วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเกลอ ตอน: เขมรแหย่เสือ

                  
เป็นที่รู้กันดีแล้ว จากประวัติศาสตร์ของเรา เขมรชอบซํ้าเติมรุกรานไทยเมื่อมีศึกมาประชิดติดพระนครศรีอยุธยา หรือเมื่อไทยเพลี่ยงพลํ้าแก่ข้าศึก เขมรก็ส่งกองทัพมาปล้นสะดมหัวเมืองชายแดนที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรเขมร แต่ถ้าไทยแข็งแกร่งขึ้นมาเขมรก็ยอมอ่อนน้อมขอเป็นขี้ข้าไทย
                   พฤติการณ์ของกษัตริย์เขมรทำ ให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ็บชํ้าพระทัยอย่างยิ่งพระองค์จึงเสด็จกรีธาทัพไปตีเขมรจนแตกพ่ายยับเยินพระยาละแวกกษัตริย์เขมรถูกจับเป็นและถูกประหารชีวิตด้วย พระราชพิธีปฐมกรรมคือตัดหัวรองเลือดใส่ถาดล้างพระบาทของพระองค์
                   อย่างไรก็ตามประชาชนชาวเขมรและชาวไทยนั้นเปรียบเหมือนพี่น้องกันบ้างก็ติดต่อค้าขายกันตามพรมแดนหรือมีความสัมพันธ์ต่อกันในฉันญาตินับเป็นเวลาช้านานมาแล้วจนกระทั่งปัจจุบันนี้
แต่ผู้นำ ของเขมรคือนโรดมสีหนุ มีนิสัยเป็นพาลสันดานหยาบ นโรดมสีหนุได้พยายามทำ ลายสาย
สัมพันธ์อันดีงามระหว่างไทยกับเขมรตลอดมา จนกระทั่งตัดไมตรีกับไทยด้วยการถอนทูต ถอนกันง่าย ๆ
คล้ายกับว่าเป็นทูตหลอก ๆ หรือ ทูตเล่น ๆ ไม่ใช่ทูตจริง ๆ เมื่อเขมรถอนทูตเราก็ต้องถอนทูตของเรากลับ
เป็นธรรมดาอยู่เอง ดังนั้นเขมรกับไทยจึงสิ้นสุดความสัมพันธ์ต่อกันเพราะสีหนุ เส้นพรมแดนทุกแห่งถูกปิดสีหนุเปิดประตูบ้านรับคอมมิวนิสต์และประกาศตนเป็นคอมมิวนิสต์ กำ ลังพาประเทศชาติของเขาไปสู่ภัยพิบัติซึ่งประชาชนชาวเขมรจะมีสภาพเป็นทาสในอนาคตอันใกล้นี้
                        คนไทยที่มีเชื้อชาติไทยสัญชาติเขมรและชาวเขมรในเกาะกงหรือจังหวัดใกล้เคียงกับจังหวัดตราดและจันทบุรีถูกรัฐบาล เขมรขี่ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นด้วยประการต่าง ๆ จึงอพยพเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อนโรดมสีหนุทราบข่าวนี้ก็สั่งให้กองทัพเรือจับชาวประมงไทยในน่านนํ้าไทย ยึอเรือและนำ ตัวไปกักขังไว้ปฎิบัติต่อคนไทยที่ถูกคุมขังอย่างโหดเหี้ยมทารุณราวกับสัตว์ป่าชาวประมงหลายคนต้องเสียชีวิตเพราะถูกทารุณ เพราะอดอาหารหรือเจ็บป่วยไม่ได้รับการรักษาพยาบาล นโรดมสีหนุมีเจตนายั่วยุเรามานานแล้ว ถ้าไทยอดกลั้นไม่ได้ใช้กำ ลังทหารบดขยี้เขมร สีหนุก็จะได้แหกปากร้องตะโกนบอกให้โลกรู้ว่าไทยเป็นผู้รุกรานซึ่งเมื่อนั้นคอมมิวนิสต์ก็จะถือโอกาสเข้าช่วยเขมร รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ใช้ความอด กลั้นเป็นอย่างยิ่งเพื่อเห็นแก่สันติภาพ ถ้าหากว่าไทยใช้กำลังจัดการกับเขมรแล้ว เพียง ๓ วันเท่านั้นเขมรก็ต้องราบเป็นหน้ากลองด้วยแสนยานุภาพของเรา ซึ่งกองทัพของเขมรทั้ง ๓ ทัพนั้นเป็นกองทัพเล็ก ๆ อาจจะเปรียบเทียบกองทัพไทยได้เพราะเขมรอพยพเข้าไทยประกอบทั้งสีหนุได้ข่าวว่าไทยจะเรียกร้องดินแดน คือเกาะกงคืน ซึ่งฝรั่ง
เศสเจ้านายเขมรยึดไปจากเรา สีหนุก็วางแผนยั่วยุไทยอีกด้วยเหตุผลโง่ ๆ ของสีหนุ คือต้องการให้กองทัพไทยบุกเข้าไปในดินแดนเขมรหรือต้องการหยั่งกำ ลังรบไไทยแบบเอาไม้แหย่เสือที่กำ ลังนอนหลับ นอกจากนี้ยังต้องการให้ชาวเขมรได้เห็นว่าเขมรมีกองทัพอันเกรียงไกรสามารถที่จะบุกรุกไทยได้ทุกขณะ ชาวเขมรที่หลบเข้าไปอยู่อยู่ในแดนไทยนั้นอาจจะประสบชะตากรรม ถ้ากองทัพเขมรบุบเข้าไปยึดเมืองตราดและจันทบุรีได้ ดังนั้น สีหนุจึงสั่งบุกไทยด้วยกำ ลังส่วนย่อยเพื่อลองเชิงหรือชิมลางหรือด้วยเหตุ อีกหลายอย่างของสีหนุ

๒๐ มิถุนายน ๒๕๐๔
เวลา ๑๓.๓๐ น. ทางเขมรหนึ่งหมู่ประมาณ ๑๐ คน ได้ปะทะกับตาํ รวจภธู ณชายแดนของเราทตี่ าํ บล
เขาวงอำ เภอคลองใหญ่จังหวัดตราด กำ ลังของเขมรเคลื่อนเข้ามาในหลักเขตที่ ๗๑ ตำ รวจภูธรชายแดนของเราได้ทำ การต่อสู้อย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี ทหารเขมรวิ่งหางจุกตูดล่าถอยกลับไป ทิ้งศพทหารไว้ ๒ ศพและพลเรือนซึ่งเป็นหน่วย “ชีวพล” ของเขมรอีกหนึ่งศพชื่อนายเฉลียว ฝ่ายเรา ส.ต.ต. กิติศักดิ์ รื่นอารมณ์ถูกยิงเหนือหน้าอกด้านซ้ายบาดเจ็บสาหัส เวลา ๑๖.๓๐ น. ทหารเขมรหนึ่งกองร้อยเคลื่อนเข้ามาทางเขาวง ซึ่งดูเหมือนมีเจตนาที่จะแย่งศพทหารเขมร ตำ รวจภูธรของเรามีจำ นวนน้อยกว่าหลายเท่าก็สู้แบบยอมตายถวายชีวิต เขมรใช้ปืนครกปืนกลหนักเบาระดมยิงลงมาจากบนเขา ตำ รวจภูธรชายแดนอยู่ในที่ราบเชิงเขา จึงจำ เป็นต้องล่าถอยเข้ามาบ้างเพื่อหาที่อับกระสุนและที่มั่น กำ ลังตำ รวจภูธรที่อำ เภอคลองใหญ่ถูกส่งไปช่วยตำ รวจชายแดนโดยด่วนและที่น่าปลื้มใจที่สุดก็คือ ประชาชนคนไทยที่มีอาวุธได้ร่วมมือกันต่อต้านทหารเขมรด้วยทหารเขมรไม่กล้าเคลื่อนที่เข้ามาอีก
๒๑ มิถุนายน ๒๕๐๘
เวลา ๖.๐๐ น. เศษ ทหารเขมรหนงึ่ กองรอ้ ยบกุ เขา้ มาทหี่ ลกั เขตแดน ๗๑ และปะทะกับตาํ รวจไทย
อย่างดุเดือดเกือบหนึ่งชั่วโมงเขมรก็ล่าถอยออกไป
เวลา ๙.๐๐ น. มีการปะทะกันอีกระหว่างหน่วยลาดตระเวนเขมรกับตำ รวจไทย เขมรล่าถอยออกไป
ตามเคย
๒๒ มิถุนายน ๒๕๐๘
เวลา ๑๖.๐๐ น. มีการปะทะกันเล็กน้อย เขมรส่งหน่วยลาดตระเวนเข้ามาสืบดูว่ากำ ลังของตำ รวจ
ไทยมีมากน้อยเพียงใดและเคลื่อนย้ายไปหรือยัง แต่แล้วก็มีข่าวจาก สายลับ ของเราแจ้งว่า กำ ลังส่วนใหญ่ของเขมรถอยกลับไปแล้วเพราะทราบว่านาวิกโยธิน หน่วยแรกของเราได้เดินทางมาถึงคลองใหญ่แล้วนาวิกโยธิน หน่วนคอหนังเข้าประจำ แนวแทนตำ รวจภูธรและพร้อมขยี้ทหารขเมรถ้าเคลื่อนเข้ามา
ในเขตเรา ฯ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี สั่งให้ทหารปราบเขมรให้ราบคาบ แต่ไม่ให้ล่วงลํ้าเข้าไปในแดนเขมร
เพราะเราได้ยื่นเรื่องราวไปทางสหประชาชาติแล้วว่าเท่าที่กองทหารเขมรรุกรานเราก่อน
กองทัพเรือเตรียมพร้อมที่จะเปิดฉากรบทางทะเลกับนาวีเขมร ร.ล. สัตหีบและ ร.ล. สุครีพไปลอย
ลำ อยู่ที่หน้าเมืองตราดแล้ว ทำ หน้าที่คุ้มกันเรือประมงไทยและลาดตระเวนน่านนํ้าของเรา กองทัพอากาศพร้อมที่จะส่งเครื่องบินไปถล่มเขมรได้ทุกขณะ และกองทัพบกของเราก็พร้อมแล้วอยู่ในที่ตั้ง ทหารไทยทุกคนต่างกระหายที่จะรบกับเขมร และหวังที่จะทำ พิธีปฐมกรรมนโรดมสีหนุอีกครั้งหนึ่ง
ขอเชิญ ท่านหาความสำ ราญจากนิยายชุดสามเกลอในตอน “เขมรแหย่เสือ” ได้ต่อไป
เริ่มเรื่องของเราในตอนสายวันจันทร์ที่ ๒๑ มีถุนายน อีกครั้งหนึ่งที่นายพลดิเรกกับ คณะของเขาได้มาพบกับ พล.อ วิชิต ชัยสมรภูมิ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายยุทธการที่กองบัญชาการทหารสูงสุดกระทรวงกลาโหมด้านริมคลองหลอดในเวลา ๙.๓๐ น.
ตามคำ สั่งด่วนที่ทหารนำ สารได้นำ ไปมอบให้นายพลดิเรกที่บ้าน “พัชราภรณ์” ตอนรุ่งอรุณวันนี้
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ แต่งเครื่องแบบปกติกากีแกมเขียวเชิ้ทแขนยาวแต่ไม่ได้ผูกเน็คไท
ภายในห้องทำ งานอันกว้างขวางหรูหราของท่านนายพรอาวุโส นายพลดิเรกกับคณะของเขากำ ลังนั่งห้อมล้อมท่านรอง ฯ ซึ่งแต่งเครื่องแบบนายพลเอกกากีแกมเขียวคอแบะผูกเน็คไท
“ผมจะเว้นการไต่ถาม ทุกข์สุขของท่านเจ้าคุณและคุณ ๆ เหล่านี้เพราะเราได้พบกันบ่อย ๆ แล้วที่ผม
เชิญมาพบก็เพราะมีเรื่องราชการสำ คัญและด่วนมาก”
พ.อ. กิมหงวนพูดเสริมขึ้นทันที
“ตกลงครับท่านรอง พวกผมพร้อมแล้วที่จะเดินทางไปปฎิบัติหน้าที่ที่เมืองตราดเกี่ยวกับเขมรบุกรุก
เราเมื่อตอนสายบ่ายและเย็นวานนี่”
พล.อ. วิชิตจ้องมองดูเสี่ยหงวนด้วยความแปลกใจ
“ไหนคุณ รู้ล่ะว่าผมจะส่งอาจารย์ดิเรกกับคณะไปที่นั่น”
“โธ่ – ของมันแหง ๆ นี่ครับท่านรอง เมื่อคืน ที.วี. เขาออกข่าวเขมรบุกและปะทะกับตำ รวจภูธรชาย
แดนที่อำ เภอคลองใหญ่พวกเราก็นึกเดาได้ว่า อย่างไรเสียเราก็จะถูกส่งตัวไปที่นั่นเพื่อทำ หน้าที่สำ คัญตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้ไป”
ท่านนายพบอาวุโสยิ้มเล็กน้อย
“ครับ คุณคาดการได้ถูกต้องคุณกิมหงวน กองบัญชาการทหารสูงสุดต้องการให้อาจารย์ดิเรกกับ
คณะนำ ทหารหน่วยกล้าตายที่เราคัดเลือกไว้ ๑๐ คนเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่เป็นกองโจรรบกวน ข้าศึกและก่อวินาศกรรมทำ ลายเส้นทางคมนาคม เช่น สะพานข้ามคลองข้ามเหว นอกจากนี้ให้ตรวจดูกำ ลังรบของข้าศึกตลอดจนฐานยิงจรวดถ้าหากมีว่าอยู่ในป่า”
“เว้า” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ คราง “โดดร่มอีกแล้ว…..”
รองผู้บัญชาการ ฯ หันมามองดูเจ้าคุณปัจจนึก ฯ อย่างชมชื่น
“ผมมั่นใจว่าใต้เท้ายัง สามารถกระโดดร่มได้ดีครับ”
ท่านเจ้าคุณฝืนหัวเราะ
“โดดน่ะโดดได้ครับท่านรอง แต่ผมกลัวว่าร่มมันไม่กางหรือว่าร่มมันเก่าขาดทะลุกลางอากาศ คุณ
คิดดูเถอะคุณวิชิต ถ้าผมไปเท่งทึงในแดนเขมรศพผมก็คงไม่มีโอกาสที่จะนำ กลับมาได้
พล.อ. วิชิตซ่อนยิ้มไว้ในหน้า
“แต่ผมเชื่อว่าการตายเพื่อประเทศชาติ การเสียสละเลือด เนื้อและชีวิตเพื่อประเทศชาติใต้เท้า คงเต็ม
ใจ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หน้าจ๋อย
“เต็มใจน่ะเต็มใจครับแต่ยังไม่อยากตาย อ้า – อย่างไรก็ตาม ผมเป็นทหารผมก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม
คำ สั่งผู้บังคับบัญชาเสมอ ผมตายเพราะสู้รบกับเขมรผมไม่เสียดายชีวิต แต่ถ้าตายเพราะกระโดดร่มร่มไม่กางหรือร่มไว้บนเครื่องบิน ผมก็เสียดายชีวิตของผมมาก”
ท่านรองหัวเราะเสียงกังวาน ท่านเชิญให้ทุกคนดื่มกาแฟและสูปบุหรี่ที่ทหารรับใช้ประจำ ห้องจัดมา
ให้ นายพลดิเรกหัวหน้าคณะเรียนถาม พล.อ. วิชิตทันที
“ท่านรองจะให้เราออกเดินทางเมื่อไรครับ”
ต่อกับกองทัพอากาศให้เขาจัดเครื่องบิน ลำ เลียงไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ออไร๋ แล้วทหารที่จะไปกับเราล่ะครับ”
“ผมให้ นายทหารคนสนิทของผมไปตาม ตัวมาแล้ว ทั้ง ๑๐ คนมาที่กองบัญชาการทหารสูงสุดตั้ง
แต่ ๙ น. ตามคำ สั่งของผมทุกคนเป็นนายสิบครับอย่างน้อยก็สิบโทมาจาก กองพันทหารรบต่าง ๆ แห่งละคนสองคนซึ่งผู้บังคับบัญชารับรองว่าเป็นคนโสด กล้าหาญบึกบึนและแข็งแรงใจเด็ดและมีวินัยดี ประเดี๋ยวนายทหารคนสนิทก็จะพามาที่นี่และเขาจะแนะนำ ให้อาจารย์กับคณะรู้จักเป็นรายตัว ซึ่งหน่วยกล้าตายทั้ง ๑๐ คน ยี้จะอยู่ในบังคับบัญชาของ อาจารย์กับคณะ หลังจากแนะนำ ให้รู้จักกันแล้ว อ้า – ทุกคนโปรดฟังผม คุณนิกรหลับเสียแล้ว”
พ.อ. นิกรสะดุ้งเฮือกลืมตาโพลง
“ไม่ทันหลับหรอกครับท่านรองเพียงแต่เคลิ้ม ๆ ไปเท่านั้น เมื่อคืนผมนอนดึกไปหน่อย”
“นอนกี่ทุ่มล่ะครับคุณ”
“ราวสองทุ่มเห็นจะได้ครับ”
ท่านรองกลืนนํ้าลายเอื้อก
“แล้วตื่นกี่โมง”
“ตื่นเช้าเกินไปครับ ดิเรกไปปลุกผมในห้องนอนตอนโมงครึ่งบอกว่า ท่านรองมีคำ สั่งด่วนเรียกพวก
เรามาพบที่นี่ตอน ๙.๓๐ น. วันนี้ พูดจบนิกรก็ยกมือปิดปากหาว
ท่านนายพลอาวุโสหัวเราะหึ ๆ ท่านมองดูคณะพรรคสี่สหายซึ่งนั่งรวมกันบนโซฟาร์ตัวเดียว แล้วก็
มองดูเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมทางซ้ายของท่าน ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ พล.อ. วิชิตก็กล่าวขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการ
“นักบินจะพาพวกคุณและท่าน เจ้าคุณกับทหารหน่วยหน้าตายทั้ง ๑๐ คนไปกระโดดร่มในเขตเขมร
หลังเขาวงซึ่งทหารเขมรได้ชุมนุมอยู่ในเขตนั้น ถึงมีข่าวว่าเขมรแกล้งปล่อยออกมาลวงให้เราหลงกล
อาจารย์ดิเรกกับคณะจะต้องใช้ความสามารถ ซุ่ม ซ่อน ตัวอยู่ในป่าค้นหาค่ายทหารแล้วทำ ลายจุดยุทธศาสตร์ตัดเส้นทางคมนาคมให้ได้ เพราะถ้าเขมรบุกเราจริง ๆ การส่งกำ ลังของเขมรก็จะต้องเป็นไปด้วยความลำบาก ผมหวังว่าคุณพลคงจะเป็นกำ ลัง สำ คัญยิ่งในงาน ที่เสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตนี้”
พ.อ. พลยิ้มให้รองผู้บัญชาการ ฯ
“ผมและพวกเราจะพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดครับ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ชำ นาญในการรบนอกแบบ
หรือการรบแบบกองโจร”
“ผมเชื่อความสามารถของพวกคุณครับ เคยทำ งานมาหลายครั้งแล้วได้ผลเสมอ การเดินทางไป
ปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ให้ทุกคนแต่งเครื่องฝึกสวมหมวกเหล็กโดยไม่ต้องมีเครื่อง สนามและไม่ต้องมีเครื่อง
หมายใด ๆ ทั้งสิ้น หลักฐานต่าง ๆ ที่แสดงว่าเป็นทหารไทยก็อย่าให้มีติดตัวไปเป็นอันขาด ผมเตรียมเงิน
เหรียญเขมรไว้จ่ายให้แล้ว แล้วก็บอกให้ทราบด้วยว่านายสิบที่จะเดินทางไปทำ งาน กับพวกคุณนั้นทุกคน
พูดภาษาเขมรได้ดีทีเดียว ถ้าความคับขันเกิดขึ้นถอดเครื่องแบบออกซ่อนเสียทุกคนก็จะกลายเป็นราษฎร
เขมรไป พวกคุณมีใครพูดเขมรได้บ้างไหมครับ”
พ.อ. นิกรกล่าวขึ้นทันที
“เจียกเขนยบายสายสำ แดง สีหนุเจาะเหนียงขะแบโบย”
ท่านรองลืมตาโพลง
“ไม่เลวนี่ครับผู้การนิกร คุณพูดภาษาเขมรได้ดีทีเดียว แปลว่ากระไรครับผมฟังออกแต่คำ สีหนุเท่า
นั้น”
นิกรยิ้มแห้ง ๆ
“ผมได้แต่พูดครับแปลไม่ออก พูดแล้วพูดอีกครั้งก็ไม่เหมือนกัน”
“แล้วกัน” แล้วท่านรองก็หันมาทางเสี่ยหงวน “คุณพูดได้บ้างไหม”
อาเสี่ยยิ้มอาย ๆ
“คล่องคลับ ผมพูดได้ดีเท่า ๆ กับภาษาไทยเรา”
“หา ภาษาเขมรน่ะหรือครับ”
“โอ๊ย ไม่ใช่ครับ ภาษาจีนครับ ไม่ใช่เขมรนึกว่าท่านถามผมว่าพูดภาษาจีนได้ไหมผมก็เลยเรียนว่า
ผมพูดคล่อง เตี่ยผมเป็นจีนนี่ครับ”
ก่อนที่ใครจะพูดอะไรต่อไปนายทหารคน สนิทของท่านนายพล อาวุโสซึ่งมียศเป็น พันโทร่างสูง
ใหญ่ก็เดินนำ หน้าพานายสิบกลุ่มหนึ่งแต่งเครื่องแบบเรียบร้อยเดินรวมกลุ่มเข้ามา บรรดานายสิบทั้ง ๑๐ คนต่างหยุดยืนชิดเท้าตรงกระทำ ความเคารพ พล.อ. วิชิตแล้วสั่งให้นายสิบกลุ่มนี้เข้าแถวเรียงเดี่ยว
ต่อจากนั้นนายสิบที่ยืนอยู่ในแถว ก็รายงานตัวทีละคนบอกยศ ชื่อ นามสกุลและหน่วยสังกัดให้
ทราบท่านรองกล่าวกับนายพลดิเรกเบา ๆ
“เชิญครับ เชิญอาจารยิ์เรกกับคณะไปทักทายหน่วยกล้าตายในบังคับบัญชาทั้ง ๑๐ คนนี่ซึ่งตอนดึก
คืนวันนี้จะเดินทางไปร่วมปฏิบัติหน้าที่สำ คัญด้วยกันแล้ว”
ศาสตราจารย์ พล.ท. ดิเรกกับสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ต่างลุกขึ้นเดินเข้ามาหานายสิบทหารราบ
ทั้ง ๑๐ คนนี้ ท่านนายพลอาวุโสนั่งมองดูอย่างชื่นชมท่านรู้สึกว่าพวกนายสิบทุกคน ต่างพออกพอใจที่ได้มาอยู่ในบังคับบัญชาของนายพลดิเรกกับคณะ
ในที่สุดนายพลดิเรกก็กล่าวกับทุกคนว่า
“ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่เราได้พวกท่านมาร่วมงานสำ คัญกับเราในครั้งนี้ ขอให้เรา
ทุกคนพึงรู้เถิดว่าเขมรมีเจตนาอย่างยิ่งที่จะยั่วยุเราในครั้งนี้แต่เราจะยอมให้ทหารเขมรล่วงละเมิดอธิปไตร
ของเราไม่ได้ เมื่อเขมรใช้กำ ลังทหารรุกรานเรา เราก็ต้องตอบแทนเขมรให้สาสม”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเรา ต้องเตะ สั่งสอนเสียบ้างทีหลังอย่าทำ ….ทีหลังอย่าทำ ”
พวกนาย สิบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามกันแต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะ ท่านนายพลอาวุโสลุกขึ้นจากเก้าอี้
นวมพาตัวเดินเข้ามาหา ทุกคนต่างยืนตรง ท่านกล่าวกับนายทหารคนสนิทของท่านว่า
“พาอาจารย์ดิเรกกับคณะและนายสิบทั้งหมดนี่ไปที่ห้องพักพิเศษเถอะ เพื่อจะได้ปรึกษาหารือกัน
แล้วคุณมาหาผม ผมจะให้คุณไปเบิกเงินเขมรให้อาจารย์ดิเรกและทุก ๆ คนเพื่อให้มีจ่ายเพียงพอระหว่างที่
ปฏิบัติการอยู่ในแดนเขมร”
นิกรพูดขึ้นดัง ๆ
“เจี๊ยกคะเนอเจอเขมือบ”
นายทหารคนสนิทหันมามองดู พ.อ. นิกรอย่างดื่น ๆ
“อะไรครับผู้การ”
นิกรหัวเราะ
“เปล่า ผมพูดส่งเดชไปยังงั้นเอง”
นายทหาร คนสนิทพาคณะพรรคสี่สหาย กับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และนายสิบทั้ง ๑๐ คนออกไปจาก
ห้องทำ งานของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทุกคนคึกคักเข้มแข็งอยากจะเดินทางไปเร็ว ๆ เพื่อปฏิบัติหน้าที่สำคัญนี้
๒๒ มิถุนายน
เวลา ๐๑.๑๐ น. เครื่องบินลำ เลียงแห่งฝูงบินลำ เลียงของกองทัพอากาศซึ่งเดินทาง จากสนามบิน
ดอนเมืองได้พา คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ เจ้าแห้วและหน่วยกล้าตาย ๑๐ คนมาถึงจังหวัดตราดแล้ว
นักบินนำ เครื่องบิออก ปากอ่าวสมุทรปราการตัดข้าม ผืนแผ่นดินระยองออกทะเล มุ่งตรงมาจังหวัด
ตราดเข้าทางเกาะช้างจน ถึงอำ เภอคลองใหญ่ข้ามเขาวงเข้าสู่แดนเขมร ซึ่งภูมิประเทศเบื้องล่างเต็มไปด้วยไร่นาป่าเขาคล้ายคลึงกับภูมิประเทศของประเทศไทยพระจันทร์แรม ๘ คํ่าพึ่งโผล่พ้นขอบฟ้าด้านตะวันออก แต่แสงของพระจันทร์เลือนลางเต็มทนเมื่อเครื่องบินข้ามเขาวงนักบินก็พูดกระจายเสียงแจ้งให้นายพลดิเรกทราบและให้ทุกคนเตรียมตัวกระโดดร่ม นายสิบหน่วยกล้าตายทั้ง ๑๐ คนไม่เคยมีใครเคยกระโดดร่มมาแต่ก่อนเลย แต่ก็ได้รับการฝึกโดดร่มที่หน่วยรบพิเศษป่าหวายจังหวัด ลพบุรีเมื่อวานนี้เป็นเวลาเพียง ๓ ชั่วโมงฝึกกระโดดจากหอกระโดดร่มและได้รับคำ แนะนำ แบบโตแล้วเรียนลัด ซึ่งนายทหารแห่งกองพันพลร่มคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกสอน อย่างไรก็ตามนายสิบทั้ง ๑๐ คนนี้ต่างก็เฉลียวฉลาดมีพื้นความรู้ดีผู้ฝึกจึงรับรองต่อท่านรองผู้บัญชาการทหารสูงสูงสุดพอจะกระโดดร่มลงมาจากเครื่องบินได้ด้วยปฏิภาณและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเขา ณ บัดนี้ ทุกคนยืนเ)นแถวเรียงเดี่ยวอยู่กลางห้องสารเตรียมพร้อมที่จะกระโดดร่ม ขอร่มอันหนึ่งถูกเกี่ยวกับสายลวสะลิงเหนือศีรษะ นายทหารร่มคนหนึ่งซึ่งมาช่วยเหลือในการกระโดดร่มได้พูดให้ กำลังใจว่าเมื่อกระโดดลงไปแล้วร่มชูชีพทุกร่มจะต้องกางแน่นอน แล้วก็ให้คำ แนะนำ บางอย่างในการนำ ร่มลงสู่พื้นดิน
อย่างไรก็ตามนายสิบหน่วยกล้าตายไม่มีใครเสียขวัญแม้แต่น้อย ทุกคนอยากจะรบกับเขมรเท่านั้น
เมื่อนักบินให้สัญญาณกระโดดร่ม พ.อ. พล พัชราภรณ์ก็กระโดดผ่านประตูเครื่องบินออกไปเป็นคนแรกติด
ตามด้วย พล.ท. ดิเรก และเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ส.อ. แห้ว โหระพากลต่อจากนั้นนายสิบหน่วยกล้าตาย ก็
กระโดดลงไปจากเครื่องบินทีละคน ในที่สุดก็เหลือ พ.อ. กิมหงวนและ พ.อ. นิกรเพียงสองคน
“โดดซิครับผู้การ” นายทหารหนุ่มแห่งกองพันพลร่มร้องเตือนสองสหาย
เสี่ยหงวนแข้งขาสั่นพั่บ ๆ
“กางแน่นะคุณ”
“ครับ มีหวังกางถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ครับ”
อาเสี่ยทำ คอย่น
“หวัง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรือผู้หมวด” พูดจบกิหงวนก็ตัดสินใจกระโดดออกไปจากประตูห้อง
โดยสาร
นิกรรำ ป้อกระโจนตามเสี่ยหงวนไปตามแบบฉบับของเขา ร่มชูชีพทั้ง ๑๖ ร่มกางหมด แต่ร่มอยู่ห่าง
กันมาก เบื้องล่างเป็นที่ราบแต่ไม่ใช่ท้องนาแวดล้อมด้วยป่าโปร่งมองแลเห็นต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเขียวครึ้มไปทั่ว การกระโดดร่มในระยะ ๑,๐๐๐ ฟุต เป็นระยะที่ค่อนข้างตํ่า พอร่มกางทุกคนก็โล่งใจและรู้สึกตัวว่า
อยู่ใกล้กับพื้นดินเต็มทน เครื่องบินลำ เลียงเลี้ยวขวาเป็นวงกว้างออกสู่ทะเลลึกเดินทางกลับฐานทัพอากาศนักบินไม่อาจจะทราบได้ว่าหน่วยกล้าตายรวม ๑๖ คนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร รู้แต่ว่าทุกคนกระโดดร่มลงในที่ราบแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในหมายเลข ๔๖ ในแผนที่ที่ทางฝ่ายเราทำ ไว้สำ หรับรบกับเขมรใช้กองทัพเปิดฉากรุกราน
ก่อนที่หน่วยกล้าตายคนใดคนหนึ่งจะถึงพื้นดินพลุไฟดวง หนึ่งที่ใช้ยิงจากปืนพกก็แตกระเบิด
กลางอากาศเหนือทุ่งหญ้านั้นซึ่งมีขนาดพอ ๆ กับสนามหลวงและแล้วพลุไฟดวงที่ ๒ และดวงที่ ๓ ก็ถูกยิง
ขึ้นมาแสงสว่างของพลุไฟนี้เองช่วยให้ทหาร เขมรซึ่งเป็นหน่วยสื่อสารมีกำ ลังเพียงหนวดเดียวแลเห็น
หน่วยกล้าตายของเราอย่างถนัด เสียงปืนกลมือและปืนเล็กยาวทั้งพื้นดินดังขึ้นก้องกังวานไปไกลในยาวดึก
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ถูกยิงร่มทะลุไปหลายรู ทำ ให้ท่านลงมาสู่พื้นดินเร็วกว่าปรกติ แต่แล้วก็ติดค้าง
แขวนโตงเตงอยู่บนกอไผ่ป่ากอหนึ่ง ท่านเจ้าคุณร้องตะโกนลั่น
“เฮ้ย ละเมิดสัญญาสากลโว้ย พลร่มต้องลงถึงพื้นดินเสียก่อนจึงจะได้”
หน่วยกล้าตายไม่มีโอกาสต่อสู่เพราะต้อง บังคับสายร่มของตนเองแต่ทุกคนก็แคล้วคลาดจาก
กระสุนปืนของข้าศึก นายสิบทั้ง ๑๐ คนกับ พ.อ. พล. สอ. แห้ว และพล.ท. ดิเรกลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ
แล้ว แต่เสี่ยหงวนกับนิกรหายไปเพราะไปลงในป่านอกบริเวณที่ราบ
ทุกคนรีบปลดร่มออกจากตัวและเข้าหาที่กำ ลังเตรียมยิงข้าศึก การต่อสู่บนพื้นดินระหว่างทหารสื่อ
สารเขมรและหน่วยกล้าตายของเราเริ่มต้นแล้ว เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ประกายไฟวูบวาบออกจากปาก
กระบอกปืนแลเห็นถนัด
ในเวลาเดียวกันนี้เอง กิมหงวนกับนิกรบุกเข้าไปยังเรือนโรงหลังหนึ่งซึ่งเป็นสถานีสื่อสาร ท่ามก
ล่างการสู่รบอย่างดุเดือดสองสหายพากันวิ่งก้มตัวเข้ามา แต่แล้วทหารยมของเขมรก็กราดด้วยปืนกลมือเมื่อแลเห็นเงาดำ ตะคุ่ม ๆ วิ่งผ่านพุ่มไม้ไป
อาเสี่ยกับนิกรล้มตัวลงนอนราบกับพื้นดิน เสี่ยหงวนกล่าวกับนิกรทันที
“อ้ายกร แกยิงคุ้มกันไว้ กันจะเอาระเบิดมือให้มันรับประทาน ที่นี่ต้องเป็นหน่วยสื่อสารแน่ ๆ”
“โอ. เค.” นิกรร้องบอก “วันนี้กันสนุกจังโว้ยทั้งตื่นเต้นตลก ขบขันรักโศกตลกโปกฮาลึกลับ ซับ
ซ่อนว่าแต่ว่าเขมรมันใช้กระสุนซ้อมยิงหรือกระสุนจริง ๆ วะ”
เสี่ยหงวนนัยน์ตาเหลือก
“กระสนุ จรงิ โวย้ ไมไ่ ดซ้ ้อมรบนะอา้ ยกร เรากำ ลงั รบกันจรงิ ๆ”
“อ้าว ไหงยังงั้นล่ะ เอา – เอาจริงก็เอา ถ้าเจอสีหนุอยู่ในกระท่อมแกต้องพยายามจับเป็นให้ได้นะ”
อาเสี่ยปลดระเบิดมือ ที่อกเสื้อออกมาหนึ่งลูกเขาวิ่งตรงไปยังกระท่อมใหญ่หรือโรงหลังนั้นอย่าง
กล้าหาญ ทหารยามขเมรร้องตะโกนเรียกกันแล้วระดมยิงเสี่ยหงวนทันที แต่นิกรก็ปล่อยกระสุนปืนกลมือ
สังหารทหารเขมรได้ ๓ ศพ ถูกยิงล้มควํ่าเท่งทึงไปตามกัน
เสี่ยหงวน วิ่งมาที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างจากเรือนโรงหลังนั้นราว ๒๐ เมตร เขายกระเบิดมือขึ้นใช้
ปากกัดสลักนิรภัยออก แล้วขว้างไปที่เรือนโรงหลังนั้นเต็มเหนี่ยว ระเบิดมือผ่านหน้าต่างกระท่อมเข้าไป
ขณะที่นายสิบทหารเขมรคนหนึ่งกำ ลังติดต่อทางวิทยุ เพื่อแจ้งข่าวให้กองพันทหารราบ ที่เขาวงทราบว่าไทยส่งพลร่มลงปฏิบัติการทางด้านนี้ แต่การติดต่อไม่เป็นผลเพราะเครื่องรับส่งวิทยุเกิดขัดข้อง
ระเบิดมือของเสี่ยหงวนระเบิดขึ้นเสียงสนั่น
“ตูม”
กระท่อมหลังนั้นพังพินาศถูกไฟไหม้ทันที ทหารเขมรสามสี่คนต้องเสียชีวิตจากชิ้นระเบิด ในเวลา
เดียวกันนี้เองหน่วยกล้าตายของเราซึ่งมี พ.อ. พลและนายพลดิเรก บัญชาการรบก็ยิงทหารเขมรล้มตาย
เกลื่อนกลาด ทหารเขมรล่าถอยไปทางไหนก็เผชิญหน้ากับหน่วยกล้าตายที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่มั่น แล้ว
ทหารเขมรก็ตกเป็นเหยื่อกระสุนปืนทางฝ่ายเราที่เหลือตายต่างเสียขวัญเพราะไม่อาจจะทราบได้ว่าพลร่ม
ของไทยมีจำ นวนมากน้อยเท่าใด แล้วก็เกรงว่าพวกมันกำ ลังปะทะกับนาวิกโยธิน ของเราซึ่งทหารเขมรเกรงกลัวที่สุดเพราะทหารเขมรรู้ดีว่านาวิกโยธินของเรานั้น แต่ละคนองอาจ กล้าหาญมีอาวุธที่ทันสมัยได้ รับการฝึกอย่างชำ นาญและทรหดอดทนเสียงปืนสงบลงแล้ว ทหารเขมรหลบหนีไปได้ไม่กี่คน หน่วยสื่อสารไม่ตํ่ากว่า ๑๕ คนกลายเป็นศพไปแล้วนอนตายเกลื่อนกลาดเพราะถูกหน่วยกล้าตายของเราดักยิงตามสบาย เนื่องจากหน่วย กล้าตายของเราได้ซักซ้อมกันมาแล้วบนเครื่องบินระหว่างที่เดินทางมาจากดอนเมือง การติดต่อประสานงานและการสู้รบจึงเป็นไปตามแผน คือฝ่ายเราไม่ยอมเคลื่อนที่และยึดที่มั่นแห่งละคนแสงเพลิงที่เรือนโรงหลังนั้นสว่างจ้า นายพลดิเรก พ.อ. พล เรียกหน่วยกล้าตายทั้งหมดมารวมกันแล้วพากันเดินรวมกลุ่มตรงมายังเรือนโรงหลังนี้ที่กำ ลังตกเป็นเหยื่อพระเพลิง ทุกคนมองเห็นกิมหงวนกับนิกรอย่างถนัด แต่สองสหายไม่เห็นคงแลเห็นแต่เพียงตะคุ่ม ๆ เท่านั้น
อาเสี่ยร้องตะโกนถามเสียงลั่น
“เฮ้-นั่นทหารไทยหรือเขมรโว้ย ไม่บอกยิงนะตอบรหัสลับ”
พลร้องตะโกนตอบ
“กิมเบ๊”
เสี่ยหงวนทำ คอย่นหันมามองดูนิกร
“รหัสลบ ของเราว่ากิม เบ๊ชื่อเตี่ย ของกัน จริง ๆ เรอะ”
“อือ”
“ใครเป็นคนคิดวะ”
นิกรหัวเราะเบา ๆ
“กันเอง”
“ทะลึ่งมาก โตเป็นควายแล้วยังจะเล่นล้อชื่อพ่อพวกเรามาแล้วโว้ย หนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปด
เก้าสิบ สิบเฮ็ดสิบสองสิบสาม เอ๊ะ หายไปหนึ่งคนเราสองคนรวมเป็นสิบห้าแต่พวกเรามี ๑๖ คนนี่โว้ย”
หน่วยกล้าตายเข้ามาถึงแสงสะท้อนของแสงเพลิงแล้ว นิกรใจหายวาบเมื่อไม่เห็นพ่อตาของเขา
“คุณพ่อหายโว้ย ถูกยิงเท่งทึงไปแล้วกระมัง”
อาเสี่ยทำ หน้าเหมือนจะร้องไห้
“คงไม่ตายหรอก คนหัวล้านตายยาก”
สองสหายปราดเข้าไปหาคณะพรรคของเขาและหน่วยกล้าตาย เมื่อทราบว่าเสี่ยหงวนใช้ระเบิดมือ
ทำ ลายที่ตั้งหน่วยสื่อสารของข้าศึกได้ แต่แล้วเมื่อพลถามถึงเจ้าคุณปัจจนึก ฯ สองสหายต่างก็ปฏิเสธว่าไม่เห็นนับจากกระโดดลงมาจากเครื่องบิน
นายสิบคนหนึ่งกล่าวกับนายพลดิเรกว่า
“ผมได้ยินเสียงท่านตอนที่พวกเรากำ ลังลอยลงมาใกล้จะถึงพื้นดิน และถูกยิงกราดครับ เข้าใจว่า
ท่านคงลงมาทางป่าไผ่เหนือของเราโน่น ท่านร้องตะโกนว่าทหารเขมร ละเมิดสัญญา นานชาติยิงพลร่ม
ก่อนที่เท้าถึงดิน”
พ.อ. พลหัวเราะหึ ๆ
“เวลา รบกันสัญญามันก็เศษกระดาษนั่นแหละหมู่ พวกเราอย่าอยู่ช้าเลย เสียงปืนที่เรายิงกับเขมรดึด
ๆ อย่างนี้ดังไปไกลมาก และพวกมันอาจจะแจ้งข้าวไปแล้ว อีกสักครู่กำ ลังส่วนใหญ่ของมันจะยกมาที่นี่เพื่อกวาดล้างพวกเรา”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ยังงั้นก็ดีแล้ว ขอเวลาให้กันสักสองนาทีเถอะวะ กันจะทำ อะไรทิ้งไว้ให้เขมรมันกวาดล้าง”
นายพลดิเรกกล่าวขึ้นดัง ๆ
“โน – ไม่ใช่เวลาที่แกจะพูดเล่นอ้ายนิกร เรากำ ลัง ทาํ งาน สาํ คญั ตาม ที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายมา
แล้วก็ที่นี่เป็นดินแดนของเขมรอย่าลืม เรามีหวังถูกยิงตายได้ทุกขณะ พวกเราไปติดตามคุณพ่อเถอะแล้วก็
เคลื่อนกำ ลังกันต่อไป ส่วนร่มชูชีพไม่จำ เป็นต้องซ่อนหรือฝั่งเพราะอย่างไรเขมรมันก็รู้แล้วว่าหน่วยพลร่มของไทยกระโดดร่มลงแถวนี้ ไป – พวกเรา นี่คือชัยชนะครั้งแรกที่เราโดดลงมาเหยียบแผ่นดินเขมร”
เจ้าแห้วหรือ ส.อ. แห้วร้องไห้โฮทำ ให้ทุกคนหันมามองดูเจ้าแห้วเป็นตาเดียว เสี่ยหงวนยกมือขวา
ตบหมวกเหล็กเจ้าแห้วเบา ๆ
“แกหัวเราะดีใจในชัยชนะของพวกเรายังงั้นหรือ”
เจ้าแห้วสะอื้น
“โธ่ – รับประทาน ผมร้องไห้นะครับไม่ได้หัวเราะ ฮือ – ฮือ ผมสงสัยว่าท่านเจ้าคุณเท่งทึงเสียแล้ว
ก่อนจะโดดลงมาจากเครื่องบินรับประทานพูดเป็นลางชอบกลครับ”
พลหัวเราะเบา ๆ
“ท่านพูดว่ายังไง”
เจ้าแห้วยกหลังมือขวาขึ้นเช็ดนํ้าตา
“รับประทานพอเอาขอร่มเกี่ยวราวในเครื่องบินท่านก็บอกผมว่า…ตายเพื่อประเทศชาติดีกว่านอน
ตายบนที่นอนเพราะเจ็บตายหรือแก่ตาย แล้วท่านก็ถามผมว่า มึงรู้ไหมวะอ้ายแห้ว ยมบาลรูปร่างหน้าตาเป็น
ยังไง”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง ครั้นแล้วหน่วยกล้าตายในบังคับบัญชาของนายพลดิเรกรวมกลุ่ม
ผ่านทุ่งหญ้าหรือที่ราบไปทางทิศเหนือ ซึ่งสิ้นสุดของที่ราบนั้นเต็มไปด้วยป่าไผ่อันมากมาย
ศาสตราจารย์ดิเกใช้นก หวีดเป่าสั้นยาวเป็นสัญญาณเรียก หากันซึ่งทุกคนมีนกหวีด ประจำ ตัวคนละ
อัน แต่ไม่มีเสียงนกหวีดเป่ารับ เสี่ยหงวนโห่เสียงทาร์ซานขึ้นทันที
“โห่…..โอโฮ้….โอ๋โห่”
เสียงช้างป่าสองสามตัวที่อยู่ทางหลังเขาวงร้องแปร๋แปร้นขึ้นทันที ศาสตราจารย์ดิเรกรีบกล่าวห้าม
เสี่ยหงวน
“เฮ้-อย่าโห่ พอแล้ว ประเดี๋ยวช้างมันบุกมาเล่นงานเรา เราจะเดือดร้อนสงวนลูกปืนไว้ยิงกับข้าศึก
เถอะ”
ทุกคนมาถึงบริเวณป่าไผ่ท่ามกลางความสงบเงียบ ขณะนี้เมฆฝนเคลื่อนมาแล้วแผ่ไปทั่วทุกทิศทุก
ทาง การค้นหาตัวเจ้าคุณปัจจนึก ฯ เป็นไปอย่างเดาสุ่มในที่สุดนิกรก็แหกปากร้องตะโกนขึ้น
“ท่านขุน ท่านขุนครับ ขุนช้างครับ”
คราวนี้ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ มีเสียงร้องตะโกนของเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ดังมาจากกอไผ่ทางขวา
“อ้ายระยำ ทะลึ่งมากนะอ้ายกร”
นิกรหัวเราะก้าก
“ไหนล่ะ ถ้ากันไม่ร้องอย่างนี้คุณพ่อก็คงไม่ขานรับ ถึงแม้ว่าท่านได้บาดเจ็บแต่เมื่อกันเรียกท่านว่า
ขุนช้างท่านก็ยั๊วะลืมความเจ็บปวด ไปทางโน้นโว้ยพวกเรา”
พวกนายสิบหน่วยกล้าตายต่างใช้ไฟฉายสองท่อนส่อง ค้นตามชุ่มไผ่ และยอด ไผ่ตลอดจนตามต้น
ไม้ใหญ่หลายต้นในที่สุด ทุกคนก็แลเห็นท่านเจ้าคุณห้อยต่องแต่งอยู่ที่กอไผ่กอหนึ่ง ร่มชูชีพติดอยู่ตอนบนของกอไผ่และพ้นกันแน่น ร่างอันอ้วนเตี้ยพุงพลุ้ยของเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ซึ่งแต่งเครื่องแบบฝึกสวมหมวกเหล็กมีสายรัดคางสะพายปืนเร็วและย่าม แขวนโตงเตงไปมาเพราะดิ้นกระแด่ว ๆ ตลอดเวลา
ทุกคนวิ่งเข้ามาที่ซุ้มไผ่นั้น ท่านเจ้าคุณอยู่สูงจากพื้นดินเพียง ๒ เมตรแต่ก็ลงไม่ได้
“โอ้ย” เสี่ยหงวนร้องขึ้นดัง ๆ “ผีผูกคอตายเปิดโว้ยพวกเรา”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ร้องเสียงหลง
“ไม่ใช่ผีโว้ย อาเอง”
สี่สหายหัวเราะลั่น พวกนายสิบหน่วยกล้าตายแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว ต่อจากนั้นการช่วยเหลือ
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็เริ่มต้น พ.อ. พลขึ้นไปนั่งบนคอ พ.อ.กิมหงวน ใช้ดาบปลายปืนพลร่มตัดสายเชือกออก
จากตัวเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทีละเส้น แต่แล้วนํ้าหนักตัวของท่านเจ้าคุณ ก็ทำ ให้ร่มขาด ร่างของท่านจึงหล่น ลงมายังพื้นดินเสียงดังพลั่ก นิกรกับศาสตราจารย์ดิเรกปราดเข้ามาประคองพ่อตาของเขาให้ลุกขึ้นทันที
“ทุ่งหญ้าออกกว้างทำ ไมคุณพ่อไม่ลง” นายพลดิเรกพูดยิ้น ๆ ไหนงมาลงบนกอไผ่ล่ะครับ”
ท่านเจ้าคุณ ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเพราะขัดยอกตะโพกข้างซ้ายแต่ก็ไม่มากมายนัก
“ก็ข้าศึก มันช่วยกันยิงพ่อด้วยปืนกลมือยังกะห่าฝน ถูกร่มทะลุปรุพุนไปหมด ร่มมันเลยเลยลงมา
บนยอดไผ่”
เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้น
“เคราะห์ดีนะครับที่ไม่เป็นไรนี่ถ้าหากว่ามีใครมาตัดไม้ไผ่กอนี้ทิ้งโคนแหลม ๆ ไว้ตำ ก้นคุณอา ที
เดียวก็เท่งทึงแล้ว”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ สะดุ้งโหยงแล้วท่านก็หันมาทางนายดิเรก
“ผลการรบเป็นอย่างไร พวกเราทุกคนปลอดภัยใช่ไหม”
“ออไร๋ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียวครับ อ้ายหงวนกับอ้ายกรบุกเข้าไปที่สถานีสื่อสาร ของ
มันแล้ว อ้ายหงวนเอาระเบิดมือขว้างเข้าไปทำ ให้เกิดไฟไหม้พังทลาย เข้าใจว่าข้าศึกหนีรอดไปได้เพียงสองสามคนครับนอกนั้น ถูกพวกเรายิงตายหมด”
ท่านเจ้าคุณยิ้มแป้นกล่าวกับหน่วยกล้าตายทุกคน
“ดีมาก พวกเรารบอย่างดุเดือดอย่างนี้แน่จริง ๆ แต่รีบเคลื่อนกำ ลังเถอะ ขืนรํ่าไรกำ ลังส่วนใหญ่ของ
เขมรยกมานี่ เราจะถูกล้อม และถูกยิงตายหมดทุกคนอย่าลืมว่าเราจะไม่ยอมให้ข้าศึกจับเป็นเป็นอันขาด ถ้าจนมุมเราต้องกินยาพิษที่ดิเรกมอบให้ไว้”
สิบเอกร่างใหญ่คนหนึ่ง พูดเสริมขึ้น
“ไม่ต้องกินยาพิษหรอกครับท่าน กระผมกับเพื่อน ๆ สูตายครับ สู้จนกระทั่งมีดพกหรือดาบปลาย
ปืนของเรา เขมรมันจะได้รู้เสียบ้างว่าพวกเราคือเสือร้ายที่มันไม่ควรจะมาแหย่ หรือยั่วเย้าแบบลอบกัดเรา
เช่นนี้”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยิ้มให้นายสิบร่างใหญ่
“มันต้องอย่างงี้หลานชาย เรา ๑๖ คนนี่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันแล้ว ถ้าคับขันเราต้องสู้ตาย เราถอย
ได้ข้าศึกมีกำ ลังมากกว่า แต่เราต้องกัดฟันกับมันจนสิ้นลมปราณ ไม่ใช่ถอนหนีเพราะกลัวมัน”
นิกรชูมือขวาขึ้น
“จริงครับเฮียพูดถูก”
ท่านเจ้าคุณแยกเขี้ยว
“ใครเป็นเฮียแกว่ะ ฉันเป็นพ่อแกนะไม่ใช่เฮียแน่ะ ชักกำ เริบเรียกพ่อตาเป็นเฮีย”
นิกรหัวเราะ
“กำ ลังคึกอยากรบเขมร เลยเผลอไปครับคุณพ่อผมกับอ้ายหงวนรบดุเดือดที่สุด ตอนที่เราบุกไปที่
สถานีสื่อสารเราถูกยิงกราดด้วยปืนกลมือ แต่เราหลบหลีกก้มหัวหลบซ้ายหลบขวากระสุนปืนเฉียดไปหมด”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กลืมนํ้าลายเอื๊ยก
“พอแล้วไม่ต้องเล่า กลับไปกรุงเทพ ฯ ดิเรกคงจะรายงานความดีความชอบให้แกขอยศนายพลให้แก
นิกรหันขวับมาทาง พล.ท. ดิเรก
อย่านะหมออย่าขอให้กันเป็นพลตรีเป็นอันขาด”
“อ้าว” นายพลดิเรกอุทาน “ก็ไหนว่าแกอยากเป็นไงล่ะ”
พ.อ. นิกรทำ หน้าเบ้
“ไม่เอาละโว้ย เมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อนเราคนหนึ่งได้เป็นพลตรี ค่าหมวกนายพลใบหนึ่งตั้งสี่ห้าร้อยบาท
ใบไม้ทองหรือหรือช่อชัยพฤกษ์ที่แก๊ปหมวกสองแถวมันแพงมาก แล้วก็อย่างน้อยต้องมีหมวก ๓ ใบ ทั้ง
หมวกขาวและหมวกกากี เครื่องหมายยศก็แพง เครื่องแบบชุดสีขาวก็ต้องตัดเตรียมไว้หลายชุด งานอะไรก็ถูกเชิญสู้เป็นพันเอกพิเศษอย่างนี้ไม่ได้สบายดีถ้าจะขอยศให้กันก็อั้นไว้ก่อน รอไว้ขอให้กันเป็นจอมพลเลย”
พวกนายสิบหน่วยกล้าตายหัวเราะ คิกคักไปตามกัน ต่อจากนั้นก็เคลื่อนที่กันต่อไปในแนวของเขมร
เพื่อตรวจดูกำ ลังรบของข้าศึก ฐานยิงจรวดและสนามบินกลางป่า นอกจากนี้ก็จะก่อวินาศกรรมทุกสิ่งทุก
อย่างเท่าที่จะทำ ได้
ฝนตกพรำ ตั้งแต่ ๒๐.๐๐ น. จนกระทั่งรุ่งอรุณของวันใหม่
หน่วยกล้าตายพักแรมอยู่ในถํ้าที่ภูเขาเล็ก ๆ ลูกหนึ่งท่ามกลางป่าดงพงไพร และห่างไกลจากเส้น
ทางคมนาคมห่างจากวงคีรีหรือเขาวงประมาณ ๖ กิโลเมตร
นายพลดิเรกปลุกทุกคนให้ลุกขึ้นในเวลา ๐๖.๐๐ น. ถ้าอยู่ในเมืองหรือชายทะเลก็สว่างแล้ว แต่ใน
ป่ายังมืดขมุกขมัว ส.อ. ย้อย สีไพล กับ ส.ท. สมศักดิ์ พันเลิศ ได้รับคำ สั่งจากนายพลดิเรกให้ออกไปลาด
ตระเวนตรวจจดุ ขา้ ศกึ และคน้ หาลาํ ธารและหนองนาํ้ เพื่อจะได้อาบกินกัน
การร่วมเป็นร่วมตายทำ ให้นายสิบทั้ง ๑๐ คนและคณะพรรคสี่สหายกับ เจ้าคุณปัจจนึก ฯ มีความรัก
ใคร่กันอย่างที่สุด ทุกคนรู้สึกดีว่างานสำ คัญที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้มาปฏิบัติหน้าที่ ในดิน
แดนของศัตรูคือในแนวหลังของเขมรนั้น จะต้องมีใครเสียชีวิตตายจากกันไปซึ่งเป็นของธรรมดาของการสู้รบ
นายสิบทั้งสองคน กลับมายังถํ้าที่พักในเวลา ๖.๒๐. น.
“ว่ายังไงน้องชาย” ศาสตราจารย์ดิเรกถาม ส.อ.ย้อย และ ส.ท. สมศักดิ์ ซึ่งยืนตรงอยู่เบื้องหน้าเขา
ขณะที่เขายืนหน้าถํ้า กับ พล และ เสี่ยหงวนรอคอยฟังข่าวจากสองนายสิบที่ใช้ไปลาดตระเวน
ส.อ. ย้อยรายงานฉาดฉาน
“ไม่มีทหารข้าศึกอยู่ในบริเวณนี้ครับ แต่ไกลจากที่พักของเราราว ๕๐๐ เมตร มีหมู่บ้านของชาวบ้าน
ป่าราว ๑๐ หลังคาเรือน ถ้าท่านอนุญาตผมจะถอดเครื่องแบบออกปลอมแปลงตัวเป็นชาวเขมรไปขอซื้อ
อาหารมาให้พวกเรารับประทานกันครับ”
พ.อ. พลพูดเสริมขึ้น
“ต้องคิดให้ดีก่อนย้อย ถ้าชาวบ้านป่าเป็นพวกรัฐบาลสีหนุแหะสงสัยว่าลื้อเป็นคนไทย มันจะช่วย
กันเล่นงานลื้อทันที”
“แต่ผมพูดเขมรได้ดีเหมือนกับชาวเขมร นี่ครับผู้การ”
“ใช่ แต่ลื้อจะให้เหตุผลอย่างไรล่ะ ที่ลื้อบุกป่าฝ่าดงมาทางนี้แล้ว ก็ขอซื้ออาหารตั้งเยอะแยะ สำ หรับ
คนเกือบ ๒๐ คน”
พ.อ. กิมหงวนพูดเสริมขึ้น
“เอายังงี้เถอะ อั๊วกับผู้การนิกรไปกับลื้อสองคนก็แล้วกัน แต่เราจะกอดเครื่องแบบออกซ่อนไว้ในถํ้า
นี้ แต่งกายเป็นราษฎรเขมรชั้นตํ่าหรือพวกเราไร่ซึ่งเรามีอยู่แล้ว เอาปืนพกและระเบิดมือติดตัวไป ก่อนที่เราจะออกปากขอซื้ออาหารมากินกัน เราจะหยั่งท่าทีฟังเสียงของชาวบ้านป่าเขาดูก่อน
นายพลดิเรกหันมามองหัน เสี่ยหงวน
“เสี่ยงมากไปหน่อยไอ้หงวน”
อาเสี่ยยิ้มด้วยมุมปากข้างขวา
“เรากำ ลังทำ งานให้แก่ประเทศชาติ และกองทัพของเรา เรื่องตายเป็นเรื่องเล็ก ให้กันไปเถอะนะ กัน
ไปกับอ้ายกรและนายสิบสองคนนี่ ถ้าหากว่าแกได้ยินเสียงปืนดังขึ้นก็รีบพาพวกเราไปช่วยเรา”
“โอ.เค.เตรียมตัวไปได้”
แล้วเขาก็หันมายิ้มให้นายสิบทั้งสอง “เธอสองคนต้องเสี่ยงชีวิตนะหมู่”
ส.ท. สมศักดิ์ชิดเท้าตรงแล้วกล่าวกับนายพลดิเรกทันที
“เราก็เสี่ยงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ครับ ผมเป็นชายโสดครับลูกเมียไม่มี มีแต่แม่ยายคนเดียวไม่มี
อะไรที่ผมจะต้องห่วงใย่หรอกครับ”
ดร. ดิเรกกลืนนํ้าลายเอื้อก
“ไม่มีเมียไหงมีแม่ยาย”
“แฮ่ะ แฮ่ะ ภรรยาผมเท่งทึงไปเมื่อปีกลายนี้ครับ ผมก็เลยรับเลี้ยงดูให้ความอุปการะแม่ยายผม”
เสี่ยหงวนหัวเราะเบา ๆ
“แม่ยายลื้อแก่หรือยัง”
“ยังสาวครับ แล้วก็สวยด้วย อายุ ๕๓ ปีเท่านั้น ส่วนสัด ๓๖–๒๓–๓๔ แจ๋วไปเลยครับ ตอนหัวคํ่า
วานนี้ก่อนที่ผมจะเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน ที่ดอนเมืองกอดห้นกอดหลังผมร้องไห้สะอึกสะอื้น น่าสงสาร
กลัวว่าผมจะเพลี่ยงพลํ้าถูกยิงตาย แหละหล่อนจะต้องเป็นหม้าย
“ว้า” ดร. ดิเรกคราง “ถ้างั้นละก้อเมียโว้ย ไม่ใช่แม่ยาย”
“นั่นนะซิครับ แต่หล่อนเป็นแม่ยายของภรรยาผมที่ตายไป”
ทุกคนพากันเดินเข้ามาในถํ้าตื้น ๆ แต่มีบริเวณกว้างขวาง หน่วยกล้าตายต่างนั่งพักผ่อนสนทนากัน
อยู่ในถํ้า นิกร เพิ่งตื่นนอนนั่งเมาขี้ตาอยู่บนแท่นหินข้างเจ้าคุณปัจจนึก ฯ กับเจ้าแห้ว อาเสี่ยพยักหน้ากับนิกรแล้วกล่าวขึ้นทันที
“ไปโว้ยอ้ายกร ไปซื้ออาหารที่หมู่บ้านของพวกชาวบ้านป่ามากินกัน”
นิกรยิ้มแป้นลุกขึ้นยืนอย่างสอชื่น
“เออ-ยังงี้ค่อยมีชีวิตชีวาหน่อย กันกำ ลังปรารภกับพวกเราอยู่ทีเดียวว่า วันนี้จะเอาอะไรกินกัน เรา
ไม่ได้มีเสบียงติดตัวมาเลย” แล้วเขาก็หันมาถามนายสิบทั้งสองคน “เธอออกไปลาดตะเวนเจอหมู่บ้านเรอะ”
“ครับผม” ส.อ. ย้อยตอบ
“ร้านกาแฟหรือร้านขายของเบ็ดเตล็ดมีบ้างไหม”
ส.อ. ย้อยยิ้ม
“นี่มันในป่านะครับผู้การ ไม่มีหรอกครับ หมู่บ้านที่ผมกับสิบโทสมศักดิ์ พบก็เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ
แต่ก็พอจะหาซื้ออาหารสดแห้งจากพวกเขาได้บ้าง”
“ว้า-แล้วอั๊วจะทำ อย่างไร อั๊วไม่มีแปรงสีฟันและยาสีฟัน ลืมเอามาวะ
เสี่ยหงวนจุ๊ปาก
“อย่าให้มันมากเรื่องหน่อยเลยวะ วันสองวันไม่ได้สีฟัน อย่างมากก็มีขี้ฟันหนาห้าหกหุนเท่านั้น
เปลี่ยนเครื่องแต่วตัวเถอะ ถอดเครื่องแบบแล้วปลอมตัวเป็นชาวเขมร”
นายพลดิเรกยอมือจับแขน ส.อ. ย้อยแล้วพูดยิ้ม ๆ
“ถอดเครื่องแบบออกได้แล้ว เอาแต่เอาแต่ปืนพกและระเบิดมือไป ถ้าคับขันต้องสู้ตายนะ”
“รับรองครับ” ผมสู้แค่ตายเท่านั้นท่านกับพวกเราไปล้างหน้าหรืออาบนํ้าที่ลำ ธารเถอะครับ ตรงไป
ข้างหน้าห่างจากที่พักของเราไม่ถึงร้อยเมรต มีลำ ธารเล็ก ๆ อยู่สายหนึ่ง”
“ออไร๋ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกครับหมู่”
ใน ๕ นาทีนั้นเอง เสี่ยหงวนกับนิกรพร้อมด้วย ส.อ. ย้อย สีไพล และ ส.ท. สมศักดิ์ พันเลิศก็พากัน
ออกจากถํ้าที่พักมุ่งตรงไปยังหมู่บ้าน ของชาวป่าทั้ง ๔ คนแต่งกายแบบชาวพื้นเมืองชาวเขมรซึ่งคล้ายกับ
พวกชาวไร่ชาวนา หรือคนจน ส.อ.ย้อยเดินนำ หน้า ต่างคนต่างสอดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความระมัก
ระวังตัวกลัวจะถูกทหารเขมรบุกเข้าโจมตี เมื่อมาถึงแอ่งนํ้าแห่งหนึ่งหน่วยกล้าตาย ก็แวะล้างหน้าบ้วนปาก
แล้วพากันเดินต่อไป
บริเวณป่าตอนนี้บางแห่งก็เป็นป่าโปร่งคล้ายกับละเมาะ มีต้นไม้เล็ก ๆ และต้นเถาวัลย์ปกคลุมไป
ทั่วเมื่อได้ยินเสียงมีดหรอขวานตัดไม้ดังแว่วมาแต่ไกล ทั้ง ๔ คนหยุดชะงัก ขณะนี้บริเวณป่าอันกว้างใหญ่
ไพศาลสว่างขึ้นตามลำ ดับ
“พวกชาวบ้านป่าเขาออกมาตัดฟืนน่ะครับ” ส.ท. สมศักดิ์รายงานให้สองสหายทราบ “เราเข้าไปหา
เขาเถอะครับผมจะลองเจรจา กับเขาทาบทาม ขอซื้ออาหารไปให้พวกเรา”
นิกรยิ้มแห้ง ๆ
“เสียงคนตัดฟืนแน่นะ”
“ครับ”
ไม่ใช่ผีป่านะหมู่ คนน่ะอั๊วไม่กลัวหรอก แต่ผีอั๊วยอมรับว่าอั๊วกลัวผีอย่างบอกไม่ถูก”
ส.ท. สมศักดิ์อดหัวเราะไม่ได้
“นี่มันสว่างแล้วครับผู้การ ผีที่ไหนมันจะมาหลอกเราล่ะครับ”
“ว่าได้รึ ผีชั้นดีหรือผีที่ดุร้ายมันหลอกคนได้ทุกเวลาไม่เลือกว่ากลางคืนกลางวัน”
เสี่ยหงวนมองดู พ.อ. นิกร อย่างขบขัน
“แกเป็นทหารนายพันเอกกลัวผีมีอย่างหรือวะ”
“อ้าว-นายพลบางคน เล่าเรื่องผีให้ฟังยังกระโจนขึ้นไปบนนั่งบนตักเมียนี่หว่าดูท่านรอง ฯ เป็นยังไง
วันนั้นท่านเชิญเราไปกินข้าวที่บ้าน พอกันเล่าเรื่องผีตายท้องกลมให้ฟัง ท่านแผ่นขึ้นไปนั่งบนตักคุณหญิง
ของท่าน ท่าทางบอกให้รู้ว่าท่านกลัวผีพอ ๆ กับกัน”
ทั้ง ๔ คนพากันเดินตรงไปยังเสียงตัดไม้ดังโป๊ก ๆ ได้ยินถนัดทุกที งูเห่าดงชูคอขึ้นแผ่เบี้ยห่างจาก
เท้าเสี่ยหงวนเพียง ๒ ฟุดเท่านั้น แทนที่กิมหงวนจะตกใจร้องเอะอะหรือเผ่นหนี เขากลับยกเท้าขวาเตะถูกใต้คางงูเง่าตัวนั้นเต็มแรงเกิดทำ ให้เห่าดงผงะหงายเห็นท้องขาวและรีบคลานหนีไป
“เล่นไม่รู้จักเล่น” อาเสี่ยพูดเสียงกร้าว “กำ ลังเคร่งเคลียดเสือกโผล่หน้ามาจะฉกตวัก”
นายสิบทั้งสองคนต่างตื่นเต้นแปลกใจไปตามกันเท่าที่ พ.อ. กิมหงวนใจเด็ดเช่นนี้ ราวกับว่างูเห่า
เป็นงูเขียวหรือสัตย์เลื้อยคลานจำ พวกตะขาบหรือแมลงป่อง ส.อ. ย้อย กับ ส.ท. สมศักดิ์พาสองผู้บังคับการบุกเข้ามาจนถึงป่าไผ่แห่งหนึ่ง และแล้วทุกคนก็แลเห็นชาวเขมรในวัยกลางคนนุ่งกางเกงเก่า ๆ ตัวหนึ่งไม่ได้สวมเสื้อกำ ลังใช้ขวานตัดไม้ไผ่เพื่อเอาไปจักสาน ทำ ลำ แพนกันแดดกันฝน ที่กระท่อมของเขา
ชายกลางคนมัวแต่สนใจกับการตัดไม้ หารู้ไม่ว่าหน่วยกล้าตายของไทยทั้ง ๔ คนได้เข้ามาหยุดยืน
จนใกล้จะถึงตัวเขา
“พี่ชาย” ส.อ. ย้อยเรียกเป็นภาษาเขมร ชาวบ้านป่าวัย ๔๐ ปีหันขวับมามองดูสองสหายกับนายสิบ
ทั้งสองคนทันทีเขาลืมตาโพลง ปล่อยขวานหลุดจากมือ แล้วกล่าวขึ้นเป็นภาษาไทยเสียงแปร่ง ๆ
“ทหารไทย พวกคุณเป็นทหารไทยนี่ครับ”
เสี่ยหงวนกล่าวถาม ส.ท. สมศักดิ์ทันที
“ช่วยแปลหน่อยซิเราว่ายังไง”
นิกรตวาดแว็ด
“ไม่ต้องโว้ยเขาพูดภาษาไทย”
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาหาในท่าทางร้อนรน และแล้วเขาก็ยกมือไหว้เสี่ยหงวน แน่ใจว่าอาเสี่ยเป็นทหาน
ไทยและเป็นผู้มีอาวุโส
“สวัสดีครับถึงแม้พวกคุณแต่งตัวเป็นชาวเขมรแต่ผมก็รู้ว่าพวกคุณเป็นทหารไทยที่กะโดดร่มลงมา
เมื่อตอนดึกเมื่อคืนนี้ ผมเป็นมิตรคนไทยและทหารไทยครับ”
เสี่ยหงวนยิ้มให้
“สะลาม บาบู”
“เฮัย” นิกรเอ็ดตะโร “เขมรนะโว้ยไม่ใช่แขกพูดกับเขาอย่างที่เราพูดกับคนไทยนั่นแหละ”
ชาวบ้านป่าพูดเสริมขึ้นทันที
“พวกคุณรีบหลบไปเถอะครับอย่าเข้าไปในหมู่บ้านของผมเป็นเป็นอันขาดเมื่อกี้นี้เอง ขณะที่ผม
ออกมาตัดไม้ มีทหารเขมร ๖ คนเข้ามาที่หมู่บ้านครับ นายทหารเป็นร้อยเอก มันถามผมว่าเห็นทหารไทยมาป้วนเปี้ยนแถวนี้บ้างไหมผมบอกว่าไม่เห็นมันก็ขู่ผมว่า ถ้าจับได้ว่าผมโกหกมันจะยิงทิ้ง แล้วมันก็พากันเข้าไปในหมู่บ้านครับ อย่างไรก็คงบังคับพวกเราให้หาข้าวปลาให้มันกิน”
อาเสี่ยยิ้มแป้น
“ทหารเขมร ๖ คน”
“ครับ มีปืนกลเบาหนึ่งกระบอกครับ”
“มีระเบิดมือและวิทยุสนาม หรือเปล่าน้องชาย” กิมหงวนถาม
ชายผู้นั้นนิ่งคิด
ไม่มีครับ ผมเชื่อว่าขณะนี้ทหารเขมรไม่ตํ่ากว่าหนึ่งกองร้อยคงจะแยกย้ายกันค้นหาพวกคุณครับ รีบ
หนีไปเถอะครับ”
เสี่ยหงวนยื่นมือให้จับ
“ขอบใจมากน้องชายที่มีเจตนาดีต่อพวกเรา ถูกละเราเป็นทหารไทยที่กระโดดร่มลงมาเมื่อคืนนี้
น้องชายเป็นใครล่ะบอกเราซิ”
“ผมชื่อดวดครับ”
“ดวดเฉย ๆ หรือศรีดวด หรือทอดดวด”
“ดวดเฉย ๆ ครับ”
“นิกรว่า “จะซักหาหอกอะไรวะจะเอายังไงก็ว่ามา แต่ไม่ใช้ล่าถอยกลับไปหาพวกเรา บุกมันเถอะ
อ้ายหงวนมันหกคนเราสี่คนเราสู้ได้แหง ๆ”
“สู้ซิวะใครบอกหนี ทหารไทยหนีข้าศึกมีที่ไหนวะ เดี๋ยว….ให้กันเจรจากับนายดวดก่อน” พูดจบ
เสี่ยหงวนก็ส่งธนบัตรใบละร้อยเหรียณปึกหนึ่ง ให้ชาวบ้านป่า “เอ้า-ฉันให้เงินนายดวดไว้ดูเล่นต่างหน้าฉัน
พันเหรียน”
นายดวดดีใจจนเนื้อเต้น
“คุณให้เงินผมตั้งพัน”
เสี่ยหงวนพยักหน้า
ใช่ นายดวดไม่ต้องส่งชิ้นส่วน หรือตอบปัญหาใด ๆ ก็ได้เงินจากฉันเป็นการตอบแทนที่นายดวด
หวังดีต่อพวกเราพาเราไปเล่นดวด…เอ๊ย…พาเราไปที่หมู่บ้านเถอะนายดวด เราสี่คนจะจักการกับทหารเขมรเอง”
“โอ๊ยมัน ๖ คนนะครับ แล้วก็มีปืนกลเบาด้วยอ้า-ผมเคยเป็นทหารมาแล้วครับ ผมรู้ดีว่าปืนกลเบามัน
มีอำ นาจการยิงร้ายแรงเพียงใด”
นิกรว่า “แต่เรามีระเบิดมือและปืนพกนะน้องชาย ไปเถอะน่า เราจะเปิดฉากบู๊ให้แกดูแกจะได้รู้ว่า
หน่วยจู่โจมของทหารไทยนั้น ทำ การรบแคล่วคล่องว่องไวและดุเดือดเพียงใด”
นายดวดยิ้มออกมาได้
“ถ้าพวกคุณมั่นใจอย่างนี้ก็เอาซิครับ ผมจะพาไปที่หมู่บ้านเดี๋ยวนี้ พวกเราชาวบ้านป่าเป็นเขมร
อิสระครับ เราเกลียดรัฐบาลเจ้าสีหนุมานานแล้ว กดขี่บีบคั้นชาวเขมรอย่างทารุณ พวกทหารที่มาในป่าก็แย่งชิงข้าวของพวกเราและขอยืมเมียพวกเราไปเป็นเมียมันชั่วคราวลูกเขาเมียใครไม่ฟังเสียง ใครช่วยเหลือหรือกีดกันก็ถูกยิงทิ้ง เมียผมเคยอยู่ร่วมชีวิตกันด้วยความผาสุก พอทหารเขมรฝึกรบในป่า เมื่อห้าหกเดือนก่อนเตรียมบุกไทย ทหารเขมรก็ทารุณเมียผมจนตาย” พูดจบเขาก็ขบกรามกรอด “เราขาดผู้ที่เข้มแข็งครับประชาชนชาวเขมรจะลุกฮือขึ้นทันที ถ้าเรามีผู้นำ ที่สามรถ”
นายดวดพาสองสหายกับนายสิบทั้งสองคนบุกไปยังหมู่บ้านของเขาและอ้อมเข้าทางหลังบ้าน ซึ่ง
เป็นป่าทึบยากที่จะมองเห็นตัวกัน
ในที่สุดหน่วยกล้าตายของไทยทั้ง ๔ คนก็แอบเข้ามาซ่อนตัวอยู่หลังกระท่อมหลังหนึ่ง ต่างยืนก้ม
ตัวเมียงมองเข้าไปในหมู่บ้าน จนกระทั่งชายชราในวัย ๖๐ ปีเศษ เจ้าของกระท่อมหลังนี้ถือถังนํ้าไม้เดินออกมาทางประตูหลังกระท่อมเพื่อจะไปตักนํ้าในลำ ธาร
“อา อาป๊อก” นายดวดร้องเรียกพอได้ยิน ชายชราหยุดชะงัก นายดวดกับหน่วยกล้าตายต่างปรากฏ
ตัวให้เห็น นิกรกล่าวถามนายดวดเบา ๆ
“ชื่อป๊อกเรอะ”
“ครับ”
“ป๊อก ๒๑ หรือป๊อก ๑๕“
“ยังไงก็ไม่ทราบครับ”
ลุงป๊อกชายชราเจ้าของร่างเล็กแต่แข็งแกร่ง เข้ามาหยุดยืนมองดูหน่วยกล้าตายอย่างตื่น ๆ นายดวด
กระซิบกระซาบถามเป็นภาษาเขมร
“อ้ายพวกทหารมันอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่บ้านนายเหลี่ยม นี่ทหารไทยปลอมตัวมาใช่ไหม”
“ถูกแล้วอา มันข่มเหงรังแกพวกเราหรือเปล่า”
ชายชราสั่นศีรษะ
“ไม่ได้ทำ อะไรใครหรอกนอกจากบังคับให้พวกเราหุงข้าวให้มันกิน พวกผู้หญิงหลบหนีกันไป
หมดแล้วข้าบอกให้ไปซ่อนตัวอยู่บนเขาลูกโน้น”
“แล้วทหารมันว่ายังไง”
“นายทหารมันขู่ว่าในชั่วโมงนี้ ถ้าไม่พาผู้หญิงในหมู่บ้านนี้มาให้มันจะยิงนายเหลี่ยมเสีย ในฐานที่
นายเหลี่ยมเป็นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเรา”
“ดีแล้วอา อากลบไปเสียเถอะ ฉันจะให้ทหารไทยทั้งสี่คนเข้าไปซ่อนในกระท่อม และฉันจะไป
หลอกผู้บังคับกองว่าฉันพาผู้หญิงชาวบ้านป่ามาให้มันคนหนึ่งแล้วให้มันมาที่นี่ พวกทหารไทยจะได้จัดการกับผู้บังคับกอง เมื่อไม่มีผู้บังคับกอง เราก็ช่วยกันเก็บทหาร ๕ คนนั่นเสีย”
ส.อ. ย้อยพูดเสริมขึ้นเป็นภาษาเขมร
“เป็นความคิกที่ดีมาก นายดวดรีบไปเถอะพวกเราจะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ ในกระท่อมหลังนี้แหละ”
พูดจบเขาก็หันมาอธิบายให้นิกร กับเสี่ยหงวนทราบ เท่าที่นายดวดกับชายชราได้ปรึกษาหารือกัน
นายดวดกับลุงป๊อก พากันเดินอ้อมไปทางหน้าหมู่บ้านของพวกชาวบ้านป่า เสี่ยหงวน กับนิกรและ
นายสิบทั้งสอง รีบบุกเข้าไปในกระท่อมหลังนั้นทันทีต่างคนต่างเตรียมพร้อมที่จะจักการกับทหารเขมร
ใน ๕ นาทีนั้นเอง นายทหารเขมรซึ่งมียศเป็นร้อยเอกแต่งเครื่องฝึก สวมหมวกแก๊ปทรงอ่อนคน
หนึ่งได้เดินตามนายดวดตรงมาที่กระท่อมหลังนี้อย่างร้อนรนด้วยความหวังที่จะได้ชื่นชมผู้หญิงชาวบ้านป่าโยไม่ต้องคำ นึงว่ารูปร่างหน้าตา หรือมีวัยคราวไหน
ประตูหน้ากระท่อมเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ร.อ. ขจร กระเดือดเด่น ผู้บังคับกองร้อยหนุ่มวัย ๓๕ ปี
ยกมือจับแขน นายดวดดึงตัวไว้ แล้วยิ้มแสยะตามแบบของนโรดมสีหนุ
“สวยแน่นะ อ้ายดวด”
“โอ้โฮ หยดย้อยเลยครับ แต่ผมบอกนายแล้วว่าอายุมากไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรข้าไม่รังเกียจ กระดังงาถ้าลนไฟก็ยิ่งหอม อายุเท่าไหร่วะ”
นายดวดแกล้งทำ เป็นนิ่งคิด แล้วพูดยิ้ม ๆ
ราว ๖๔ ครับ”
ร.อ. ขจรกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“๖๔….ยังนั้นกูกลับไปที่บ้านอ้ายเหลี่ยมดีกว่า ๖๔ น่ะขนาดยายกูนะโว้ย”
“๔๖ น่ะครับไม่ใช่ ๖๔“
“อ๋อ ถ้ายังงั้นใช้ได้ มึงจะไปไหนก็ไปส่งกูแค่นี้แหละ แต่ถ้าไม่มีผู้หญิงอยู่ในกระท่อมนี้กูจะยิงมึงทิ้ง
เสีย”
ร.อ. ขจร นายทหารเขมรหนุ่มพาตัวเดินก้าวขึ้นไปบนระเบียงหน้ากระท่อมแล้วยกเท้าขวาถีบประตู
ออกบุกเข้าไปในกระท่อมอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะหวังที่จะชื่นชมผู้หญิงชาวบ้านป่า แต่แล้วเขาก็หยุด
ชะงักกลางห้อง เมื่อแลเห็นนิกรกับเสี่ยหงวน และนายสิบหน่วยกล้าตาย ทั้งสองคนยืนอยู่คนละมุมห้อง
ถึงแม้ทุกคนแต่งกายแบบชาวพื้นเมือง ร.อ. ขจรก็รู้ทันทีว่าทั้งสี่คนเป็นทหารไทย ที่กระโดดร่มลง
มาเมื่อคืนนี้ นายทหารเขมรยกมือตะครุบด้ามปืนพก ๑๑ มม. ในซองปืน พลางถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว แต่ก่อนที่เขาจะกระชากมัน ออกมายิงหน่วยกล้าตายคนใดคนหนึ่ง พ.อ. กิมหงวนก็ปราดเข้าเตะด้วยเท้าขวาเต็มแรงเหนี่ยว ถูกใบหน้าซีกซ้ายของนายทหารหนุ่มเต็มรักเสียงดังฉาด
ร.อ. ขจร เซถลาไปทาง ส.ท. สมศักดิ์ เพราะแรงเหวี่ยงของเท้า สมศักดิ์ถือโอกาศกระตุกปืนพก
ของนายทหารหนุ่มออกมาจากซองปืนอย่างแค่ลว คล่องว่องไว แล้วผลัก ร.ท. ขจร เข้าไปหาเสี่ยหงวน
มวยนอกเวทีภายในกระท่อมแคบ ๆ เป็นไปอย่างดุเดือด ร.อ. ขจร รัวหมัดซ้ายขวาเข้าใส่อาเสี่ยอย่าง
รวดเร็ว กิมหงวนไม่ยอมล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว เขาแยกเขี้ยวยิงฟันชกหมัดเหวี่ยงแห แล้วกระโดดตีเข่าลอยทำ ให้ แล้วกระโดดตีเข่าลอยทำ ให้ ร.อ. ขจร ล้มลงมือยันพื้นกระท่อมสะบัดหน้าเร่า ๆ
นิกรหัวเราะชอบใจ เขาพูดพลางหัวเราะพลาง
“สู้เขาลูกพ่อ ลูกขึ้นโว้ย ไม่ต้องกลัวว่าพวกเราจะใช้วิธีกลุ้มรุมแกหรอก ลุกขึ้นซีผู้กอง”
นายทหาร เขมร มานะกัดฟันลุกขึ้นปรี่เข้าเตะอาเสี่ยด้วยเท้าขวา กิมหงวนชกสวนด้วยหมัดขวา ถูก
หน้า ร.อ. ขจร ระหว่างปากครึ่งจมูกครึ่ง แล้วปราดเข้าประชิดตัวชกซ้ายขวาอย่างแค่ลวคล่องว่องไว ฮุคขวาของอาเสี่ยลั่นตูมถูกคาง ร.อ. ขจรอย่างเหมาะเจาะผู้บังคับกองล้มฮวบลงกลางห้องบิดตัวไปมา เสี่ยหงวนก้มลงมองดูคู่ต่อสู้ของเขา
“ไง-สู้อีกไหมน้องชาย”
ร.อ. ขจร รวบรวมกำ ลังลุกขึ้นนั่งเหยียดเท้าด้วยความลำ บากยากเย็นแล้วยกมือขวาขึ้นโบก
“ยอมแพ้ครับ” เขาพูดภาษาไทยชัดเจนแต่เสียงอ้อแอ้ “คุณสูงกว่าผมตั้งคืบ มือและเท้าก็ยาวกว่าผม
ใครจะสู้ไหว”
เสี่ยหงวนยิ้มแป้น ประคองนายทหารเขมรให้ลุกขึ้นยืน
“เชิงมวยของลื้อไม่ได้ความเลยโว้ย อั๊วชกส่งเดชไม่มีสไตล์ลื้อยังแพ้อั๊ว” พูดจบเขาก็หันมาทาง ส.อ.
ย้อย “ช่วยหน่อยซีย้อย ไปที่บ้านนายเหลี่ยมล้อทหารเขมรมาที่นี่อีกสักคน บอกมันว่าผู้กองเรียก”
“ครับ-ได้ครับ ผู้การมัดอ้ายหมกนี่ไว้เถอะครับ” แล้วเขาก็รีบผลุนผลันออกไปจากกระท่อมด้วย
ความดีใจ ร.อ. ขจร หน้าตาปูดโปนฟกซํ้าดำ เขียว เขาถูกปลดอาวุธและตกเป็นเชลยของทหารไทยแล้ว นิกรถือปืนพกยืนเตรียมพร้อมยิงทหารหนุ่ม ผู้นี้ตลอดเวลา เสี่ยหงวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นึกชมตัวเองที่ชั้นเชิงมวยของเขายังดีอยู่
“ลื้อเป็นใครวะผู้กอง” กิมหงวน
“ไม่บอก” ร.อ. ขจรตวาด
นิกรยกกระบอกปืน จี้รูหูข้างขวาของนายทหารเขมรแล้วพูดเสริมขึ้น
“ถ้าไม่บอกอั๊วยิงหูขวาทะลุออกหูซ้าย เร็ว-บอกมาตามตรง แกซื่ออะไร”
“ปอกก็ได้” นายทหารเขมรขบกรามพูด “กันคือร้อยเอกขจร กระเดือกเด่น”
นิกรสะดุ้งเล็กน้อย
“ชื่อเพราะดี แต่นามสกุลออกจะแหวกแนวสักหน่อย” แล้วนิกรก็ยักคิ้วให้เชลยของเขา “อั๊วจะเอา
ตัวลื้อร่วมงานกับเราด้วยผู้กอง ลื้อจะต้องให้ความรู้แก่เราเกี่ยวกับกำ ลังรบของเขมร บอกความจริงทุกอย่างเท่าที่เราต้องการรู้ ถ้าโกหกหรืออำ พรางลื้อก็เน่า ถ้าช่วยเราทำ งานจนสำ เร็จ เราจะให้อิสรภาพลื้อ ให้ลื้อได้ไปเห็นหน้าลูกเมียของลื้อในเมื่อเราทำ งาน เรียบร้อยแล้ว”
ร.อ. ขจร หน้าจ๋อย
“เอา-เอายังไงก็เอาเถอะครับ ผมตกอยู่ในอำ นาจของพวกคุณแล้ว”
เสี่ยหงวนเลื่อนตัวเข้ามาหา ส.ท. สมศักดิ์
“น้องชาย หาเชือกสักเส้นเอามามัดมือผู้กองแล้วลื้อพา ออกไปควบคุมตัวไว้ที่กระท่อม เร็ว
หน่อย…ประเดี๋ยวหมู่ย้อยก็จะพาทหารเขมรมาที่นี่อีกคนหนึ่ง”
โดยคำ สั่งของ พ.อ. กมหงวน ส.ท. สมศักดิ์ได้ค้นหาเชือกขดเล็ก ๆ ขดหนึ่ง ในกระท่อมนี้ แล้วเอา
มาผูกมัดข้อมือทั้งสองของนายทหารเขมรอย่างแน่นหนาต่อจากนั้นเขาก็ลากตัว ร.อ. ขจร ออกไปทางหลังกระท่อม นิกรเหน็บปืนพกไว้ใต้เข็มขัด ตามเดิมเอาชายเสื้อปิดไว้ เขาเดินไปที่หน้าต่างหน้ากระท่อม ค่อย ๆ โผล่หน้ามองดู
“มาแล้วโว้ยอ้ายหงวน หมู่ย้อยพานายสิบทหารเขมรมาแล้ว ฮ่ะ ฮ่ะ เราได้ปืนกลเบาใช้ละโว้ย มัน
สะพายเอามาด้วย”
“ดีแล้ว แกจัดการกับมันหน่อยซิ อย่ายิงนะเอามีดเชือดคอมันดีกว่า”
นิกรสะดุ้งโหยง
“ไม่ไหวโว้ยเสียวไส้”
“ถ้ายังงั้นตามใจแก” กิมหงวนกล่าวอย่างโมโหเดือด
สองสหายหลบอยู่ข้างประตูหน้ากระท่อมคนละด้าน จนกระทั่ง ส.อ. ย้อย ซึ่งอยู่ในบทบาทของ
ราษฎรชาวเขมร พานายสิบร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามา เขาแต่งเครื่องแบบฝึก สวมหมวกแก๊ปทรงอ่อนมีเครื่องหมายยศ คือ บั้งผ้าปะติดกับแขนเสื้อข้างซ้ายเป็นสิบโทบ่าขวาของเขา สะพายปืนยองเร็วที่ทำ จากประเทศคอมมิวนิสต์ นายสิบผู้นี้ไม่ใช่แซ่หลีเหมือนกับ ร.อ. ขจรผู้บังคับกองของเขา แต่เมื่อ ส.อ. ย้อยไปตามที่บ้านนายเหลี่ยม บอกว่าผู้บังคับกองต้องการพบตัวเขาก็รีบมาที่นี่
พอเข้ามาในกระท่อม ส.ท. เลื่อน เขมรหนุ่มวัย ๓๐ ปี ก็ถูก ส.อ. ย้อยของเราเอาปืนพกจี้หลังทันที
และแล้วนายสิบเขมร ก็ได้เผชิญหน้ากับนิกรและกิมหงวน
“เจาะเหนียง” เขาอุทานออกมาเป็นภาษาของเขาด้วยเสียงหนัก ๆ
นิกรเดินยิ้มกริ่มเข้ามาหา
“พวกเราทหารไทยไม่โหดเหี้ยมทารุณถึงกับเจาะเหนียงแกหรอกเพื่อน” แล้วนิกรก็ปลดปืนยิงเร็ว
ลงมาจากบ่าของส.ท. เลื่อนมายึดไว้ “พูดไทยได้ไหมล่ะน้องชาย”
ทหารเขมรสั่นศีรษะแล้วตอบนิกรด้วยภาษาไทย
“พูดได้หน่อย ผมเคยไปเรียนหนังสือที่เมืองจันท์ พอจบชั้นมัธยมสามหรือเดี๋ยวนี้คือ ป.๗ ผมก็กลับ
มาอยู่เขมร”
นิกรถอยหลังออกไปปลดเซฟปืนยิงเร็ว ยกขึ้นจ้องทำ ท่าเหมือนจะสังหารนายสิบเขมร ส.ท. เลื่อนชู
มือขึ้นเหนือศีรษะ ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความรักตัวกลัวตาย
“อย่าฆ่าผมเลยนะครับ ผมเป็นทหารชั้นนายสิบเท่านั้น เจ้านายเขาสั่งให้มารบผมก็มาตามคำ สั่ง”
พ.อ. นิกรแกล้งทำ หน้าให้ดุ ๆ แต่ความจริงก็ไม่ดุอะไร
“ถ้าไม่อยากตาย บอกมาเดี๋ยวนี้ทหารเขมรกำ ลังติมตามล่าพวกเราที่โดดร่มมาเมื่อคืนนี้ใช้ไหม”
“ใช่ครับ”
“มีจำ นวนทหารที่ถูกส่งมาค้นหาเราเท่าไร”
“หนึ่งกองร้อยครับ” ส.ท. เลื่อนตอบโดยเร็ว
“ขณะนี้อยู่ที่ไหนบ้าง” นิกรซักต่อไป
“อยู่ในบริเวณป่าแถบนี้แหละครับ แยกย้ายกันออกไปเป็นหมู่ ๆ ผู้กองสั่งให้ทุกคนมารวมกำ ลังกัน
ที่นี่ในเวลา ๘ โมงเช้า”
พ.อ. นิกรพยักหน้ารับทราบ
“พวกแกเป็นทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เขาวังใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“ถ้าเช่นนั้นตอบมาเดี๋ยวนี้ ทหารเขมรที่ตั้งยันกับนาวิกโยธินของเราขณะนี้มีจำ นวนเท่าไร”
ส.ท. เลื้อนอํ้าอึ้ง เขาบอกตังเองว่าทหารเขมรในแนวรบที่นั้นก็ล้วนแต่เป็นพี่น้องร่วมชาติของเขา
“อ้า-ผมไม่ทราบครับ กองร้อยของเราทำ หน้าที่เป็นแนวหนุนเท่านั้น”
นิกรเค้นหัวเราะ
“ถ้ายังงั้นมึงตาย” พูดจบนิกรก็ยกปืนยิงเร็วขึ้นประทับ
“โอ๊ย ๆ กลัวแล้วครับ อย่าฆ่าผมเลยครับแม่ผมแก่แล้ว ทหารไทยใจดีมีศีลธรรมไม่ใช่หรือครับ
ทหารเขมรที่เขาวงมีกำ ลังหนึ่งกองพันครับ”
เสี่ยหงวนโบกมือ ห้ามนิกรแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนเผชิญหน้า ส.ท. เลื่อน เขาชูธนบัตรเขมรใบละร้อย
เหรียญปึกหนึ่งให้ ส.ท. เลื่อนดู
“อ้ายน้องชาย ถ้าแกพูดความจริงนอกจากแกจะรอดตายแล้วแกยังจะได้เงิน ๑,๐๐๐ เหรียญนี่ไว้ใช้”
นายสิบเขมรลืมตาโพลง
“โอ้โฮเฮะ พันเหรียญเชียวหรือครับ ถ้ายังงั้นผมยอมขายชาติครับ ผมไม่ได้เงินเดือนมาสามเดือน
แล้ว อยากรู้อะไรถามมาเถอะครับ”
พ.อ. กิมหงวนยิ้มให้ศัตรู ของเขาแล้วส่งเสริมให้
“แกตอบหน่อยซิ ทหารเขมรทีเขาวงจะถอนกลับที่ตั้งหรือไม่”
“ไม่ครับ มีแต่จะส่งกำ ลังมาเพิ่มเติมเพื่อรบกับไทยให้กองทัพไทยบุกเข้ามาในประเทศเรา
คอมมิวนิสต์จะได้ช่วย เราโดยถือเป็นสาเหตุที่ไทย รังแกรุกรานเขมร วันนี้ตอนบ่ายทหารเขมรอีกสองกอง
พันจะเดินทางมาเสริมกำ ลังที่เขาวงครับ ผู้บัญชาการกองพลจะมาด้วย”
เสี่ยหงวนหันมาทางนิกร
“ม่เลวโว้ยอ้ายกร เราได้ประโยชน์จากเชลยของเราไม่น้อย เอาตัวหมอนี่ไปกับเราเถอะนะ”
นิกรไม่เห็นด้วย
“อย่าเลยวะลำ บากในการควบคุม ปล่อยให้พวกชาวบ้านป่า เขาจัดการดีกว่า เอาผู้กองไปคนเดียวก็
พอแล้ว เราจะต้องทำ ลายทหารเขมร และจุดยุทธศาสตร์ให้ได้ ในวันนี้เพื่อตัดกำ ลังฝ่ายศตรู”
“ถ้ายังงั้นก็ให้หมู่ย้อยเอาตัวไปส่งที่บ้าน นายเหลี่ยม แล้วก็ให้พวกบ้านป่าจัดการกับทหารเขมรที่มี
อยู่เพียง ๕ คน ตามระเบียบ”
ทันใด นั้นเองเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นในหมู่บ้านนี้ ส.อ. ย้อยรายงานให้สองสหายมราบทันที
“ได้เรื่องแล้วครับผู้การ พวกชาวบ้านป่ารุมสกรัมทหารเขมร ๔ คน ที่บ้านนายเหลี่ยมแล้วละครับสี
ยงกู้ตะโกน ทเี่ ราไดย้ นิ บอกใหผ้ มรวู้ า่ เขากาํ ลงั ชว่ ยกนั สงั หารทหารเขมรนนั้ ครบั ”
ส.อ. เลื่อนตัวสั่นงันงก เขาทรุดตัวลงนั่งพับเพียบแล้วกราบลงแทบเท้าของ พ.อ. กิมหงวน
“กรุณาช่วยชีวิตผมเถอะครับ อย่าให้ไพวกชาวบ้านป่าฆ่าผมเลย นึกว่าเลี้ยงผมไว้ดูเล่นสักคนเถอะ
ครับ”
อาเสี่ยหัวเราะ
“หน้าตาแกไม่น่าดูเลยนี่หว่า แต่ว่าเอาเถอะฉันจะช่วยชีวิตแก แต่แกจะต้องไปกับเราด้วย” พูดจบ
เสี่ยหงวนก็เดินออกไปทางหลังกระท่อม ร้องตะโกนเรียก ส.ท. สมศักดิ์ให้พา ร.อ. ขจรเข้ามา
พวกชาวบ้านป่า ซึ่งมีดวดและนายเหลี่ยมเป็นกำ ลังสำ คัญได้ช่วยกัน สังหารทหารเขมร ๔ คนได้
เรียบร้อยแล้วด้วยดาบและไม้พลองคนละตุ้บสองตุ้บแล้วยืดอาวุธไว้ ขณะนี้ชาวบ้านป่าซึ่งเป็นชายฉกรรจ์
ไม่ตํ่ากว่า ๑๐ คนกำ ลังเฮโลตรงมาที่กระท่อมหลังนี้ นิกรสั่งให้นายสิบทั้งสองคน คุมตัวเชลยไว้แล้วพาเสี่ยหงวนออกไปพบกับชาวบ้านป่า
นายดวดปราดเข้ามาหาสองสหาย
“พวกเราฆ่าทหารเขมรได้สี่คนครับ อีกสองคนยังอยู่ในกระท่อม ส่งตัวออกมาให้เราจักการเถอะ
ครับ”
เสี่ยหงวนโบกมือห้าม
“ขอให้เราเถอะพี่น้องที่รัก เราจะได้ประโยชน์จากผู้บังคับกอง และนายสิบที่เราจับได้อย่างมากมาย
ทีเดียว เราจะบังคับให้มันเป็นผู้นำ ทางเราไปดักยิงกองทหารสองกองพันที่จะส่งมาตอนบ่ายนี้ ซึ่งมีผู้บัญชาการร่วมทางมาด้วย และเราจะก่อวินาศกรรมเท่าที่เราจะทำ ได้”
นายดวดหันไปทางพรรคพวกของเขาแล้วอธบายเป็นภาษาเขมรให้ทราบพวกชาวบ้านป่าต่างเห็น
พ้องด้วย แล้วนายดวดก็กล่าวกับสองสหาย
“ตกลงครับ พวกคุณรีบถอยไปเถอะครับ เราจะช่วยกันนำ ศพทหารเขมรไปฝั่งไว้นหหมู่บ้านในที่
ลับตาและกลบเกลื่อน ร่องรอยไม่ให้พวกมัน ที่ตามมารู้ว่าทหารที่ถูกเราฆ่าตายมาที่นี่”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“แต่เราต้องการอาหารเช้า สำ หรับคนประมาณ ๒๐ คน แกช่วยเราหน่อยซิน้องชาย จะเอาเงินสัก
เท่าไรจะจ่ายให้”
“ได้ครับ พวกเราจะจัดให้โดยเร็วที่สุด ให้ฟรีครับสำ หรับทหารไทย พวกผมเขมรอิสระ คือ ศัตรู
ของรัฐบาลนโรดมสีหนุ ขอเวลาให้เราสัก ๑๐ นาทีนะครับ” แล้วเขาก็หันไปทางพรรคพวกของเขาร้อง
ตะโกนบอกเป็นภาษาเขมร “รีบหาข้าวปลาให้พวกทหารไทยไปกินโว้ย”
ชาวบ้านป่าต่างโห่ร้องเกรียวกราวแล้วพากันกลับไปยังบ้านของเขา เพื่อรวบรวมอาหารเท่าที่มีอยู่มา
มอบให้สองสหายด้วยอำ นาจของปืน ร.อ. ขจร กับ ส.ท. เลื่อนจึงต้องนำ หน่วยกล้าตายของไทยรวม ๑๖ คนเดินทางมาที่ทางหลวงสายหนึ่งในตอนสายวันนั้น ซึ่งเป็นเส้นทางที่กองทหารเขมร ๒ กองพันจะเคลื่อนมาใน ตอนบ่ายไปสมทบกับกองพันทหารราบที่ ๖๗ ที่เขาวง คราวนี้เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เป็นผู้วางแผนสังหารข้าศึก ส่วนนายพลดิเรกเตรียมระเบิดสะพานข้ามเหวลึกด้วยรัเบิดที่เตรียมมา
การเตรียมงานได้สำ เร็จเรียบร้อยก่อนเที่ยง คณะพรรคสี่สหายกับนายสิบกล้าตายทั้ง ๑๐ คน ตั้งมั่น
เรียงรายอยู่บนเนินเขา ริมทางหลวงเว้นระยะห่างกันคนละ ๑๕ เมตรเป็นแนวยาว ทุกคนแอบซ่อนตัวอยู่ใน
หมู่ก้อนหินอันเป็นที่อับกระสุนและมองเห็นเป้าหมายเบื้องล่างอย่างถนัด ปืนกลเบา ๘ มม. ที่ยืดมาได้จาก
นายสิบเขมรตั้งจังก้าเตรียมยิง แต่มีกระสุนเพียงซองเดียวอย่างไรก็ตาม หน่วยกล้าตายทุกคนมีปืนกลมือและระเบิดมือที่จะสังหารข้าศึกอยู่แล้ว และบนถนนเบื้องล่างที่มั่น นายพลดิเรกก็ฝังระเบิดไว้
เวลาผ่านไปตามลำ ดับ ร.อ. ขจร กับ ส.ท. เลื่อน ถูกมัดติดกับต้นไม้คนละต้นไม่มีทางที่จะหลบหนี
ไปได้ มิหนำ ชํ้าต้นไม้นั้นยังมีมดแดงชุกชุม ทหารเขมรทั้งสองคนไม่กล้ากระดุกกระดิกกลัวมดแดงจะรุมกินโต๊ะและบุกเข้าไปกัดตามจุดที่เป็นอันตราย
จนกระทั่งนาฬิกาข้อมือของเจ้าคุณปัจจนึก ฯ บอกเวลา ๑๓.๒๐ น. เสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์
บรรทุกทหารก็ดังแว่วมาแต่ไกล ท่านเจ้าคุณร้องตะโกนออกคำ สั่งให้เตรียมยิงข้าศึกทันที
ทหารเขมรเคลื่อนขบวนมาแล้ว นำ หน้าด้วยรถถังคันหนึ่งที่สร้างในฝรั่งเศสติดตามด้วย รถจิ๊ปปัก
ธงสีนํ้าเงิน นายพลดิเรกส่องกล้องมองดูก็แลเห็นนายพลร่างใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ในรถจิ๊ปคันนั้น รถบรรทุก
๑๐ ล้อรวม ๑๕ คันบรรทุกทหารราบเบียดเสียดเยียดยัดกันติดตามมาในระยะใกล้ชิด ขบวนทหารเขมรเดิน
ทางโดยไม่เร่งร้อน ความเร็วของรถบรรทุกประมาณ ๒๕ ไมล์ต่อชั่วโมง
เมื่อรถถังและรถจิ๊ปผู้บัญชาการแล่นข้ามสะพานข้ามเหว ซึ่งมีความยาวราว ๓๐ เมตร นายพลดิเรก
ก็กดสวิทช์ทันที เสียงระเบิดแรงสูงที่พลนำ ไปผูกติดไว้กับเสาได้สะพานหลายลูกได้ระเบิดขึ้นพร้อม ๆ กันสนั่นหวั่นไหว สะพานเหล็กพังทลาย รถถังและรถจิ๊ปปลอยละลิวลงสู่ก้นเหว นายพลเขมรกับทหารประจำ รถถังและรถจิ๊ปเท่งทึงหมดไม่มีใคร รอดขบวนบรรทุกทหารทั้ง ๑๕ คัน หยุดกึกทันที
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ร้องตะโกนสั่งยิงปืนกลมือทุกกระบอกยิงกราดลงไปยังกลุ่มทหารที่อยู่ในรถและกำ ลังลงจากรถ เมื่อถูกจู่โจมโดยไม่รู้ตัวทหารเขมรก็ล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง นายทหารข้าศึกสั่งทหารต่อสู้ แต่แล้วระเบิดมือของหน่วยกล้าตายก็ถูกเหวี่ยงลงมา รถยนต์บรรทุกหลายคันพังพินาศ บางคันก็เกิดไฟไหม้ลุกลาม ทหารเขมรแทบจะคุมกันไม่ติดล่าถอยเข้าป่าริมทางและยิงต่อสู้อย่างดุเดือด
ระหว่างนั้นเอง นายพลดิเรกก็กดระเบิดที่ฝังไว้บนถนนรวม ๕ แห่งในระยะห่างกันแต่ระเบิดขึ้น
พร้อมกัน คราวนี้ทหารเขมรแตกพ่ายหนีเข้าป่า เสียงผู้บังคุบกองพันตะโกนลั่น
“เจาะเหนียง เปิดโว้ยพวกเรา”
หน่วยกล้าตายอยู่บนเนินเขาในที่สูง จึงกราดปืนยิงถูกทหารเขมรล้มตายอีกหลายสิบคน กองพัน
ทหารราบทั้งสองกองพันถูกบดขยี้ด้วยมือทหารไทยเพียง ๑๖ คนเท่านั้น กระสุนดินดำ ในรถเมื่อถูกไฟไหม้ก็ระเบิดกึกก้อง ศาสตราจารย์ดิเรก สั่งหน่วยกล้าตาย ล่าถอยข้ามขุนเขาลูกนั้นเพื่อหลบหนีเข้าเขตแดนไทย การล่าถอยเป็นไปอย่างรวดเร็วฉับพลันเพราะว่าถูกข้าศึกโอบอ้อม ร.อ. ขจร กับส.ท. เลื่อนที่ถูกมัดอยู่กับต้นไม้ต่าง
ตะโกนลั่น
“เอาผมไปด้วยซิครับ ทิ้งไว้อย่างนี้เดี๋ยวเสือมันกินผม กลับมารับผมด้วย”
เสียงเสี่ยหงวนตะโกนตอบ
“ช่วยตัวเองโว้ย”
หน่วยกล้าตายกลับเข้าสู่อาณาจักรไทย ในเขตท้องที่อำ เภอคลองใหญ่ในเวลา ๑๗.๓๐ น. และ
หวุดหวิดจะถูกพรรคนาวิกโยธินของเรายิง เคราะห์ดีที่มีการติดต่อกันทางวิทยุสนามได้สำ เร็จ นายพลดิเรกจึงพาคณะของเขากับนายสิบผู้กล้าหาญทั้ง ๑๐ คนเข้าสู่แผ่นดินไทยได้โดยสวัสดิภาพ
ทหารเขมรที่เขาวงหนึ่งกองพันล่าถอยไปแล้วหลังจากได้ทราบข่าวว่ากองพันทหารราบที่ส่งมา
เสริมกำ ลังถูกโจมตียับเยินในป่าสูง


จบบริบูรณ์

1 ความคิดเห็น: