผสมให้แกหนา ๆ หน่อย”
“ดีครับ ถ้าได้ดื่มเหล้ามันก็ระงับปวดไปได้ชั่วขณะหนึ่ง เหล้าเป็นยาประจำ ชีวิตของผมครับ ไม่
ว่าผมจะป่วยเป็นอะไรกินเหล้าเข้าไปก็หายหรือค่อยยังชั่ว”
เสี่ยหงวนรีบผสมวิสกี้โซดา แล้วยกแก้วส่งให้แม้น อดีตสิบเอกของกรมสรรพาวุธทหารบกยกขึ้น
ดื่มจนหมดแก้ว บรรยายเรื่องของเขาให้ฟังต่อไป
“ผมไปถึงวังกระทิงแบบนักเผชิญโชคครับ อ้ายพวกนั้นมันเกลี้ยกล่อมชวนผมให้เป็นพลพรรคซึ่งผมจะได้รับเงินเดือนถึงเดือนละพันบาท แต่ผมเป็นทหารนี่ครับ เลือดของผมทุกหยดก็คือเลือดทหาร ผมมีความรักประเทศชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ของผมยิ่งชีวิต ผมไม่ยอมร่วมงานกับมัน แต่วังกระทิงมีแต่พรรคพวกของมันทั้งนั้น พวกมันขู่ผมว่าถ้าผมไม่ยอมร่วมมือกับมัน ผมก็ต้องตาย”
“ผมก็หนีมาจากวังกระทิงน่ะซีครับ หัวหน้าใหญ่ของมันคือสิงห์ปืนทองใช้ให้สมุนหลายคนติดตามล่าผมที่บ้านโป่ง….ผมเกือบจะถูกยิงทิ้ง เคราะห์ดีที่มีเหตุสุดวิสัยมาขัดขวางพวกมัน บนรถไฟปราณบุรี – กรุงเทพ ฯ ผมเผชิญหน้ากับมือปืนของมันอีก ผมต้องกระโดดรถไฟหนีพวกมันและเมื่อผมมาถึงบ้านในกรุงเทพ ฯ สมุนของอ้ายสิงห์ปืนทองก็ติดตามมาสังหารผม อ้า….เมื่อตอนห้าโมงครึ่งนี้เองครับ ตอนที่ผมจะมาพบกับพวกเจ้านายที่นี่ ผมเดินออกจากซอยบ้านผมทางตลาดหมอชิต มือปืนของเจ้าพ่อวังกระทิงได้เดินสวนทางผมมาและปราดเข้ามายิงผมเอาดื้อ ๆ แล้ววิ่งหนีไป ตรอกบ้านผมมันเปลี่ยวครับ ผมถูกยิงล้มลงไปพอลุกขึ้นได้แทนที่ผมจะไปแจ้งความที่โรงพักหรือไปหาหมอ ผมก็รีบนั่งแท๊กซี่ตรงมานี่เพื่อมาพบกับเจ้านายและเล่าเรื่องสิงห์ปืนทองหรือเจ้าพ่อวังกระทิงให้ฟัง มันคือหัวหน้าก่อการร้ายครับ อดีตของมันคือเสือ
ร้ายจิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ โอย…ผม…..ไม่รอดแน่” เขาก็บิดตัวไปมา
“อย่าพึ่งตาย” อาเสี่ยร้องลั่น “ทหารต้องอดทนเข้มแข็ง ถูกปืนที่ท้องนัดเดียวเรื่องเล็กน่า”
“อูย…ไม่เล็กหรอกครับ ไส้ผมแตกแล้วผมจะอยู่ได้อย่างไร ผมอยากจะให้เจ้านายเดินทางไปปราบสิงห์ปืนทองหรือเจ้าพ่อวังกระทิงคนนี้ครับ เพื่อความปลอดภัยของบ้านเมืองเรา ปล่อยเอาไว้ขุมกำลังของมันก็จะมีไพร่พลและอาวุธยุทธภัณฑ์มากขึ้น”
พลกล่าวกับแม้นทันที
“แน่นอนแม้น เราต้องปราบมัน แต่บอกกันหน่อยซีว่าสิงห์ปืนทองหรือเจ้าพ่อวังกระทิงมันเป็น
ใคร”
“เดี๋ยวครับ อ้า…ขอเหล้าผมดื่มอีกสักแก้วเถอะครับ”
กิมหงวนรีบผสมวิสกี้โซดาใส่แก้วแล้วส่งแก้วให้อดีตสิบเอกกรมสรรพาวุธ
“เอ้า….กินเสีย อย่าพึ่งตายนะ”
“ยังครับ ผมอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามนาที” แล้วเขาก็ยกแก้วนํ้าสีเหลืองขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว “เจ้านายจำ ไว้ให้ดีนะครับ ที่วังกระทิงมีคนใช้ปืนพกด้ามทองอยู่หลายคน แต่สิงห์ปืนทองที่แท้จริงคือเจ้าพ่อวังกระทิงมีคนเดียว”
“มันเป็นใครล่ะ” นายพลดิเรกถาม
“เดี๋ยวครับ ขอให้ผมสูบบุหรี่สักมวน”
นิกรพูดโพล่งขึ้น
“บอกเสียก่อนเถอะโว้ย ขณะที่แกกำ ลังจุดบุหรี่สูบ สมุนของเจ้าพ่อวังกระทิงอาจจะบุกเข้ามายิงแกตายเสียก่อนที่แกจะบอกให้เรารู้ว่าสิงห์ปืนทองเป็นใครก็ได้”
เขายิ้มให้นิกรและถือวิสาสะหยิบซองบุหรี่ทองคำ ของเสี่ยหงวนที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดจุดสูบมวนหนึ่ง ทันใดนั้นเองชายลึกลับคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาในห้องอาหาร “สิรี” เขาแต่งชุดดำ ล้วน มือขวาถือปืนยิงเร็วแบบสะเตน เขาตรงเข้ามาหยุดยืนห่างจากโต๊ะรับประทานอาหารที่คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และแม้นนั่งอยู่ประมาณ ๓ เมตรโดยไม่ทันมีใครสนใจกับเขา เพราะเขาบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชายลึกลับผู้ทะนงองอาจราวกับว่าบ้านเมืองของเราไม่มีขื่อมีแป ยกปืนยิงเร็วขึ้นยิงกราดมาที่ร่างของอดีต ส.อ.แม้นทันที เสียงกระสุนปืนยิงเร็วแผดคำ รามลั่นราว ๕ นัด ทุกคนที่อยู่ในห้องอาหาร “สิรี” ต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามกัน แม้น สะดุ้งเฮือก แน่นหน้าอกขณะนึ้ และทำ หน้าเบี้ยวหน้าบูดแบบเดียวกับคนที่ถูกยิง มือปืนหรือชายลึกลับถือโอกาสที่ผู้คนกำ ลังตกตะลึงวิ่งหนีออกไปนอกร้าน ในเวลาเดียวกับที่รถจี๊ปวิลลี่คันหนึ่งคลานเอื่อย ๆ จากสุดซอยมาถึงหน้าร้านพอดี มือปืนเผ่นแผล็วขึ้นไปบนรถจี๊ปคันนั้น เจ้าแห้วนั่งอยู่ในรถคาดิลแล็คเก๋งจึงแลเห็นพฤติการณ์ของมือปืนอย่างถนัดผู้ที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันแซ่ดไปหมด แค็ชเชียร์สาวคงจะตกใจมากถึงกับร้องหวีดว้ายและยกฝ่ามือทั้งสองปิดหน้าด้วยความเสียวสยองในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ว้าย ๆ ๆ ๆ ตายแล้ว ช่วยด้วย”
นิกรมองดูอดีตสิบเอกอย่างเดือดดาล
“ไหมล่ะ กันพูดไว้จริงไหมล่ะ ถ้าแกบอกเราเสียแต่แรกว่าอ้ายสิงห์ปืนทองเป็นใครก็คงรู้แล้ว นี่มัวแต่เต๊ะท่าขอเหล้ากิน ขอสูบบุหรี่ถ่วงเวลาจนมือปืนมันบุกเข้ามายิงแกเหมือนกับหนังบู๊ไม่มีผิด”
แม้นพูดอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่บิดตัวไปมาและทำ ท่าเหมือนจะสิ้นใจตาย อาเสี่ยกิมหงวนกล่าวกับสิบเอกกองหนุนว่า
“ถ้าไม่รอดก็ออกไปตายนอกร้านเขาเถอะวะ อย่าให้เจ้าของร้านเขาต้องเดือดร้อนนิมนต์พระมาสวดปัดรังความเลย ไป……ออกไปตายหน้าร้านหรือนั่งรถแท๊กซี่กลับไปตายที่บ้านแก ลูกเมียของแกจะได้เห็นใจ”
แม้นขบกรามกรอดรวบรวมกำ ลังลุกขึ้นยืนท่ามกลางสายตาของใครต่อใครที่พากันมองดูเขา
“ผม…ผม..ไม่มีค่ารถ”
เสี่ยหงวนรีบล้วงกระเป๋าเสื้อฮาวายหยิบธนบัตรใบละร้อยปึกหนึ่งออกมาแล้วส่งเงินให้แม้น ๓๐๐
บาท
“เอ้า เอาไป รีบขึ้นรถกลับไปบ้าน อ้า…บอกเราเสียหน่อยซิว่า อ้ายสิงห์ปืนทองเจ้าพ่อวังกระทิงน่ะเป็นใคร”
แม้นรับเงินมาถือไว้ เขาหายใจถี่เร็ว พิษกระสุนปืนยิงเร็วที่ถูกชายโครงข้างซ้ายของเขารวม ๒ นัดทำ ให้เขาเจ็บปวดและบอบชํ้าหมดเรี่ยวแรงแล้ว
“ผมพูดไม่ได้ครับ ผม..เหนื่อย….มือปืนทองคือ…โอ๊ย……”
“บอกซีโว้ย” เสี่ยหงวนเอ็ดตะโร
“เขาชื่อ….” แม้นพูดเสียงเครือ “เขาชื่อ ล.ลิง…ไม้โท…..”
“ปู้โธ่” นิกรร้องลั่น “ก็แกจะบอกชื่อเขาออกมาเลยไม่ได้หรือวะ ต้องเสียเวลาสะกดตัวอักษรด้วย
เรอะ บอกซีโว้ยเขาชื่ออะไร”
แม้สะดุ้งเฮือกนัยน์ตาเหลือกลานและยืนโงนเงนเหมือนกับจะล้มลง แค็ชเชียร์สาวเดินเข้ามาหาสี่
สหาย พอสบตากับนิกรก็ร้องบอกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ ใบหน้าซีดเผือด
“คุณอาช่วยบอกให้เขาไปตายนอกร้านของหนูเถอะค่ะ”
นิกรพยักหน้ารับทราบ
“ครับ ครับ ผมบอกเขาแล้ว” นิกรก็ยิ้มให้แม้น “ไปซี กลับไปตายบ้านแกหรือจะไปตายที่ไหนก็ตามใจ สิงห์ปืนทองจะเป็นใครก็ช่างมันเถอะ พวกเราไปถึงวังกระทิงก็ได้พบมันเอง”
“โอย…เหล้า……ขอเหล้าผมอีกแก้ว……”
แม้นยกมือไหว้คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ แล้วก็เดินโซเซออกไปจากห้องอาหาร “สิรี”
ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้ที่แลเห็นเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นหวาดเสียว โดยเฉพาะแค็ชเชียร์สาวตัวยังสั่นเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ สี่สหายพากันมองดูด้วยความสงสาร
“มีเรื่องร้ายแรงอย่างนี้เกิดขึ้น หนูคงแย่ละค่ะ ใคร ๆ ก็คงเข็ดขยาดไม่กล้ามาทานอาหารที่นี่”
นิกรยิ้มให้
“ไม่เป็นไรหลานสาว ภัตตาคารหรือไนท์คลับก็มีเรื่องยิงกันตายบ่อย ๆ บางทีก็เชือดคอกันจนลูก
กระเดือกหลุด คนที่ถูกยิงหรือถูกแทงตาย ถูกฆ่าตายก็ต้องมีเรื่องกับคนอื่นเขา หนูน่ะชื่อฟูสิรีใช่ไหมล่ะ”
สาวสวยนิ่งคิดและยิ้มอาย ๆ
“หนูไปถามคุณแม่หนูก่อนนะคะ ถ้าคุณแม่ว่าใช่หนูก็ไม่ปฏิเสธ” พูดจบแค็ชเชียร์สาวก็พาตัวเดินไปจากโต๊ะนั้น
เสี่ยหงวนลุกขึ้นยืนและร้องตะโกนลั่น
“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลาย ไม่มีอะไรหรอกครับ ที่มือปืนบุกเข้ามายิงเมื่อกี้นี้เขาถ่ายหนังกันน่ะครับ แต่เขาซ่อนกล้องถ่าย แอบถ่ายโดยไม่ให้ใครเห็น ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านครับที่ร่วมแสดงด้วย”
เท่านี้เองผู้ที่อยู่ในห้องอาหาร “สิรี” ก็ถอนหายใจโล่งอกไปตามกันไม่มีอะไรที่คนมีเงินทำ ไม่ได้
เมื่อมีเงิน เรื่องที่ยุ่งยากก็กลายเป็นเรื่องขี้ผงไปในที่สุด คณะพรรคสี่สหายพร้อมด้วยเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วก็พากันเดินทางมาถึงวังกระทิงซึ่งทุกคนมาในฐานะนักเผชิญโชคแบบเดียวกับพวกมือปืนหรือดาวร้ายทั้งหลาย ซึ่งมาชุมนุมกันอยู่ที่วังระทิง และส่วนมากได้เข้าเป็นพรรคของพวกก่อการร้ายแล้วม้าเทศทั้ง ๖ ตัวพาสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ วิ่งสะบัดย่างผ่านช่องเขาแห่งหนึ่งออกมาสู่ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง และแล้วทุกคนก็บังคับม้าคู่ขาของตนให้หยุดยืนรวมกลุ่มกัน ทอดสายตามองไปยังฝูงวัวประมาณ ๑๐๐ ตัว ซึ่งพักผ่อนอยู่ในบริเวณทุ่งหญ้านี้ ไกลออกไปอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร มองเห็นหมู่บ้านวังกระทิงปรากฏอยู่เบื้องหน้า สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วต่างแต่งกายแบบเคาบอยตะวันตกในภาพยนตร์ โดยเฉพาะ
เสี่ยหงวนกับนิกรแต่งชุดสีดำ เข็มขัดหย่อนยานแบบมือปืน มีปืนพกอยู่ในซองข้างขวาคนละกระบอก พลกับนายพลดิเรกสวมเชิ้ทแขนสั้นตาหมากรุกดำ ขาว ท่านเจ้าคุณสวมเสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ้ทแขนยาวซึ่งค่อนข้างรุ่มร่ามและร้อนอบอ้าว ส่วนเจ้าแห้วแต่งชุดสีกากี ผูกผ้าพันคอทุกคนเว้นแต่เจ้าคุณปัจจนึก ฯ สวมหมวกสักหลาดเช่นเดียวกับเคาบอยในภาพยนตร์


พลกล่าวกับคณะพรรคของเขาว่า
“วัวเหล่านี้คงจะถูกต้อนไปขายที่พม่าและอาจจะเป็นวัวที่พวกคนร้ายปล้นเอามา ผู้กองพันเขาบอกเราว่าพวกโจรปล้นวัวที่เมืองกาญจน์มีอยู่มาก ต้อนเอาไปขายที่พม่าซึ่งทางพม่าก็เอาทองคำ ซื้อแทนเงิน”
เสี่ยหงวนพูดโพล่งขึ้น
“ปล้นวัวหรือพวกเรา ต้อนเอาไปขายพม่าเอาเงินใช้หวาน ๆ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ มองดูหน้าอาเสี่ยและหัวเราะหึ ๆ
“แกเคยหารับประทานทางปล้นเขากินหรืออ้ายหงวน” แล้วท่านก็หันมามองดูเจ้าแห้ว “เป็นอะไรไปวะอ้ายแห้ว”
เจ้าแห้วทำ หน้าเหยเก
“รับประทานก้นผมแตกระแหงไปทั่วแล้วครับ ขี่ม้าสองวันแย่ครับ”
ท่านเจ้าคุณอดหัวเราะไม่ได้
“อดทนหน่อยซีวะ ความจริงแกก็เคยขี่ม้าเสมอน่าจะเคยชิน แกดูอ้ายกรซิไม่เห็นมันเป็นอะไร ควบม้านำ หน้าพวกเรามาตลอดเวลา”
นิกรฝืนหัวเราะ
“นั่นแหละครับ ผมขี่ม้านำ หน้าทั้ง ๆ ที่ผมก้นพังไปหมดมองคล้าย ๆ ผืนดินแตกระแหง ไม่เชื่อผมเปิดให้ดูก็ได้ เมื่อคืนนี้ผมนอนหลับเป็นตายเพราะระบมก้น นี่ก็รู้สึกว่าก้นมันแตกจนเลือดไหลซึมออกมาติดกางเกง ลงจากหลังม้าผมก็คงเดินขาเป๋”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เปลี่ยนสายตามาที่กิมหงวน
“แต่แกไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือ”
“ไม่เป็นอะไรครับ เรื่องม้าผมขี่ทุกเดือน เดือนละสามวันมันก็เลยเคยชินไปเอง”
พลพูเสริมขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
“ขี่ที่ไหนวะ”
“ก็ที่บ้านน่ะซี ขอยืมม้าทหารม้าเขามาขี่รอบบ้านทุก ๆ เดือน เฮ้ สัปหงกหรือหมอ ไหง
สะลึมสะลือไป”
ศาสตราจารย์ดิเรกยิ้มให้
“ชักเพลียว่ะ ตอนนี้แก่ตัวไปบุกป่าฝ่าดงไม่ใคร่ไหวเสียแล้ว อ้า – ท่าทางแกกับอ้ายกรไม่เลวนะ
โว้ย”
นิกรยักคิ้วให้นายพลดิเรก
“นี่แหละริงโก้”
นายพลดิเรกยิ้มเล็กน้อย
“ริงโก้หรือลิงโก้”
“ริงโก้โวย้ ร.รกั ษาไมใ่ ช ่ ล.ลิง ล.ลิงน่ะมันอยู่ตามต้นไม้ในป่าหรือที่ศาลพระกาฬลพบุรี”
เจ้าแห้วกล่าวขึ้นบ้าง
“รับประทานผมว่าเจ้านายของผมทั้งสี่คนนี่แหละครับคือสมิงริงโก้ แต่ละคนยังกะพระเอกหนังเคาบอย โดยเฉพาะคุณพลของผมทำ หน้าขรึม ๆ ยังงี้คล้ายโรเบิท เทเล่อรจริง ๆ ครับ”
“อย่ามายอโว้ย เดี๋ยวถีบตกม้า”
เจ้าแห้วค้อนขวับ
“เป็นยังงั้นไป”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ร้องขึ้นดัง ๆ
“มีใครคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามาหาเราโว้ย นั่นยังไง”
การสนทนาสัพยอกหยอกล้อกันสิ้นสุดลงทันที ทุกคนจ้องมองไปที่ม้าตัวหนึ่ง ซึ่งกำ ลังพาใครคนหนึ่งควบตรงเข้ามา
“สิงห์ปืนทองกระมังโว้ย” นิกรออกความเห็น
อาเสี่ยว่า “ไม่ใช่หรอก พวกเลี้ยงวัวน่ะ ม้าตัวนี้มันวิ่งมาจากหมู่ต้นไม้ใหญ่โน่นที่พวกเลี้ยงวัวพัก
ผ่อนกนั อยู่ ไม่ได้มาจากหมู่บ้านวังกระทิงที่อยู่ทางซ้ายมือของเรา อา้ – แกจำ ได้ไหมอ้ายกร สิบเอกแม้นมันบอกเราว่าสิงห์ปืนทองมีชื่อว่า ล.ลิง…ไม้โท มันพูดได้แค่นี้”
“ถูกแล้ว กันก็เคยนึกเหมือนกัน”
“แกลองนึกดูซิว่าสิงห์ปืนทอง มันชื่ออะไร”
นิกรส่ายหน้า
“เดายากว่ะ ล.ลิงไม้โท….ถ้าให้กันต่อก็คงต่อสระอา น.หนูสะกด”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ แยกเขี้ยวกระชากปืนพกในซองปืนข้างขวาออกมา
“เดี๋ยวพ่อยิงทิ้งเสียเลย มีอย่างที่ไหนวะคนชื่อล้าน”
พลพูดเสริมขึ้น
“อาจจะชื่อล้อมหรือล้วนชื่อใดชื่อหนึ่ง”
นายพลดิเรกเห็นพ้องด้วย
“ออไร๋ ชื่ออะไรไม่สำ คัญเราจะต้องปราบมันให้ได้ ถ้าจับเป็นไม่ได้ก็ต้องจับตาย”
ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวนั้น เป็นชายชราอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ แต่ยังแข็งแรงและแข็งแกร่งตามธรรมดาของผู้ที่ตรากตรำ ทำ งานหนัก ลุงนิ่มเป็นเจ้าของวัวประมาณ ๑๐๐ ตัวฝูงนั้น แกกำ ลัง
จะต้อนวัวไปขายในเขตพม่า ซึ่งวัวเหล่านี้ลุงนิ่มซื้อมาในราคาถูก ๆ อดีตของชายชราผู้นี้เคยเป็นเสือร้ายมา
แล้ว เมื่อแก่ตัวเข้าสังขารไม่ให้และสำ นึกถึงบาปบุญคุณโทษ แกก็กลับเนื้อกลับตัวเป็นพลเมืองดี ลุงนิ่มแต่งกายตามแบบเคาบอย คาดเข็มขัดกระสุนปืน มีปืนพกอยู่ในซองปืนข้างละ ๒ กระบอก
ชายชราควบขับม้ามาหยุดยืนเบื้องหน้าคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้ว
“อ้ายหลานชาย” แกพูดยิ้ม ๆ “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงเป็นนักเผชิญโชคที่พากันมาเสี่ยงโชคที่วังกระทิงใช่ไหม”
เสี่ยหงวนยิ้มให้
“ไม่ใช่หรอกลุง เราเป็นเสือหนีตำ รวจมานี่”
“พวกเจ้าเป็นเสือ……” ลุงนิ่มทวนคำ
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ถูกแล้วลุง”
ลิงนิ่มขมวดคิ้วย่น
“ไม่น่าเชื่อเลยโว้ยว่าพวกเจ้าเป็นเสือร้าย แต่ละคนหน้าตาเหมือนยี่เก เท่าที่ข้าเคยพบเห็นมาพวกเสือหรือพวกโจรมักจะหน้าตาโหดเหี้ยม ใครเป็นหัวหน้าพวกเจ้าล่ะ”
นิกรยกมือขวาตบบ่าพล ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าเทศสีดำ หน้าแด่นเป็นทางขาว
“คนนี้จ้ะลุง เขาชื่อเสือฤทธิ์ ฉัน – เสือเดช”
เสี่ยหงวนกล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
“ฉันชื่อเสือมั่น” แล้วอาเสี่ยก็ชี้หน้านายพลดิเรก “คนนี้ชื่อเสือคง เราเป็นเสือร้ายในสุพรรณบุรี
ตำรวจกองปราบที่ส่งมาจากกรุงเทพ ฯ นับร้อยได้ร่วมมือกับตำ รวจภูธรทำ การกวาดล้างพวกโจรในฤดูแล้งบรรดาโจรห้าร้อยทั้งหลายก็ต้องหนีกระเจิง บางทีพวกเราอาจจะไปพม่าก็ได้”
ลุงนิ่มพยักหน้ารับทราบ แล้วมองดูเจ้าคุณปัจจนึก ฯ อย่างสนใจ
“แล้วพี่ชายล่ะเป็นใคร”
ท่านเจ้าคุณยิ้มเล็กน้อย
“ข้าเป็นเสือเหมือนกันน้องชาย”
“เอ๊ะ เสือไหงหัวล้าน”
“อ้าว” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ อุทานขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง “เรื่องหัวล้านน่ะมันไม่เกี่ยว”
ลุงนิ่มยิ้มแห้ง ๆ
“รู้สึกว่าแกไม่พอใจที่ข้าพูดถึงหัวล้านของแก ถึงได้ทำ เสียงเขียวกับข้า ขอโทษเถอะพี่ชาย ข้าไม่มีเจตนาจะลบหลู่ดูหมิ่นอะไรหรอก ข้าชื่อนิ่ม อดีตของข้าก็เคยเป็นเสือมาแล้วตังแต่ข้ายังหนุ่ม ๆ และในวัยกลางคน อ้า – พี่ชายชื่ออะไรล่ะ ถึงแก่แล้วท่าทางก็ยังสง่าน่าเกรงขามนี่น่ะ อย่างนี้ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นเสือเฒ่า”
ท่านเจ้าคุณยิ้มออกมาได้
“ข้าชื่อเสืออู๊ด เจ้าพวกนี้เขายกย่องข้าเป็นญาติผู้ใหญ่ของเขา”
เจ้าแห้วสบตากับลุงนิ่ม เขาก็กล่าวขึ้นบ้าง
“ทำ ไมลุงไม่ถามข้าบ้างว่าข้าเป็นใคร”
ชายชราเจ้าของวัวสั่นศีรษะ
“ไม่จำ เป็นที่ข้าจะต้องถามเอ็งให้เสียเวลาหรอก รูปร่างลักษณะของเอ็งบอกให้ข้ารู้ว่าเอ็งเป็นลูกน้องหรือคนใช้ของพวกเสือสามสี่คนนี่ ใช่ไหมล่ะ”
เจ้าแห้วชักฉิว
“ก็ใช่น่ะซี แต่ข้าเป็นเสือเหมือนกันนะลุง”
ลุงนิ่มหัวเราะก้าก
“ถ้าเอ็งเป็นเสือก็คงเป็นเสือปลาหรือเสือกระบากที่อยู่ในครัว หุ่นของเอ็งไม่ให้เป็นเสือหรอกโว้ย
อ้ายหลานชาย” พูดจบชายชราก็เปลี่ยนสายตามาที่ใบหน้าของพล “อ้ายหลานชาย เอ็งคือเสือฤทธิ์ เป็นหัวหน้าหรือ”
“ใช่แล้วลุง” พลพูดเสียงหัวเราะ
“พวกเอ็งบุกมาวังกระทิงมีจุดหมายอะไรหรือเปล่า”
“ก็มาหาเงินใช้น่ะซีลุง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมาปล้นใครหรอก ถึงพวกเราไม่เคยมาที่นี่เราก็รู้มานานแล้วว่าวังกระทิงเป็นเมืองโจรหรือถิ่นดาวร้าย เรามีเงินติดตัวมาบ้าง จะลองเสี่ยงโชคเล่นการพนันหรือถ้าใครจ้างเราทำ งานเราก็เอา เรื่องปล้นเขากินเห็นจะเลิกกันที”
“ดีแล้วอ้ายหลานชาย ถ้ายังงั้นพวกเจ้าทำ งานกับลุงไหมล่ะ ข้าจะจ่ายค่าป่วยการเจ้าทั้งหกคนอย่างงดงาม”
“งานอะไรลุง” ศาสตราจารย์ดิเรกถาม
ลุงนิ่มยิ้มให้นายพลดิเรก
“ช่วยข้าต้อนวัว ๙๕ ตัวไปพม่า และถ้าขายวัวได้แล้วข้าจะแบ่งเงินครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นค่าขายวัวให้พวกเจ้า ๖ คนไปแบ่งกัน วัวตัวหนึ่งพ่อค้าวัวทางพม่าเขาจะรับซื้อในราคาอย่างตํ่าที่สุด ๔๐๐ บาท”
เสี่ยหงวนถามว่า “ทำ ไมลุงไม่ต้อนไปเองล่ะ หรือว่าทางที่จะผ่านไปภัยอันตราย”
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้อ้ายหลานชาย พวกคนงานของลุง ๕ คนที่ลุงจ้างเขาต้อนวัวมา เขาตกลงกับข้าแต่เพียงว่า เขาจะต้อนวัวมาแค่วังกระทิงเท่านั้น ต่อจากนั้นให้ข้าหาจ้างคนงานเอาเอง เขากลัวพวกโจรพม่าดักปล้นกลางทางระหว่างช่องเขา ขณะนี้ ข้ากับหลานชายของข้าอีกคนหนึ่งได้ช่วยกันดูแลวัวฝูงนี้ วัวมาพักอยู่ในทุ่งหญ้านี้สองวันแล้ว เสือล้อมเขาส่งคนมาพบข้าเมื่อวานนี้ และบอกว่าถ้าข้าจะต้อนวัวผ่านวังกระทิงออกไป ข้าจะต้องเสียค่าผ่านทางให้เขาตามระเบียบ เขาคิดเป็นรายตัว ตัวละ ๕๐ บาท ซึ่งข้าจะต้องจ่ายเงินสดให้เขาเกือบ ๕,๐๐๐ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมอบวัวของข้าให้เขา ๑๕ ตัวจึงจะผ่านไปได้”
“เสือล้อม” นิกรกล่าวขึ้นดัง ๆ “ลุงหมายถึงสิงห์ปืนทอง หรือเจ้าพ่อวังกระทิงใช่ไหมลุง”
“ถูกละ มันคือเจ้าถิ่นนี้ เป็นผู้มีอิทธิพลที่สุด สมุนของมันหลายคนล้วนแต่เป็นเสือร้ายและเป็นมือ
ปืนที่เคยฆ่าคนมามากต่อมาก”
นิกรเค้นหัวเราะ
“ถ้ายังงั้นฉันแสดงเองลุง ตายแน่”
“ใครตาย” ลุงนิ่มถามเบา ๆ
“ก็ฉันน่ะซี”
“อือ เอ็งนี่มีอารมณ์ขันดีว่ะ ขอให้พวกเอ็งรู้ไว้เถอะว่า ในวังกระทิงนี้เสือล้อมเปรียบเหมือนพระ
กาฬ มันอาจจะยิงใครทิ้งเสียเมื่อไรก็ได้ และเท่าที่ข้าสืบรู้มาเสือล้อมมันเป็นหัวหน้าพวกก่อการร้าย ส้องสุมผู้คนและอาวุธไว้เตรียมเป็นกบฏต่อรัฐบาลของเรา แต่เรื่องของมันข้าไม่เกี่ยว เรื่องของข้าก็คือทำ มาหากิน พวกเอ็งจะร่วมงานกับข้าไหมล่ะอ้ายหลานชาย ถ้าตกลงข้าก็จะขอให้พวกเจ้าเข้าไปในหมู่บ้านวังกระทิงเพื่อพบกับเสือล้อมเจรจาต่อรองกับมัน”
พลรีบรับคำ ทันที
“ตกลงลุง พวกเราทั้งหกคนนี่กำ ลังต้องการงานและเงิน ฉันกับเพื่อน ๆ และอาของฉันยินดีที่จะเป็นลูกจ้างลุงต้อนวัวเอาไปขายที่พม่า”
ใบหน้าของชายชราชุ่มชื่นขึ้นเมื่อพลสัญญาเช่นนี้
“ขอบใจมากเสือฤทธิ์ แต่เจ้ากับเพื่อน ๆ จะต้องทำ หน้าที่เป็นตัวแทนข้าเข้าไปเจรจากับเจ้าพ่อวังกระทิง”
“ได้ซีลุง ลุงจะเอายังไงล่ะ”
ลุงนิ่มนิ่งตรึกตรองสักครู่
“ข้าจะจ่ายค่าผ่านทางให้เสือล้อมสำ หรับวัวตัวหนึ่งเพียง ๑๐ บาทเท่านั้น พวกเจ้าอ้อนวอนเขาให้ดีบอกเขาว่าข้าพึ่งเคยต้อนวัวเป็นครั้งแรก ทุนรอนก็หมดไปแล้วในการซื้อวัว มีเงินติดตัวอยู่พันกว่าบาทพอจะจ่ายให้เขาถ้าเขาตกลงตามเงื่อนไขนี้”
กิมหงวนพูดโพล่ง
“เอายังงี้ดีกว่าลุง ฉันบุกไปยิงเสือล้อมส่งมันไปลงนรกเสีย เราจะได้ต้อนวัวผ่านวังกระทิงโดยไม่
ต้องเสียค่าภาษีเถื่อน ใช้อำ นาจบาตรใหญ่อย่างนี้มันต้องฆ่ากัน เสือล้อมไม่มีอำ นาจอะไรที่จะมาเรียกเก็บภาษีค่าผ่านทาง ฉันแสดงเองลุง ฉัน…เสือมั่น เอ่ยชื่อฉันคนที่สุพรรณส่ายหน้าไปตามกัน”
“แปลว่าไม่รู้จักเอ็ง……” ลุงนิ่มพูดยิ้ม ๆ
อาเสี่ยทำ คอย่นแล้วหันมาบ่นพึมพำ กับนิกร
“พูดขัดคอกันแบบนี้ถ้าลุงนิ่มยังหนุ่ม ๆ อยู่กันยิงทิ้งไปนานแล้ว พับผ่า”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวถามชายชราเจ้าของวัวอย่างเป็นงานเป็นการ
“เสือล้อมคนนี้รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง แล้วก็ฝีไม้ลายมือแน่หรือน้องชาย”
“เสือล้อมเรอะ รูปร่างสูงใหญ่และอ้วน แต่งตัวสกปรกไว้หนวดเครา เสียงดังฟังชัดหน้าตา
เหมือน…อ้า..เหมือนเฟอรนันโด ตันโจนั่นแหละ”
นิกรหัวเราะก้าก
“ก๊อสนุกน่ะซีลุง อ้ายล้อมเจอกับสี่สมิงริงโก้ เรื่องมันก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เสือล้อมยิงปืนแม่นหรือลุง”
“โอ้โฮ อย่าบอกใครเลยโว้ยเสือเดช มันยิงแม่นยังกะจับวาง นักแม่นปืนเอเชียนเกมส์หรือโอลิมปิคน่ะทาบเสือล้อมไม่ติดหรอกหลานชาย ยุงกัดแขนซ้ายของมัน มันชักปืนในซองปืนขวาออกมายิงโป้งเดียวถูกยุงชักดิ้นชักงอตาย พูดเหมือนโกหกว่ะ มันอยากกินมะขามหรือผลไม้ป่าที่อยู่บนต้นมันใช้ปืนยิงหล่นลงมา เสือล้อมคนนี้เป็นเสือปืนเร็วที่ยิงปืนแม่นที่สุด และชักปืนไวที่สุด”
นิกรว่า “แต่ยังช้ากว่าฉันนะลุง ลุงเคยเห็นแสงฟ้าแลบหรือเปล่า”
“ทำ ไมข้าจะไม่เคย”
“นั่นแหละฉันชักปืนได้เร็วขนาดนั้น”
“อือ ไม่เลวโว้ยอ้ายหลานชาย แล้วปืนยาวล่ะ….”
นิกรอมยิ้มแก้มตุ่ยดึงปืนยาวในซองปืนข้างอานม้าออกมาเลื่อนลูกขึ้นลำ แล้วกล่าวกับลุงนิ่ม
“พูดแล้วลุงจะว่าคุย ปืนยาวฉันยิงเป้าหมายในระยะ ๕๐๐ เมตรลงมาไม่เคยผิด ลุงคอยดูนะ ฉันจะยิงวัวของลุงสักตัวหนึ่ง มันอยู่ไกลจากเราประมาณ ๕๐๐ เมตร ถ้ายิงผิดลุงด่าฉันเลย”
“เฮ้ย ๆ ๆ” ลุงนิ่มเอ็ดตะโรลั่น “ไม่ต้องโว้ยอ้ายหลานชาย มันเรื่องอะไรจะมายิงวัวข้า”
นิกรสอดปืนไรเฟิลไว้ในซองปืนตามเดิม ศาสตราจารย์ดิเรกกล่าวกับชายชราว่า
“นี่มันก็เย็นมากแล้วลุง พวกเราจะเข้าไปในหมู่บ้านวังกระทิงกันละ เพื่อไปเจรจากับเสือล้อมเกี่ยวกับค่าผ่านทางตามที่ลุงสั่งและเราจะแวะหาเหล้าหาข้าวปลากินกันด้วย ก่อนพลบคํ่าเราจะกลับมาหาลุง ส่งข่าวให้ลุงทราบ”
“ดีมากหลานชาย อ้า – ขอโทษเถอนะ เอ็งน่ะใส่แว่นสายตาสั้นเอ็งเป็นเสือได้อย่างไร”
นายพลดิเรกหัวเราะหึ ๆ
“ก็จะแปลกอะไรล่ะลุง ใส่แว่นอย่างนี้ฉันมองชัด คนเราสำ คัญที่ใจ สายตาสั้น ถ้าใจเด็ดสู้ตายมันก็แน่เหมือนกัน หรือยังไงลุง ดูแต่เสืออู๊ดพ่อตาฉันซีลุง ถึงแก่ปูนนี้แล้วก็เป็นเสือเฒ่าที่มีเขี้ยวเล็บอันแหลมคมเป็นกำ ลังสำ คัญของพวกเรา”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“เห็นอ้วนเตี้ยพุงพลุ้ยยังงี้ไวยิ่งกว่าจิ้งเหลนเสียอีก ชักปืนเร็วจนมองดูไม่ทัน สังหารมือปืนมาตั้ง
ล้านคนแล้ว”
ท่านเจ้าคุณหันมาทำ ตาเขียว
“เดี๋ยวฉันก็ยิงแกเท่านั้น”
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วสนทนากับลุงนิ่ม สักครู่ก็พากันควบขับม้าวิ่งผ่านทุ่งหญ้าตรงไปยังหมู่บ้านวังกระทิงหรือแดนดาวร้าย ชายชราค่อยสบายใจขึ้นและเชื่อว่าสี่สหายเป็นดาวโจรที่หลบหนีตำรวจมาเรื่องเคาบอยก็ต้องมีเมืองเล็ก ๆ เป็นธรรมดา เมืองโจรในวังกระทิงนี้ก็คล้าย ๆ กับเมืองเคาบอยในหนัง มีถนนสายใหญ่หนึ่งสายเป็นถนนดิน มีซอยแยกหลายซอย สองฝั่งฟากถนนใหญ่มีร้านค้า มีภัตตาคารซึ่งเป็นทั้งบาร์และโรงแรม บ่อนการพนัน วังกระทิงอยู่ห่างไกลจากเส้นทางการคมนาคมมาก จึงเป็นชุมทางของพวกดาวโจรและพวกทุจริตมิจฉาชีพ หมู่บ้านหรือเมืองเล็ก ๆ นี้ มีประชาชนชายหญิงประมาณ ๕๐๐ คน ซึ่งส่วนมากพวกชายฉกรรจ์มักจะเป็นพลพรรคก่อการร้ายในบังคับบัญชาของเสือล้อมผู้มีอิทธิพลใหญ่ยิ่ง เสือล้อมได้รับคำ สั่งให้มาสะสมกำ ลังคนและอาวุธอยู่ที่วังกระทิง และทำ หน้าที่อบรมฝึก
อาวุธให้พลพรรคด้วยม้าเทศทั้ง ๖ ตัววิ่งสะบัดย่างผ่านหมู่บ้านเข้ามาแล้ว ผู้คนพากันมองดูคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วด้วยความสนใจในฐานะที่เป็นคนแปลกหน้า แต่การแต่งกายแบบเคาบอยบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ตำ รวจ หลายคนเชื่อว่าคงเป็นพวกอาชญากรที่หลบหนีเจ้าพนักงานกาญจนบุรีหรือสุพรรณบุรีลุงนิ่มบอกว่าเสือล้อมสิงห์ปืนทองหรือเจ้าพ่อวังกระทิง มักจะป้วนเปี้ยนอยู่ที่ภัตตาคาร “วังกระทิง” ตลอดเวลา เพราะเสือล้อมเป็นเจ้าของภัตตาคารที่กล่าวนี้เป็นเรือนโรงสองชั้นขนาดใหญ่กว้างขวางมาก ชั้นบนเป็นโรงแรมมีห้องพักรวม ๑๐ ห้องและไม่ใคร่ว่าง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีห้องส้วมห้องนํ้าซึ่งผู้มาพักจะต้องช่วยตัวเองในเรื่องนี้ ชั้นล่างเป็นบ่อนการพนัน มีบาร์ขายเหล้า มีโต๊ะรับประทานอาหารตั้งอยู่เรียงราย เหล้าที่นี่โดยมากเป็นเหล้าเถื่อนที่คนของเสือล้อมต้มกลั่นขึ้นเอง ส่วนอาหารโดยมากเป็นอาหารพื้นเมืองแบบง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม “วังกระทิง” มีบุหรี่และกาแฟตลอดจนเครื่องดื่มร้อนจำ หน่ายทุกชนิด ในราคาที่ค่อนข้างเอาเปรียบแต่เป็นกันเองกับลูกค้า การพนันมีถั่ว จับยี่กี ไพ่ป๊อกและโฮโลว์ เล่นกันโดยเสรีมีการไชโยโห่ร้องโดยไม่ต้องกลัวว่าตำ รวจจะบุกมาจับ วังกระทิงเมืองโจรมีเสือล้อมเป็นผู้มีอิทธิพลใหญ่ยิ่ง บรรดานักเผชิญโชคหรือนักการพนันที่ไม่ได้เป็นสมุนของเสือล้อมก็ต้องคุ้มรักษาตัวเอง ใครชักปืนได้เร็วกว่าและยิงได้ก่อนคนนั้นก็มีชีวิตอยู่ได้ มีการฆ่ากันตายทุกวันวันละห้าหกศพ บรรดาลูกน้องของเสือล้อมมักจะข่มเหงรังแกพวกนักเผชิญโชคทั้งหลาย แต่ถ้าใครยอมเข้าเป็นพลพรรคก่อการร้ายคนนั้นก็อยู่ที่วังกระทิงได้โดยปลอดภัย
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วต่างบังคับม้าคู่ขาของตนหยุดที่หน้าภัตตาคาร “วังกระทิง” ทุกคนก้าวลงจากม้าโดยไม่สนใจกับพวกเคาบอยที่พากันมองดูอยู่ นิกรกับเจ้าแห้วเดินขาถ่างถือสายบังเหียนม้า พาม้าไปผูกที่เสาหน้าภัตตาคาร เจ้าคุณปัจจนึก ฯ มองดูเขยเล็กของท่านแล้วหัวเราะชอบใจกล่าวกับพลว่า
“แกดูอ้ายกรซิวะพล ก้นมันแตกเพราะขี่ม้ามาสองวัน ทำ ให้มันเดินขาถ่างเหมือนขี้คาตูด อ้ายแห้วก็เหมือนกัน”
“คุณอาไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรือครับ” พลถามยิ้ม ๆ
“ไม่ถึงกับก้นแตกหรอก แต่ก็ปวดเมื่อยเอวเหมือกัน แกล่ะ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ทุกคนต่างนำ ม้าไปผูกที่เสาผูกม้าหน้าภัตตาคาร เจ้าแห้วยกมือทั้งสองลูบคลำ ก้น และร้องครางเบา ๆ พลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า เสี่ยหงวนกวักมือเจ้าหนุ่มหน้าเสี้ยมแต่งกายสกปรกคนหนึ่งมาพบกับเขาแล้วกล่าวว่า
“น้องชาย แกช่วยเฝ้าม้าให้เราหน่อยได้ไหม แล้วกันจะจ่ายค่าป่วยการให้อย่างงามทีเดียว”
เจ้าหนุ่มหน้าเสี้ยมยิ้มละไม
“ได้ครับ แต่ม้าหายไม่รับรองนะครับ”
อาเสี่ยกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“ถ้ายังงั้นจะมีประโยชน์อะไรวะ ลื้อรับเฝ้าให้เราก็ต้องรับผิดชอบซี ถ้าหากมีใครมาขโมยเอาม้าเราไป”
เด็กหนุ่มฝืนหัวเราะ
“ผมไม่มีปืนนะครับพี่ ถ้าคนที่มันจะขโมยม้าของพี่มันมีปืนมีพรรคพวก ผมจะต่อสู้หรือขัดขวางมันได้อย่างไร แต่ว่าที่วังกระทิงไม่ใคร่มีใครขโมยม้ากันหรอกครับ”
เสี่ยหงวนพยักหน้ารับทราบ
“เอาละ แกเฝ้าม้าของเราก็แล้วกัน ถ้ามีใครมาขโมยม้าของเรา แกก็วิ่งไปบอกเราในบาร์ เราจะ
ออกมาจัดการกับมันเอง”
“ถ้ายังงี้ตกลงครับ”
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วต่างพากันขึ้นบันไดสองขั้นเดินเข้าไปในภัตตาคาร
“วังกระทิง” บรรดาพวกเคาบอยซึ่งนั่งหรือยืนอยู่ที่เคาร์เต้อรได้พากันมองดูเป็นตาเดียว แล้วเจ้าหนุ่มปากเปราะคนหนึ่งก็กล่าวกับเพื่อน ๆ อย่างขบขัน
“เฮ้ย อ้ายสองคนข้างหลังถ้าพึ่งจะหนีมาจากคุกโว้ย เดินขาถ่างเพราะถูกใส่ตรวนจนเคย”
ทั้งหกคนหยุดชะงักและหันไปมองดูพวกดาวร้ายไม่ตํ่ากว่า ๑๐ คน บางคนนั่งบนแป้นกลมหน้า
เคาน์เต้อร บางคนก็ยืนหันหลังให้ แต่ละคนหน้าตาเหี้ยมไม่มีหวังที่จะได้เป็นพระเอกหนังไทย ถ้ามีคนจ้างแสดงเป็นตัวผู้ร้ายก็ผู้ร้ายชั้นลูกจ๊อก เจ้าหนุ่มปากเปราะยักคิ้วให้นิกรแล้วพูดกระเซ้าต่อไป
“ไง – เพื่อน พึ่งหนีจากคุกใช่ไหมถึงได้เดินขาถ่างเหมือนติดตรวน”
นิกรยิ้มแสยะหันมาพยักหน้าให้เจ้าแห้ว
“จัดการเลยอ้ายแห้ว”
“รับประทานจัดการอย่างไรล่ะครับ”
“กระแทกหน้ามันสักทีเพื่อสั่งสอนมัน”
“อย่าเลยครับ รับประทานคุณแสดงเองดีกว่า มันสูงใหญ่กว่าผมและใหญ่กว่าผม เอาไว้ให้คุณมี
เรื่องกับคนแก่ผมแสดงเอง”
นิกรทำ ตาเขียวเข้าใส่
“ถุย – อ้ายขี้ขลาด”
“นั่นน่ะซีครับ รับประทานคุณลองแสดงให้ผมหน่อยซิครับ”
นิกรยิ้มแห้ง ๆ
“อย่าเลยวะ โบราณว่าแพ้เป็นพระชนะเป็นมาร เอาไม้สั้นไปรันขี้เหม็นเปล่า ๆ คบคนพาลพาลพา
ไปหาผิด คบบัณฑิตคิดพาไปหาผล เกิดเป็นชายถ้ารู้ไม่สู้คน ชีวิตตนจะรอดตลอดไป”
พวกเคาบอยหัวเราะครืน เจ้าหนุ่มปากเปราะแหกปากหัวเราะดังกว่าเพื่อน มันกล่าวกับเพื่อน ๆ ของมันว่า
“นักกวีซะด้วย สงสัยว่าจะเป็นเหลนของท่านสุนทรภู่ว่ะ”
เสี่ยหงวนทนฟังไม่ไหว ก็ถอดแว่นตาขอบกระออกพับเก็บใส่กระเป๋า แล้วเดินเข้าไปหาดอ้ายหนุ่มปากเปราะคนนั้น ซึ่งมีรูปร่างสูงชะลูดพอ ๆ กับเขา อาเสี่ยหยุดยืนเผชิญหน้าในระยะใกล้ชิด
“ที่กระเซ้าพวกเราหมายความว่ากระไรน้องชาย”
เจ้าหมอนั่นยิ้มแค่น ๆ
“ได้ทั้งนั้น ชักปืนออกมาซีเพื่อน”
“อ๋อ กันชักออกมาแกก็เน่า แกชักก่อนซี กันให้แกชักปืนก่อนและยิงกันก่อน ไม่แน่จริงไม่บุกมา
วังกระทิงหรอกเพื่อน” แล้วเสี่ยหงวนก็ถอยออกห่างเจ้าหนุ่มปากเปราะ ยืนตั้งท่าเตรียมพร้อม
เสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นดัง ๆ
“เอามันอ้ายยอด หรือจะยอมให้มันลบเหลี่ยมเสือยอด”
เสือยอดเจ้าหนุ่มปากเปราะทำ มือขยุกขยิก พรรคพวกของมันต่างเลี่ยงออกห่างเคาร์เต้อรเพราะกลัวจะถูกลูกหลง คนขายเหล้าที่อยู่หลังเคาร์เต้อรต้องรีบทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ อาศัยเคาร์เต้อรกำ บังตัวพอเจ้ายอดคว้าด้ามปืนพกในซองปืนข้างขวา อาเสี่ยก็กระชากปืนพกข้างขวาออกมาได้ก่อนและยกขึ้นจ้องเสือยอด
“อย่า…อ้ายน้องชาย วันนี้ตรงกับวันธรรมสวนะ กันไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรอก ม่ายยังงั้นแก
เน่าแล้ว เห็นหรือยังล่ะว่ากันไวกว่าแกมาก” พูดจบเสี่ยหงวนก็สอดปืนพกใส่ไว้ในซองปืนตามเดิมเสือยอดยิ้มแค่น ๆ เดินรี่เข้ามาหากิมหงวน
“ถ้ายังงั้นมึงชกกับกูตัวต่อตัว”
อาเสี่ยหัวเราะ
“ก๊อดีน่ะซีกันจะได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง นั่งม้ามาสองวันเมื่อยเหลือเกิน”
ยอดปรี่เข้าชกอาเสี่ยด้วยหมัดสวิงขวาเต็มเหนี่ยวแล้วตามด้วยหมัดซ้ายขวาติด ๆ กันหลายครั้ง เสี่ยหงวนยกแขนขึ้นป้องปัดหมัดของเสือยอดไว้ได้ และแล้วอัปเป้อรคัตของอาเสี่ยก็กระแทกถูกลิ้นปี่ของเสือยอดค่อนข้างแรง ทำ ให้เจ้าหนุ่มปากเปราะตัวโก่งหน้าเหยเกเพราะความจุกแน่น อาเสี่ยยกสันมือขวาฟันคอคู่ต่อสู้อีกทีหนึ่ง เท่านั้นเองเสือยอดก็ล้มลงนั่งคุกเข่ายกมือเกาะเสาต้นหนึ่งใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ
“มวยหมู่โว้ยพวกเรา”
บรรดาดาวร้ายรวม ๑๒ คนต่างเฮโลเข้ามาล้อมกรอบเล่นงานเสี่ยหงวน พล นิกร นายพลดิเรก เจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วเข้าตะลุมบอนกับพวกเดนมนุษย์ซึ่งเป็นสมุนของสิงห์ปืนทองทันที
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ชกอ้ายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งด้วยหมัดเหวี่ยงแหข้างขวา แต่เจ้าหมอนั่นก้มศีรษะหลบ หมัดสวิงขวาของท่านเจ้าคุณจึงข้ามศีรษะมันถูกใบหน้าซีกซ้ายของเจ้าแห้วอย่างถนัดใจ ทำ ให้เจ้าแห้วถลาร่อนไปปะทะเคาร์เต้อร นายพลดิเรกถูกหมัดของพวกดาวร้ายถึงกับผงะหน้า แว่นตาหลุดกระเด็นไปคราวนี้ศาสตราจารย์ดิเรกชกซ้ายป่ายขวาอุตลุด ถึงแม้ว่าเขาจะตัวเล็กและบอบบาง หมัดตรงขวาของศาสตราจารย์ดิเรกก็ทำ ให้อ้ายเคราดกวัยกลางคนผงะหงายล้มลงแบบถอนรากถอนโคน นิกรก้มลงหยิบแว่นตาวิ่งมาส่งให้นายพลดิเรก
“เฮ้ย ใส่แว่นเสียโว้ยหมอ”
มวยหมู่เป็นไปอย่างดุเดือด อีกครั้งหนึ่งที่พลได้แสดงชั้นเชิงมวยนอกเวทีชกพวกดาวโจรล้มลุก
คลุกคลานไปหลายคน แต่แล้วเขาก็ถูกเตะก้านคอเซไปปะทะโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่ง บรรดานักพนันและนักเลงเหล้าต่างลุกขึ้นวิ่งเข้ามายืนรวมกลุ่มมองดูศึกตะลุมบอนระหว่าง ๖ คนต่อ ๑๒ คน
เสี่ยหงวนใช้วิชาคาราเต้ฟันคอต่อเจ้าหนุ่มอีกคนหนึ่งล้มลงไป นิกรเตะซํ้าถูกกระโดงคางพอดี นิกรสามารถหลบหลีกหลอกล่อไปมาและพอได้โอกาสก็ชกหรือเตะพวกดาวร้ายคนหนึ่ง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ แก่แล้วจึงสู้แบบถอยฉะ เจ้าแห้วยืนหันหลังพิง ศาสตราจารย์ดิเรกและขบขี้ยวเคี้ยวฟันหลับหูหลับตาชกและเตะพวกดาวร้ายที่บุกเข้ามาหาเขาเจ้าหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งกระโจนขึ้นขี่หลังเจ้าคุณปัจจนึก ฯ อย่างคึกคะนอง แต่ท่านเจ้าคุณแกล้งล้มตัวหงายหลังทับมันเต็มที่ ทำ ให้สิงห์หนุ่มศีรษะฟาดพื้นกระดานและถูกทับสิ้นสติไป พลวิ่งเข้ามาประคองเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ลุกขึ้น ชายร่างใหญ่คนหนึ่งปราดเข้าเตะพลด้วยเท้าขวา พลยกแขนขึ้นกันไว้และชกสวนด้วยหมัดขวาถูกปลายคางอย่างจัง สมุนของเสือล้อมผงะหงายลงนอนเหยียดยาวทันใดนั้นเสียงปืนพกก็ดังขึ้นสองนัดติด ๆ กัน
“ปัง ปัง”
การต่อสู้แบบมวยหมู่ยุติลงทันที พวกดาวร้าย และคณะพรรคสี่สหายต่างมองไปทางประตูหน้า
ภัตตาคาร ทุกคนแลเห็นชายกลางคนเจ้าของร่างอ้วนใหญ่และค่อนข้างสูงยืนเด่นอยู่กลางห้อง ชายผู้นี้แต่งกายแบบเคาบอย เสื้อกางเกงสกปรกยับยู่ยี่ คาดเข็มขัดปืนพกแบบมือปืน ใบหน้าของเขาเหี้ยมมีหนวดเครารุงรัง เขาคือเสือล้อมนั่นเองด้ามปืนพกที่สุกปลั่งบอกให้คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วรู้ดีว่าเขาคือเสือล้อมหรือเจ้าพ่อวังกระทิงนี้ เสือล้อมควงปืนพกแบบรีวอลเว่อร ๙ มม. เดินยิ้มแสยะตรงเข้ามาสมุนของเขา
“มีอะไรเกิดขึ้นล่ะถึงได้ฟาดปากกับพวกเสือต่างถิ่นห้าหกคนนี่”
เจ้ายอดหรือเสือยอดมองดูเจ้าถิ่นอย่างเกรงกลัว
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ พวกเราเขม่นมันก็เลยลองกำ ลังเอาเหงื่อกันเล่น”
เจ้าพ่อวังกระทิงมองดูสมุนของเขาทีละคน แล้วหันไปมองดูคณะพรรคสี่สหายเสียก่อน จึงกล่าวกับเสือยอด
“พวกแก ๑๒ คน พวกเขา ๖ คนมันก็ออกจะเอาเปรียบเขาไปหน่อย” พูดจบเขาก็เลื่อนตัวเข้ามายืนเผชิญหน้ากับคณะพรรคสี่สหาย “เป็นยังไงบ้างเพื่อน เสียใจด้วยนะที่เด็ก ๆ ของกันต้อนรับพวกแกรุนแรงไปหน่อย”
พลยิ้มให้
“ไม่เป็นไรเสือล้อม”
“เอ๊ะ แกรู้จักกันด้วยหรือ”
“กันเคยได้ยินชื่อเสียงของแกมานานแล้ว เมื่อได้เห็นรูปร่างอันสง่างามและท่าทางองดาจผึ่งผายของแกก็แน่ใจว่าแกคือเสือล้อม”
ถูกลูกยอของพลเจ้าพ่อวังกระทิงก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ถูกละเพื่อน กันคือเสือล้อมหรือเจ้าพ่อวังกระทิง”
นิกรถือวิสาสะเอื้อมมือจับปืนพกในซองปืนข้างขวาของเสือล้อมออกมาพิจารณาดู
“เฮ้ย” สิงห์ปืนทองร้องลั่นตะครุบปืนตามเดิม “ถือวิสาสะอย่างนี้ไม่ดีโว้ย ปืนอยู่ในซองปืนของกันเสือกชักออกมาได้”
นิกรยิ้มให้
“กันอยากเห็นปืนด้ามทองของแกให้เป็นบุญตาสักหน่อย เขาลือกันว่าเสือล้อมใช้ปืนพกด้ามทองจนมีฉายาว่าสิงห์ปืนทอง ขอให้กันดูหน่อยซีเพื่อน”
เสือล้อมดึงปืนพกกระบอกข้างขวาออกมาส่งให้นิกร
“เอ้า…ดูเสียให้เต็มตา”
นิกรมองดูด้ามปืนพกของเสือล้อมซึ่งหุ้มด้วยแผ่นทองแกะสลักลวดลายสวยงามมาก และแล้วนิกรก็ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบขวดเล็ก ๆ ออกมาขวดหนึ่ง เปิดจุกขวดออกเอาไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ในขวดคนนํ้าในขวดแล้วดึงออกมาทาลงที่โลหะสีทองที่ด้ามปืน
“แกทำ อะไร” เสือล้อมถาม
นิกรยิ้มให้
“เอานํ้ากรดกัดทองพิสูจน์เพื่อให้รู้แน่ว่าทองจริง ๆ หรือทองชุบ นั่งยังไง ควันขึ้นแล้วเห็นเนื้อ
ทองแดงอยู่ข้างในแหง ๆ” แล้วนิกรก็โยนขวดนํ้ากรดกัดทองทิ้งไปส่งปืนทองคืนให้เจ้าพ่อวังกระทิง “นึกว่าทองจริง ๆ กลายเป็นทองชุบ”
แทนที่จะโกรธเสือล้อมกลับหัวเราะ
“คนอย่างกันจะเอาทองจริง ๆ มาหุ้มด้ามปืนได้อย่างไรวะ เพียงแค่ทองชุบก็เสียเงินไปไม่น้อย ค่าจ้างเขาทำ อ้า…พวกแกไปยังไงมายังไงกัน เดินทางมาจากเมืองกาญจน์หรืออย่างไร”
พลยิ้มให้เจ้าถิ่น
“ใช่ เราทั้งหกคนนี่เป็นลูกจ้างต้อนวัวของลุงนิ่มเจ้าของวัวที่แกส่งลูกน้องไปพบเมื่อวานนี้ เรียกค่าผ่านทางตัวละ ๕๐ บาทรวด”
“อ้อ ยังงั้นเรอะ นั่งซีเพื่อน เชิญไปนั่งคุยกันที่โต๊ะดีกว่า” แล้วเสือล้อมก็ร้องบอกเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“เฮ้ย เอาเหล้าและกับแกล้มมาเลี้ยงพวกต้อนวัวเขาหน่อยซีโว้ย”
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต่างนั่งรวมโต๊ะกับเจ้าถิ่นทางด้านซ้ายของ
ภัตตาคารพวกนักพนันและนักเลงเหล้าย่อย ๆ กันกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนตามเดิม
เสือล้อมพูดกระโชกโฮกฮากไม่น่าฟัง แต่เขาก็ยิ้มและหัวเราะตลอดเวลา เขาได้ไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามของคณะพรรคสี่สหาย ซึ่งพลก็โกหกแบบหน้าตายว่าเขาชื่อฤทธิ์ นิกรชื่อเดช เสี่ยหงวนชื่อมั่นศาสตราจารย์ดิเรกชื่อคง ท่านเจ้าคุณชื่ออู๊ดและเจ้าแห้วชื่อแห้ว พลโกหกว่าเขากับพรรคพวกเป็นนักเผชิญโชคชอบท่องเที่ยวไปทั่วทุกหัวระแหง นอกจากนี้ก็ยังเป็นนักสู้และนักเผชิญภัยสายตาของเจ้าพ่อวังกระทิงที่มองดูคณะพรรคสี่สหายนั้นแสดงความพอใจ
“พวกแกทั้งสี่คนเคยเป็นทหารมาบ้างหรือเปล่า” เสือล้อมถามพลางรินเหล้าเถื่อนแจกจ่ายให้ทั่วหน้ากัน
อาเสี่ยตอบแทนพล
“กันเป็นร้อยโททหารกองหนุนมีเบี้ยหวัด”
“ร้อยโทเชียวเรอะมั่น”
“ใช่” อาเสี่ยตอบเสียหนักแน่น “แต่กันถูกปลดออกจากราชการมาในราว ๑๐ ปีแล้ว กันเป็นนายสิบเลื่อนขึ้นมาเป็นนายทหารสัญญาบัตร”
นิกรว่า “กันเคยเป็นสิบเอกมาแล้ว”
“งั้นเรอะ ถ้ายังงั้นแกสองคนก็คงมีความรู้ในเรื่องอาวุธและการฝึกทหารอยู่บ้าง”
เสี่ยหงวนหัวเราะเบา ๆ
“เรื้อเต็มทน แต่ก็ยังพอยิงปืนได้ ทั้งปืนพก ปืนเล็กยาว ปืนยิงเร็วและปืนกลหนักเบา”
เสือล้อมหันมาถามพลบ้าง
“แกเคยเป็นทหารหรือเปล่า”
พลสั่นศีรษะ
“ไม่เคยเป็นหรอกเพื่อน”
นายพลดิเรกพูดเสริมขึ้น”
“กันก็ไม่เคยเป็น สายตากันสั้นทหารเขาไม่เอา แต่กันกับฤทธิ์เคยทำ งานเป็นข้าราชการมาแล้ว”
เจ้าพ่อวังกระทิงพยักหน้ารับทราบ
“เคยทำ ที่ไหน”
“กรมสรรพาวุธทหารบกแผนกซ่อมปืน”
“หา แกซ่อมปืนได้หรือนี่” เสือล้อมถามศาสตราจารย์ดิเรกเร็วปรื๋อ
“ได้ กันกับฤทธิ์ซ่อมปืนได้ทุกชนิดเว้นแต่ปืนใหญ่ เราสองคนถูกไล่ออกจากงานเพราะเราขโมยปืนพกของหลวงเอาออกมาขายนอกกรม ตอนหลังเขาจับได้เขาก็ไล่เราออกจากงาน”
เสือล้อมหันมองดูหน้าเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
“ลุงเคยเป็นทหารหรือเปล่า”
“เคยโว้ย”
“เป็นทหารอะไรลุง”
“ทหารแตร”
เสือล้อมลืมตาโพลง
“ลุงยังเป่าแตรได้ไหม”
“ทำ ไมจะไม่ได้ เคยเป่ามาแล้ว ข้าเป็นทหารแตรอยู่กรมทหารรักษาวัง สมัยก่อนรุ่นเดียวกันใคร ๆ ก็ต้องยอมรับว่าข้าเป่าแตรได้เด็ดขาด”
นิกรพูดเสริมขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
“เคยเห็นแต่เป่าปี่ขายลูกกาน้า”
เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที เสือล้อมรู้สึกพอใจคณะสี่สหายอย่างยิ่ง เพราะทุกคนหน่วยก้านท่าทาง
เฉลียวฉลาดกว่าพลพรรคของเขา และเสี่ยหงวนกับนิกรบอกว่าเคยเป็นทหารมาแล้ว
“พวกแกทั้งหกคนมาร่วมงานกับกันเถอะ กันจะจ่ายเงินให้คนละพันบาท ส่วนงานก็ไม่ใช่งานหนักหนาอะไรแต่อนาคตใสมาก หากผลงานของเราเป็นไปอย่างราบรื่น สำ หรับวัวที่แกคุมมาขอให้แกกลับไปบอกเจ้าของเขาว่า กันอนุญาตให้ต้อนวัวผ่านวังกระทิงไปพม่าได้ ซึ่งกันจะงดเว้นค่าผ่านทางให้เพราะกันพอใจพวกแกนั่นเอง”
นายพลดิเรกยิ้มให้สิงห์ปืนทอง
“บอกให้เรารู้ก่อนซีว่าจะให้เราทำ งานอะไร”
“เป็นพลพรรคของขบวนการกู้ชาติไทย”
นิกรหัวเราะ
“ก็ไทยเราเป็นชาติเอกราช มีรัฐบาลของพระเจ้าอยู่หัวบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ได้เป็นเมืองขึ้น
ของใครนี่นะเสือล้อม จะกู้ชาติหาตวักตะบวยอะไรกันอีก นี่แกกำ ลังชักชวนพวกเราให้เป็นผู้ก่อการร้ายเหมือนอย่างพวกอีสานหรือทางภาคใต้ที่รัฐบาลกำ ลังกวาดล้างอยู่ใช่ไหมล่ะ”
สิงห์ปืนทองพูดตัดบท
“เอาเถอะน่า พวกแกร่วมงานกับกันก็แล้วกัน กันจะจ่ายเงินให้คนละพัน มีที่อยู่มีอาหารกินพร้อม”
นิกรทำ หน้าเบ้
“เห็นจะไม่เอาแน่เสือล้อม ถ้าตำ รวจหรือทหารบุกมาเราก็ถูกยิงตายเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่
หร็อมแหร็ม เราจะสู้กับตำ รวจหรือทหารได้หรือ”
เจ้าพ่อวังกระทิงตกหลุมพรางของนิกรแล้ว
“แกไม่รู้หรอกว่าขณะนี้กันมีพลพรรคอยู่ในบังคับบัญชาของกัน ๑๙๒ คนแล้ว กันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกองประจำ จังหวัดกาญจนบุรี เรามีคลังแสงอยู่ที่ชายป่าหลังหมู่บ้าน มีปืนยิงเร็วอยู่เกือบ ๕๐๐ กระบอก ปืนพกและปืนเล็กยาวอีกมากมาย พร้อมด้วยระเบิดมือและดินระเบิดสำ หรับทำ ลายอาคารบ้านเรือน สะพานข้ามคลองตลอดจนทางรถไฟและอื่น ๆ ได้ทั้งนั้น ถ้าทหารหรือตำ รวจจะปราบเราได้ก็ต้องยก
มานับพัน เพียงทหารหรือตำ รวจหมวดเดียวหรือกองร้อยเดียว มาถึงวังกระทิงก็จะถูกพวกเรายิงตายหมดเพราะเรามีอาวุธที่ทันสมัยและเจนจัดในภูมิประเทศมากกว่า การราบแบบกองโจรที่เรียกว่าสงครามนอก
แบบเราก็ฝึกกันอยู่เสมอ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พูดเสริมขึ้น
“เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะเสือล้อม ถ้าเราร่วมงานกับแกความผิดของเราถ้าไม่ติดคุกตลอดชีวิตก็จะถูกยิงเป้าในฐานกบฏต่อรัฐบาล หรือพยายามทำ ลายประเทศชาติของเรา ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าแกมีอาวุธยุทธภัณฑ์สะสมไว้มากมายดังที่แกพูด พาเราไปดูคลังแสงของแกหน่อยได้ไหมล่ะ ถ้าแกมีอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้มากมาย เราก็พร้อมที่จะร่วมงานกับแกซึ่งเราต้องการเงินมากกว่าอย่างอื่น”
เสือล้อมยิ้มแป้น
“ตกลงลุง ข้าจะพาลุงกับลูกหลานของลุงไปชมคลังแสงของข้าที่ชายป่าเดี๋ยวนี้ รีบไปเถอะนี่มัน
เกือบจะพลบคํ่าอยู่แล้ว”
ทุกคนต่างลุกขึ้น เสือล้อมพาคณะสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วเดินออกไปจากภัตตาคาร
“วังกระทิง” ท่ามกลางสายตาพวกดาวร้ายทั้งหลาย ซึ่งกำ ลังคิดว่าคณะพรรคสี่สหายถูกเกลี้ยกล่อมเป้นพลพรรคก่อการร้ายแล้ว
ด้านตะวันตกของเมืองโจร เสือล้อมได้นำ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วผ่านที่ราบและละเมาะตรงมายังชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นป่าไม้เบญจพรรณปนกับป่าไผ่
เรือนโรงชั้นเดียวมุงแฝกขนาดกลางหลังนั้นมียามรักษาการณ์หลายคน คือพลพรรคของเสือล้อมนั่นเอง พวกยามมีปืนยิงเร็วเป็นอาวุธ นอกจากยืนยามประจำ จุดต่าง ๆ สี่คนรอบเรือนหลังนั้นแล้วยังมียามอีก ๒ คนเดินสวนกันตลอดเวลาสิงห์ปืนทองพาคณะพรรคสี่สหายกับท่านเจ้าคุณและเจ้าแห้วหยุดยืนรวมกลุ่มห่างจากคลังประมาณ ๒๕ เมตร หัวหน้ายามวิ่งเข้ามาหาเสือล้อมและรายงานให้ทราบว่าเหตุการณ์ปรกติเสือล้อมโบกมือไล่หัวหน้ายามให้กลับไป แล้วอวดกับสี่สหาย
“นี่ไงคลังแสงของเรา อีกสองเดือนข้างหน้าเราจะได้รับอาวุธใหม่ ๆ มาเพิ่มเติมอีกมาก เราจะมี
เครื่องพ่นไฟ ระเบิดบก ปืนกลหนักเบาและกระทั่งปืนใหญ่ภูเขา จะเข้าไปดูข้างในไหมล่ะ”
พลยิ้มให้เจ้าพ่อวังกระทิง
“ไม่ต้องหรอกเสือล้อม ฝามันโปร่งเรายืนอยู่แค่นี้เราก็แลเห็นหีบบรรจุกระสุนปืนและดินระเบิดกองอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย พวกเราพร้อมแล้วที่จะเป็นพลพรรคของแก แต่ขอให้เราตกลงข้อปลีกย่อยกันก่อนเกี่ยวกับเงินเดือนของเรา”
“ได้ซีฤทธิ์ แกจะเอายังไงว่ามา”
พลหันมาขยิบตากับนายพลดิเรกเป็นความหมาย แล้วแกล้งชวนเสือล้อมคุยกับเขา ศาสตราจารย์ดิเรกค่อย ๆ ถอยมายืนข้างหลัง พยักเพยิดเรียกเสี่ยหงวนให้ถอยลงมา นายพลดิเรกล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบระเบิดมือลูกหนึ่งส่งให้กิมหงวน ซึ่งระเบิดมือลูกนี้เป็นระเบิดแรงสูง
ระหว่างที่พลสนทนากับเสือล้อม เสี่ยหงวนได้ดึงสลักนิรภัยลูกระเบิดมือออกถือไว้ในมือสามสี่
วินาที แล้วขว้างไปยังเรือนโรงหลังนั้นเต็มแรง อาเสี่ยร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ
“หมอบลงพวกเรา”
ทุกคนแม้กระทั่งเสือล้อมต่างหมอบราบลงกับพื้นดินทันที ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว และแล้วก็เกิดการระเบิดซ้อนติด ๆ กันอีกหลายที กระสุนปืนและวัตถุระเบิดได้ระเบิดติดต่อกันทำ ให้พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน คลังแสงของเสือล้อมพังพินาศสิ้น ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว ยามประจำ คลังแสง ๓ คนต้องเสียชีวิต อีก ๒ คนบาดเจ็บสาหัสหนีไฟออกมาอย่างกระเสือกกระสุนสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วลุกขึ้นมาทีละคน มองดูความพินาศของคลังแสงฝ่ายศัตรูด้วยความพอใจ ส่วนเสือล้อมนอนควํ่าหน้านิ่งเฉย สายตาของเขาที่มองดูคลังแสงนั้นวาวโรจน์ ในที่สุดเขาก็ผลุนผลันลุกขึ้นยืนจังก้ามองดูคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้ว
“หมายความว่าอย่างไร พวกแกเป็นตำ รวจปลอมแปลงมาทำ ลายกันใช่ไหม”
พลเดินออกมาหยุดยืนห่างจากสิงห์ปืนทองราว ๓ เมตร
“เราไม่ใช่ตำ รวจหรอกเพื่อน แต่เราเป็นทหารคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาตร์ของกองทัพไทย ยอมให้เราจับกุมแกเสียโดยดีเถอะเสือล้อม หรือจะให้กันจับตายก็ตามใจ”
เจ้าพ่อวังกระทิงเค้นหัวเราะ
“จับตายเถอะเพื่อน คนอย่างเสือล้อมจะยอมให้จับเป็นก็ผิดวิสัยเสือ” พูดจบเสือล้อมก็กระชากปืนพกในซองปืนข้างขวาออกมาทันทีแต่พลระวังตัวอยู่แล้ว เขาไวกว่าเสือล้อมเล็กน้อย พลยิงสิงห์ปืนทองได้ก่อนที่เสือล้อมจะเหนี่ยวไกยิง
“ปัง”
เสือล้อมสะดุ้งเฮือกสุดตัว ปล่อยปืนทองร่วงหลุดจากมือขมวดคิ้วนิ่วหน้า นิกรยิ้มให้เสือล้อมแล้ว
กล่าวขึ้น
“อย่าลูกไม้โว้ย ไม่ต้องแกล้งทำ ว่าถูกยิง”
เสือล้อมฝืนใจพูดออกมาเป็นประโยคสุดท้าย
“ไม่ได้แกล้ง กันถูกยิงจริง ๆ โอย..” แล้วร่างอันอ้วนใหญ่ของเจ้าพ่อวังกระทิงก็ล้มฮวบลงสิ้นใจตายการระเบิดของคลังแสงและเรือนโรงหลังนั้นถูกเพลิงไหม้ ทำ ให้ต้นไม้ใหญ่น้อยที่ชายป่าเกิดไฟไหม้ลุกลามกว้างขวางออกไปทุกที กำ ลังของตำ รวจภูธรตระเวนชายแดนหนึ่งกองร้อยรุดมาถึงวังกระทิงในเวลา ๑๙.๐๐ น.เศษ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วได้พบกับผู้บังคับกองตำ รวจและแจ้งให้ทราบ ดังนั้นตำ รวจทั้งกองร้อยจึงแยกย้ายกระจายกำ ลังกันจับกุมพลพรรคของพวกก่อการร้ายในหมู่บ้านวังกระทิงเกือบ ๕๐ คน นอกนั้นหนีไปได้รวมทั้งนักการพนันและนักเผชิญโชค พวกอาชญากรทั้งหลายตอนสายวันต่อมาผู้บังคับกองตำ รวจภูธรตระเวนชายแดนได้ออกคำ สั่งให้ตำ รวจในบังคับบัญชาของเขาเผาเมืองโจรหรือหมู่บ้านวังกระทิงนี้เพื่อไม่ให้พวกดาวร้ายได้มาอยู่อาศัยชุมนุมกัน ตำ รวจเคยเผาหมู่บ้านโจรหรือชุมทางโจรในป่าสูงมาหลายครั้งแล้ว แต่พวกโจรก็ช่วยกันสร้างขึ้นอีกการเผาหมู่บ้านวังกระทิงเริ่มต้นในเวลา ๙.๐๐ น. บ้านเล็กเรือนน้อยตกเป็นเหยื่อพระเพลิงไปจนหมดสิ้น ภัตตาคาร “วังกระทิง” เป็นเรือนสองชั้นขนาดใหญ่มั่นคงแข็งแรงมาก กว่าพระเพลิงจะไหม้หมดทั้งหลังก็กินเวลาชั่วโมงเศษในที่สุดเมืองโจรก็เหลือแต่ซากเถ้าถ่านและสิ่งปรักหักพัง ตำ รวจภูธรชายแดนได้พักผ่อนอยู่ทางใต้ของหมู่บ้านและควบคุมพลพรรคผู้ก่อการร้ายไว้อย่างแข็งแรง ผู้บังคับกองตำ รวจ คือ ร.ต.อ.สันทัดได้เลี้ยงอาหารเช้าแก่คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้ว ซึ่งตำ รวจในบังคับบัญชาของเขาสามารถหาไก่ป่ามาทำ อาหารได้หลายตัว และอีเก้งอีกตัวหนึ่งนายพลดิเรกได้เจรจากับ ร.ต.อ.สันทัดเป็นเวลาเกือบชั่วโมง ในกรณีที่ผู้บังคับกองตำ รวจไม่ยอมให้ลุงนิ่มต้อนวัวออกไปนอกเขตไทยไปพม่า แต่หลังจากลุงนิ่มชายชราได้นำ หลักฐานแสดงให้ ร.ต.อ.สันทัดดูจนแน่ใจว่า วัวฝูงนั้นลุงนิ่มมีกรรมสิทธิ์โดยชอบธรรม ไม่ได้ลักขโมยหรือปล้นใครมา ผู้บังคับกองก็อนุญาตให้ลุงนิ่มต้อนวัวไปพม่าได้ ลุงนิ่มได้สมุนใหม่ช่วยต้อนวัว ๕ คน ซึ่งทุกคนเป็นนักเผชิญโชค แต่ไม่ได้เป็นอาชญากรที่หลบหนีคดีมา และไม่ได้เป็นพลพรรคก่อการร้ายซึ่งตำ รวจได้สอบสวนแล้วคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วได้อำ ลาตำ รวจภูธรชายแดนและลุงนิ่มเดินทางกลับกาญจนบุรีในเวลา ๑๓.๐๐ น.
“ลาก่อนนะลุง” พลกล่าวกับชายชราและยื่นมือให้แกจับ
ลุงนิ่มประนมมือไหว้เสียก่อน จึงสัมผัสมือกับพล
“ผมขอบคุณเจ้านายทุก ๆ ท่านครับ ผมนึกแล้วว่าเจ้านายคงไม่ใช่เสือสางอะไรเพราะหน้าตามันไม่ให้ ขอให้ทุกท่านเดินทางไปด้วยความสวัสดีนะครับ”
ทุกคนต่างลาลุงนิ่มและให้พรแกขอให้เดินทางไปพม่าโดยปลอดภัย ต่อจากนั้นคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยก็ขึ้นนั่งบนหลังม้า บังคับม้าวิ่งออกไปจากหมู่บ้านของวังกระทิงซึ่งมีเหลือแต่ซากเถ้าถ่าน พวกตำ รวจตระเวนชายแดนโบกมือให้และมองดูอย่างชื่นชมคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ต่างทำ งานได้ผลสมความปรารถนาคือทลายรังใหญ่ของพวกก่อการร้ายได้ ถึงแม้ตำ รวจจับกุมพลพรรคได้เพียงไม่ถึงครึ่ง พวกที่เล็ดลอดหนีไปได้ก็คงจะเตลิดเปิดเปิงกันรวมกำ ลังกันไม่ได้อีกแล้ว



อวสาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น