วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเกลอ ตอน: กงจักรผี



หนังสือพิมพ์รายวันฉบับเช้าและเย็นวันนั้นได้ลงข่าวพาดหัวที่ทำ ให้ประชาชนตื่นเต้นสนใจไม่น้อย วิทยุกระจายเสียงได้อ่านคำ แถลงการณ์ของกองบัญชาการทหารสูงสุดหลายต่อ
หลายครั้งต่อวัน และในตอนหัวคํ่าโทรทัศน์ทั้งสองช่องก็ออกข่าวที่กองทัพเรือของเราต้องเสียเรือรบแห่งกองเรือปราบเรือดำ นํ้าไปหนึ่งลำต่อไปนี้เป็นคำ แถลงการณ์ของกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งกระทรวงกลาโหม

เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๑๐ นี้ เวลา ๑๔.๒๐ น. ร.ล.พระประแดง แห่งกองเรือปราบ
เรือดำ นํ้าได้เข้ารับเวรจาก ร.ล.ขุนช้าง ทำ หน้าที่ลาดตระเวนอ่าวไทยฝั่งตะวันออกระหว่างจังหวัดจันทบุรีและตราด ร.ล.พระประแดง ได้ถูกพายุหมุนชนิดหนึ่งซึ่งก่อตัวขึ้นในอ่าวไทยอย่างไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น พายุหมุนทำ ให้ ร.ล.พระประแดง อับปางทันทีทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะช้าง ห่างจากเกาะช้างเพียง ๓ ไมล์ ร.อ.นิพนธ์ ภานุมาส รน. ผู้บังคับการเรือและนายทหารประจำ เรือเสียชีวิตทั้งหมด เรือของชาวประมงได้ช่วยชีวิตทหารเรือไว้ได้เพียง ๓ นาย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กองทัพเรือแน่ใจว่าทหารประจำ เรือจะต้องเสียชีวิตไป ๔๒ นาย เรือรบของราชนาวี ๕ ลำ และเรือรบของรัฐนาวีอเมริกันอีก ๔ ลำ ก็กำ ลังค้นหาผู้ประสพภัยอยู่ ซึ่งบางนายอาจจะว่ายนํ้าไปขึ้นตามแก่งเกาะเล็กๆแถบนั้นก็ได้



กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๑๐

โดยคำ สั่งด่วนของ พล.อ.วิชิต ชัยสมรภูมิ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายยุทธการ ให้นายทหาร
เสนาธิการทหารเรือ ๓ นายร่วมมือกับคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยสืบสวนความจริง คือเบื้องหลังของพายุหมุนที่ทำ ให้ ร.ล.พระประแดงต้องอับปางแหลกละเอียดจมทะเลไปภายในระยะเวลาสองสามนาที ทั้งนี้มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่แห่งกรมอุตุนิยมวิทยาหนึ่งท่านเข้าร่วมประชุมด้วยที่ห้องประชุมของเสนาธิการทหารเรือในพระราชวังเดิมธนบุรี นายพลดิเรกกับคณะของเขายกเว้น
จ.ส.ท.แห้ว โหระพากุล ได้มาพบกับนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ก่อนเวลาประชุมเพียงเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างรู้จักคุ้นเคยมาก่อนแล้วจึงทักทายโอภาปราศรัยกันเป็นอย่างดี

คณะพรรคสี่สหายกับลูกชายของเขาและเจ้าคุณปัจจนึกฯ แต่งเครื่องแบบนายทหารเรือชุดสีกากี
ประดับเครื่องหมายยศเท่าทหารบก พล.ร.อ.พระยาปัจจนึกฯ สง่าผ่าเผยขึ้นและรู้สึกว่าท่านเป็นหนุ่มขึ้น
เพราะนานๆเจ้าคุณจึงจะแต่งเครื่องแบบนายพลเรือแห่งราชนาวีไทยสักครั้ง ส่วนลูกชายสี่สหายก็รู้สึกว่า ร.อ.พนัส พัชราภรณ ์ รน. หลอ่ เหลาไมน่ อ้ ย สาํ หรบั ร.อ.สมนึก หน้าตาคล้ายๆกับนายทหารเรือจีนชาติการประชุมเริ่มต้นในเวลา ๙.๓๐ น. โดยมี พล.ร.ต.ชอุ่ม เชวงศักดิ์ รองผู้บังคับการกองเรือปราบเรือ
ดำ นํ้าเป็นประธานในที่ประชุมตามคำ สั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด ท่านนายพลเรือผู้นี้คือเพื่อนรักเกลอเก่าของ พล.ร.ต.พล และ น.อ.นิกรของเรานั่นเอง ซึ่งท่านมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเสี่ยหงวนและนายพลดิเรกด้วย มีความเคารพนับถือเจ้าคุณปัจจนึกฯ เป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง และให้ความรักใคร่เอ็นดูลูกชายของสี่สหายเหมือนกับลูกหลานของท่าน

ผู้ที่เข้าประชุมนั่งเรียงรายกันรอบโต๊ะสี่เหลี่ยมยาว และท่านประธานคือท่านรองผู้บังคับการกอง
เรือปราบเรือดำ นํ้านั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ทางขวาของท่านนายพลเรือคือนายทหารเรือ ๓ ท่าน และนายทหารของกรมอุตุนิยมวิทยาอีกท่านหนึ่ง ทั้งสี่นายมียศเป็นนาวาเอก ทางซ้ายของ พล.ร.ต.ชอุ่มคือ พล.ร.ท.ดิเรก พล.ร.ต.พล น.อ.นิกร น.อ.กิมหงวน ร.อ.พนัส ร.อ.นพ และร.อ.สมนึก ส่วนพล.ร.อ.พระยาปัจจนึกฯ นั่งหัวโต๊ะตรงข้ามกับรองผู้บังคับการกองเรือปราบเรือดำ นํ้า โต๊ะประชุมโต๊ะนี้กว้างเกือบ ๒ เมตรและยาว ๕ เมตร พื้นโต๊ะขัดมันเป็นลายไม้สวยงามมาก เบื้องหน้าของผู้ที่ร่วมการประชุมมีกระดาษดินสอและไม้บรรทัดวางไว้ให้ร้อม มีลูกแก้วกลมๆหนึ่งลูกสำ หรับทับกระดาษ แต่ไม่ได้ใช้ขว้างปากันเมื่อเกิดถกเถียงกันจนเกิดอารมณ์ยัวะขึ้นมา

การประชุมนี้เป็นเรื่องลับเฉพาะ หน้าห้องประชุมจึงมีสารวัตรทหารเรือเฝ้ารักษาการอย่างเข้มแข็ง
ไม่ยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดผ่านห้องประชุม เมื่อที่ประชุมเข้านั่งประจำ ที่เรียบร้อย นายทหารเรือนายหนึ่งก็พาจ่าโทายหนึ่งและพลทหารเรืออีก ๒ นายเดินเข้ามาในห้อง พล.ร.ต.ชอุ่มสั่งให้จ่าโททหารเรือและพลทหารเรือทั้งสองนายเข้านั่งโต๊ะทางซ้ายของท่านต่อจากนายทหารเรือทั้ง ๔ นาย และอนุญาตให้นายทหารที่นำ ตัวทหารเดนตายมาส่งออกไปได้
“ทุกคนโปรดฟังข้าพเจ้า” รองผู้บังคับการกองเรือปราบเรือดำ นํ้าได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงกังวาน “ต่อ
ไปนี้เราจะได้เริ่มประชุมปรึกษาหารือกันในกรณีที่เรือ ‘พระประแดง’ ถูกพายุหมุนจมลงอย่างรวดเร็ว และ
การประชุมของเรานี้ทุกท่านทราบดีแล้วว่าเป็นราชการลับ”
นิกรยิ้มให้ท่านนายพลเรือเพื่อนรักเกลอเก่าของเขาซึ่งคบกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนวัดเทพศิรินทร์
“เดี๋ยวโว้ยอุ่ม กันแวะซื้อซาละเปารถเข็นที่โพธิ์สามต้นใส่ถุงมาสามลูก ขอเวลาอีกสักนาทีเถอะวะ
แกเอาสักลูกไหมล่ะ”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นทันที พล.ร.ต.ชอุ่มผุดลุกขึ้นเดินเข้ามาหานิกรและก้มลงกระซิบเบาๆ
“ออกไปคุยกันข้างนอกหน่อยอ้ายกร”
“อ้าว” นิกรร้องลั่น “ทุกคนช่วยเป็นพยานให้ผมนะ ท่านประธานจะซ้อมผม ชวนผมออกไปข้างนอก”
พล.ร.ต.ชอุ่มอดหัวเราะไม่ได้
“ฉันอยากจะบอกนายว่าถึงเราเป็นเพื่อนรักกันก็จริง แต่ขณะที่เรากำ ลังประชุมกันปฏิบัติหน้าที่ราช
การ แกต้องเคารพฉันในฐานะที่ฉันเป็นประธานในการประชุม แกก็เป็นนายทหารผู้ใหญ่เป็นทั้ง พันเอก
นาวาเอก และนาวาอากาศเอก ทำ ตัวให้มันเหมาะสมหน่อยเถอะโว้ย ซาละเปาบนถุงกระดาษบนตัวแกน่ะโยนทิ้งกระโถนไปเสีย”
“โอ้โฮ” นิกรอุทาน “ใบละบาทนะโว้ย พึ่งกินไปได้ใบเดียว เหลืออีกตั้งสองใบ”
ท่านนายพลเรือแย่งถุงซาละเปาในมือนิกรมาถือไว้โดยถือวิสาสะ แล้วโยนออกไปนอกหน้าต่าง
หลังห้องประชุม ต่อจากนั้นท่านก็กลับไปนั่งประจำ ที่ที่หัวโต๊ะ นายทหารเรือทั้งสี่นายต่างพากันมองดูนิกรอย่างขบขัน
“ท่านทั้งหลาย” พล.ร.ต.ชอุ่มกล่าวซํ้าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “สาระสำ คัญในการประชุมของเราก็คือเรื่อง
เรือ ‘พระประแดง’ ถูกพายุหมุนจมลงทันทีในตอนบ่ายวันเสาร์ที่ ๑๓ นี้ ทุกท่านได้ทราบรายละเอียดเรื่องนี้ ตามบันทึกของกองทัพเรือแล้ว ข้าพเจ้าขอให้นาวาเอกพิศาล นายทหารเรือแห่งกรมอุตุนิยมวิทยาแถลงเรื่องลมฟ้าอากาศในตอนเช้าและเย็นของวันที่ ๑๓ ให้ที่ประชุมทราบเพื่อเราจะได้พิจารณากัน”
ร.อ.นพชูมือขวาขึ้นเหนือศีรษะและพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง
“ขออนุญาตครับท่านรอง”
ท่านนายพลเรือมองดูลูกชายของนิกรอย่างเคืองๆ
“ว่ายังไง”
“แฮ่ะ แฮ่ะ ขออนุญาตออกไปห้องนํ้าสักสองนาทีได้ไหมครับ ท้องผมเกิดเสียอย่างกะทันหัน”
พล.ร.ต.ชอุ่มจุปาก
“เธอรุ่มร่ามเหมือนพ่อเธอไม่มีผิด อดทนหน่อยเถอะให้ประชุมเรียบร้อยเสียก่อน”
“ว้า – ทนไม่ไหวครับท่านรอง อย่างน้อยก็ตั้งสองชั่วโมง” พูดจบ ร.อ.นพก็ผลุนผลันลุกขึ้นยืน
ขมวดคิ้วนิ่วหน้า พอได้จังหวะก็รีบวิ่งออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง
น.อ.พิศาลแห่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้กล่าวกับที่ประชุมว่า
“ข้าพเจ้าขอเรียนให้ที่ประชุมทราบว่า ตามรายงานอากาศตั้งแต่เช้าถึงคํ่าวันที่ ๑๓ พฤษภาคมมีดัง
นี้” แล้วเขาก็มองดูเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเขา “ลมฝ่ายตะวันออกอ่อน ลมฝ่ายตะวันตกค่อนข้างแข็ง ลมฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้มีกำ ลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน ความกดอากาศมีเป็นหย่อมๆ อ่าวไทยปราศจากคลื่นลม แต่ตอนก้นอ่าวไทยมีคลื่นนิดหน่อย อ้า – พยากรณ์อากาศในวันนั้นปรากฏเช่นนี้ครับ”
นายทหารเสนาธิการทหารเรือนายหนึ่งกล่าวขึ้นทันที
“ถ้าเช่นนั้นพายุหมุนที่ทำ ให้เรือของเราจมมันก่อตัวขึ้นกรมอุตุไม่ทราบหรือครับ”
น.อ.พิศาลตอบทันที
“ไม่ปรากฏว่าอากาศมีการก่อตัวที่จะทำ ให้เกิดลมพายุในอ่าวไทยครับ ถ้ามีเครื่องมือของเราก็ต้อง
บอกให้ทราบ”
ที่ประชุมได้เปิดอภิปรายกันในเรื่องนี้ ซึ่งการประชุมลับเป็นไปแบบสัมมนาด้วย นายทหารเรือนาย
หนึ่งตำ หนิกรมอุตุนิยมวิทยาว่ามีเครื่องมือเครื่องใช้ล้าสมัย จึงไม่ทราบว่าจะเกิดพายุหมุนในอ่าวไทย น.อ.พิศาลผู้เชี่ยวชาญแห่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้โต้เถียงกับนายทหารเสนาธิการถึงขนาดทุบโต๊ะโครมครามยืนยันว่าการพยากรณ์อากาศจะไม่มีวันผิดพลาดเป็นอันขาด พล.ร.ต.ชอุ่มพยายามไกล่เกลี่ยให้การประชุมเป็นไปในแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่ใช่ถ้อยทีถ้อยทะเลาะกัน ซึ่งตอนนี้เอง ร.อ.นพได้พาตัวเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามในห้องและนั่งประจำที่ตามเดิม
นายพลดิเรกนิ่งฟังอยู่นานแล้ว พอมีโอกาสเขาก็กล่าวขึ้นทันที
“ทุกคนโปรดฟังผมพูดบ้าง ผมเชื่อว่ากรมอุตุนิยมวิทยาของเราจะต้องทราบล่วงหน้าจากเครื่องมือ
ตรวจอากาศ ในเมื่อพายุหมุนจะเกิดขึ้นในอ่าวไทย กรมอุตุของเราไม่ได้หมายความว่ากินแล้วก็นอนอุตุ เรามีเครื่องมือตรวจลมฟ้าอากาศอย่างทันสมัยเท่าเทียมกับนานาชาติ ผมเคยไปติดตั้งเครื่องวัดอากาศที่เราได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาให้กรมอุตุแล้ว ผมขอให้ความเห็นตามทรรศนะของผมว่า พายุหมุนขนาดเล็กแต่จมเรือรบของเราได้นั้นเป็นการกระทำ ของฝ่ายศัตรูอย่างไม่มีปัญหา”
ร.อ.สมนึกตบมือขึ้นทันที ที่ประชุมจึงปรบมือให้ศาสตราจารย์ดิเรกจอมนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่
ร.อ.ดำ รงกล่าวสนับสนุนบิดาของเขา
“ผมเห็นด้วยตามที่ท่านนายพลดิเรกพูดครับ ที่บ้านเรามีเครื่องวัดลมฟ้าอากาศขนาดจิ๋ว แต่คุณภาพ
ของมันยอดเยี่ยมมาก เครื่องวัดอากาศได้บันทึกบอกเราไว้ว่าในวันเสาร์ที่ ๑๓ อ่าวไทยปราศจากคลื่นลมทะเลเรียบ ถึงแม้จะมีฝนตกบ้างทางฝั่งตะวันตกเหนือจังหวัดชุมพรลงไป”
นายทหารเสนาธิการนายหนึ่งกล่าวกับนายพลดิเรกอย่างนอบน้อม
“อาจารย์แน่ใจว่าพายุหมุนที่ทำ ลายเรือรบของเราเกิดขึ้นจากการกระทำ ของฝ่ายศัตรูหรือครับ”
“ออไร๋ ผมกับลูกชายของผมมั่นใจว่าอย่างนี้”
น.อ.พิศาลยิ้มออกมาได้ เขากล่าวกับพล.ร.ต.ชอุ่มทันที
“อาจารย์ดิเรกและศาสตราจารย์ดำ รงเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ประชุมคงจะเชื่อถือได้ว่าพายุ
หมุนที่จมเรือ ‘พระประแดง’ ของเราเป็นการกระทำ ของฝ่ายศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ผมก็เข้าใจอย่างนี้แหละหัวหน้ากอง ผมขอให้ที่ประชุมลงมติว่า เรือ ‘พระประแดง’ แห่งกองเรือ
ปราบเรือดำ นํ้าอับปางเพราะการกระทำ ของฝ่ายศัตรู ใครไม่เห็นด้วยโปรดชูมือขึ้น”
ร.อ.สมนึกยกมือขวาขึ้นทันที
“ว่ายังไงคุณสมนึก” นายพลเรือถามยิ้มๆ
เสี่ยตี๋ยกมือซ้ายเการักแร้ขวาพลางพูดเบาๆ
“เปล่าครับ”
“อ้าว แล้วเธอชูมือขึ้นทำ ไม”
ลูกชายของเสี่ยหงวนยิ้มแห้งๆ
“มดมันกัดจั๊กแร้ผมครับ”
พล.ร.ต.ชอุ่มทำ ตาปริบๆ
“เอามือลงเสีย” แล้วท่านก็กล่าวกับที่ประชุม “เมื่อที่ประชุมมีทรรศนะตรงกันกับนายพลดิเรกและ
เรือเอกดำ รง เราก็จะได้ปรึกษาหารือกันในเรื่องนี้ต่อไป ผมอยากจะขอความเห็นท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ เป็นคนแรก ใต้เท้ามีความเห็นอย่างไรครับ การกระทำ ของฝ่ายศัตรูที่ทำ ลายเรือรบของเราด้วยพายุหมุนหมายความว่าข้าศึกส่งเรือรบเข้ามาปฏิบัติการในอ่าวไทยใช่ไหมครับ”
ท่านเจ้าคุณยิ้มเล็กน้อย
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่า....ผมหมายถึงเรือใต้นํ้าหรือเรือดำ นํ้ารัศมีทางไกล คือเรือดำ นํ้าที่ใช้
พลังงานปรมาณู”
ร.อ.นพตบมือขึ้นทันที แต่ทุกคนนั่งนิ่งเฉย ลูกชายของนิกรจึงยิ้มแห้งๆ
“ไม่ต้องตบมือเรือเอกนพ” ท่านนายพลเรือพูดเสียงกร้าว “เราไม่ได้มาโต้วาทีกัน และนี่เป็นห้อง
ประชุมของเสนาธิการทหารเรือ อ้า – ผู้การนิกรและผู้การกิมหงวนว่าอย่างไรครับ”
น.อ.นิกรมองดูจ่าโททหารเรือประจำ ร.ล.พระประแดง และพลทหารเรืออีกสองนายที่รอดตายมา
ได้เหมือนกับมีปาฏิหาริย์ แล้วเสี่ยหงวนก็กล่าวกับพล.ร.ต.ชอุ่ม
“ในฐานะที่พวกเราเป็นผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย ขออนุญาตให้พวก
เราซักถามทหารเรือที่รอดตายมาได้ไหมครับ”
“ได้ซีครับผู้การ ที่ผมสั่งให้เขาส่งตัวทหารเรือทั้งสามคนนี้มาร่วมประชุมก็เพื่อจะให้อาจารย์ดิเรก
กับคณะได้ซักถามรายละเอียดที่เรือ ‘พระประแดง’ ถูกพายุหมุนจมลงอย่างกะทันหัน”
ทหารเรือ ๒ นายถือถาดเครื่องดื่มคือกาแฟร้อนและนํ้าอัดลมแช่เย็นเดินเข้ามาในห้องประชุม ทั้ง
สองชิดเท้าตรงกระทำ ความเคารพเสียก่อนจึงเสิร์ฟกาแฟและนํ้าอัดลมให้นายทหารทุกนายที่นั่งร่วมโต๊ะ
ประชุมโดยทั่วหน้ากัน
น.อ.นิกรกระซิบกระซาบกับทหารรับใช้เจ้าของร่างลํ่าสันคนหนึ่ง
“เฮ้ย ขอข้าวผัดใส่ไข่ดาวสักจานไม่ได้หรือ”
“ได้ครับผม ข้าวผัดใส่ไข่ดาวนะครับ”
ร.อ.นพได้ยินเข้าก็หันมาทางพลทหารรับใช้นายนั้น
“น้องชาย ของอั๊วขอสะเต๊กเนื้อจานหนึ่ง ขนมปังปิ้งและเนยสดสักชิ้น”
พล.ร.ต.ชอุ่มกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“นี่เราจะประชุมกันหรือเราจะกินอะไรกันผู้การนิกร”
นิกรยิ้มให้ท่านายพลเรือเพื่อนเกลอของเขา
“ก็กินไปด้วยประชุมไปด้วยไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่นะ กันไม่ได้กินข้าวเช้ามาจากบ้าน แวะซื้อซา
ละเปามาจากโพธิ์สามต้น กินไปได้ใบเดียวแกก็แย่งถุงซาละเปาของกันโยนออกไปนอกหน้าต่าง กันหิวจนทนไม่ไหวกันอาจจะเป็นลมตายก็ได้ ลูกชายของกันก็เหมือนกัน เราประชุมแบบกันเองดีกว่าน่าอุ่ม”
“ไม่ได้ เราประชุมเป็นทางการและเป็นราชการลับที่มีความสำ คัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของกอง
ทัพเรือและประเทศชาติของเรา ทหารสองคนออกไป ข้าวผัดหรือสะเต๊กไม่ต้องเอามา”
พลทหารรับใช้ทั้งสองนายชิดเท้าตรงและถือถาดเปล่าพาตัวเดินออกไปจากห้องประชุม ท่านนาย
พลเรือเชิญทุกคนดื่มกาแฟและนํ้าอัดลมแช่เย็น แล้วท่านก็มองดูทหารเรือประจำ ร.ล.พระประแดง ทั้งสามนายที่รอดชีวิตกลับมาได้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเรือตังเกของชาวประมงจังหวัดตราดลำหนึ่ง”
“เธอทั้งสามคนรายงานตัวให้ที่ประชุมทราบ”
จ่าโทร่างสูงใหญ่และพลทหารเรืออีก ๒ นายต่างลุกขึ้นยืนตรงและรายงานตัวตามคำ สั่งของรองผู้
บังคับการกองเรือปราบเรือดำ นํ้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของเขา
“กระผมจ่าโทลอย ลูกทะเล พนักงานทัศนสัญญาณแห่งเรือ ‘พระประแดง’ ครับผม”
“กระผมพลทหารกิมเบ๊ แซ่เตียว ประจำ สถานี สอ. ครับ”
คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยยกเว้นเสี่ยหงวนต่างเผลอตัวหัวเราะขึ้น
พร้อมๆกัน พล.ร.ต.ชอุ่มกลั้นหัวเราะแทบแย่ ท่านทราบดีว่าบิดาของเสี่ยหงวนชื่อเจ้าสัวกิมเบ๊
น.อ.กิมหงวนทำ ตาปริบๆ มองดูพลทหารเรือร่างเล็กผิวขาวหน้าตาแบบลูกจีนด้วยความชิงชัง แล้ว
หันมาพูดกับท่านนายพลเรือด้วยเสียงหนักๆ
“ท่านรองครับ กรุณาไล่พลทหารเรือที่ชื่อกิมเบ๊ออกจากห้องประชุมได้ไหมครับ”
“ทำ ไมล่ะครับผู้การ” พล.ร.ต.ชอุ่มแกล้งถาม
“ชื่อเขาเหมือนชื่อเตี่ยผม”
นายทหารเสนาธิการทหารเรือทั้งสามนายหัวเราะก้ากแล้วรีบทำ หน้าตายเพราะเกรงใจอาเสี่ย ท่าน
นายพลเรืออดหัวเราะไม่ได้ทั้งๆที่ท่านพยายามหยิกขาตัวเอง
“มันเป็นการบังเอิญครับผู้การกิมหงวน คนเราชื่อซํ้ากันมีถมเถไป พลทหารกิมเบ๊เป็นลูกจีนเขาก็มี
ชื่ออย่างนี้ ความจริงก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ”
อาเสี่ยเม้มปากแน่นยกมือชี้หน้าพลทหารเรือผู้นั้น
“ระวังให้ดีนะ ลื้อชื่อเหมือนเตี่ยอั๊ว”
พลทหารเรืออีกนายหนึ่งได้กล่าวรายงานตัวเองบ้าง
“กระผมพลทหารจ้อย จี่เจี๊ยบ ประจำ สถานีดับเพลิงเรือ ‘พระประแดง’ ครับผม”
พล.ร.ต.พล พัชราภรณ์ มองดูทหารเรือเดนตายทั้งสามนายด้วยความสนใจแล้วกล่าวว่า
“จ่าโทลอย พลทหารกิมเบ๊ และพลทหารจ้อย เอาละ....เราจำ ชื่อเธอทั้งสามคนได้แล้ว โดยเฉพาะ
พลทหารกิมเบ๊” พูดจบเขาก็หันมายิ้มให้ท่านนายพลเรือเพื่อนเกลอของเขา “ผมอยากทราบประวัติย่อๆของทหารเรือทั้งสามคนนี้ครับท่านรอง”
รองผู้บังคับการกองเรือปราบเรือดำ นํ้ารู้สึกภาคภูมิใจที่พลพูดกับเขาอย่างยกย่องให้เกียรติ
“ได้ครับ เราเตรียมประวัติไว้แล้ว เพราะคิดแล้วว่าอย่างไรผู้ที่เข้าร่วมประชุมคงต้องการรู้ประวัติ
ของทหารเรือที่รอดตายสามคนนี้” พล.ร.ต.ชอุ่มเปิดแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ข้างหน้าพลิกไปสองสามแผ่นแล้วก็อ่านตัวอักษรพิมพ์ดีดให้ที่ประชุมฟัง “จ่าโทลอย ลูกทะเล อายุ ๓๐ ปี สำ เร็จจากโรงเรียนจ่าสำ รองเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๖ ประจำ ร.ล.ตราด ๖ เดือนแล้วย้ายไปอยู่ ร.ล.รัตนโกสินทร์ ๘ เดือน ต่อจากนั้นย้ายไปอยู่สมอแดง ๓ เดือนในตำ แหน่งผู้คุม ต่อมาย้ายไปอยู่ ร.ล.สารสินธุ์ อีก ๕ เดือน แล้วย้ายมาประจำ ร.ล.พระประแดง เป็นครั้งสุดท้าย พื้นการศึกษาสำ เร็จมัธยม ๖ หรือ มศ.๓ ก่อนเป็นทหารเรือเป็นนักลำ ตัดอาชีพวงกระทุ่มแบน อ้า– นี่แหละครับประวัติย่อๆของจ่าโทลอย ลูกทะเล จากสมุดทะเบียนประวัติปรากฏว่าความประพฤติเรียบร้อยแต่ชอบพูดมากและโกหกเก่ง อย่างไรก็ตามเป็นผู้ที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีความสามารถในหน้าที่ของตน เป็นที่รักใคร่ของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนฝูง ส่วนพลทหารกิมเบ๊และพลทหารจ้อยเป็นทหารเกณฑ์ปีที่ ๒ ไม่มีระวัติอะไร พื้นความรู้พออ่านออกเขียนได้ เมื่อก่อนเป็นทหารพลทหารกิมเบ๊เป็นนักร้องอาชีพแบบนักร้องลูกทุ่ง ส่วนพลทหารจ้อยเป็นนักประพันธ์อาชีพคนหนึ่ง ลูกศิษย์ของ ‘อิงอร’ ประพันธกรชื่อดัง”
คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยต่างพากันมองดูหน้าทหารเรือทั้งสาม
นาย นิกรสนใจกับพลทหารจ้อยมากกว่าเพื่อน
“ลื้อน่ะเรอะเป็นลูกศิษย์ อิงอร”
“ครับผม”
“อือ – ไม่เลวแฮะ ลื้อถนัดเขียนเรื่องแนวไหน”
“เรื่องรักรันทดใจขอรับ”
“แล้วเรื่องประเภทบู๊ล่ะ” นิกรซัก
“กระผมไม่ชอบเขียนหรอกครับ เขียนแล้วมันยัวะอยากจะฆ่าคน สู้เขียนเรื่องรักระคนเศร้าไม่ได้ครับ”
เสี่ยหงวนยิ้มให้พลทหารที่ชื่อเดียวกับเตี่ยของเขา
“เธอร้องเพลงลูกทุ่งได้ดีหรือ”
“ก็พอได้ครับ” พลทหารกิมเบ๊ตอบฉาดฉานแล้วถือโอกาสแสดงความสามารถของเขาด้วยการร้อง
เพลงลูกทุ่งกลอนสดให้ฟัง
“....ตามทำ นองของไทยเรา ครั้งก่อนเก่า เราร้องเป็นแหล่ มหาราชมหาพน คนเฒ่าคนแก่ คุณพ่อ
คุณแม่ล้วนแต่ชอบฟัง แต่เดิมนั้นพระท่านแหล่เทศน์....”
“เฮ้ย” ท่านนายพลเรือตวาดแว้ด “ไม่ต้องร้องโว้ย แกสามคนนั่งลงได้ ที่นี่กองทัพเรือไม่ใช่โรง
มหรสพ ประเดี๋ยวพ่อส่งไปร้องที่สมอแดงเสียหรอก พับผ่า”
สี่สหายกับลูกชายของเขาต่างหัวเราะชอบใจไปตามกัน เจ้าคุณปัจจนึกฯ สบตากับ จ.ท.ลอยท่านก็
หัวเราะหึๆแล้วกล่าวว่า
“ร้องลำ ตัดให้ฟังสักนิดเถอะวะลอย”
จ.ท.ลอยทำ หน้าเบ้
“ไม่ – ไม่ไหวครับ เดี๋ยวท่านรองเล่นงานผมแย่”
“เอาเถอะน่าฉันรับรอง ฉันอยากฟังเธอร้องลำ ตัด เพื่อฉันจะได้แน่ใจว่าประวัติของเธอที่ท่านรอง
อ่านให้เราฟังนั้นเป็นความจริง ถ้าเธอร้องลำ ตัดไม่เป็นประวัตินี้ก็เป็นความเท็จ”
พล.ร.ต.ชอุ่มพูดเสริมขึ้น
“เอา – จ่าโทลอย ร้องให้ท่านเจ้าคุณฟังได้ แต่ร้องนิดหน่อยพอแล้ว”
จ.ท.ลอยก็เหมือนกับนักลำ ตัดทั้งหลายที่อยากจะร้องลำ ตัดตลอดวัน เมื่อได้รับอนุญาตเขาก็ลุกขึ้น
แล้วยิ้มแห้งๆกล่าวกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ อย่างนอบน้อม
“กระผมร้องคนเดียวไม่มีลูกคู่รับก็คงจะไม่เพราะ และไม่ถูกต้องกับการเล่นลำ ตัด ถ้าอย่างไรกรุณา
อภัยให้ด้วยนะครับ”
“งั้นเรอะ ฉันจะหาลูกคู่ให้” พูดจบท่านเจ้าคุณก็ยิ้มให้คณะพรรคสี่สหายกับลูกชายของเขา “ช่วยกัน
รับลูกคู่หน่อยซีโว้ย อ้ายกรกับอ้ายตี๋และเจ้านพสามคนก็พอ”
เสี่ยตี๋ยักคิ้วให้จ่าโทลอย
“เอาเลยจ่า เรื่องลำ ตัดฉันแน่เหมือนกัน”
จ.ท.ลอยลืมตาโพลง
“ก๊อดีซีครับ”
ครั้นแล้ว จ.ท.ลอยก็ยกมือทั้งสองขึ้นรำ ป้อพลางร้องลูกคู่ให้รับ เสียงของคุณจ่าดังเจื้อยแจ้วบอกให้
รู้ว่าเป็นลำ ตัดชั้นดี ท่าทางที่ร่ายรำ ก็ไม่เลว มีการทำ ท่าขับม้าด้วยอันเป็นลีลาของนักลำ ตัด
“ชัย – ชนะเอาชัย ทหารเรือไทยอยู่ในทาเล้ ป้องกันน่านนํ้าของชาติถ้าใครมันบังอาจ ต้องฟาดให้
จ๋ม....ทาเล เป๊กพ่อ”
นิกรกับนพและสมนึกช่วยกันรับลูกคู่เสียงลั่น พอรับได้สองจบ จ.ท.ลอยก็ร้องต่อไป
“เรายอมพลีชีวาตม์ ปกป้องชาติศาสน์กษัตริย์ ทั่วน่านนํ้าสยามรัฐ เราเคร่งครัดไม่ห่างเห ลาด
ตระเวนอ่าวไทย ไม่ยอมให้ใครลบหลู่ พวกเราลูกประดู่ เราจะสู้จนนอนเปล เป๊กพ่อ”
ลูกคู่รับเสียงหนักแน่นขึ้นอีก ทำ ให้บรรดาผู้ที่ร่วมประชุมครึกครื้นสนุกสนานไปตามกัน สารวัตร
ทหารเรือหลายนายโผล่หน้ามามองดูที่หน้าต่างและประตูห้อง นพกับสมนึกรับลูกคู่เสียงแจ๋ว น.อ.นิกรลุกขึ้นรำ เฉิบๆแข่งกับ จ.ท.ลอย ท่านนายพลเรือถึงกับยกมือเกาศีรษะแกรกๆ เพราะการประชุมราชการสำ คัญกลายเป็นเล่นลำตัดไปแล้ว
พอลูกคู่ร้องจบ นิกรก็ร้องลำ ตัดทันทีด้วยกลอนสดที่เขาคิดอย่างปัจจุบันทันด่วน
“ทหารเรือเสือสมุทร ฤทธิรุดเก่งกล้า เพราะเราเป็นโรคอย่างว่า จึงไม่กล้ากินสาเก ปลากระเบนหรือ
ปลาไหล กินเข้าไปได้การ ซากูระเบิกบาน ถึงเป็นทหารก็หน้าเหย เป๊กพ่อ”
นพกับสมนึกและ จ.ท.ลอยช่วยกันรับลูกคู่อย่างครื้นเครง
“ชัย – ชนะเอาชัย ทหารเรือไทยอยู่ในทาเล้....ป้องกันน่านนํ้าของชาติ ถ้าใครมันบังอาจ ต้องฟาดให้
จ๋ม....ทาเล เอาละว้า”
“พอ – พอแล้วๆ” พล.ร.ต.ชอุ่มร้องขึ้นดังๆ “พอทีนักลำ ตัดทั้งหลาย”
ภายในห้องประชุมเงียบกริบ ร.อ.สมนึกยิ้มให้ท่านนายพลเรือ
“คุณอาจะร้องบ้างหรือครับ”
ท่านนายพลเรือทำ ตาโตเท่าไข่ห่าน
“ใครบอกแกล่ะ แกคิดว่าอาเคยหากินในทางลำ ตัดเหมือนจ่าลอยยังงั้นหรือ อ้า – ขอให้เราประชุม
กันต่อไปเถอะครับ คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยจะซักถามอะไรจากทหารเรือ ‘พระประแดง’ ที่รอดตายมาได้ก็เชิญถาม นาวาเอกกมลนายทหารเสนาธิการจะเป็นผู้จดบันทึกรายงานการประชุมนี้”
ศาสตราจารย์ พล.ร.ท.ดิเรก เริ่มซักทหารเรือทั้งสามนายทันที
“จ่าลอย”
“ครับผม”
“ตามประวัติของเธอปรากฏว่าเธอเป็นคนช่างพูดคือพูดมากและโกหกเก่ง ฉันอยากจะขอร้องให้
เธอพูดความจริงกับฉันและพวกเราได้ไหมเกี่ยวกับการอับปางของเรือ ‘พระประแดง’”
“ผมจะพยายามครับท่าน เรื่องโกหกของผมตามธรรมดาไม่เกี่ยวกับการงานหรือราชการหรอกครับ
ผมโกหกเพื่อนฝูงและเจ้าหนี้เท่านั้น หรือม่ายก็โกหกแม่ยายกับภรรยาของผม สำ หรับเรื่องราชการแล้ว
กระผมถือเป็นจริงเป็นจังเสมอ ในกรณีเรือ ‘พระประแดง’ ถูกพายุหมุนจมลงอย่างที่เรียกว่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว
กระผมได้ประสพเหตุการณ์นี้อย่างติดหูติดตา กระผมยินดีที่จะกราบเรียนท่านตามความจริงโดยไม่มีความเท็จเข้ามาปะปนแม้แต่น้อย กระผมพร้อมที่จะเปิดเผยและยืนยันว่าเรือ ‘พระประแดง’ จมลงในลักษณะไหนผู้การเรือได้ร้องสั่งงานอย่างไรบ้าง กระผมจำ ได้ทุกอย่างครับ เรือ ‘พระประแดง’ แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อพายุหมุนลูกนั้นกระทบกับเรืออย่างแรง น่าตื่นเต้นมากครับ ตอนนั้นมันชุลมุนวุ่นวายจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเชียวครับ”
“พอแล้ว” นายพลดิเรกร้องตวาดด้วยเสียงแหลมเล็ก “เอ้อเฮอ....แกนี่ท่าจะเกิดปีนกกระจอกโว้ย
พูดคล่องนํ้าไหลไฟดับ พูดอย่างนี้เสฯ กมลจะจดช็อทแฮนด์ทันหรือ ฉันถามเสียก่อนถึงค่อยตอบหรืออธิบายซีโว้ย” พูดจบนายพลดิเรกก็หันมาทางพลทหารจ้อยนักประพันธ์หนุ่มซึ่งกำ ลังจะมีชื่อ “ตอบฉันซิจ้อยลักษณะพายุหมุนที่ผ่านมาปะทะเรือ ‘พระประแดง’ รูปร่างมันเป็นอย่างไร”
พลทหารจ้อยลุกขึ้นยืนตรงและยิ้มเล็กน้อย
“ยามนั้นทะเลเรียบปราศจากคลื่นลมครับ ปุยเมฆในท้องฟ้าเป็นสีเงินปนเทา ธรรมชาติท้องทะเล
เหมือนจิตรกรบรรจงวาด โอ – แม่นางเอย โบราณว่าคืบก็ทะเลศอกก็ทะเลนั้นแม่นแล้ว”
นายพลดิเรกกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“พูดแบบทหารโว้ยจ้อย ไม่ใช่พูดแบบประพันธกร”
“แฮ่ะ แฮ่ะ มันติดนิสัยครับท่าน”
“ถ้ายังงั้นส่งไปดัดนิสัยที่สมอแดงสักเดือนหนึ่งเป็นยังไง”
“โอ – เจ้านายเอย ไฉนจะให้กระผมได้รับโทษทัณฑ์เช่นนั้นเล่า คิ้วนางกำ ลังจะลับขอบฟ้าแล้ว
ดรรชนีนั้นช่างไฉไลนัก”
“อ้ายจ้อย” ท่านนายพลเรือตะโกนลั่นห้อง “แกจะบ้าหรือวะ”
เสียงหัวเราะของลูกชายสี่สหายดังขึ้นพร้อมๆกัน พลทหารจ้อยทำ หน้าเลิ่กลั่กหันมากระซิบถาม
เพื่อนร่วมเรือของเขา
“กันเป็นอะไรไปหรือกิมเบ๊”
“พูดเพ้อเจ้อน่ะซี” พลทหารกิมเบ๊กระซิบตอบ “อยู่ต่อหน้าท่านรองและเจ้านายแกขืนพูดพล่ามมี
หวังเข้าสมอแดงนะโว้ย”
ศาสตราจารย์ดิเรกยิ้มให้พลทหารจ้อย
“ตอบคำ ถามฉันสั้นๆเถอะ ไม่ต้องบรรยายแบบนักประพันธ์ ฉันอยากรู้ว่าพายุหมุนที่ชนเรือ ‘พระ
ประแดง’ น่ะรูปลักษณะมันเป็นอย่างไร”
พลทหารจ้อยทำ หน้าครึ่งยิ้มครึ่งแหย
“เท่าที่ผมเห็นคล้ายกับงวงช้างขนาดยักษ์หมุนติ้วเข้ามาหาเรือเราครับ”
น.อ.นิกรถือโอกาสซักบ้าง
“คล้ายงวงช้าง....”
“ครับผม”
“มีงาหรือเปล่า ถ้ามีมีงาข้างเดียวหรือสองข้าง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ทำ ตาเขียวกับนิกร
“ลำ บากนักอย่าซักเลยวะ ให้ดิเรกมันซักเถอะ”
นิกรอมยิ้ม
“นั่นน่ะซีครับ ผมก็ว่าอย่างนั้น แต่ผมก็มีสิทธิ์ซักถามเหมือนกัน”
“ก็ซักให้มันเข้าเรื่องเข้าราวหน่อยซี” ท่านเจ้าคุณดุ “เขาบอกว่าพายุหมุนรูปร่างเหมือนงวงช้างยักษ์
เสือกถามได้ว่ามีงาหรือเปล่า”
นายพลดิเรกซักพลทหารจ้อยต่อไป
“เธอพอจะประมาณความกว้างและส่วนสูงของพายุหมุนลูกนั้นได้ไหม”
พลทหารจ้อยนิ่งคิด
“ผมประมาณไม่ถูกครับ แต่รู้สึกว่ามันสูงกว่าเสากระโดงเรือสักสามสี่เท่าและโตกว่าต้นตาลหลายเท่า”
“ออไร๋ เป็นเช่นนี้ใช่ไหมจ่าลอย พูดตามความจริงอย่าโกหกนะ”
พลทหารจ้อยตอบยิ้มๆ
“ใช่ครับ ลักษณะของมันคล้ายงวงช้างตัวเมียครับ”
“เธอรู้ได้อย่างไร”
“มันไม่มีงานี่ครับ”
“แล้วยังไง เล่าให้ละเอียดเท่าที่เธอได้เห็นมัน”
พลทหารจ้อยพูดคล่องอีกตามเคย
“ตอนนั้นผมอยู่ใต้สะพานเรือครับ ยามบนยอดเสาได้ร้องตะโกนรายงานว่า พบพายุหมุนทางขวา
ห่างจากเรือ ๓๐๐ หลาและกำ ลังใกล้เข้ามายังเรือเรา ผมได้ยินเสียงผู้บังคับการร้องออกคำ สั่ง เรือ ‘พระประแดง’ เลี้ยวซ้ายเต็มตัวเพื่อหลบหลีกมัน ผมจ้องมองดูพายุหมุนด้วยความตื่นเต้น มันหมุนเป็นวงกลมครับ งวงยักษ์นั้นเป็นสีเทาอ่อน ริมๆของมันเป็นแฉกสีแดงคล้ายกงจักร ผมสาบานได้ว่าผมเห็นมันอย่างถนัดเชียวครับ ให้ผมรากเลือดลงแดงตาย ก้าวไปธรณีสูบ ตายไปตกนรกหมกไหม้ร้อยกัปแสนกัลป ไม่รู้จักผุดจักเกิด”
ศาสตราจารย์ดิเรกโบกมือห้าม
“ไม่ต้องสาบานโว้ย”
จ.ท.ลอยเล่าต่อไป
“มันตรงเข้ามาปะทะเรือเราครับ ผมบอกไม่ถูกว่าเสียงมันดังขนาดไหน ดังกว่าเสียงระเบิดนํ้าลึกที่
เราซ้อมทำ ลายเรือใต้นํ้า ดังกว่าเสียงปืนใหญ่ ๓ นิ้วประจำ เรือเรา ตูมเดียวเท่านั้นแหละครับเรือ ‘พระ
ประแดง’ แหลกละเอียดเหมือนเรือเด็กเล่นลำ เล็กๆที่ทำ ด้วยไม้ ทหารประจำ เรือหลายคนรวมทั้งผมได้
กระโดดลงไปในทะเล ตอนนี้ผมตื่นเต้นตกใจเล่าไม่ถูกครับ ไม่รู้ตัวว่าผมทำ อะไรไปบ้าง รู้แต่ว่าผมกับพลทหารจ้อยว่ายนํ้าไปตามยถากรรม พอเรือจมหายไปใต้ทะเล พลทหารกิมเบ๊ก็ว่ายมาหาเราอีกคนหนึ่ง เราสามคนว่ายตรงไปยังเกาะช้างซึ่งมองแลเห็นอยู่เบื้องหน้าไกลลิบ”
น.อ.กิมหงวนกล่าวขึ้นทันที
“เธอสามคนว่ายไปที่เกาะขุนช้าง”
“แฮ่ะ แฮ่ะ เกาะช้างเฉยๆครับไม่ใช่เกาะขุนช้าง”
ร.อ.สมนึกยิ้มให้เจ้าคุณปัจจนึกฯ
“เตี่ยแกล้งพูดล้อคุณปู่ครับ”
ท่านเจ้าคุณเค้นหัวเราะ ท่านหันไปมองดูพลทหารกิมเบ๊แล้วแกล้งดุ
“สั่งสอนลูกชายแกเสียบ้างซีโว้ยกิมเบ๊”
พลทหารกิมเบ๊ทำ หน้าชอบกล
“ผมยังเป็นโสด ไม่เคยมีลูกครับท่าน”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ชี้ไปที่กิมหงวน
“ก็นั่นยังไง นาวาเอกกิมหงวนนั่นแหละลูกชายของแก”
“อุ๊ย” พลทหารกิมเบ๊คราง
นายพลดิเรกซักทหารเรือทั้งสามนายต่อไปอีก
“เล่าต่อไปพลทหารจ้อย”
“ก็ไม่มีอะไรครับท่าน เราว่ายนํ้าไปในราวหนึ่งชั่วโมงเราก็พบเรือตังเกคือเรือยนต์หาปลาลำ หนึ่ง
เป็นเรือยนต์พวกประมงจังหวัดตราดครับ ชื่อเรือ ‘โลมา’ นายท้ายเรือเขาเห็นเราเข้าเขาก็มาช่วยพวกเราไว้ พาเราไปเมืองตราด ส่งพวกเราขึ้นเรือ ‘ปิ่นเกล้า’ ซึ่งทำ หน้าที่ลาดตระเวนอยู่แถวนั้น รุ่งขึ้นวันอาทิตย์เราก็มาถึงสัตหีบและได้รับคำ สั่งด่วนให้เดินทางมาที่กองทัพเรือโดยรถตรวจการของสถานีทหารเรือสัตหีบ”
ศาสตราจารย์ดิเรกมองดูคณะพรรคของเขา
“ใครจะซักทหารเรือทั้งสามคนนี่บ้างก็เชิญ”
ศาสตราจารย์ ร.อ.ดำ รงกล่าวถาม จ.ท.ลอยอย่างเป็นงานเป็นการ
“ระหว่างที่เธอสามคนลอยคออยู่ในทะเลรู้สึกว่าอากาศมืดครึ้มมีเมฆฝนหรือลมพายุบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ อากาศแจ่มใสทะเลเรียบครับ”
ร.อ.ดำ รงหันมาทางบิดาของเขา
“ไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วครับ พายุหมุนมีกงจักรเป็นแฉกๆจะต้องเกิดขึ้นจากการกระทำ ของฝ่าย
ศัตรู การบังคับให้อากาศรวมตัวเป็นพายุหมุนแบบนี้ไม่ยากอะไร ผมและพ่อก็คงทำ ได้”
พล.ร.ต.พลพูดเสริมขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าศึกก็คงจะส่งเรือดำ นํ้ารัศมีทางไกลมาป้วนเปี้ยนอยู่ในอ่าวไทยแน่นอน หรือยังไงหมอ”
“ออไร๋ ควรจะเป็นเช่นนั้น” แล้วเขาก็มองดู พล.ร.ต.ชอุ่ม เชวงศักดิ์ “ปิดประชุมได้แล้วครับท่าน
รอง ขอให้เสนอบันทึกการประชุมไปยังท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นการด่วน ผมกับคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์จะปราบศัตรูของเราเอง”
ร.อ.นพยิ้มให้ ร.อ.สมนึก
“ปิดประชุม แอ่นแอ๊น....”
นิกรจุปากดุลูกชายของเขา
“อะไรของแกวะ แอ่นแอ๊น”
“ก็ปิดม่านยังไงล่ะครับ”
พล.ร.ต.ชอุ่มหัวเราะหึๆขบขันคำ ว่าแอ่นแอ๊นซึ่งเด็กเล็กๆชอบพูดกัน ท่านนายพลเรือกล่าวกับที่
ประชุมว่า
“เป็นอันว่าการประชุมของเราได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ และท่านผู้ร่วมการประชุมต่างลงมติเห็นพ้อง
ต้องกันว่า เรือ ‘พระประแดง’ ของเราถูกพายุหมุนจมลงในทันทีนั้น เป็นการกระทำ ของฝ่ายศัตรู ไม่ใช่พายุหมุนที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ท่านผู้ใดมีใครจะแถลงอะไรอีกไหมครับ อ้า – เมื่อไม่มีผมก็ขอปิดการประชุมแต่เพียงเท่านี้ แอ่นแอ๊น”
เสียงตบมือดังขึ้นเกรียวกราว แล้วมีเสียงเป่าปากดังขึ้นด้วย ดูเหมือนลูกชายของเสี่ยหงวนเป็นคน
เป่าปากศาสตราจารย์ พล.ท.ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ ให้ชื่อพายุหมุนที่ฝ่ายศัตรูทำ ลายเรือรบแห่งราช
นาวีของเราไปลำ หนึ่งว่า
“กงจักรผี”
หลังจากกองบัญชาการทหารสูงสุดได้รับบันทึกรายงานการประชุมของผู้แทนกองทัพเรือกับคณะ
ผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์แล้ว นายพลดิเรกก็ถูกเรียกตัวไปกองบัญชาการทหารสูงสุดในตอนบ่ายวันพุธที่ ๑๗ พฤษภาคมทันทีโดยคำ สั่งลับแต่ไม่ถึงกับสุดยอด นายพลดิเรกได้รับคาํ สั่งให้ดาํ เนนิ การปราบปรามทมี่ าของ ‘กงจักรผี’ ไม่ว่าจะเป็นเรือรบบนผิวนํ้า เรือดำ นํ้าหรือเรือใต้นํ้าพลังงานปรมาณูในคืนวันพุธนั้นเอง ท่ามกลางท้องทะเลอันราบเรียบและแสงจันทร์คืนขึ้น ๙ คํ่าส่องสลัวลางตอนหัวคํ่า ร.ล.วิษณุ ซึ่งเป็นเรือสลุบสังกัดกองเรือตรวจอ่าวแห่งราชนาวีก็ถูก ‘กงจักรผี’ อับปางไปอีกลำ หนึ่งทางเรือได้วิทยุแจ้งข่าวร้ายให้กองเรือยุทธการทราบมีข้อความสั้นๆแต่เพียงว่า
“พบ ‘กงจักรผี’ กำ ลังเคลื่อนเข้ามาหาเรืออย่างรวดเร็ว....”
แล้วการติดต่อทางวิทยุก็สิ้นสุดลงเพราะ ร.ล.วิษณุ จมลงในทันทีทันใดแบบเดียวกับ ร.ล.พระ
ประแดง ร.ล.วิษณุ ถูกพายุหมุนหรือ ‘กงจักรผี’ ในเวลา ๑๙.๒๐ น. ห่างจากเกาะช้างประมาณหนึ่งไมล์ กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ออกคำ แถลงการณ์ทางวิทยุกระจายเสียงในตอนกลางวันวันพฤหัสบดีและออกข่าวางโทรทัศน์แจ้งให้ประชาชนทราบ ทหารเรือแห่ง ร.ล.วิษณุ รอดชีวิตเพียง ๒๔ นายเท่านั้น ราชนาวีไทยต้องสูญเสียเรือรบที่ทันสมัยและค่อนข้างใหม่ไปลำ หนึ่ง ร.ล.วิษณุ มีระวางขับนํ้า ๑,๖๐๐ ตัน ผู้บังคับการเรืออ น.ท.สุชาติ สุรฤทธิ์ รน. เข้าใจว่าได้สูญเสียชีวิตไปกับ ร.ล.วิษณุ
มันคือมหาภัยหรือภัยมืดที่คุกคามราชนาวีของเรา อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือก็ยังส่งเรือรบออกลาด
ตระเวนอ่าวไทยโดยไม่หวั่นเกรง ‘กงจักรผี’ ทั้งนี้ก็เพื่อค้นหาเรือข้าศึกที่ทำ พายุหมุนมาทำ ลายเรือของเรานั่นเอง
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๑๐
อ่าวไทยฝั่งตะวันออกมีฝนและคลื่นลมเป็นครั้งคราว กองเรือตรวจอ่าวและกองเรือปราบเรือดำ นํ้า
ได้ส่งเรือรบหลายลำ ออกลาดตระเวนโดยมีการติดต่อประสานงานกับเครื่องบินไอพ่นของกองทัพอากาศและตอนบ่ายวันนี้เองนายพลดิเรกกับคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยซึ่งรวมทั้ง จ.ส.ท.แห้ว โหระพากุล ก็ได้ออกเดินทางจากฐานทัพเรือสัตหีบโดย ร.ล.ไชโย ซึ่งเป็นเรือฟริเกตปราบเรือดำลนํ้ำลำใหญ่และใหม่ที่สุดของราชนาวี โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ร.ล.ไชโย มีระวางขับนํ้า ๒,๖๐๐ ตัน และ ๓,๐๐๐ ตันเมื่อบรรทุกเต็มที่ ยาว ๓๕๘ ฟุต กว้างที่สุด
๔๓ ฟุต กินนํ้าลึก ๑๓ ฟุต ความเร็ว ๓๒ นอต ทหารประจำ เรือ ๒๑๐ นาย นายทหาร ๑๒ นาย อาวุธปืนใหญ่ ๔.๕ นิ้ว ๓ กระบอก ติดอยู่ในป้อมเดียวกันที่หัวเรือ ๒ กระบอก ท้ายเรือ ๑ กระบอก ปืนกล ๔๐ มม. ๒ กระบอก ตอร์ปิโด ๑๒ นิ้ว ๑๒ ท่อ เป็นตอร์ปิโดปราบเรือดำ นํ้าแท่นเดียว ๘ ท่อ ตอร์ปิโดต่อสู้เรือบนผิวนํ้า แท่นแฝด ๒ ท่อ อาวุธปราบเรือดำ นํ้ามีระเบิดนํ้าลึกและลิมโบยิงจากท่อแฝดรวม ๒ ชุด นอกจากนี้มีอาวุธนำวิถีสำ หรับต่อสู้อากาศยานในระยะตํ่าด้วย ผู้บังคับการเรือคือ น.ท.เฉลิม ชัยปัญญา รน. ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา ๓ ปีเมื่อเป็นนาวาตรีและเป็นผู้นำ ทหารเรือเดินทางไปรับ ร.ล.ไชโย ที่เกาะกวมเมื่อต้นปี พ.ศ. ๕๐๘ เป็นนายทหารเรือชั้นหัวกะทิคนหนึ่งแห่งราชนาวี อายุ ๓๖ ปีแต่ยังหนุ่มฟ้อ สาวๆหลายคนอยากเป็นอนุของเขา แต่ น.ท.เฉลิมจะมีอนุหรือไม่ไม่มีใครรู้เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ผู้ชายบางคนทำ หงิมๆสงบเสงี่ยมแต่ได้น้องเมียหรือพี่เมียเป็นอนุ ที่ซํ้าร้ายบางคนได้แม่ยายเป็นอนุก็มีเหมือนกันในรายที่คุณแม่ยังสวยหรือไม่ยอมแก่ชอบโปรยยิ้มทำ ตาหวานให้ลูกเขย
โดยคำ สั่งของกองทัพเรือ ร.ล.ไชโย ได้นำ คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธเดินทางจากสัตหีบมุ่งตรงมายัง
จันทบุรีและตราดเพื่อปราบปราม ‘กงจักรผี’ ซึ่งเรือลำ นไี้ ดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทโี่ ดยเฉพาะในการตรวจคน้ ทอ้ งทะเลทั้งผิวนํ้าและใต้นํ้าด้วยเครื่องมือพิเศษของนายพลดิเรกจอมนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่
และ ร.ล.ไชโย ได้ติดอาวุธลับคือปืนรังสี ๒ กระบอกทางหัวเรือและท้ายเรือ เป็นปืน ๒๐ มม. คล้าย
ปืน สอ. หรือปืนต่อสู้อากาศยาน ลำ กล้องยาวเพียง ๓ ฟุต มีส่วนประกอบมากมาย ใช้ยิงด้วยกระแสไฟฟ้าอันร้อนแรงที่สามารถเผาเหล็กแท่งให้ละลายได้ในพริบตาเดียว ยิงออกไปเป็นสายเหมือนเครื่องพ่นไฟ และยิงได้ไกลถึง ๑,๘๐๐ หลา ซึ่งปืนรังสีทั้ง ๒ กระบอกนี้นอกจากจะทำ ลายพายุหมุนหรือ ‘กงจักรผี’ ให้สลายตัวไปแล้ว ยังสามารถที่จะเผาเรือข้าศึกให้ไหม้เป็นจุลหรือเกิดการระเบิดแหลกละเอียดจมทะเลไป แม้แต่แก่งเกาะในท้องทะเล ถ้าถูกปืนรังสีของศาสตราจารย์ดิเรกยิงอย่างจังๆเพียงหนึ่งหรือสองนาทีเท่านั้น เกาะก็จะพังทลายจมหายไปในนํ้า ปืนรังสีทั้ง ๒ กระบอกนี้ติดตั้งบนแท่นยิงอย่างมั่นคงแข็งแรง และผู้ที่จะใช้ปืนนี้ได้ก็คือศาสตราจารย์ดิเรกกับลูกชายของเขาเท่านั้น

ศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม
เวลา ๑๐.๐๐ น. เศษ ร.ล.ไชโย ได้แล่นอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะช้างห่างจากเกาะช้างประมาณ ๔
ไมล์ ถึงแม้ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมไปทั่ว ทัศนวิสัยก็ยังดีอยู่ เรือฟริเกตใช้ความเร็วเพียง ๑๕ นอต
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ อยู่บนสะพานเรือ นิกรกับเสี่ยหงวนกำ ลังฟังผู้บังคับการ
บรรยายให้ทราบถึงเครื่องมือชนิดหนึ่งในการเดินเรือคือเครื่องหยั่งเสียงนํ้าลึกด้วยเสียงสะท้อน เครื่องมือ
พิเศษนี้จะบอกให้ทราบว่านํ้าทะเลที่เรือกำ ลังแล่นผ่านมีความลึกเท่าใดตามเวลาที่กล่าวนี้ ต้นเรือได้ประจำ อยู่ที่ห้อง ซี.ไอ.ซี. หรือห้องศูนย์ยุทธการอันเป็นที่รวมข่าวทั้งหมด มีเจ้าหน้าที่วิทยุ เรดาร์ โซนาร์ อีเล็กโทรนิคส์ประจำ อยู่ในห้องนั้นและทำ งานตลอด ๒๔ ชั่วโมง ส่วนผู้บังคับการและต้นหนอยู่บนสะพานเรือคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยแต่งเครื่องแบบนายทหารเรือ สวมกางเกงขาสั้น สวมถุงสั้นและรองเท้าหนังสีนํ้าตาล เสื้อเชิ้ตกากีแขนสั้นไม่มีอินทรธนู พล นิกร กิมหงวน ติดดอกประดู่สีเงินที่คอเสื้อ ๓ ดอกอันเป็นเครื่องหมายยศนาวาเอก เจ้าคุณปัจจนึกฯ กับนายพลดิเรกติดกงจักรสีเงินคือเครื่องหมายยศนายพลเรือ ทุกคนสวมหมวกแก๊ปทรงอ่อนสีกากีมีสมออยู่ที่หน้าหมวก เครื่องบินขับไล่ เอฟ – ๘๖ เอฟ ของกองทัพอากาศรวม ๓ เครื่องบินผ่าน ร.ล.ไชโย ไปเมื่อสักครู่นี้นักบินได้พูดวิทยุติดต่อกับ ร.ล.ไชโย แจ้งให้ทราบว่าไม่ปรากฏเรือรบข้าศึก เหตุการณ์ปรกติ
เมื่อมีเสียงร้องเพลงหมู่ดังขึ้น คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และ น.ท.เฉลิมกับต้นหนเว้น
แต่จ่ายามที่ถือท้ายต่างหันหน้ามองไปทางประตูสะพานเรือ ร.อ.พนัส ร.อ.นพ ร.อ.สมนึก พร้อมด้วย
ศาสตราจารย์ ร.อ.ดำ รง และ พ.จ.ท.แห้วในเครื่องแบบทหารเรือออกทะเลก็พากันเข้ามาในสะพานเรือและร้องเพลงปลุกใจกันอย่างครื้นเครง เสียงของเสี่ยตี๋และนพดังกว่าเพื่อน ส่วนเจ้าแห้วเพียงแต่ร้องอ้อมแอ้มเพราะถูกเสี่ยตี๋บังคับให้ร้อง
“หะเบตสมอพลัน ออกสันดอนไป ลัดเกาะสีชังจนกระทั่งกระโจมไฟ เที่ยวหาข้าศึกมิได้นึกจะกลับมาใน ถึงตายตายไปตายให้แก่ชาติของเรา”
ร.อ.นพรำ ป้อและร้องเสียงลั่น
“พวกเราจงดูรู้เจ็บแล้วต้องจำ ลับดาบไว้พลางช้างบนยอดกาฟจะนำ สยามเป็นชาติของเราธงทุก
เสาชักขึ้นทุกลำ เป๊กพ่อ ถึงเรือจะจมในนํ้า ธงไม่ตํ่าลงมา จำ ได้เพียงเท่านี้ บอกเนื้อเพลงทีเถอะนายตี๋จ๋า กันร้องวนเวียนไปมา ร้องไปร้องมากลับเกาะสีชัง”
“เฮ้ย” นายพลดิเรกเอ็ดตะโร “นี่ไม่ใช่บ้านเรานะโว้ย ทำ ลิงทำ ค่างเกรงใจผู้การและต้นหนบ้างซี”
น.ท.เฉลิมหัวเราะชอบใจ
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ ผู้กองทั้งสี่คนทำ ให้พวกเราครึกครื้นรื่นเริงตลอดเวลา ต้นกลถึงกับบอกผม
ว่าอยากจะให้ผู้กองทั้งสี่คนอยู่ประจำ เรือเราตลอดไป นอกจากสนุกแล้วยังได้ช่วยเหลือด้วย เมื่อคืนนี้เครื่อง ความเย็นของห้องเย็นชำ รุด ผู้กองดำ รงกับผู้กองพนัสช่วยกันแก้ไขไม่ถึง ๕ นาทีก็เสร็จเรียบร้อย แต่ผู้กองนพเล่นอะไรออกจะน่าหวาดเสียวหน่อยครับ”
น.อ.นิกรมองดูหน้าลูกชายของเขาอย่างเคืองๆ
“แกเล่นอะไรวะนพ”
ร.อ.นพยิ้มแห้งๆ
“ผมแกะหัวตอร์ปิโดเล่นครับ พอเอาค้อนทุบ ผู้การแลเห็นเข้าพอดี ท่านร้องเอะอะลั่นโกรธผมจน
หน้าเขียว นึกว่าท่านถีบผมลงทะเลไปแล้ว”
นายพลดิเรกกล่าวขึ้นทันที
“ไม่ใช่ของเล่นนะโว้ยนพ เกิดระเบิดตูมตามขึ้น เรือลำ นี้จะจมลงทะเลทันที ทีหลังถ้าจะเล่นอะไรก็
ให้มันน่าดูกว่านี้สักนิด”
“ครับ ผมคิดว่าประเดี๋ยวผมจะแกะระเบิดนํ้าลึกดูเครื่องในของมันครับ”
น.ท.เฉลิมทำ คอย่น
“อย่านะผู้กองนพ ถึงคุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย คุณไม่ใช่
อาจารย์ดิเรกหรือผู้กองดำ รง มีเวลาว่างไปอยู่ที่ห้องศูนย์ยุทธการดีกว่าครับ เมื่อเช้าก็ทีหนึ่งแล้ว ผู้กองสมนึกเหนี่ยวปืน สอ. เล่น กระสุนลั่นออกไปหนึ่งชุด ทหารเรือวิ่งพล่านไปทั้งลำ ”
เสี่ยตี๋อมยิ้ม
“ตอนนั้นผมซ้อมยิงอีแร้งครับ มันบินมา ๕ ตัว หัวหน้าฝูงเป็นพญาแร้งหัวแดงแจ๋”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ กลืนนํ้าลายเอื๊อก แต่แล้วทันใดนั้นเองเสียงเครื่องขยายเสียงบนสะพานเรือก็ดัง
กังวานขึ้น
“เรดาร์พบเป้าหมายทางขวาห่างจากเรือ ๒,๐๐๐ หลาครับ สันนิษฐานว่ามันโผล่ขึ้นมาจากทะเล”
ผู้บังคับการวิ่งเข้าไปยังไมโครโฟนและพูดโต้ตอบกับต้นเรือทันที
“ทราบแล้ว ติดตามเป้าหมายต่อไป”
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ต้นหนได้ใช้กล้องส่องทางไกลมองไปทางกราบขวาของ ร.ล.ไชโย ลูกชาย
ของสี่สหายเงียบกริบและมีท่าทางกระสับกระส่ายไปตามกัน ร.อ.นพกล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักๆ
“ชักตื่นเต้นเสียแล้วว่ะ ถ้าเราเผชิญกับ ‘กงจักรเปรต’ คงจะยุ่งเหมือนกัน”
ร.อ.พนัสหัวเราะเบาๆ
“‘กงจักรผี’ โว้ย ไม่ใช่ ‘กงจักรเปรต’”
นพว่า “แต่คราวนี้ข้าศึกอาจจะใช้ ‘กงจักรเปรต’ เล่นงานเราก็ได้ เพราะเปรตมันดุร้ายและเหี้ยม
หาญกว่าผี”
ก่อนที่ใครจะพูดอะไร ต้นหนนายเรือเอกร่างสูงโปร่งลักษณะท่าทางเอาการเอางานได้หันมารายงานให้ผู้บังคับการทราบ
“ผู้การครับ มีวัตถุคล้ายอาวุธนำ วิถีวิ่งมาทางเรือเราในระยะสูงจากระดับนํ้าทะเลประมาณ ๓๐ หลาครับ”
“ทราบแล้ว” น.ท.เฉลิมร้องขึ้นดังๆและยกกล้องส่องทางไกลที่คล้องคอเขาขึ้นมองดู
นายพลดิเรกยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมองดูบ้าง เขาแลเห็นวัตถุคล้ายกับอาวุธนำ วิถีลูกหนึ่งบินตรง
มายัง ร.ล.ไชโย ด้วยความเร็วเหนือเสียง และแล้วมันก็แตกระเบิดในอากาศ
“ตูม”
การระเบิดของจรวดใต้นํ้าลูกนั้นทำ ให้อากาศรวมตัวขึ้นทันที คณะพรรคสี่สหายกับลูกชายของเขา
พร้อมด้วยเจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าแห้วและผู้บังคับการเรือ ต้นหนและจ่ายามทำ หน้าที่ถือท้ายต่างแลเห็นรูป
ลักษณะของพายุหมุนเกิดขึ้นเป็นวงกลมใหญ่และสูงจากระดับนํ้าทะเลไม่ตํ่ากว่า ๕๐ หลา การรวมตัวของอากาศทำ ให้มันหมุนอยู่กับที่ และส่วนที่กว้างใหญ่ของมันค่อยๆเล็กลงเป็นสีเทาเข้ม ทุกคนตื่นตะลึงไปตามกันเมื่อและเห็นส่วนริมของพายุหมุนเป็นรูปลักษณะกงจักรและมีแสงสีแดงวาบวับ พายุหมุนลูกนี้ประกอบปด้วยนํ้า ลมและไฟด้วยความเฉลียวฉลาดของศาสตราจารย์ดิเรก เขารู้ทันทีว่าในนาทีนี้ พายุหมุนจะวิ่งเข้ามาชน ร.ล.ไชโย ทำ ให้เรือฟริเกตลำ นี้เกิดการอับปางลงทันที เขาหันหน้ามามองดูลูกชายของเขาแล้วออกคำ สั่ง“ดำ รง วิ่งลงไปประจำ ปืนรังสีทางท้ายเรือเดี๋ยวนี้ พยายามทำ ลายพายุหมุน ‘กงจักรผี’ ให้ได้ พ่อจะไปประจำ ปืนรังสีทางหัวเรือ แล้วเขาก็เปลี่ยนสายตามาที่ผู้บังคับการ “ไม่ต้องตกใจผู้การ อย่าเปลี่ยนทิศทางหรือลดความเร็วของเรือ ผมกับลูกชายของผมจะจัดการกับ ‘กงจักรผี’ เอง”
สองพ่อลูกพากันวิ่งออกไปจากสะพานเรืออย่างร้นรน เสี่ยตี๋กับ ร.อ.นพร้องเพลงปลุกใจอีก
“พวกเราทุกลำ จำ เช่นดอกประดู่ วันไหนวันดีบานคลี่พร้อมหมู่ วันไหนร่วงโรยดอกโปรยตกพรู
ทหารเรือเราจงดู ตายเป็นหมู่เพื่อชาติไทย ไชโย....เอ้า – เฮ – –”
ความคาดคะเนของศาสตราจารย์ดิเรกถูกต้องแล้ว ‘กงจักรผี’ รวมตัวกันเหนือท้องทะเลตอนนั้น
แล้วเคลื่อนที่ตรงเข้ามาหา ร.ล.ไชโย อย่างรวดเร็ว พล.ร.ต.พลถือโอกาสถ่ายภาพ ‘กงจักรผี’ ไว้ได้ด้วยกล้องถ่ายรูปที่ใช้เลนซ์พิเศษของศาสตราจารย์ดิเรกบรรดานายทหาร พันจ่า จ่าและพลทหารที่อยู่บนดาดฟ้าเรือต่างตื่นเต้นไปตามกัน ทุกคนแม้กระทั่งผู้บังคับการต่างจ้องตาเขม็งมองดู ‘กงจักรผี’ ที่หมุนใกล้เรือเข้ามาทุกวินาที เสียงของมันดังอู้เช่นเดียวกับเสียงลมพายุ กงจักรสีแดงที่วาบวับแลเห็นถนัดน่ากลัวมาก ไม่ผิดอะไรกับว่ามันคือปีศาจร้ายที่กำ ลังจะจมเรือฟริเกตลำ นี้แต่แล้วเสียงปืนรังสีทั้งสองกระบอกซึ่งหันไปทางกราบขวาก็ดังขึ้นในเวลาไล่กันมันไม่ผิดอะไรกับเสียงฟ้าผ่าใกล้ๆ รังสีของปืนที่พุ่งออกไปจากปากกระบอกของมันดังเปรี๊ยะและเป็นประกายเหมือนสายฟ้าจนแสบตา ปืนสายฟ้าหรือปืนรังสียิงไปถูก ‘กงจักรผี’ แล้ว อำ นาจของกระแสไฟฟ้าทำ ให้พายุหมุนหรือ ‘กงจักรผี’ เกิดการสลายตัวทันที พายุหมุนแตกกระจายเป็นสายนํ้าหล่นลงบนพื้นทะเลแบบเดียวกับระเบิดนํ้าลึกที่ทิ้งทำ ลายเรือใต้นํ้าเกิดการระเบิดขึ้นเสียงไชโยโห่ร้องดังลั่น ร.ล.ไชโย บรรดาทหารเรือต่างกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจไปตามกัน เจ้าคุณปัจจนึกฯ หันมายิ้มให้ผู้บังคับการซึ่งกำ ลังพูดกระจายเสียงแจ้งให้ศูนย์ยุทธการทราบว่า ‘กงจักรผี’ ถูกปืนสายฟ้าของศาสตราจารย์ดิเรกยิงทำ ลายไปแล้วเมื่อมันเข้ามาในระยะห่างจากเรือเพียง ๗๕๐ หลา
“เป็นยังไงผู้การ ลูกเขยและหลานชายของฉันแน่ไหม”
น.ท.เฉลิมยกมือวันทยาหัตถ์และกล่าวกับท่านเจ้าคุณด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“เด็ดขาดเลยครับใต้เท้า ถ้าไม่ได้ปืนรังสีสองกระบอกนี้เรือเราต้องจมแน่ เป็นอันว่าพวกเราได้เห็น
‘กงจักรผี’ และการทำ ลาย ‘กงจักรผี’ ด้วยปืนสายฟ้าของอาจารย์ดิเรกแล้วครับ น่าตื่นเต้นที่สุด เหมือนกับความฝันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย”
พล.ร.ต.พลพูดเสริมขึ้น
“สงครามสมัยนี้เป็นสงครามที่ไม่มีการประกาศ การทำ ลายกันก็อาศัยอาวุธสมัยใหม่ เช่น ‘กงจักร
ผี’ ของฝ่ายศัตรูที่เราได้เห็นแก่ตาแล้วครับผู้การ”
นิกรพูดโพล่งขึ้น
“เหมือนกับเรื่องจักรๆวงศ์ๆหรือเรื่องพงศาวดารจีนที่ต่อสู้กันด้วยของวิเศษ ผมคิดว่าไม่ช้าทหารที่
รบกันคงจะปล่อยแสงเฮ้ากวงออกจากฝ่ามือหรือออกจากสะดือแบบเต้าหยินหรือเซียนทั้งหลาย”
พ.จ.ท.แห้วร้องบอก น.ท.เฉลิมทันที
“ผู้การครับ รับประทานคุณหมอร้องตะโกนเรียกผู้การครับ”
น.ท.เฉลิมวิ่งมาเกาะขอบสะพานเรือตอนหน้าแล้วมองลงไปข้างล่าง พอแลเห็นดิเรกกำลังแหงนหน้ามองดูเขา น.ท.เฉลิมก็วันทยาหัตถ์ให้
“ว่าไงครับอาจารย์”
ศาสตราจารย์ดิเรกตะโกนบอก
“นำ เรือแล่นตรงไปยังทิศทางที่พายุหมุนเริ่มรวมตัวกันหลังจากจรวดลูกนั้นระเบิด ผมแน่ใจว่ามีเรือ
ใต้นํ้าหรือเรือดำ นํ้าของฝ่ายศัตรูวนเวียนอยู่แถวนั้น”
น.ท.เฉลิมหันมาทางต้นหน
“ถือท้ายเองต้นหน เลี้ยวขวาแล่นตรงไปยังที่พายุหมุนรวมตัวเมื่อกี้นี้ ผมจะติดต่อกับห้อง ซี.ไอ.ซี.
ให้โซนาร์พยายามค้นหาเรือดำ นํ้าของข้าศึกให้ได้ ผมจะสั่งประจำ สถานีรบเดี๋ยวนี้”
ในนาทีนั้นเอง เสียงแตรเดี่ยวก็ดังกังวานไปทั่ว ร.ล.ไชโย เป็นสัญญาณประจำ สถานีรบ
ทหารเรือต่างวิ่งพล่านไปทั่วเรือ ทุกคนรีบสวมหมวกเหล็กและชูชีพก่อนอื่น ธงรบถูกชักขึ้นสู่ยอด
เสาใหญ่เมื่อเสียงแตรเดี่ยวดังขึ้น หลังจากนั้นก็มีเสียงสัญญาณนกหวีดจากนายยามเรือเดิน ทหารได้เข้า
ประจำ ที่ตามสถานีรบทุกแห่ง ผู้บังคับการออกคำ สั่งทางไมโครโฟนและฟังรายงานจากหัวหน้าสถานีต่างๆเช่น ต้นกล ต้นปืน ต้นตอร์ปิโด นายทหารอาวุธใต้นํ้า รายงานวิทยุถูกส่งไปยังกองเรือยุทธการแล้ว ร.ล.ไชโยได้พบกับพายุหมุนหรือ ‘กงจักรผี’ หน้าเกาะช้างระหว่าง ร.ล.พระประแดง จม นายพลดิเรกกับศาสตราจารย์ดำ รงได้ใช้ปืนรังสีทำ ลาย ‘กงจักรผี’ ได้ในขณะที่มันวิ่งเข้ามาจะจม ร.ล.ไชโย ขณะนี้กำ ลังติดตามค้นหาเรือดำ นํ้าของข้าศึก ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการวิทยุตอบมาว่า ให้ผู้บังคับการ ร.ล.ไชโย ร่วมมือกับคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยพยายามทำ ลายเรือดำ นํ้าของข้าศึกให้จงได้ กองเรือยุทธการออกคำ สั่งให้เรือดำ นํ้า ๒ ลำ เดินทางมาช่วยแล้ว
ในที่สุดโซนาร์ก็ค้นพบเรือดำ นํ้าของข้าศึกลำ หนึ่ง ต้นเรือซึ่งทำ หน้าที่ควบคุมห้องศูนย์ยุทธการได้
รายงานให้ผู้บังคับการเรือทราบทันที น.ท.เฉลิมสั่ง น.ว.ต. คือ นายทหารอาวุธใต้นํ้าเตรียมพร้อม การติดต่อประสานงานเป็นไปอย่างรวดเร็วฉับพลันเรือดำ นํ้าของข้าศึกพยายามหลบหนี แต่อย่างไรก็หนีไม่พ้น เพราะความเร็วของเรือฟริเกตเหนือกว่ามาก ขณะนี้ ร.ล.ไชโย ใช้ฝีจักร ๒๘ นอตและแล่นอยู่เหนือเรือดำ นํ้าลำ นั้นระเบิดนํ้าลึกจากรางปล่อย ๒ รางทางท้ายเรือถูกทิ้งลงไปในทะเลแล้ว รูปลักษณะของเด็ปชาร์จเหมือนกับถังนํ้ามันกลมๆ น.ว.ต.ตั้งชนวนระเบิดให้ห่างระยะกันตามวิธีการปราบเรือดำ นํ้า
เสียงระเบิดนํ้าลึกดังสนั่นหวั่นไหว
“ตูม ตูม”
นํ้าทะเลพุ่งฉูดเป็นลำ ตาลและแตกกระจายเป็นฝอยฟอง ร.ล.ไชโย แล่นเลี้ยวขวาเป็นวงกลมติดตาม
สังหารเรือดำ นํ้าฝ่ายศัตรูอย่างไม่ลดละ ทะเลตอนนี้ลึก ๔๒ เมตร ลิมโบถูกยิงออกจากท่อแฝดลอยละลิ่วไปตกทางกราบขวาห่างจากเรือประมาณ ๕๐ เมตรและแตกระเบิดใต้นํ้าแบบเดียวกับระเบิดนํ้าลึก เสียงระเบิดดังอยู่ตลอดเวลา ในเวลาเดียวกันนี้เองปืนใหญ่และปืน ส.อ. ประจำ เรือก็เตรียมพร้อมที่จะทำ ลายเรือดำ นํ้าหากว่ามันโผล่ขึ้นมาบนผิวนํ้า นายพลดิเรกกับลูกชายยังคงประจำ ปืนรังสีของเขา
การล่าเรือดำ นํ้าเป็นไปอย่างสุดเหวี่ยง ร.ล.ไชโย แล่นเป็นวงกลมกว้างเวียนขวาและปล่อยระเบิดนํ้า
ลึกกับลิมโบลงไปในทะเลตลอดเวลา น.อ.นิกรเดินเข้ามายืนเคียงไหล่ น.ท.เฉลิมแล้วมองไปในทะเล
ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของระเบิดนํ้าลึกและลิมโบ
“ทางซ้ายครับผู้การ เรือดำ น้ำ ของข้าศึกอยู่ทางโน้น ตรงมือผมชี้ บอกให้ต้นหนเลี้ยวซ้ายอีกนิด
หน่อย”
ผู้บังคับการเรือยิ้มให้นิกร
“โซนาร์ไม่ได้รายงานมานี่ครับว่าทิศทางของเรือดำ นํ้าอยู่ทางนั้น ขณะนี้เราตามมันไปถูกทางแล้ว”
น.อ.นิกรจุ๊ปากจิ๊กจั๊ก
“เชื่อผมเถอะน่า โซนาร์จะมาดีกว่าญาณวิเศษของผมได้อย่างไร ผมดูทางในผมมองเห็นครับผู้การ
มันไม่ใช่เรือดำ นํ้าธรรมดา แต่มันเป็นเรือดำ นํ้าพลังงานปรมาณูขนาดใหญ่อยู่ใต้นํ้าได้แรมเดือน”
ผู้บังคับการหันมาทางเสี่ยหงวน
“ผมควรจะเชื่อคุณนิกรดีไหมครับคุณกิมหงวน”
อาเสี่ยยิ้มให้
“ลองเชื่อมันดูก็ได้ครับ เพื่อนผมคนนี้มันแปลกมนุษย์ มีญาณพิเศษหรือมีอะไรในตัวพิเศษกว่าคน
ธรรมดาครับ ครั้งหนึ่งเรือดำ นํ้าขนาดจิ๋วของฝ่ายศัตรูลำ หนึ่งบุกเข้าไปในแม่นํ้าเจ้าพระยาและหลุดเข้าไปในลองหลอด ทางกองทัพเรือสั่งให้เทศบาลปิดประตูนํ้าปากคลองทั้งสองข้าง คือทางปากคลองตลาดและทางท่าช้างวังหน้า เรือปราบเรือดำ นํ้าของเราตั้ง ๕ ลำ แล่นสวนกันไปมาในคลองหลอดค้นหาเรือดำ นํ้าเท่าใดก็ไม่พบ แต่แล้วพันเอกนิกรก็สามารถรู้ว่ามันแอบซ่อนอยู่ใต้สะพานช้างโรงสีหลังกระทรวงกลาโหม กองทัพเรือเลยตีอวนลากเรือดำ นํ้าลำ นั้นขึ้นมา”
ผู้บังคับการทำ หน้าชอบกล
“เรื่องจริงหรือครับ”
“ครับ เรื่องจริงที่มีความเท็จแอบแฝงอยู่เพียง ๙๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“เชื่อผมเถอะน่าผู้การ เรือดำ นํ้าข้าศึกอยู่ทางซ้ายโน่นจริงๆ”
น.ท.เฉลิมเม้มปากแน่น หันไปทางต้นเรือซึ่งทำ หน้าที่ถือท้ายเรือด้วยตนเองจากเครื่องถือท้าย
ไฮโดรลิกออกแรงเบาๆหมุนพังงาขนาดเล็กเรือก็เลี้ยวไปตามความประสงค์
“ต้นหน เลี้ยวซ้าย ๒๐ องศา”
“เลี้ยวซ้าย ๒๐ องศา” ต้นหนทวนคำ สั่งและปฏิบัติตามทันที
น.ท.เฉลิมหันมายิ้มให้ พล.ร.ต.พล
“ผมลองเชื่อคุณนิกรดูสักทีนะครับ ระเบิดนํ้าลึกและลิมโบของเรามีเหลือเฟือ ถ้าคุณนิกรไม่โกหก
ผม เรือดำ นํ้าของข้าศึกไม่ว่าจะเป็นเรือธรรมดาหรือเรือใต้นํ้าที่ใช้พลังงานปรมาณูคงเสร็จเราแน่ๆ”
พลหัวเราะเบาๆ
“ผมไม่ขอออกความเห็นในเรื่องนี้นะครับ”
ศาสตราจารย์ดิเรกบุกเข้ามาในสะพานเรือและร้องถามผู้บังคับการ
“เปลี่ยนทิศทางทำ ไมผู้การ”
น.ท.เฉลิมยกมือวันทยาหัตถ์และตอบทันที
“คุณนิกรบอกผมว่าตำ แหน่งเรือดำ นํ้าอยู่ทางซ้ายครับ ซึ่งคุณนิกรรู้ได้จากญาณวิเศษ”
นายพลดิเรกลืมตาโพลง
“ยังงั้นเรอะ ถ้ายังงั้นถูกของอ้ายกรมัน เพื่อนผมคนนี้มันยอดคนครับ ผมเองบางขณะยังต้องพึ่งพา
อาศัยเขา ผมทำ งานในด้านวิทยาศาสตร์ก็ได้อ้ายกรช่วยเหลือทั้งๆที่เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์”
ผู้บังคับการเรือทำ หน้าชอบกล ร.ล.ไชโย เปลี่ยนทิศทางเหไปทางซ้าย ต้นเรือรายงานมาจากห้อง ซี.
ไอ.ซี. ว่าตำ แหน่งเรือดำ นํ้าไม่ปรากฏในโซนาร์แล้วอีกสักครู่หนึ่งรายงานจากห้องศูนย์ยุทธการก็ปรากฏว่าพบตำ แหน่งเรือดำ นํ้าของข้าศึก น.ท.เฉลิม
สั่งโจมตีด้วยอาวุธใต้นํ้าอีกครั้งหนึ่ง ศูนย์ยุทธการรายงานมายังสะพานเรืออีกว่าเครื่องไฮโดรโฟนิคส์ฟังเสียงเรือใต้นํ้า ได้ยินเสียงใบจักรของเรือใต้นํ้าอย่างถนัด
“ตูม ตูม”
ระเบิดนํ้าลึก ๒ ลูกจากรางคู่ท้ายเรือที่ถูกกลิ้งลงไปจากรางปล่อยของมันได้ระเบิดขึ้นกึกก้อง ลูก
แรกระเบิดใต้นํ้าลึก ๒๐ เมตร ลูกที่ ๒ ระเบิดลึก ๓๐ เมตร
ศูนย์ยุทธการรายงานมาทางเครื่องกระจายเสียง
“เข้าใจว่าเรือดำ นํ้าของศัตรูถูกระเบิดนํ้าลึกแล้วครับ เสียงใบจักรเงียบไปและโซนาร์ไม่ได้ยินเสียง
สะท้อน”
เสี่ยตี๋นึกเปรี้ยวปากเต็มทนก็แหกปากร้องตะโกนขึ้นดังๆ
“สละเรือใหญ่”
น.ท.เฉลิมสะดุ้งโหยงเหมือนถูกเข็มแทง
“แล้วกัน” เขาเอ็ดตะโร ร.อ.สมนึกโดยไม่เกรงใจใคร “ไหงร้องยังงี้ล่ะผู้กอง เดี๋ยวผมก็จับโยนลงไป
ในทะเลเท่านั้นเอง”
สมนึกหน้าจ๋อย พูดเสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ
“ร้องเล่นไม่ได้หรือครับ”
“ก็ร้องอย่างอื่นซีคุณ ดันแหกปากร้องออกมาได้ว่าสละเรือใหญ่ ถึงคุณร้องเล่นก็ไม่มีใครทำ ตามคำ
สั่งของคุณ แตม่ นั กเ็ หมอื นกบั แชง่ ใหพ้ วกเราเทง่ ทงึ นนี่ ะ คณุ คดิ หรอื เปลา่ วา่ คาํ ว่าสละเรือใหญ่หมายถึงกาลอวสานของเรา”
เสี่ยหงวนมองดูลูกชายของเขาอย่างเคืองๆ
“ทะลึ่งไม่รู้จักกาละเทศะ อย่างนี้เขาเรียกว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
นิกรพูดเสริมขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
“ใช่ พ่ออ้ายตี๋มันเลว ไม่เคยอบรมสั่งสอนลูก ไม่รู้ว่าลูกเต้าเหล่าใคร”
กิมหงวนกลืนนํ้าลายเอื๊อก กระซิบบอกนิกรเบาๆ
“ลูกกูโว้ย”
ร.ล.ไชโย แล่นวนเวียนอยู่บริเวณนั้นจนกระทั่งพันจ่าคนหนึ่งร้องตะโกนบอกผู้บังคับการให้ทราบ
ว่ามีหีบห่อและนํ้ามันลอยขึ้นมาบนท้องทะเลมากมาย ผู้บังคับการสั่งลดความเร็วของเรือทันที แล้วติดต่อกับห้องศูนย์ยุทธการ ซึ่งต้นเรือได้รายงานมาว่า โซนาร์จับเสียงสะท้อนของเรือดำ นํ้าไม่ได้แล้ว เข้าใจว่าเรือดำ นํ้าของข้าศึกจมอยู่ก้นทะเลแน่นอน
ในที่สุด ร.ล.ไชโย ก็ลอยกระเพื่อมๆอยู่ในตำ แหน่งที่มีนํ้ามันและหีบห่อข้าวของต่างๆลอยขึ้นมา
มากมายและเกลื่อนกลาดไปทั่ว คณะพรรคสี่สหายพร้อมด้วยลูกชายของเขาและเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับเจ้าแห้วยืนรวมกลุ่มกันอยู่ริมขอบสะพานเรือทางขวา ซึ่งตอนนี้ ร.อ.ดำ รงได้ผละจากปืนรังสีขึ้นมาสังเกตการณ์บนสะพานเรือแล้ว ผู้บังคับการกับต้นหนและคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ทุกคนต่างทอดสายตามองลงไปยังพื้นนํ้า ในเวลาเดียวกันทหารเรือบนดาดฟ้าก็จับกลุ่มมองดูสัญลักษณ์แห่งความพินาศของเรือดำนํ้าที่ถูกระเบิดนํ้าลึกอับปางอยู่ก้นอ่าวไทย
นายพลดิเรกกล่าวถาม น.ท.เฉลิมอย่างเป็นงานเป็นการ
“นํ้าตอนนี้ลึกเท่าใดผู้การ”
“สี่สิบแปดเมตรครับอาจารย์”
“ออไร๋ เรือดำ นํ้าของฝ่ายศัตรูเท่งทึงแน่ๆและไม่มีทางที่ผู้บังคับการเรือดำ นํ้าจะปล่อยลูกเรือขึ้นมา
ได้ เพราะนํ้าลึกขนาดนี้แต่งเครื่องมนุษย์กบออกมาทางช่องทางช่วยชีวิต ความกดของนํ้าก็จะทำ ให้หูแตกหรือหัวใจหยุดทำ งาน ม่ายก็ตับแตกตาย”
นิกรเสริมขึ้นเบาๆ
“นอกจากหูแตกและตับแตก อย่างอื่นก็อาจจะแตกเหมือนกันเนื่องจากลมในท้องมันดันออกมา”
ศาสตราจารย์ดิเรกหัวเราะหึๆ
“ทะลึ่ง”
“อ้าว พูดอย่างนี้ดูหมิ่นนายทหารผู้ใหญ่นี่หว่า ฉันเป็นพันเอก เป็นนาวาเอกและนาวาอากาศเอกนะ
โว้ย ขอโทษเสีย แล้วก็ตะเบ๊ะฉันตามระเบียบ”
นายพลดิเรกหัวเราะหึๆ
“แกดูที่คอปกเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของฉันซี กงจักรสีนํ้าเงินนี่เครื่องหมายนายพลเรือใช่ไหม ฉันคือพล
เรือโทแห่งราชนาวี พลโทแห่งกองทัพบกและพลอากาศโทของกองทัพอากาศ”
“เออ – จริงโว้ย ถ้ายังงั้นไม่ต้องขอโทษและตะเบ๊ะกันหรอก”
ศาสตราจารย์ดิเรกเดินเข้ามาหาผู้บังคับการ ร.ล.ไชโย
“ผู้การ จอดทอดสมอเถอะ ผมจะส่งคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์สองหรือสามคน
แต่งเครื่องประดานํ้าลงไปค้นหาเรือดำ นํ้าของศัตรูเพื่อใช้ระเบิดใต้นํ้าทำ ลายมันเสียให้พินาศไป ระดับนํ้าลึกนาดนี้การกู้ขึ้นมาย่อมทำ ได้ยาก และถึงแม้เรากู้ขึ้นมาได้ก็อาจจะเป็นชนวนเหตุให้เกิดระหว่างไทยเรากับชาติที่เป็นเจ้าของเรือใต้นํ้าลำ นี้”
“เดี๋ยวครับ ขอให้ผมเรียนถามคุณนิกรสักนิด” พูดจบ น.ท.เฉลิมก็หันมายิ้มให้นิกร “คุณนิกรครับ
ก่อนอื่นผมขอชมเชยในความสามารถอันยอดเยี่ยมของคุณ ซึ่งเหมือนกับว่าคุณมีตาทิพย์มองเห็นเรือใต้น้ำของข้าศึก เพราะผมเชื่อคุณ เปลี่ยนทิศทางเรือมาตามที่คุณบอก ระเบิดนํ้าลึกและลิมโบของเราจึงทำ ลายเรือใต้นํ้าของศัตรูได้”
“ฮั่นแน่” เจ้าคุณปัจจนึกฯ ร้องขึ้นดังๆและมองดูผู้บังคับการเรืออย่างขบขัน “คุณศรัทธาอ้ายกรเอา
มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ครับผม รู้สึกว่าคุณนิกรแกแน่จริงๆครับ แม้กระทั่งอาจารย์ดิเรกก็ยอมรับนับถือว่าคุณนิกรเป็น
มนุษย์พิเศษ” แล้ว น.ท.เฉลิมก็เปลี่ยนสายตามาที่นิกร “กรุณาบอกผมหน่อยเถอะครับ นํ้ามันเครื่องที่ลอยขึ้นมาเป็นแพมากมายนับพันลิตร และหีบห่อสัมภาระต่างๆที่เรามองเห็นเกลื่อนกลาดไปทั่ว เกิดขึ้นเพราะเรือใต้นํ้าข้าศึกอับปางหรือข้าศึกกบดานอยู่ใต้ทะเลแกล้งปล่อยนํ้ามันและข้าวของเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อลวงเราให้เข้าใจผิดคิดว่าเรือมันอับปาง”
น.อ.นิกรยิ้มเล็กน้อย เต๊ะท่าและเก๊กหน้าให้สมกับว่าเขาเป็นผู้วิเศษ หรืออาจารย์วิปัสสนาชั้นสูง
สามารถหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร เขามองดูฝานํ้ามันที่ลอยอยู่มากมายเบื้องหน้าของเขาแล้วกล่าวกับผู้บังคับการว่า
“ผมมองเห็นถนัดทีเดียวผู้การ”
“เห็นอะไรครับ”
“เห็นนํ้ามันแล้วก็หีบห่อสัมภาระต่างๆที่ลอยอยู่เต็มทะเล”
น.ท.เฉลิมกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“ที่คุณว่าพวกเราก็มองเห็นนี่ครับ ผมอยากให้คุณมองดูเรือใต้นํ้าของข้าศึก”
“ว้า มันอยู่ก้นทะเลผมจะมองเห็นได้อย่างไร”
“ก็คุณมีญาณวิเศษไม่ใช่หรือครับ”
นิกรหัวเราะหน้าเป็นตามเคย
“งั้นเรอะ ถ้ายังงั้นผมจะใช้วิปัสสนาของผมมองดูก้นผู้การ”
“อ๊ะ ก้นทะเลซีครับ”
“ใช่ๆ ก้นทะเลไม่ใช่ก้นผู้การผมพูดเผลอไป พูดแล้วผู้การจะหาว่าผมคุยโม้ ผมนี่แหละครับเป็นผู้
หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร” แล้วนิกรก็หัวเราะเสียงแหลมเล็กเหมือนกับเสียงแม่มดในละครวิทยุหรือในภาพ
ยนตร์ “แฮะ แฮะ แฮะ แฮ้ ข้ารู้....ข้ามองเห็น ข้าเห็นทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต แฮะ แฮะ แฮะ”
“เฮ้ย” นายพลดิเรกเอ็ดตะโรลั่น “อยู่ในเครื่องแบบนาวาเอกยังจะทำ ลิงทำ ค่างอีก”
นิกรหัวเราะ
“เป็นอะไรไปวะพวกเราทั้งนั้น เราอยู่เรือลำ เดียวกันก็เหมือนกับว่าเราเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา”
แล้วนิกรก็หันมายิ้มให้ น.ท.เฉลิม “อย่าสงสัยอะไรเลยครับผู้การ ผมสบายดีแต่ว่าผมมันขี้เล่น”
ผู้บังคับการยิ้มเจื่อนๆ
“เอาละครับ กรุณาช่วยดูหน่อยเถอะครับว่ามีเรือใต้นํ้าหรือเรือดำ นํ้าของข้าศึกจมอยู่ก้นทะเลตอนนี้
หรือเปล่า และมันจอดอยู่ในลักษณะดับเครื่องยนต์กบดานหลอกเรา หรือว่าจมเพราะถูกระเบิดนํ้าลึกของเราอับปาง”
น.อ.นิกรยกมือขวาป้องหน้าผากมองลงไปในนํ้า สักครู่หนึ่งเขาก็กล่าวกับ น.ท.เฉลิมอย่างเป็นงาน
เป็นการ “ผมเห็นถนัดเลยผู้การ เสร็จเราแล้วครับ ไส้และกระเพาะหลุดออกมานอกปาก นัยน์ตาทะเล้นห้อยร่องแร่ง นอนหงายท้องอยู่ตามโขดหินใต้ทะเลเป็นแถว”
น.ท.เฉลิมกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“เรือใต้นํ้าน่ะหรือครับ”
“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงปลาต่างๆที่ต้องเสียชีวิตเพราะแรงระเบิดของระเบิดนํ้าลึกและลิมโบ แหม
– ตายเยอะแยะเชียวครับ”
“แล้วเรือใต้นํ้าล่ะครับ”
“เดี๋ยวครับ ผมดูก่อน” พูดพลางยกมือขวาขึ้นป้องหน้าผากแล้วมองลงไปยังพื้นนํ้า “เห็นแล้วครับผู้
การ โอ้โฮ....ไม่ใช่เรือใต้นํ้าครับ แต่เป็นเรือดำ นํ้ารัศมีทางไกลหรือเรือดำ นํ้าที่ใช้แรงขับเคลื่อนด้วยพลังงานปรมาณู”
ผู้บังคับการเรือลืมตาโพลงและหันมาถามเจ้าคุณปัจจนึกฯ
“ผมพอจะเชื่อคุณนิกรได้ไหมครับ”
ท่านเจ้าคุณอมยิ้ม
“แล้วแต่คุณซี มาถามฉันทำ ไม”
น.ท.เฉลิมเปลี่ยนสายตามาที่นายพลดิเรก
“ว่ายังไงครับอาจารย์ ผมคิดว่าคุณนิกรคงไม่โกหกผมหรือพูดเล่นๆ เพราะเรากำ ลังปฏิบัติหน้าที่
ราชการร่วมกัน”
“ออไร๋ เพื่อนของผมคนนี้ทำ อะไรเป็นเล่นเสมอ แต่ผมบอกผู้การแล้วว่ามันเป็นมนุษย์พิเศษรอบรู้
สารพัด ทั้งที่วิชาการบางอย่างไม่เคยเล่าเรียนมา อ้ายกรเป็นกำ ลังสำ คัญของคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ เคยแก้ปัญหาคับขันให้พวกเรารอดตายมาหลายครั้งแล้ว อ้ายกรคงเห็นเรือดำ นํ้าปรมาณูของข้าศึกจริงๆ”
ผู้บังคับการ ร.ล.ไชโย มองดูนิกรอย่างแปลกใจ
“กรุณาบอกผมได้ไหมครับว่าเรือดำ นํ้าปรมาณูของศัตรูอับปางหรือเปล่า”
นิกรยิ้มเล็กน้อย
“แหงครับ แหงแซะ”
น.ท.เฉลิมขมวดคิ้วย่น
“แหงยังไงครับผมไม่เข้าใจ”
“ก็พังน่ะซี” นิกรพูดเสียงดุๆ “สะพานเรือถูกระเบิดพังราบทะลุเป็นรูเบ้อเริ่ม ดาดฟ้าตอนหัวเรือก็
พัง เรือจมอยู่ก้นทะเลระหว่างหมู่ก้อนหินใหญ่ ทหารประจำ เรือตายหมด ผู้การมียศเป็นนาวาเอกไว้หนวด
ด้วย นอนตายอยู่ในห้องบังคับการ ทหารประจำ เรือเป็นชาวยุโรป ต้นเรือสวมแว่นสายตาสั้น”
พล.ร.ต.พลหัวเราะก้าก
“แกเห็นจริงๆหรือวะ”
“เปล่า เดาเอา เห็นแต่เรือดำ นํ้าจมอยู่ก้นทะเลเท่านั้น”
นายพลดิเรกกล่าวกับ น.ท.เฉลิมอย่างเป็นงานเป็นการ
“สั่งหยุดเรือและทอดสมอได้แล้วผู้การ ผมจะส่งคณะของผมลงทะเลเพื่อระเบิดเรือดำ นํ้าของข้าศึก
แต่ผมจะวิทยุติดต่อกับผู้บัญชาการกองเรือยุทธการเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ตามคำ สั่งที่ผมได้รับมอบหมายมานั้น ให้ผมจัดการได้ทุกอย่างเกี่ยวกับการทำ ลายเรือรบบนผิวนํ้าหรือเรือดำ นํ้าของข้าศึก”
โดยคำ สั่งของผู้บังคับการ ร.ล.ไชโย ได้หยุดเคลื่อนที่แล้ว สมอเรือถูกทิ้งลงไปในทะเลจนถึงก้น
ทะเล ขณะนี้กลุ่มเมฆผ่านพ้นดวงอาทิตย์ ทะเลเรียบมีระลอกคลื่นเพียงเล็กน้อย พนักงานวิทยุประจำ เรือต้องทำ งานอย่างหนัก รายงานเหตุการณ์ไปให้กองเรือยุทธการทราบ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการได้วิทยุมาถึงนายพลดิเรก แสดงความยินดีที่จมเรือดำ นํ้าของศัตรูได้ และเห็นพ้องด้วยที่ศาสตราจารย์ดิเรกจะส่งประดานํ้าลงไประเบิดเรือดำ นํ้าลำ นี้
ขณะนี้เป็นเวลา ๑๐.๓๐ น. ทหารประจำ เรือได้รับอนุญาตให้พักผ่อน แต่พนักงานเรดาร์และโซนาร์
ต้องปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลาเพื่อค้นหาเครื่องบิน เรือรบบนผิวนํ้าและเรือดำ นํ้า เครื่องบินที่เรดาร์ค้นพบ ๓ จุดคือเครื่องบินขับไล่ เอฟ – ๘๖ เอฟ ของกองทัพอากาศที่ผลัดเปลี่ยนกันบินลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลา มีการติดต่อประสานงานกับเรือรบ ซึ่งการป้องกันอ่าวไทยของเราเป็นไปอย่างแข็งแรง
เครื่องประดานํ้าประจำ ร.ล.ไชโย แบบทันสมัยรวม ๓ เครื่องถูกนำ ขึ้นมาบนดาดฟ้าทางกราบขวา
เรือแล้ว พร้อมด้วยเครื่องมืออุปกรณ์คือ เครื่องยนต์สำ หรับปล่อยออกซิเจนให้ประดานํ้า มีท่อยางสองท่อสำหรับอากาศเสียหนึ่งท่อนายพลดิเรกเรียกคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ทุกคนมาพบกับเขาเพื่อให้จับสลาก
“ทุกคนฟังข้าพเจ้า” ศาสตราจารย์ดิเรกพูดแบบทหาร “ก้านไม้ขีดในมือข้าพเจ้าทั้ง ๑๐ อันนี้ มี ๓
อันที่ถูกหักออกเหลือครึ่งเดียว ใครจับได้ไม้สั้นจะต้องลงไประเบิดเรือดำ นํ้าของข้าศึก ข้าพเจ้าขอรับรองด้วยเกียรติว่า การจับไม้สั้นไม้ยาวนี้เป็นไปด้วยความยุติธรรม ข้าพเจ้าให้โอกาสพวกท่านจับก่อน ไม้ขีดอันสุดท้ายจะเป็นของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าขอบอกว่า คนที่ได้ไม้สั้นไม่จำ เป็นต้องนึกถึงพ่อแก้วแม่แก้ว เพราะการลงทะเลด้วยเครื่องประดานํ้าทันสมัยจะไม่มีอันตรายใดๆ อย่างมากก็แค่ปลาฉลามกัดตาย หรือถูกปลาหมึกยักษ์ลากเอาไปกิน”
“ว้า” นิกรคราง “ประโยคหลังนี่แกไม่ควรพูดเลยโว้ย”
นายพลดิเรกยิ้มให้
“กลัวอะไรวะ เราทหารเรือไทย”
“ใช่ แต่อ้ายหลามหรือปลาหมึกยักษ์มันไม่พยายามเข้าใจเราน่ะซี”
เสี่ยหงวนกล่าวกับคณะพรรคของเขาและลูกชายของสี่สหาย
“ให้คุณอาจับก่อนโว้ย เราเป็นเด็กต้องให้โอกาสท่าน”
นายพลดิเรกยื่นมือทั้งสองไปให้เจ้าคุณปัจจนึกฯ
“เอาเลยครับคุณพ่อ เราจะต้องทำ งานแข่งกับเวลา”
ท่านเจ้าคุณเม้มปากแน่ ยกมือขวาจับไม้ขีดก้านหนึ่ง ดึงออกมาจากมือของศาสตราจารย์ดิเรก
“สั้นจู๋” เสี่ยตี๋พูดพลางหัวเราะก้าก “ฮ่ะ ฮ่ะ อ้ายหลามเจี๊ยะคุณปู่แน่”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ค้อนปะหลับปะเหลือก
“พูดภาษาส้นมืออะไรวะ”
การจับไม้สั้นไม้ยาวได้ดำ เนินต่อไป พนัส นพ สมนึก และศาสตราจารย์ดำ รงต่างได้ไม้ยาว เจ้าแห้ว
เอื้อมมือขวาที่สั่นรัวจับไม้ขีดก้านหนึ่งดึงออกมาจากมือนายพลดิเรก พอแลเห็นไม้ขีดอยู่ครบทั้งก้านเขาก็กระโดดตัวลอยแสดงความดีใจ
“รับประทานของผมไม้ยาวครับ ค่อยโล่งใจหน่อย”
นายพลดิเรกพยักหน้าให้เสี่ยหงวน
“จับซีอ้ายหงวน เหลือไม้สั้นอีกสองอันและไม้ยาวสองอัน”
นิกรพูดโพล่งขึ้น
“กันจับก่อนโว้ย” แล้วเขาก็เอื้อมมือดึงไม้ขีดไฟก้านหนึ่งออกมา พอแลเห็นเข้านิกรก็หน้าจ๋อย
“ซวยแล้วกู”
พลจับบ้าง ปรากฏว่าเขาจับได้ไม้ยาว นายพลดิเรกหัวเราะอย่างสนุกสนานยื่นมือให้อาเสี่ย
“เอา – จับได้อ้ายหงวน เหลือแกกับกันเพียงสองคน มีไม้สั้นอันหนึ่งและไม้ยาวอันหนึ่ง ตาดีก็ได้
ตาร้ายก็เสีย”
ใบหน้าของอาเสี่ยเคร่งเครียดผิดปกติ เขาเม้มปากแน่นและถอนหายใจลึกๆเอื้อมมือหยิบก้านไม้ขีด
ก้านหนึ่งดึงออกมาจากมือนายพลดิเรกแล้วเสี่ยหงวนก็ร้องขึ้นดังๆ
“อ๋อย”
พวกทหารเรือที่ยืนจับกลุ่มอยู่ใต้แท่นปืน สอ. ต่างหัวเราะคิกคักไปตามกัน เสี่ยตี๋สบตากับเตี่ยของ
เขาแล้วกล่าวว่า
“มีอะไรที่เตี่ยจะสั่งเสียผมบ้างก็ว่ามาเลยครับ สำ หรับแม่ เตี่ยไม่จำ เป็นต้องเสียเวลาเขียนจดหมาย
หรอก สั่งผมด้วยวาจาก็ได้”
เสี่ยหงวนชักยัวะขึ้นมาทันที
“แกคิดว่าฉันจะลงไปตายใต้ทะเลยังงั้นรึ คนอย่างเตี่ยไม่ตายง่ายๆหรอกโว้ย ปืนฉมวกก็มีป้องกันตัว”
ร.อ.สมนึกเดินเข้าไปหา น.ท.เฉลิมแล้วกล่าวถาม
“ผู้การครับ สมมุติว่าเตี่ยของผมและอากรถูกฉลามกัดตาย ผู้การจะจัดการอย่างไรครับ”
“ผมก็ต้องทำ พิธีฝังศพบนเรือนี่แหละครับ คือเอาศพทิ้งทะเลไปตามประเพณีของชาวเรือ”
“อ้อ – ดีครับ ไม่ต้องเอาศพไปกรุงเทพฯ เป็นการประหยัดเงินได้มาก แถวนี้ฉลามชุมไม่ใช่หรือ
ครับ จ่าประจำ อาวุธใต้นํ้าแกบอกผมว่าทะเลแถบนี้ฉลามชุมยังกะลูกนํ้าตามท่อนํ้าเน่า เห็นเงาคนที่ทอดลงไปในนํ้ายังกัดจนเงาขาด”
ผู้บังคับการหัวเราะลั่น
“เขาเล่าอะไรให้คุณฟังคุณก็อย่าเชื่อให้มากนัก ทหารเรือลำ นี้หลายคนโกหกแบบหน้าตาย”
เป็นอันว่าเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับนิกรและกิมหงวนจะต้องลงไปก้นทะเลเพื่อค้นหาทรากเรือดำ นํ้าของ
ข้าศึกและระเบิดมันให้แหลกละเอียดไป การเตรียมตัวลงทะเลได้เริ่มต้นในนาทีนั้น ท่านเจ้าคุณกับสองสหายต่างถอดเครื่องแบบออกเหลือแต่เสื้อยืดและกางเกงใน ทหารเรือหน่วยประดานํ้าได้ช่วยกันสวมเครื่องประดานํ้าให้ เครื่องประดานํ้าแต่ละชุดมีนํ้าหนักมากโดยเฉพาะรองเท้าของมันที่ใหญ่และหนา นอกจากนี้ยังมีท่อออกซิเจนขนาดเล็กติดอยู่ด้วยสำ หรับใช้หายใจถ้าหากว่าเครื่องยนต์ที่ใช้สูบอากาศเกิดขัดข้อง ที่ครอบศีรษะที่ทำ ด้วยวัตถุโปร่งแสงสวมติดศีรษะนั้นมีเกลียวหมุนติดกับคอเสื้อป้องกันไม่ให้นํ้าทะเลซึมเข้าไปได้ ในครอบแก้วนี้มีลำ โพงโทรศัพท์ติดอยู่เพื่อให้ประดานํ้าพูดโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่บนเรือคือนายพลดิเรกนั่นเองสายโทรศัพท์พันติดกับท่อยางออกซิเจน เป็นโทรศัพท์แบบใหม่เสียงดังฟังชัดเป็นเวลาประมาณ ๑๕ นาทีในการเตรียมตัวและแต่งตัวของประดานํ้าทั้งสามคน นิกรกับกิมหงวนและเจ้าคุณปัจจนึกฯ มีปืนฉมวกใช้ยิงใต้นํ้าคนละกระบอก โดยเฉพาะกิมหงวนมีระเบิดเวลาลูกหนึ่งหิ้วอยู่ในมือซ้าย รูปลักษณะของมันเหมือนกับเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ขนาดกลาง ซึ่งอาเสี่ยมีความชำ นาญในการใช้ระเบิดแรงสูงแบบนี้ เพราะเขาทำ งานอยู่ในคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทยมานานแล้ว ได้รับการอบรมสั่งสอนจากนายพลดิเรกเกี่ยวกับอาวุธและวัตถุระเบิดทุกชนิดเมื่อเครื่องกว้านหย่อนประดานํ้าคนแรกคือเจ้าคุณปัจจนึกฯ ลงไปในนํ้า พวกทหารเรือก็พากันมองดูเป็นตาเดียว เสี่ยตี๋แหกปากหัวเราะลั่นชี้มือให้เพื่อนๆดู
“ดูคุณปู่ซีวะ เหมือนอึ่งอ่างพองลม”
พนัสยกมือเขกกบาลสมนึกดังโป๊ก
“ทะลึ่ง ไม่รู้จักเด็กผู้ใหญ่”
เครื่องกว้านหย่อนเสี่ยหงวนลงไปเป็นคนที่สอง และแล้ว น.อ.นิกรก็ถูกหย่อนลงทะเลเป็นคนสุด
ท้าย ขณะที่ลอยอยู่ในอากาศยังไม่ถึงพื้นนํ้า นิกรได้ถือโอกาสทำ ท่าเหาะเหมือนโขน พวกทหารประจำ ร.ล.ไชโย หัวเราะกันอย่างครื้นเครงในที่สุดประดานํ้าทั้งสามคนก็ลงมาอยู่ใต้ทะเลลึก ๔๖ เมตร ซึ่งมนุษย์กบไม่สามารถจะลงมาปฏิบัติการได้ เมื่อเจ้าคุณปัจจนึกฯ และสองสหายเคลื่อนที่ไปใต้ทะเล ท่อออกซิเจนและท่อยางแข็งที่ติดตัวประดานํ้าก็ผ่อนตามมา ประดานํ้าสามารถที่จะไปไกลจากเรือได้ประมาณ ๒๐๐ เมตร ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ใต้ทะเลประดานํ้าจะติดต่อกับหัวหน้าคือนายพลดิเรกได้วิธีเดียวคือทางโทรศัพท์ซึ่งหูโทรศัพท์สองหูติดอยู่กับหูประดานํ้าและลำ โพงสำ หรับพูดติดอยู่กับครอบศีรษะ
“ฮัลโหล เราลงมาถึงก้นทะเลแล้วโว้ย” นิกรรายงานให้หัวหน้าทราบ “บอกทหารเรือติดเตาอั้งโล่
โยนลงมาสักเตาได้ไหม ปลาหมึกยั้วเยี้ยไปหมด ปิ้งกินสดๆหวานดีกว่าปลาหมึกแห้ง”
“ไม่ใช่เวลาพูดเล่นโว้ย งานของแกคือค้นหาทรากเรือดำ นํ้าของข้าศึก”
“หมอโว้ย” อาเสี่ยพูดขึ้นบ้าง “เราเจอเงือกสาวตัวหนึ่งหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋มไม่เลวเลย ท่อนบนเป็น
คนท่อนล่างเป็นปลาว่ะ”
“โกหก” เสียงนายพลดิเรกตวาดลั่นซึ่งประดานํ้าทั้งสามคนได้ยินถนัด
“ก็โกหกน่ะซี” อาเสี่ยพูดเสียงหัวเราะ “ถ้าเงือกมีจริงๆ ทหารเรือก็คงจับเอาไปเป็นเมียหมดแล้ว”
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ชี้มือไปข้างหน้าและทำ บุ้ยใบ้บอกให้สองสหายเดินตามท่านไป ทั้งสามคนผ่าน
โขดหินใต้นํ้าแลเห็นธรรมชาติใต้ท้องทะเลสวยงามประหลาดตามาก ฝูงปลาน้อยใหญ่ว่ายผ่านไปมา บางพวกก็ตกใจแตกกระจายออกจากฝูงเมือเข้ามาใกล้ประดานํ้าห่างจากเรือประมาณ ๑๕๐ เมตร ท่านเจ้าคุณกับนิกรและเสี่ยหงวนก็แลเห็นยักษ์ใหญ่ที่สิ้นฤทธิ์ คือเรือดำ นํ้าที่ใช้พลังงานปรมาณูนอนหมอบอยู่ก้นทะเลในท่านอนตะแคง เรือดำ นํ้าของฝ่ายศัตรูลำ นี้มีขนาดใหญ่และยาวกว่าเรือใต้นํ้าธรรมดามาก อำ นาจแรงระเบิดของระเบิดนํ้าลึกจากเด็ปชาร์จและลิมโบ ทำ ให้มันต้องฝังตัวเองอยู่ในก้นทะเลของอ่าวไทย ผู้บังคับการเรือและลูกเรือทุกนายต้องเสียชีวิต ไม่มีใครรอดได้แม้แต่คนเดียว เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดโทรศัพท์ติดต่อกับนายพลดิเรกเขยใหญ่ของท่านทันที
“ฮัลโหลดิเรก เราพบเรือดำ นํ้าพลังปรมาณูของข้าศึกแล้ว นอนตะแคงอยู่ในหมู่ก้อนหินโว้ย มีรอย
ทะลุกว้างใหญ่สองสามแห่งแลเห็นถนัด”
“ดีแล้วครับคุณพ่อ พยายามตรวจดูความเสียหายและรูปร่างลักษณะของเรือเสียก่อนถึงค่อยวาง
ระเบิด หงวนโว้ย ได้ยินเสียงของกันไหม”
“ได้ยินแล้ว เสียงแกดูดขี้ฟันเปี๊ยบๆก็ได้ยินถนัด”
“ใครบอกแกล่ะ ฉันไม่ได้ดูด”
“แล้วอะไรมันดัง” อาเสี่ยถาม
“ลมมันพัดถูกรอกกว้านเรือยนต์ประจำ เรือโว้ย”
“งั้นเรอะ ว่ายังไงหมอ”
“จำ ไว้ว่าตั้งชนวนระเบิด ๒ ชั่วโมง เพราะแกกับอ้ายกรและคุณพ่อจะต้องใช้เวลาประมาณ ๑๕
นาทีกว่าจะขึ้นมาบนเรือเราได้ และเรือจะต้องเสียเวลาหะเบตสมอขึ้น อย่างน้อยเรือเราจะต้องแล่นไปให้ห่างจากจุดนี้ไม่ตํ่ากว่า ๓ ไมล์ เนื่องจากระเบิดเวลาของเราใช้ดินระเบิดแรงสูง ถ้าเรืออยู่ใกล้อาจจะได้รับอันตรายได้ ลูกระเบิดที่กันมอบให้แกมีอำ นาจผลักดันเท่ากับตอร์ปิโด ๒๑ นิ้วถึง ๕ ลูก แม้กระทั่งเรือประจัญบานขนาดสามสี่หมื่นตัน เจอระเบิดเวลาของกันเข้าลูกเดียวก็จะจมลงทะเลทันที ทำ งานให้รอบคอบหน่อยอ้ายหงวน พลาดพลั้งระเบิดตูมตามขึ้นมา นอกจากแกกับอ้ายกรและคุณพ่อจะเท่งทึงแล้ว พวกเราทุกคนที่อยู่บนเรือก็จะเท่งทึงด้วย”
“เออน่า ไว้ใจเถอะวะ มือชั้นนี้แล้ว เคยระเบิดกรุพระมาตั้งหลายหน เมื่อสองสามวันก็ระเบิดเจดีย์
ร้างที่อยุธยาได้พระมาตั้งปี๊บ”
ฉลามยักษ์ตัวหนึ่งว่ายผ่านหน้าท่านเจ้าคุณกับนิกรและกิมหงวนไปในระยะห่างเพียงห้าหกเมตร
นิกรกับอาเสี่ยต่างยกปืนฉมวกเตรียมพร้อม ส่วนเจ้าคุณปัจจนึกฯ ไม่ได้สนใจอะไรนัก ท่านมัวแต่มองดูเรือดำนํ้าปรมาณูของข้าศึก เมื่อฉลามว่ายกลับมา สองสหายก็ต้อนรับมันด้วยปืนฉมวก
“ชึ่ก ชึ่ก”
ฉมวกทั้งสองอันแหวกนํ้าพุ่งตรงไปปักร่างฉลามยักษ์ตัวนั้น เสือทะเลดิ้นโผงผางมีเลือดไหลริน
ออกมา และแล้วมันก็หงายท้องขึ้นสิ้นสุดการเคลื่อนไหว เพราะฉมวกอันหนึ่งเสียบทะลุปอดของมันพอดี
เสี่ยหงวนมองดูฉลามยักษ์อย่างชิงชังแล้วเผลอตัวถุยน้ำ ลายรดมัน ฝอยน้ำ ลายจึงสะท้อนกลับมา
โดนหน้าเขา ต่อจากนั้นสองสหายก็เดินตามเจ้าคุณปัจจนึกฯ ตรงไปยังทรากเรือดำ นํ้าลำ นั้นด้วยการก้าวไปอย่างแช่มช้าเหมือนภาพยนตร์ที่เขาถ่ายแบบหนังช้า ทั้งนี้ก็เพราะเครื่องแบบประดานํ้ามีนํ้าหนักมากและมีนํ้าปะทะรอบตัว ทำ ให้การเคลื่อนไหวไม่อาจจะทำ ได้รวดเร็ว ประดานํ้าแห่งคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธได้ช่วยกันสำ รวจดูสภาพความเป็นไปตลอดจนรูปร่างลักษณะของเรือดำ นํ้าพลังงานปรมาณูของข้าศึกโดยละเอียดดยใช้เวลาเกือบชั่วโมง ตลอดเวลานี้มีการพูดโทรศัพท์ติดต่อกับนายพลดิเรก ซึ่งศาสตราจารย์ดิเรกได้ไต่ถามรายละเอียดต่างๆและบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ในที่สุดนายพลดิเรกก็สั่งเสี่ยหงวนให้วางระเบิดได้ และให้ทำ ด้วยความระมัดระวัง ให้เจ้าคุณปัจจ
นึกฯ กับนิกรร่วมงานกับอาเสี่ยอย่างใกล้ชิดตามเวลาที่กล่าวนี้ ทหารประจำ ร.ล.ไชโย กำ ลังพักผ่อนนั่งรวมกลุ่มหรือยืนจับกลุ่มสนทนากัน ซึ่งโดยมากต่างสดุดียกย่องศาสตราจารย์ดิเรกที่ใช้ปืนรังสีทำ ลายพายุหมุนหรือ ‘กงจักรผี’ ได้ สมกับที่เป็นจอมนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ น.ท.เฉลิมผู้บังคับการเรือและผู้ช่วยของเขาคือต้นเรือรูปหล่อยืนอยู่ในกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ทางกราบขวาของเรือทันใดนั้นเองยามบนยอดเสาก็ร้องตะโกนลงมาด้วยเสียงอันดัง
“เครื่องบินข้าศึกทางซ้ายสามเครื่อง”
ต้นหนซึ่งอยู่บนสะพานเรือตะโกนรับทราบและร้องบอกให้ผู้บังคับการทราบ
“เครื่องบิน มิก ๑๗ ทางขวาสามเครื่องกำ ลังบินตรงมาที่เรือเรา”
เสียงสัญญาณให้สถานี สอ. ประจำ สถานีรบก็ดังขึ้นทันที บรรดาทหารเรอื ตา่ งรบี หลบเขา้ ทกี่ าํ บัง
ต้นปืนกับทหารเรือประจำ สอ. เข้าประจำ ที่อย่างรวดเร็วฉับพลัน ต่อจากนั้นเสียงสัญญาณประจำ สถานีดับเพลิงก็ดังขึ้น ผู้บังคับการพูดกับนายพลดิเรกอย่างร้อนรน
“จำ เป็นต้องทิ้งประดานํ้าทั้งสามคนครับอาจารย์ เรือของเราจะต้องถอนสมอและออกแล่น มิฉะนั้น
ก็จะเป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินโจมตีอย่างสบาย อาจารย์คงไม่ขัดข้องถ้าผมจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตัดท่อออกซิเจนและสายยางที่ติดตัวประดานํ้าออก”
นายพลดิเรกเข้าใจดี
“ตกลงผู้การ ท่อออกซิเจนสำ รองที่ติดตัวประดานํ้าใช้ได้เป็นเวลาเท่าใด”
“ชั่วโมงเดียวครับ” แล้วเขาหันมาถาม ร.อ.นพ “คุณช่วยดูทางวิปัสสนาแทนคุณนิกรหน่อยเถอะ
ครับว่าการต่อสู้ระหว่งเรากับเครื่องบินข้าศึก ใครจะแพ้ใครจะชนะ”
ร.อ.นพทำ หน้าเหมือนกับจะร้องไห้
“ดูยังไงไหว ใจผมมันจะหยุดเต้นอยู่แล้ว โน่น – มิกสามเครื่องมันบินผ่านหน้าเราไปลิบๆโน่น
ประเดี๋ยวมันก็คงเลี้ยวกลับมาเล่นงานเราด้วยปืนกลอากาศและจรวด เอเอสเอ็ม.”
ผู้บังคับการร้องสั่งเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือประดานํ้าตัดสายยางออกทันทีและให้ดับเครื่องทำ ออกซิเจน
ก่อนที่ทหารจะตัดสายออก ร.อ.สมนึกกับ ร.อ.นพได้วิ่งปราดเข้าไปขัดขวาง
“อย่านะ” เสี่ยตี๋ร้องเอ็ดตะโรและกระชากปืนพก ๑๑ มม.ออกมาจากซองปืน “ใครตัดสายออกซิเจน
หรือสายยางติดตัวประดานํ้าออกก็เท่ากับฆ่าพ่อกัน อาของกันและปู่ของกัน กันยิงจริงๆ”
นายพลดิเรกหันมาดึงปืนยิงเร็วจากมือจ่าเอกคนหนึ่งแล้วยกขึ้นประทับในท่าเตรียมยิง ร.อ.สมนึก
กับ ร.อ.นพ
“ถอยออกมาทั้งสองคน ม่ายฉันจะระเบิดสมองแก ทหาร....ทำ ตามคำ สั่งผู้บังคับการของเธอ”
ผู้บังคับการวิ่งขึ้นไปบนสะพานเรือแล้ว แต่ไม่ลืมร้องบอกให้คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยา
ศาสตร์ของกองทัพไทยเข้าที่กำ บัง ในนาทีนั้นเองสายท่อออกซิเจนซึ่งมีสายโทรศัพท์ติดอยู่และสายท่อยางติดกับประดานํ้าทั้งสามคนก็ถูกตัดออกตามคำ สั่งของ น.ท.เฉลิม สมนึกกับนพร้องไห้โฮ ต่างมองลงไปในทะเลแล้วเสี่ยตี๋ก็ร้องตะโกนขึ้นดังๆ
“เตี่ย....”
นพร้องขึ้นบ้าง
“พ่อ พ่อครับ โธ่ – เท่งทึงแน่ คุณตาและลุงกิมหงวนด้วย ก่อนจะลงไปในนํ้าผมเห็นพ่อคอขาดไม่มี
หัวเป็นลางสังหรณ์อยู่แล้ว พ่อครับ....อย่าพึ่งตายนะครับ พ่อตายแล้วผมจะไปไถใครที่ไหน”
พนัสลากตัวเพื่อนเกลอทั้งสองหลบเข้าไปในที่อับกระสุนแห่งหนึ่ง นายพลดิเรกสั่งลูกชายของเขา
ทันที
“แกไปประจำ ปืนรังสีทางท้ายเรือเร็ว ถ้าเครื่องบินโจมตีในระยะตํ่าก็สังหารมันด้วยปืนสายฟ้า พ่อ
จะไปอยู่กระบอกหัวเรือ”
อีกครั้งหนึ่งที่ น.ท.เฉลิมต้องทำ การอย่างหนักในการสั่งงานและรับผิดชอบเรือรบแห่งราชนาวีลำ นี้
สมอเรือถูกหะเบตขึ้นแล้วด้วยเครื่องจักร แต่กว่าจะดึงขึ้นมาเข้าที่ของมันก็เสียเวลาเหมือนกัน ร.ล.ไชโย แล่นออกจากที่ทันที ในเวลาเดียวกันนี้เอง มิก ๑๗ ทั้งสามเครื่องซึ่งบินอยู่ในระยะสูง ๓,๐๐๐ ฟุตก็แตกแยกกันออกจากหมู่โจมตีเรือฟริเกตของเราความจริงเรดาร์ของเราทำ งานอยู่ตลอดเวลา แต่นายทหารประจำ เรดาร์สำ คัญผิดคิดว่าจุดที่ปรากฏในจอเรดาร์ทั้ง ๓ จุดเป็นเครื่องบิน เอฟ – ๘๖ เอฟ ของเราที่บินลาดตระเวนอยู่ จนกระทั่งยามบนยอดเสามองดูด้วยกล้องส่องทางไกลแน่ใจว่าเป็นเครื่องบินข้าศึก จึงร้องรายงานให้ผู้บังคับการเรือทราบตอนนี้เองพนักงานวิทยุของห้องศูนย์ยุทธการก็แจ้งข่าวไปยังกองบินน้อยที่ ๕ แห่งประจวบคีรีขันธ์ทราบและขอกำ ลังเครื่องบินมาช่วยโดยด่วน นอกจากนี้ยังได้รายงานด่วนไปให้กองเรือยุทธการทราบ ต้นเรือเข้าประจำ ห้องศูนย์ยุทธการแล้ว
สอ. ประจำ ร.ล.ไชโย เริ่มพ่นกระสุนไปยังเครื่องบินข้าศึกอย่างดุเดือด ปืนกล ๔๐ มม. ซึ่งมีอยู่เพียง
๒ กระบอกยิงถี่ยิบแตกระเบิดเป็นควันดำ ใกล้กับเครื่องบินข้าศึก มิก ๑๗ ของข้าศึกลำ หนึ่งดำ ดิ่งลงมาและกราดปืนกลอากาศตกห่างจากกราบขวาของเรือเพียงสองสามหลาเท่านั้น มิกอีกเครื่องหนึ่งบินรี่เข้ามาหา ร.ล.ไชโย และยิงอาวุธนำ วิถีแบบ เอเอสเอ็ม. รวม ๒ ลูกมุ่งหมายทำ ลายเรือของเรา
จรวดลูกหนึ่งผ่านท้ายเรือเฉียดไปหวุดหวิด แต่ลูกที่สองถูกห้องห้องหนึ่งตอนท้ายเรือเกิดการ
ระเบิดขึ้นทันที ร.ล.ไชโย เกิดไฟไหม้แล้ว ผู้บังคับการสั่งสถานีดับเพลิงปฏิบัติหน้าที่ดับไฟ
ตอนนี้เองเครื่องบินมิกเครื่องหนึ่งที่ชะล่าใจดำ ดิ่งลงมาหมายจะกราดปืนกลก็ถูกนายพลดิเรก
ทำ ลายด้วยปืนสายฟ้าของเขา เสียงปืนสายฟ้าดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ประกายสายฟ้าแลบออกจากปากกระบอกถูกเครื่องบินมิกเครื่องนั้นทันที มิก ๑๗ ระเบิดกลางอากาศแหลกละเอียดเป็นผุยผงท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของลูกนาวีประจำ ร.ล.ไชโยเพราะปืนรังสีทำ ให้มิกอีก ๒ เครื่องผละจากการรบบินไต่ขึ้นระยะสูงและบินเป็นวงกว้างรอบ ร.ล.ไชโย น.ท.เฉลิมสั่งให้ต้นหนซึ่งประจำ หน้าที่ถือท้ายบังคับให้เรือแล่นสลับฟันปลาและพูดโทรศัพท์ติดต่อกับสถานีรบต่างๆไต่ถามความเสียหายปรากฏว่าห้องเก็บสัมภาระห้องหนึ่งถูกอาวุธนำ วิถีพังทลายและเกิดเพลิงไหม้ แต่ทหารก็ช่วยกันดับเพลิงได้แล้วมิกทั้งสองเครื่องไม่กล้าบินตํ่าเพราะกลัวปืนรังสี นักบินได้ติดต่อกันทางวิทยุและตกลงใจใช้ระเบิดขนาดเล็กทำ ลาย ร.ล.ไชโย ดังนั้นลูกระเบิดใต้ปีกเครื่องบินขับไล่สกัดกั้น ‘เฟรสโก – ดี’ มิก ๑๗ ที่นั่งเดี่ยวซึ่ง
มีความเร็ว ๖๕๖ ไมล์ต่อชั่วโมงก็ถูกทิ้งลงมาเสียงลูกระเบิดแหวกอากาศครางหวิวทำ ท่าจะหล่นลงมาบนดาดฟ้า ร.ล.ไชโย ร.อ.ดำ รงใช้ปืนสายฟ้ายิงลูกระเบิดทันที ความร้อนของปืนรังสีทำ ให้ลูกระเบิดลูกนั้นเกิดระเบิดขึ้นในอากาศสูงจาก ร.ล.ไชโย เพียง ๒๐๐ ฟุตเท่านั้น ร.อ.พนัสยื่นมือให้ศาสตราจารย์ดำ รงสัมผัส
“ไม่เลวโว้ย แกยิงได้แม่นราวกับจับวางทีเดียว”
ศาสตราจารย์ดำ รงยิ้มแห้งๆ
“ฟลุคว่ะ ยิงไปส่งเดชยังงั้นเอง ที่ยิงถูกก็เพราะบังเอิญมากกว่า อ้ายตี๋กับอ้ายนพล่ะ”
“หลบอยู่ในห้องส้วมโน่น อ้ายแห้วอีกคนหนึ่ง”
นักบินข้าศึกใช้ระเบิดขนาดเล็กที่มีอยู่ลำ ละ ๒ ลูกทิ้งลงมาในระยะสูง ระเบิดทำ ลายทั้ง ๓ ลูกตก
ห่างจากกราบเรือตั้ง ๓๐ เมตรและจมหายไปใต้ทะเลโดยไม่ระเบิด มิก ๑๗ ทั้งสองเครื่องยังบินฉวัดเฉวียนไปมานานๆก็ดำ ลงมากราดปืนกลและยิงด้วยอาวุธนำ วิถีแต่ไม่ถูก ร.ล.ไชโย
เวลาผ่านพ้นไปตามลำ ดับ ในที่สุดเครื่องบินขับไล่ เอฟ – ๘๖ เอฟ แห่งกองบินน้อยที่ ๕
ประจวบคีรีขันธ์ก็ปรากฏอยู่เหนือน่านฟ้าทางทิศตะวันตกมองเห็นเป็นจุดเล็กๆรวม ๓ เครื่อง ผู้บังคับหมู่บินได้พูดวิทยุติดต่อกับ ร.ล.ไชโย ได้แล้ว ห้องศูนย์ยุทธการรายงานให้ผู้บังคับการทราบว่า จุดสามจุดทางทิศตะวันตกนั้นคือเครื่องบินของเราเองมิกไม่ยอมหนีถึงแม้จะมีกำ ลังน้อยกว่าเครื่องหนึ่ง เพราะตามคำ สั่งนั้นถ้านักบินพบเครื่องบินของกองทัพอากาศไทยและหลบหนีกลับไปโดยไม่กล้าต่อสู้จะได้รับการลงโทษอย่างหนักคือยิงเป้า นักบินข้าศึกทั้งสองคนต่างบังคับเครื่องบินของตนปรี่เข้าใส่ เอฟ – ๘๖ เอฟ ของเราทันทีที่สะพานเรือ ผู้บังคับการกับพลและศาสตราจารย์ดิเรกต่างใช้กล้องมองดูศึกเวหาที่เป็นไปอย่างน่าตื่นเต้น มิกกับเอฟ – ๘๖ เอฟ ปะทะกันตัวต่อตัวด้วยการบินผาดแผลงสาดกระสุนเข้าใส่กัน อาวุธนำ วิถีของเอฟ – ๘๖ เอฟ เครื่องหนึ่งยิงถูกมิกเครื่องหนึ่งเกิดระเบิดกลางอากาศปักหัวลงสู่ทะเลทันที ในเวลาไล่ๆกันเสืออากาศของเราก็สามารถยิงถูกนักบินข้าศึกตายคาที่นั่ง มิก ๑๗ ซึ่งไม่มีใครบังคับก็ควงสว่านลิ่วๆลงทะเลในท่าต่างๆ การรณรงค์ในอากาศใช้เวลาเพียง ๕ นาทีเท่านั้น
น.ท.เฉลิมพูดทางเครื่องกระจายเสียงให้พนักงานวิทยุแสดงความยินดีต่อนักบินของเราและ
ขอบคุณที่มาช่วยอย่างรวดเร็วฉับพลัน ร.ล.ไชโย ลดความเร็วลงและแล่นย้อนกลับไปทางเก่า
ประดานํ้าอีก ๓ นายถูกส่งลงทะเลโดยด่วนหลังจาก ร.ล.ไชโย กลับมาจอกทอดสมอที่เดิม
คราวนี้ ร.อ.พนัส กับ พล.ร.ต.พล และ ร.อ.สมนึกได้ลงทะเลเองเพื่อช่วยชีวิตเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับ
นิกรและเสี่ยหงวน ทั้งสามคนยังมีออกซิเจนใช้ได้อีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และอีกชั่วโมงครึ่งระเบิดเวลาที่ใช้ดินระเบิดแรงสูงก็จะระเบิดขึ้น พลกับลูกชายของเขาและเสี่ยตี๋ลงมาถึงก้นทะเลก็เริ่มต้นค้นหาตัวเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับนิกรและเสี่ยหงวน ทุกคนที่อยู่บน ร.ล.ไชโย เต็มไปด้วยความเป็นห่วงท่านเจ้าคุณกับนิกรและกิมหงวนอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากว่าออกซิเจนสำ รองที่ติดตัวอยู่ถูกใช้ไปหมด ทั้งสามคนก็จะต้องตายอย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตามนายทหารเรือนายหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าประดานํ้ายืนยันว่าออกซิเจนที่ติดตัวอยู่นั้นใช้ได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงหรือ ๘๐ นาทีเป็นอย่างมาก
นายพลดิเรกพูดโทรศัพท์ติดต่อกับพลและพนัสกับเสี่ยตี๋ตลอดเวลา เมื่อได้รับรายงานจากพลว่าค้น
พบประดานํ้าทั้งสามแล้ว ศาสตราจารย์ดิเรกก็ตื่นเต้นดีใจไม่น้อย
“เป็นยังไงบ้างพล ทุกคนปลอดภัยดีหรือ”
“เออ คุณอานั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ใกล้ๆเรือดำ นํ้า อ้ายกรกับอ้ายหงวนกำ ลังยิงปลาเล่น ทุกคนแล
เห็นพวกเราและกำ ลังพากันเข้ามาหา”
ศาสตราจารย์ดิเรกยิ้มแป้น
“รีบพามาขึ้นเรือเราโว้ย ให้อ้ายกรกอดคอแก ให้อ้ายหงวนกอดคออ้ายตี๋ และคุณพ่อกอดคออ้ายนัส”
“ตกลง” พลตอบสั้นๆ “เลิกติดต่อกันนะ”
ในที่สุดกว้านเล็กที่ใช้กว้านประดานํ้าลงทะเลและดึงขึ้นมาบนเรือก็กว้านประดานํ้าคู่หนึ่งขึ้นมา
เป็นคู่แรกคือ ร.อ.พนัสกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ท่านเจ้าคุณกอดคอลูกชายของพลแน่น พวกทหารเรือต่างตบมือโห่ร้องเกรียวกราวจนกระทั่งเครื่องกว้านหย่อนเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับพนัสลงบนพื้นเรือ
ในสองสามนาทีนั้นเอง ประดานํ้าคู่ที่สองก็ถูกกว้านขึ้นมาจากใต้ทะเลอีก ร.อ.สมนึกกับเสี่ยหงวน
เตี่ยของเขานั่นเอง อาเสี่ยกอดคอลูกชายแน่นเพราะมีปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่งขนาดถังนํ้าเกาะกอดอาเสี่ยขึ้นมาด้วย พอเครื่องกว้านหย่อนสองพ่อลูกถึงพื้นเรือ เจ้าแห้วก็วิ่งเข้ามาแกะปลาหมึกยักษ์ที่เกาะหลังอาเสี่ยออกคู่สุดท้ายที่เครื่องกว้านดึงขึ้นมาจากใต้ทะเลคือ พล.ร.ต.พล กับ น.อ.นิกร เสียงโห่ร้องของทหารเรือก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ เพราะคณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ปลอดภัยแล้ว เมื่อทุกคนเปลื้องเครื่องประดานํ้าออก ผู้บังคับการเรือกับนายทหารประจำ เรือหลายนายก็เข้ามาห้อมล้อมแสดงความยินดี

โดยคำ สั่งของผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ร.ล.ไชโย ได้เดินทางกลับสัตหีบ ในเวลาเที่ยงเศษทหารประจำ เรือทุกนายได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องท้องทะเลหลวง ระเบิดเวลาของศาสตราจารย์ดิเรกได้ทำ ลายเรือดำนํ้าปรมาณูของข้าศึกแหลกละเอียดไปแล้ว สุสานของมันก็คืออ่าวไทยนั่นเอง


อวสาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น