วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สามเกลอ ตอน: เด็กเปรต

ประกาศ
เนื่องจากการสอบไล่ประจำ ปีของนักเรียนได้สิ้นสุดลงแล้ว โรงเรียนต่าง ๆ จะปิดภาคปลายในวันพรุ่งนี้
ฉะนั้นหลานชายของข้าพเจ้าทั้ง ๔ คนจะได้กลับมาอยู่บ้านเป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน
ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ทุกคนทราบว่า หลานของข้าพเจ้าทั้ง ๔ คนนี้ คือเทวดาลงมาจุติ ข้าพเจ้ารักราวกับดวง
ตาดวงใจ ขอให้คนในบ้านพัชราภรณ์ทุกคนคอยปรนนิบัติรับใช้หลานชายของข้าพเจ้าโดยไม่ต้องคำ นึงถึงงานใน
ด้านอื่น ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดขัดขืนใจหรือทำ ให้ขุ่นข้องหมองใจเป็นอันขาด
คุณหญิงประสิทธิ์นิติศาสตร์
บ้าน ‘พัชราภรณ’์
ประกาศนี้ถูกนำ มาติดที่เสาหน้าตึกใหญ่ข้างบันไดหินอ่อนในตอนรุ่งอรุณของวันใหม่
เจ้ามั่นแลเห็นประกาศนี้ก่อนจึงเข้ามาอ่านดู แล้วใครต่อใครก็ย่อย ๆ กันเข้ามาห้อมล้อมอ่านประกาศนี้
ต่างปวดกบาลไปตามกันเมื่อรู้ว่าพ่อเทวดาทั้ง ๔ ทายาทของ ๔ สหายจะกลับมาอยู่บ้านเป็นเวลาตั้งสองเดือน
เพราะคนใช้ชายหญิงของบ้าน ‘พัชราภรณ’ จะต้องมีงานพิเศษทาํ มากขึ้นกว่าเก่า เปน็ ตน้ วา่ คอยเก็บข้าวของที่
แตกหักเสียหาย คอยปรนนิบัติรับใช้ และต้องผลัดเปลี่ยนเวียนเวรกันทำ การอารักขาพ่อเทวดาทั้ง ๔ คนนี้
ขณะที่คนใช้ชายหญิงจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน เจ้าแห้วก็ปรากฏตัวขึ้นทางด้านขวาของตัวตึก เขาเพิ่งตื่น
นอนเมื่อสักครู่นี้เอง กำ ลังจะเดินไปโรงรถเพื่อช่วยคนขับรถทำ ความสะอาดรถยนต์เก๋งถึง ๖ คัน
เจ้าแห้วหยุดชะงัก จอ้ งตาเขมง็ มองดคู นในบา้ น ‘พัชราภรณ’ อย่างแปลกใจ
“อื๋อ เจ้านายของเราเจ๊งแล้วหรือนี่ ตายห่า....เจอหมายยึดทรัพย์แต่เช้าเชียว เฮ้อ อนิจจังไม่เที่ยงหนอคน
เรา วานนี้ก็ยังเป็นเศรษฐี วันนี้เจ๊งแล้ว”
รำ พึงพลาง เจ้าแห้วก็เดินมาที่หน้าตึกใหญ่ก้าวขึ้นบันไดตรงมาที่เสาปูนต้นนั้น เงยหน้ามองดูประกาศ
ของคุณหญิงวาดซึ่งเขียนด้วยลายมือโย้ไปโย้มาตัวเท่าหม้อแกง
“อ้าว” เจ้าแห้วอุทาน “นึกว่าประกาศของกองหมายเสียอีก”
เจ้าแห้วแข็งใจอ่านจนจบ เขายืนนิ่งอึ้งไปนาน ทำ ท่าเหมือนกับจะเป็นลม เต็มไปด้วยความอิดหนาระอา
ใจเหลือที่จะกล่าว
มีมืออันหยาบหนาของใครคนหนึ่งเอื้อมมาตบบ่าเจ้าแห้วเบา ๆ
“ว่าไงเจ้าแห้ว แย่ซีมึง อย่างไรเสียคุณหญิงท่านก็คงแต่งตั้งให้เอ็งเป็นพี่เลี้ยงคุณเล็ก ๆ อีกตามเคย”
เจ้าแห้วทำ หน้าจ๋อย ทำ ตาปริบ ๆ
“อ้ายจอนเอ๋ย กรรมเก่าของข้ามันยังไม่หมดสิ้นก็ต้องก้มหน้ารับกรรมไป เมื่อโรงเรียนเปิดภาคกลางข้า
ถึงกับกินเมดินาลเพราะทนพ่อเจ้าประคุณไม่ไหว ถ้าคุณหมอไม่แก้ไว้ข้าก็คงม่องเท่งไปแล้ว โอย....ซนยังกะลูก
ลิงลูกค่าง จะเอาอะไรก็ต้องเอาให้ได้”
สาวใช้คนหนึ่งพูดเสริมขึ้น
“ก็ลูกท่านหลานเธอนี่นะ นายแห้ว”
“นั่นน่ะซี พ่อแม่ไม่สั่งสอนปล่อยเสียจนเคยตัว” พูดจบเจ้าแห้วก็สะดุ้งเฮือก รีบยกมืออุดปากตัวเอง
กวาดสายตามองไปรอบ ๆ
พวกคนใช้ชายหญิงหัวเราะกันคิกคัก ขณะนั้น ๔ สหายพากันเดินออกมาจากห้องโถงพอดี พอแลเห็น
ประกาศของคุณหญิงวาด ต่างก็รีบเข้ามามองดูด้วยความแปลกใจ
“เฮ้ย ๆ ๆ” นิกรร้องลั่น “ใครเอาประกาศคอมมิวนิสต์มาติดบ้านเราโว้ย เขียนด้วยหมึกแดงเสียด้วย"
แล้วนิกรก็อ่านข้อความในประกาศดัง ๆ พออ่านจบสี่สหายก็ทำ หน้าเมื่อยไปตามกัน ทุกคนมองเห็น
ความเดือดร้อน
“แย่....” อาเสี่ยคราง “อ้ายลิง ๔ ตัวนั่นคงทำ ให้กันเป็นบ้าแน่ ไม่อยากให้มาบ้านเลย มันซนยังกะอะไร
ดี”
พลหัวเราะเบา ๆ
“เด็กมันก็ต้องซุกซนบ้างละวะ ปล่อยมันตามเรื่องก็แล้วกัน เจ้าสมนึกมันไม่เลวนา รู้สึกว่ามันจะฉลาด
กว่าแกเสียอีก”
เสี่ยหงวนถอนใจเฮือกใหญ่
“แต่มันซนอย่างหมาไม่กิน ตละคนเหมือนกับลูกลิงลูกค่าง”
นิกรอมยิ้ม ยกมือชี้หน้ากิมหงวน
“แกน่ะ เมื่ออายุสามสี่ขวบซนยิ่งกว่าลูก ๆ ของเราเสียอีก ขี้แยก็เท่านั้น อาบนํ้าทีไรร้องไห้ดังไปสาม
บ้านแปดบ้าน ผ้าผ่อนไม่ยอมนุ่งแก้ผ้าโทง ๆ ทั้งดื้อทั้งซนไม่มีใครเปรียบ”
เสี่ยหงวนขมวดคิ้วย่น
“ทำ ไมแกรู้ล่ะ”
“เดาเอาโว้ย” นายจอมทะเล้นพูดหน้าตาเฉย
ดร. ดิเรกหัวเราะก้าก
“หลงฟังเสียเป็นนาน พูดเป็นตุเป็นตะ ยูปั้นนํ้าเป็นตัวเก่งเหลือเกิน” แล้วนายแพทย์หนุ่มก็มองดูประกาศ
ของคุณหญิงวาด “ลูกเราจะมาพรุ่งนี้ คุณอาผู้หญิงท่านคงไปรับที่โรงเรียน ดีเหมือนกันบ้านเราจะได้ครึกครื้นขึ้น
บ้านที่ไม่มีเด็กมักจะเงียบเหงาเหมือนป่าช้า”
กิมหงวนพูดโพล่งออกมา
“ครึกครื้นกะผีอะไรเล่า หนวกหูตายโหง มันเอะอะเอ็ดตะโรตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งพระอาทิตย์
ตก เจ้านพลูกอ้ายกรร้ายที่สุดเป็นหัวโจกเสมอ เจ้าดำ รงของแกค่อยยังชั่วหน่อย”
พล พัชราภรณ์ หันมามองดูหน้าเจ้าแห้ว
“แกก็ต้องรับภาระเป็นพี่เลี้ยงลูก ๆ ของเราตามเคยซีนะอ้ายแห้ว”
เจ้าแห้วทำ ท่าอ่อนอกอ่อนใจ
“รับประทานเปลี่ยนให้คนอื่นเถอะครับ รับประทานผมทนไม่ไหว คุณเล็ก ๆ แกไม่เพียงแต่ซนอย่างเดียว
รับประทานเล่นรังแกผมด้วย เอาก้อนอิฐก้อนหินขว้าง บางทีก็เตะถีบกันตามชอบใจ”
พลหัวเราะหึ ๆ
“ถือสาอะไรวะ มันยังเป็นเด็ก”
“เด็กอะไรได้ครับ รับประทาน ๑๒ ขวบแล้ว”
พลชักฉิว
“นั่นแหละ ยังเป็นทารกอยู่แกรู้ไหม เมื่อแกเบื่อหน่ายไม่อยากเลี้ยงลูก ๆ ของพวกเราก็ตามใจ ฉันให้อ้าย
สินมันเป็นพี่เลี้ยงก็ได้ จะได้จ่ายเงินพิเศษให้มันวันละ ๒๐ บาท”
เจ้าสินลืมตาโพลง
“ตกลงขอรับ ผมรับหน้าที่นี้เอง ผมจะเลี้ยงคุณหนูอย่างดีที่สุด”
เจ้าแห้วทำ ตาเขียวกับเจ้าสินทันที
“เดี๋ยวก็จะถีบเข้าให้เท่านั้นเอง หน้าที่เลี้ยงคุณหนูน่ะใครจะมาแย่งข้าไม่ได้รู้ไหม ทะลึ่งรับอาสา เอ็งกับ
ข้าท่าจะไม่ถูกกันเสียแล้ว”
นิกรยกมือเขกกบาลเจ้าแห้วดังโป๊ก
“พอพูดถึงเงินแกก็ตาลุก กลัวว่าอ้ายสินจะได้เบี้ยเลี้ยงพิเศษค่าเลี้ยงดูลูก ๆ ของพวกเราใช่ไหมล่ะ ไหนแก
ว่าแกเบื่อลูก ๆ ของพวกเรา”
ครั้นแล้ว ๔ สหายก็พากันลงไปจากตึกเพื่อไปชมรถ “คาดิแล็ค” เก๋งคันใหม่ซึ่งเสี่ยหงวนซื้อมาเมื่อวานนี้
การเตรียมตัวต้อนรับพ่อเทวดาน้อย ๆ ทั้ง ๔ คนราวกับต้อนรับเจ้านายใหญ่โต คุณหญิงวาดสั่งสาวใช้ช่วย
กันจัดห้องพักขึ้นเป็นพิเศษสำ หรับรับรองหลาน ๆ ของท่าน ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จัดหาไว้ครบครัน รู้สึกว่า
คุณหญิงตื่นเต้นดีใจมากกว่าเพื่อนที่ท่านจะได้ชื่นชมหลาน ตลอดเวลาที่โรงเรียนปิดภาคปลายปี
ตอนสายวันรุ่งขึ้น
ในราว ๑๐.๐๐ น. เศษ เจ้าคุณประสิทธิ์กับคุณหญิงวาดได้พากันออกจากบ้าน ‘พัชราภรณ’ มุ่งตรงไปยัง
โรงเรียนของพ่อเทวดาทั้ง ๔ ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และบรรดานักเรียนทั้งหลายล้วนแต่
เป็นลูกผู้ลากมากดีทั้งนั้น เพราะลูกคนจนไม่สามารถจะเข้าเรียนในโรงเรียนนั้นได้ เนื่องจากทางโรงเรียนเก็บค่า
เล่าเรียนและค่ากินอยู่แพงมาก
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ คณะพรรค ๔ สหายอยู่กันพร้อมหน้า การที่ลูกชายของเขาจะกลับมาอยู่บ้านไม่
ได้ทำ ให้ ๔ สหายสนใจอะไรเลย ทุกคนรู้ดีว่าตลอดเวลาเกือบ ๒ เดือนนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าวของในบ้าน
‘พัชราภรณ’ จะต้องถูกทุบถูกทาํ ลายแตกหักเสียหายหลายพัน เสยี งเอะอะเอด็ ตะโรจะดงั อยตู่ ลอดวนั ซึ่งถ้าทนฟัง
ไม่ได้ก็คงเป็นบ้าหรือเป็นโรคเส้นประสาท ถ้าทนไม่ไหวก็ต้องไล่เฆี่ยนไล่ทุบตีกัน
ก่อนเวลาเที่ยงวันเล็กน้อย “บอู คิ ” เก๋งสีฟ้าคลานเข้ามาในบ้าน ‘พัชราภรณ’ อย่างแช่มช้า เจา้ แหว้ ทาํ หนา้
ที่เป็นคนขับ สมนึกลูกชายสุดสวาทของอาเสี่ย กับดาํ รงบตุ รชายของ ดร. ดเิ รกนงั่ อยตู่ อนหนา้ รถ คณุ หญงิ วาด,
เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ กับนพและพนัสนั่งอยู่ข้างท้ายรถ พ่อหนูน้อยทั้ง ๔ แต่งเครื่องแบบนักเรียนน่ารักมาก กางเกง
ขาสั้นสีกรมท่า เสื้อชั้นนอกคอปิดกระดุม ๕ เม็ด มีแผงคอปักดิ้น สวมหมวกหนีบสีกรมท่า สมนึกสวมแว่นตา
ขอบกระขนาดกะทัดรัด ดำ รงสวมแว่นสายตาสั้นกรอบทอง พ่อหนูน้อยทั้ง ๔ นั่งสงบเงียบมาในรถตลอดทาง
ทำ ให้เจ้าแห้วเบาใจเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก เข้าใจว่าลูก ๆ ของเจ้านายหายเป็นลิงเป็นค่างแล้ว เพราะได้รับ
การอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน
พอเสียงแตรไฟฟ้าของ “บูอิค” ดังขึ้น คณะพรรค ๔ สหายก็เฮโลกันออกมาหน้าตึก เจ้าคุณปัจจนึก ฯ วิ่ง
ก้นกระเพื่อมออกมาเป็นคนสุดท้ายด้วยความปีติยินดีที่จะได้เห็นหน้านพหลานชายสุดสวาทของท่าน ซึ่งเป็นลูก
ชายของนิกรและประไพ
“บูอิค” เก๋งคลานมาหยุดเทียบหน้าบันไดตึก ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของคณะพรรค ๔ สหาย พวก
คนใช้ชายหญิงยืนจับกลุ่มมองดูลูกเจ้านายหน้าสลอน เจ้าแห้วรีบลงมาเปิดประตูรถให้
พนัส, นพ, สมนึก, และดำ รง เดินตามท่านเจ้าคุณและคุณหญิงประสิทธิ์ ฯ ลงจากรถอย่างสงบเสงี่ยม
นันทาวิ่งเข้ามาสวมกอดพนัสของหล่อนด้วยความรัก ประไพปราดเข้ามาก้มลงจูบแก้มตานพ นวลลออกางมือทั้ง
สองโอบกอดสมนึกลูกชายสุดที่รักของหล่อนที่วิ่งเข้ามาหา ดำ รงยกมือวันทยาหัตถ์ ดร. ดิเรกกับประภา
“สวัสดีฮะ คุณป๋า คุณแม่”
เมื่อได้กระทำ ความเคารพบิดามารดาของตนแล้วพ่อหนูน้อยก็ทำ ความเคารพท่านผู้ใหญ่และ ๔ สหาย พล
เป็นผู้มีอาวุโสกว่าเพื่อน นพกับสมนึกและดำ รงเรียกเขาว่าคุณลุงและเรียกนันทาว่าคุณป้า นิกร กิมหงวน กับ
ดร. ดิเรก และนวลลออ, ประภา ประไพเป็นคุณอา ส่วนเจ้าคุณปัจจนึก ฯ เป็นคุณตา เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ กับคุณ
หญิงเป็นคุณปู่คุณย่า
๔ สหายแปลกใจมาก ที่เห็นลูกชายของเขาสุภาพเรียบร้อยผิดปกติ เสี่ยหงวนยกมือตบศีรษะสมนึกเบา ๆ
แล้วพูดสัพยอก
“ไง....อ้ายตี๋ เจ้ากลับมาบ้านคราวนี้เตี่ยรู้สึกว่าเจ้าสุภาพเรียบร้อยน่ารักขึ้นมากทีเดียว เป็นเด็กดีขึ้นแล้ว
หรือลูก”
สมนึกยิ้มอ่อนโยน
“อาจารย์ท่านสอนพวกเราครับเตี่ย”
“เออ ดีมากลูกรัก เขาสอนว่ายังไง”
“สอนว่าถ้าแต่งเครื่องแบบอันมีเกียรติเช่นนี้ ต้องสังวรณ์ในเรื่องกิริยามารยาท ประเดี๋ยวซีเตี่ย ให้พวก
หนูถอดเครื่องแบบเสียก่อนเถอะเป็นซนกันสะบั้นหั่นแหลกเลย”
เจ้าแห้วลืมตาโพลง
“รับประทานยังงั้นคุณหนูแต่งเครื่องแบบยังงี้ตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หรือครับ นึกว่าสงสารผมเถอะ
ครับ”
นพโบกมือให้เจ้าแห้ว
“อย่าวิตกไปหน่อยเลยตาแห้ว พวกเราเป็นลูกผู้ดี ถึงซนก็ซนอย่างน่าเอ็นดู ไม่ใช่ซนอย่างลูกขี้ข้าม้า
ครอก พวกเราล้วนแต่เป็นสุภาพบุรุษ”
คุณหญิงวาดดึงตานพเข้ามากอด
“เจ้านี่ช่างพูดนัก ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนพ่อของมัน” พูดจบท่านก็ยกมือตีมือขวาตานพค่อนข้างแรง เพราะนพ
พยายามเปิดกระเป๋าหนังจระเข้ของท่าน “นี่แน่ะ อย่าทำ มือไวใจเร็วเหมือนอย่างพ่อแกหน่อยเลย”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ มองดูพ่อหนูน้อยทั้ง ๔ ด้วยความรัก
“ไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอาบนํ้าอาบท่ากันเสียก่อนเถอะหลานเอ๊ย ห้องหับเขาจัดไว้ให้พวกเจ้าเรียบร้อย
แล้ว”
พนัสมองดูเพื่อนเกลอของแก
“ไปโว้ยพวกเรา ประเดี๋ยวค่อยลงมาเล่นกันใหม่”
สมนึกทายาทของเสี่ยหงวนล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบธนบัตรใบละร้อยบาทปึกเบ้อเริ่มออกมา แล้วพยัก
หน้าเรียกเจ้าแห้ว
“ตาแห้ว แกขับรถไปที่สะพานเสี้ยวซื้อว่าวมาให้ฉันสัก ๒๐ ตัวนะ ด้ายตราสมอเบอร์ ๒๐ สักห้าหก
หลอด” พูดจบก็ส่งธนบัตรใบละร้อยบาทให้เจ้าแห้วหนึ่งฉบับ “เอ้า เงินเหลือไม่ต้องทอน”
เจ้าแห้วยิ้มแป้น
“รับประทานยังงี้ค่อยคบกันได้หน่อย”
สมนึกเดินตามเพื่อนเกลอทั้งสามเข้าไปในห้องโถง พวกคุณพ่อคุณแม่สั่นเศียรไปตามกัน ทั้งอิดหนา
ระอาใจและทั้งรัก
เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ พูดยิ้ม ๆ
“ความจริงอ้ายพวกหลาน ๆ มันกลับมาบ้าน ทำ ให้บ้านเราครึกครื้นขึ้นอีกมากทีเดียว หยุดเทอมปลายปี
ตรงกับหน้าว่าวพอดี ประเดี๋ยวบ่าย ๆ มันคงจะเล่นว่าวกันใหญ่”
คุณหญิงวาดยิ้มให้ท่านเจ้าคุณสามีของท่าน
“เจ้าคุณลงเล่นว่าวกับหลาน ๆ บ้างซีคะ เส้นสายจะได้ยืดเสียบ้าง”
“อ๊ะ....ฉันแก่จนป่านนี้แล้ว แม่วาดจะให้ฉันชักว่าว ไม่ไหวละแม่คุณ เรี่ยวแรงไม่มีแล้วชักไม่ไหว"
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หัวเราะหึ ๆ
“ก็เจ้าคุณชอบชักว่าวไม่ใช่หรือครับ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ทำ หน้าชอบกล
“เมื่อหนุ่ม ๆ ชอบเหมือนกัน จุฬาสามสี่ศอกยังชักได้ เดี๋ยวนี้แก่เสียแล้วเจ้าคุณ ปักเป้าตัวเล็ก ๆ ยังชักไม่
ขึ้น”
นิกรพูดโพล่งขึ้น
“เรื่องชักว่าวผมเก่งครับ อ้ายหงวนกับผมเคยแข่งขันชักว่าวกันมาแล้ว”
ดร. ดิเรกทำ หน้าฉงน มองดูอาเสี่ยกับนิกร
“แล้วใครแพ้”
นิกรว่า “เสมอกันโว้ย ชักไปชักมาหมดแรงนั่งอมยิ้มนัยน์ตาปรือ ว่าวติดต้นไม้ขาดหมด”
เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงดังขึ้น แล้วคณะพรรค ๔ สหายก็พากันเข้าไปในห้องโถง นั่งพักผ่อนสนทนา
กันถึงเรื่องลูก ๆ ที่กลับมาอยู่บ้าน
เย็นวันนั้นเอง
พอแดดอ่อน ลมตะเภาหรือลมว่าวก็พัดโชยเฉื่อยตลอดเวลา ช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวของอากาศ
ว่าวชนิดต่าง ๆ ปรากฏอยู่ทั่วท้องฟ้าทั่วทุกมุมเมือง พวกเด็ก ๆ เล่นว่าวกันอย่างสนุกสนาน อีลุ้ม ปักเป้า หรือ
จุฬา โดยเฉพาะที่สนามหลวงมีการแข่งขันว่าวพนันเหมือนเช่นเคย
สนามหญ้าหน้าบ้าน ‘พัชราภรณ’ ใหญ่โตกว้างขวางมาก พอ่ หนนู อ้ ยทงั้ ๔ คนสดชนื่ กบั การเลน่ วา่ วโดย
ไม่สนใจกับสิ่งอื่น ๆ แม้กระทั่งคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา ซึ่งนั่งจับกลุ่มมองดูลูก ๆ หลาน ๆ อยู่ที่หน้า
ตึก
ดำ รงลูกชาย ดร. ดิเรกนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นนกยูงใหญ่ริมสนาม มือถือสายป่านด้ายหลอด และนัยน์ตา
มองดูว่าวของแกด้วยความพอใจ มันลอยนิ่งเฉยอยู่ในอากาศ เป็นว่าวอีลุ้มขนาดกะทัดรัด พู่ทั้งสองปีกสะบัดพริ้ว
มองแลเห็นตราเครื่องหมายหัวกะโหลกกระดูกไขว้
พ่อนพลูกชายนิกรวิ่งว่าวรอบสนาม พยายามเอาว่าวขึ้นด้วยความลำ บากยากเย็น พนัสลูกชายของพลนั่ง
เหยียดแข้งเหยียดขาเหงื่อไหลไคลย้อย บ่นพึมพำ ที่ว่าวของแกติดต้นไม้ และขณะนี้คุณหญิงวาดใช้ให้เจ้าสินไป
หาไม้รวกมาสอยว่าวให้หลานชายของท่าน
สมนึกลูกชายเสี่ยหงวนกำ ลังชักว่าวอย่างเพลิดเพลิน ว่าวของแกเป็นว่าวอีลุ้ม สมนึกชักไม่ใครเป็น ว่าว
ตกบ่อย ๆ เจ้าแห้วก็เลยออกอุบายหาผ้าขี้ริ้วชิ้นหนึ่งมาผูกหางว่าวให้เพราะขี้เกียจส่งบ่อย ๆ
“นัสโว้ย มาชักตัวนี้ก่อนเถอะวะ” สมนึกตะโกนเรียกพนัส “มาซี ประเดี๋ยวกันจะให้ตาแห้วไปซื้อมาอีก
สองสามร้อยตัว มันอยากติดต้นไม้หรือมันอยากขาดลอยก็ช่างมัน”
พนัสลุกขึ้นวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหาสมนึก เอื้อมมือรับสายป่านมาถือกระตุกเล่น ส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุก
สนาน
ทันใดนนั้ เอง ว่าวอีลุ้มตัวหนึ่งซึ่งชักอยู่ทางหลังบ้าน ‘พัชราภรณ’ ได้ผ่อนสายป่านใกล้เข้ามาทีละน้อย
มันอยู่ในระยะสูงลิบ มองแลเห็นตราเครื่องหมายดอกจิกอย่างถนัด
แล้วว่าวตัวนั้นก็คว้าโขยกลงมาอย่างคล่องแคล่วแสดงว่าผู้ชักมีความชำ นาญในการชักว่าว
นพร้องตะโกนบอกเสียงหลง
“อ้ายนึก ! ป่านคมโว้ย เฮ้-ดำ รง ระวังให้ดี”
อีลุ้มตราดอกจิกคว้าเฉียดว่าวของสมนึกไปอย่างหวุดหวิด ลูกชายเสี่ยหงวนพยายามบังคับว่าวของแกให้
หลบหลีกและสาวว่าวลงมาในระยะตา่ํ โดยเรว็ กลัวจะถูกป่านคมตัดขาดลอย
พ่อหนูน้อยดำ รงลุกขึ้นยืน ทอดสายตาลอดแว่นสายตาสั้นค้นหาว่าวป่านคมตัวนั้น
“ไหนวะ นพ ไม่เห็นมีสักตัว” ดำ รงพูดเสียงแจ๋ว ๆ น่าเอ็นดู
สมนึกยกมือเกาศีรษะ
“โธ่....อ้ายบอด มันคว้าลงมาแล้วเห็นไหม ?”
ดำ รงทำ หน้ายู่ยี่ ในที่สุดก็ถอดแว่นตาออกเก็บใส่กระเป๋า
“อ้อ....เห็นแล้วโว้ย ตายห่า....”
อีลุ้มดอกจิกคว้าตํ่าลงมา และช้อนขึ้นจากซ้ายไปขวาเพื่อให้ติดสายป่านว่าวดำ รง ต่อจากนั้นมันก็ถีบตัว
ขึ้นสูง พอสายป่านกระทบกับว่าวของลูกชาย ดร. ดิเรกก็ขาดลอยทันที
ความรัก ความเสียดายว่าว และความเจ็บใจที่ถูกข่มเหง ทำ ให้ทายาทของนายแพทย์หนุ่มร้องไห้โฮ ยก
เท้าทั้งสองกระทืบพื้นดินเร่า ๆ และยกหลังมือเช็ดนํ้าตา
“ฮือ ๆ ๆ ๆ ไม่ยอมแล้ว....มาตัดว่าวเขาขาดลอย”
ท่านผู้ใหญ่และคณะพรรค ๔ สหายพูดกันพึมพำ รู้ดีว่าเจ้าของว่าวป่านคมคือพวกเด็กกุ๊ยทางหลังบ้าน เจ้า
คุณปัจจนึก ฯ ตะโกนเรียกเจ้าแห้ว
“เฮ้ย ! ปลอบหลานข้าหน่อยซีวะ”
เจ้าแห้วเดินยิ้มเข้ามาหาดำ รง ในเวลาเดียวกันพ่อสมนึกก็แหกปากร้องไห้เสียงลั่น เพราะว่าวของแกถูก
ตัดขาดลอยไปอีกตัวหนึ่ง ลูกชายเสี่ยหงวนถือกระเป๋าป่านวิ่งมาหาเจ้าแห้ว
“ตาแห้ว” สมนึกพูดอย่างเดือดดาล “แกเอาปืนไปยิงอ้ายคนที่ตัดว่าวฉันทีซี ยิงให้มันตายห่าเลย”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“ยิงเขาตายรับประทานผมก็ติดตะรางน่ะซีครับ”
สมนึกหัวเราะทั้งนํ้าตา
“ไม่เป็นไร ฉันจะบอกให้เตี่ยส่งแกเอง”
คุณหญิงวาดเดินตุปัดตุป่องเข้ามาหาหลานชายทั้ง ๔ ของท่าน ท่านแหงนหน้ามองดูอีลุ้มเครื่องหมายดอก
จิกอย่างเดือดดาล แล้วท่านก็กล่าวกับเจ้าแห้ว
“อ้ายแห้ว ออกไปทางประตูข้างบ้านเดี๋ยวนี้ ไปดูซิว่าว่าวตัวนี้เป็นว่าวของใคร แล้วไปบอกพ่อแม่มันให้
สั่งสอนลูกมันเสียบ้าง เล่นเป็นพาลเกเรอย่างนี้ใช้ได้รึ ระยำ ....เล่นป่านคม ไป....ไปเดี๋ยวนี้”
เจ้าแห้วรับคำ สั่งแล้วรีบเดินไปจากที่นั้น คุณหญิงวาดดึงสมนึกกับดำ รงเข้ามากอด
“นิ่งเสียลูก ไม่ต้องร้องไห้ ว่าวที่ซื้อมาก็มีอีกหลายตัว เอาขึ้นใหม่อีกซี แหม....เจ็บใจจริง ๆ เล่นป่านคม
ตะหวักตะบวยอะไรก็ไม่รู้ ถุย ! รังแกหลานกู พ่อแม่มันไม่สั่งสอน ประเดี๋ยวแม่ตามไปด่าแหลกเลย”
สมนึกกับดำ รงจัดแจงผูกว่าวอีกคนละตัว ว่าวที่สำ รองไว้เจ้าแห้วผูกซุงไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เอา
ด้ายผูกติดกับซุงเท่านั้น สมนึกส่งว่าวให้คุณหญิงวาดและกล่าวว่า
“คุณย่าช่วยส่งว่าวให้ผมหน่อยซีฮะ ถือว่าวเดินไปทางโน้น”
คุณหญิงวาดหัวเราะชอบใจ
“เออ....เอา ๆ ย่าจะส่งให้” แล้วท่านก็ถือว่าวเดินถอยหลังไป สมนึกผ่อนกระป๋องป่านตาม
“ถอยไปอีกหน่อยครับ คุณย่า” ทายาทของเสี่ยร้องตะโกนบอก
คุณหญิงถอยหลังออกไปอีกจนถึงขอบสนามด้านเหนือ แล้วท่านก็สะดุดเสาซีเมนต์ต้นหนึ่งซึ่งวางอยู่บน
ดิน คุณหญิงหงายหลังผลึ่ง ร้องอุทานสุดเสียง พ่อหนูน้อยทั้ง ๔ หัวเราะชอบอกชอบใจไปตามกัน คุณหญิงวาด
ขมวดคิ้วนิ่วหน้า คลานเข้าไปหยิบว่าวลุกขึ้นยืน
“เอาหรือยังโว้ย”
“เอาครับ ว้า....เอาหัวว่าวขึ้นซีครับ เอาตูดขึ้นมีอย่างหรือครับ”
คุณหญิงชักฉิว
“ข้าจะไปรู้เรอะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยชักว่าวสักที” แล้วท่านก็กลับว่าวให้ถูกต้อง
“เอา” สมนึกร้องลั่น สาวป่านว่าวเข้ามาหาตัว พอว่าวกินลมก็ค่อย ๆ กระตุกแล้วผ่อนป่านไปทีละน้อย
อีลุ้มดอกจิกโฉบลงมาอีก ดำ รงรีบร้องบอก
“อ้ายนึก ว่าวป่านคมลงมาอีกแล้ว เร้ว....หลบลงมาเถอะ”
สมนึกรีบคว้าว่าวหนี แต่อีลุ้มดอกจิกคล่องแคล่วเหมือนเครื่องบินไอพ่น มันคว้าลงมาอย่างรวดเร็ว จน
กระทั่งเกือบถึงยอดมะม่วงก็เงยขึ้น ช้อนสายป่านว่าวสมนึกไว้ได้อีก
ทายาทของเสี่ยหงวนอ้าปากหวอ ว่าวของแกขาดลอยไปอีก แกยกมือท้าวสะเอวมองดูอย่างเสียดาย ดำ รง
เอื้อมมือสะกิดแขนสมนึก
“ทำ ไมแกไม่ร้องไห้ล่ะ”
สมนึกสั่นศีรษะ
“ไม่ร้องละวะ ขี้เกียจ ไปตีกับเจ้าของว่าวอีลุ้มตัวนี้ดีกว่า ถ้ามันโตกว่าเรา เรามาตามคุณพ่อของเราไปชก
กับมัน ถ้ามันเท่า ๆ กับเรากันแสดงเอง เชือดมันด้วยมีดโกนเลย”
ดำ รงยิ้มแหย ๆ เพราะแกไม่ใช่นักสู้
“อย่าเลยน่า ครูสอนว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร”
พนัสพูดเสริมขึ้น
“แต่มันข่มเหงเรานี่หว่า เอาวะ บุกมันเลย ไป....อ้ายนพ”
นพขมวดคิ้วย่น
“ไปไหน ?”
“ไปชกหน้าอ้ายเจ้าของว่าวอีลุ้มตัวนี้”
นพสั่นศีรษะ
“ไม่เอาละ เจ็บตัวเปล่า ๆ อ้ายพวกเด็กหลังบ้านเราล้วนแต่ลูกหลานนักเลงทั้งนั้น เราเป็นราชสีห  มัน
เป็นหนู ป่วยการไปสู้กับมัน ดำ รงมันพูดถูกแล้ว แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร เอาไม้สั้นไปตีอุจจาระไม่ได้สติ”
คุณหญิงวาดเดินเข้ามาพอดี ท่านเจริญพรลำ ดับญาติโยมเจ้าของว่าวอีลุ้มเครื่องหมายดอกจิกที่แกล้งหลาน
ชายของท่าน แล้วก็บ่นพึมพำ ที่เจ้าแห้วไปชักช้า อารมณ์ของคุณหญิงเดือดดาลขึ้นมาแล้ว
“เลิกกันทีเถอะลูก วันนี้อย่าเพิ่งเล่นเลย ขืนเอาขึ้นอีกก็ถูกมันตัดขาดอีก พรุ่งนี้ค่อยเล่นใหม่”
ทันใดนั้นเอง เจ้าแห้วก็ปรากฏตัวขึ้น คณะพรรค ๔ สหายพากันมองดูเจ้าแห้วอย่างแปลกใจ แล้วเดิน
รวมกลุ่มตามเจ้าแห้วเข้ามาในสนาม เจ้าแห้วตรงเข้ามาหาคุณหญิงวาด เสื้อกางเกงของเจ้าแห้วซึ่งก่อนจะออกไป
พบกับเจ้าของว่าวป่านคม สะอาดเรียบร้อย กลีบโง้ง แต่บัดนี้ยับยู่ยี่เปรอะเปื้อนฝุ่นละออง บางแห่งก็เป็นรอย
คล้ายรองเท้า ผมเผ้าของเจ้าแห้วยุ่งเหยิง ใบหน้าฟกชํ้า ปากปลิ้นเหมือนครุฑ นัยน์ตาข้างขวาเขียวปั้ดขนาดขนม
ครก
คุณหญิงวาดทำ หน้าตื่น ๆ
“อ้าว-ข้าใช้ให้เอ็งไปต่อว่าพ่อแม่ของอ้ายเด็กเจ้าของว่าวป่านคม แล้วเอ็งเสือกไปฟัดกับหมาที่ไหนมาวะ”
เจ้าแห้วลอบค้อนคุณหญิงวาด
“รับประทานกระผมไปต่อว่ามาแล้วครับ เจ้าของว่าวป่านคมตัวนี้คืออ้ายผ่องลูกนายเพิ่มนักเลงโต รับ
ประทานพอผมต่อว่าเขา รับประทานผมก็โดนทั้งหมัดทั้งศอกทั้งเข่า”
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นในหมู่คณะ ๔ สหายทันที พล พัชราภรณ์รู้สึกเดือดดาลที่คนของเขาถูกรังแก
จึงปราดเข้ามากล่าวถามเจ้าแห้วอย่างเป็นงานเป็นการ
“เอ็งไปว่าเขาว่ายังไง”
“รับประทานผมว่า เจ้าผ่องเล่นป่านคมตัดว่าวพวกคุณหนูขาดลอย รับประทานเราบ้านใกล้เรือนเคียงไม่
ควรเล่นรังแกกัน เท่านั้นแหละครับเจ้าเพิ่มก็ใส่ผมเลย”
พลทำ ตาเขียวกับคนใช้แก่นแก้วของเขา
“แล้วทำ ไมเอ็งไม่สู้มัน”
เจ้าแห้วยิ้มแห้ง ๆ
“รับประทานสู้ซีครับทำ ไมจะไม่สู้ แต่อ้ายเพิ่มมันโตขนาดคิงคอง รับประทานผมทานแรงมันไม่ไหว
ครับ เลยล่าถอยมาอย่างองอาจ”
“ถุย” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ร้องลั่น “นี่น่ะเรอะถอยอย่างองอาจ หน้าตาฟกชํ้าดำ เขียวแทบจะจำ ไม่ได้” แล้ว
ท่านก็หันมาทางนิกร “อ้ายกร แกไปหาอ้ายเพิ่มเดี๋ยวนี้ จัดการสั่งสอนมันเสีย อย่างน้อยก็ชกหน้ามันสักสองสาม
ที”
นิกรเอียงคอยิ้ม
“ไม่สำ เร็จครับ เรื่องชกต่อยตีรันฟันแทงกันผมเกลียดเหลือเกิน อย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับมันเลยครับ ไม่
มีประโยชน์”
คุณหญิงวาดแสดงกิริยาเดือดดาลนายเพิ่มมาก ใบหน้าของท่านบึ้งตึง
“หน็อย อ้ายเพิ่มกำ แหง ตามปกติมันก็เคารพนับถือเรา ไม่น่าจะมาทำ ร้ายอ้ายแห้วเลย ทำ อย่างนี้มัน
หยามกันชัด ๆ เจ้าคุณคะ ไปเตะอ้ายเพิ่มทีเถอะค่ะ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ สะดุ้งโหยง
“เธอจะให้ฉันไปเตะนายเพิ่ม”
“ค่ะ”
ท่านเจ้าคุณหัวเราะ
“มันจะได้กระทืบฉันแบนเป็นกล้วยปิ้งปะไรล่ะ ตัวฉันโตกว่าลูกหมาหน่อยเดียวเท่านั้น เจ้าเพิ่มน่ะทั้งสูง
ทั้งใหญ่ เรื่องบู๊กันมันต้องอ้ายหงวน”
คณะพรรค ๔ สหายหันมามองอาเสี่ยเป็นตาเดียว
“ออไร๋น์ ออไร๋น์” ดร. ดิเรกเห็นพ้องด้วย ยกมือตบบ่าอาเสี่ยเบา ๆ “ไป-อ้ายเสี่ย เตะสั่งสอนอ้ายเพิ่มเสีย
หน่อยเถอะวะ แล้วบอกมันให้ห้ามลูกชายอย่าเล่นรังแกลูก ๆ ของเราด้วยวิธีนี้”
เสี่ยหงวนนิ่งคิดอยู่สักครู่แล้วพยักหน้า
“ดีแล้ว กันจะจัดการกับอ้ายเพิ่มเอง ชิ ๆ ๆ ๆ เคยขอเงินกันใช้บ่อย ๆ จะเกรงใจกันสักนิดก็ไม่มี ชกเจ้า
แห้วเสียจนหน้าตาแทบจะจำ ไม่ได้ กันแสดงเอง แย็บด้วยหมัดซ้ายตามด้วยฮุคขวา เตะซํ้าเข้าที่ก้านคอสักฉาด
หนึ่ง เท่านี้อ้ายเพิ่มก็หมอบกระแตไปเท่านั้น”
เสียงตบมือในหมู่คณะพรรค ๔ สหายดังขึ้นทันที กิมหงวนยืดหน้าอกขึ้นในท่าเบ่ง ถอดแว่นตาขอบกระ
ออกส่งให้เจ้าแห้ว
“เอ้า เอ็งเก็บไว้ เอ็งก็รู้ดีแล้วว่าลงข้าถอดแว่นตาเป็นชิบหายเลย ไม่เลือกว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมพ่อเอา
ทั้งนั้น” แล้วอาเสี่ยก็พยักหน้ากับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ “หรือคุณอาจะลองกับผมยังได้นะครับ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ถอยหลังกรูด
“พูดเป็นบ้าไปได้ เราพวกเดียวกันโว้ย ไป-อ้ายหงวน ไปปราบอ้ายเพิ่มให้อยู่หมัดเลย ทีหลังมันจะได้สั่ง
สอนลูกชายของมันไม่ให้รังแกเด็ก ๆ ของเราด้วยการเล่นว่าวป่านคม อย่าให้มันถึงตายนะ เอาพอหอมปากหอม
คอ”
พอกิมหงวนก้าวเท้าออกเดินนวลลออก็ร้องเรียก
“เฮียขา”
อาเสี่ยหันควับมาทางเมียรักของเขา
“ว่าไงจ๊ะนวล”
แม่เสือนวลลออยิ้มใหญ่
“เฮียยังไม่ได้สั่งนวลเลยค่ะ ถ้าพลาดพลั้งเฮียถูกตาเพิ่มแทงตาย เฮียจะให้นวลเอาศพเฮียไปไว้วัดไหนคะ”
สมนึกเห็นพ้องด้วย
“จริง ๆ เตี่ย สั่งคุณแม่ไว้ให้เรียบร้อยเสียก่อนเถอะครับ แล้วก็นึกน่ะโตขึ้นเตี่ยจะให้เป็นอะไร เป็นทหาร
เรือ เป็นข้าราชการ หรือจะให้เป็นพ่อค้าเหมือนอย่างเตี่ย สั่งไว้เสียก่อนดีกว่า”
กิมหงวนทำ ตาปริบ ๆ มองดูลูกเมียของเขาอย่างเคือง ๆ คณะพรรค ๔ สหายหัวเราะคิกคักไปตามกัน
“ไม่จำ เป็นต้องสั่ง” กิมหงวนพูดเสียงหนักแน่น “ประเดี๋ยวเฮียจะกลับมาพร้อมด้วยชัยชนะอย่างงดงาม”
พูดจบอาเสี่ยก็เดินเข้ามาสวมกอดนวลลออ “ให้พี่จูบลานวลหน่อย พี่ไปสู้กับเจ้าเพิ่มคราวนี้เพื่อลูกหลานของเรา
พี่ยินดีสละเลือดเนื้อและชีวิตเป็นพลี....”
นวลลออผลักเสี่ยหงวนเซถลาออกไป
“บ้าอะไรก็ไม่รู้”
กิมหงวนหัวเราะ หันมาโบกมือลาพรรคพวกของเขาแล้วพาตัวเดินไปจากที่นั้น ออกไปทางประตูหลัง
บ้าน
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ที่บริเวณลานกว้างหน้าห้องแถวไม้สองชั้นทางหลังเขตบ้าน “พัชราภรณ์” พวกเด็ก
กุ๊ยประมาณ ๑๐ คนกำ ลังชักว่าวกันสนุกสนาน บ้างก็ตีลูกล้อหรือวิ่งเล่นกันตามประสาเด็กที่ไม่ใคร่มีสตางค์ใช้
ตละคนแต่งกายขมุกขมอมด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น เด็กเหล่านี้เป็นลูกหลานชาวห้องแถว ซึ่งห้องแถวสองชั้นนี้ก็คือ
ห้องแถวของคุณหญิงวาดนั่นเอง
กิมหงวนจ้องตาเขม็งมองดูเด็กชายอายุในราว ๑๓ ปีคนหนึ่ง รูปร่างทะมัดทะแมงตัวดำ เหมือนดินหม้อ
แล้วอาเสี่ยก็กรากเข้าไปหาเจ้าหนูน้อย ซึ่งกำ ลังชักว่าวป่านคมตราเครื่องหมายดอกจิก
“เฮ้ย-อ้ายผ่อง”
ลูกชายนักเลงใหญ่หันควับมาทางอาเสี่ยทันที เจ้าผ่องบ้วนนํ้าลายปรี๊ด หัวเราะด้วยมุมปากข้างขวา
“หน็อย วิเศษยังไงวะ มาเรียกกูอ้าย เดี๋ยวก็โดนเตะเท่านั้นเอง”
เสี่ยหงวนทำ คอย่น กลืนนํ้าลายเอื๊อก
“มันจะโตมากไปโว้ยอ้ายผ่อง ดูหน้าเสียก่อนว่ากูคือใคร ?”
เจ้าผ่องขมวดคิ้วย่น แล้วก็อ้าปากหวอ
“ตายห่า อาเสี่ยหรอกหรือครับ” เจ้าเด็กจอมแก่นพูดอย่างนอบน้อม “ขอโทษเถอะครับ ผมจำ ไม่ได้จริง
ๆ นึกว่าเจ๊กซื้อของเก่า”
กิมหงวนอดหัวเราะไม่ได้
“อ้ายผ่อง เอ็งน่ะเกเรมาก เสือกเล่นว่าวป่านคมแล้วตัดว่าวลูกหลานของข้าขาดลอย ข้าจะฟ้องพ่อเอ็ง
เดี๋ยวนี้”
เจ้าผ่องอมยิ้ม
“เชิญเถอะครับ พ่อผมเป็นคนทำ ป่านคมให้ผมเอง โน่น-พ่อเดินมานั่นแล้ว อาเสี่ยอยากเจ็บตัวเหมือน
อ้ายแห้วก็ตามใจ”
เสี่ยหงวนหันไปทางขวามือ แลเห็นกระทาชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำ ลังเดินตรงเข้ามาหาเขา ชาย
กลางคนผู้นี้คือนายเพิ่มนั่นเอง เพิ่มมีอาชีพเป็นนักขับสามล้อ และเป็นนักเลงใหญ่อยู่แถวนี้
เพิ่มรีบยกมือไหว้กิมหงวนทันที
“สวัสดีครับเสี่ย อาเสี่ยท่าจะมาต่อว่าผมเรื่องอ้ายแห้วกระมังครับ”
กิมหงวนเก๊กหน้าให้ดุ ๆ
“ถูกแล้ว ฉันมาต่อว่าแกและลูกชายแกด้วย”
เพิ่มหัวเราะ ยกมือไหว้ท่วมหัว
“สำ หรับอาเสี่ยที่เคารพของผม อาเสี่ยจะด่าว่าผมอย่างไรก็ได้ หรือจะเตะผมสักป้าบ ยังได้นะครับ"
อาเสี่ยยกมือเท้าสะเอว มองดูนักเลงใหญ่ด้วยแววตาแข็งกร้าวเหมือนนัยน์ตาพยัคฆ์ร้ายที่กำ ลังมองดูเหยื่อ
ของมัน
“ก่อนอื่น ฉันขอพูดเรื่องลูกชายของแกก่อน อ้ายผ่องใช้ป่านคมคว้าว่าวลูกและหลานชายฉันขาดลอย แก
จะว่ายังไง”
นักเลงใหญ่หัวเราะก้าก
“โธ่-ผมจะไปว่าอะไรครับ มีแต่อาเสี่ยจะว่าผม”
กิมหงวนจุ๊ย์ปาก
“อย่าพูดให้มันยวนย่าเหลนักเลยโว้ย แกมันชักจะเบ่งมากเกินไปเสียแล้ว ฉันใช้ให้เจ้าแห้วมาต่อว่าแก
แต่แกกลับซ้อมเจ้าแห้วเสียสะบักสะบอม แกทำ ราวกับว่า แกเป็นตำ รวจสมัยก่อน ชอบซ้อมผู้ต้องหาเป็นงาน
อดิเรก คุณอาหญิงท่านใช้ให้ฉันมาเตะแก”
เพิ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ก่อนที่อาเสี่ยจะเตะผม ขอให้ผมเรียนให้ทราบเสียก่อน อ้ายแห้วมันไม่ได้มาต่อว่าผมเฉย ๆ นะครับ มัน
ด่าแม่ผมและเตะผมถึง ๓ ที มันเข้าใจว่าผมเช่าห้องท่านอยู่ผมคงไม่กล้าทำ มัน แต่คนอย่างผมไม่ใช่คนธรรมดานี่
ครับ ผมเป็นนักเลงโต เมื่ออ้ายแห้วหยามนํ้าหน้าผมจนเกินไปผมก็ต้องสั่งสอนอ้ายแห้วให้มันรู้จักผมเสียบ้าง แต่
ผมก็ไม่ได้รุนแรงจนเกินไปนัก”
อาเสี่ยนิ่งฟังอย่างสนใจ
“อ้าว....ถ้ายังงั้นอ้ายแห้วก็เหลวไหลใช้ไม่ได้ เออ แกทำ ถูกแล้วเพิ่ม คนเราถ้าลงมาด่าเมียพ่อเราเรื่องมันก็
ต้องเตะกันเท่านั้นเอง” พูดจบกิมหงวนก็นิ่งคิด “เอ....กันจะทำ ยังไงดีหว่า กันคุยโขมงโฉงเฉงว่ากันจะมาเตะแก
ถ้ากันทำ ไม่ได้ตามที่พูดไว้ ใคร ๆ เขาก็คงยิ้มเยาะกัน เสี่ยเหลี่ยมลูกผู้ชาย”
นักเลงใหญ่หัวเราะ
“ก็เอาซีครับ เตะผมสักสองสามทีให้เงินผมเป็นค่าทำ ขวัญสักร้อยบาท อาเสี่ยก็ได้ทำ ตามที่พูดไว้”
เสี่ยหงวนยิ้มแหย ๆ
“เอายังงี้เถอะวะเพิ่ม กันอยากจะให้คุณอาทั้งสองและเพื่อน ๆ ของกันตลอดจนเมียกันซูฮกกัน ขอให้กัน
ชกหน้าแกสักสามสี่ทีได้ไหม ?”
นักเลงโตตอบโดยไม่ต้องคิด
“โอ เค ครับ อาเสี่ยจะชกหน้าผมสักกี่ทีก็ตาม ผมขอค่าป่วยการทีละร้อยบาทรวด”
กิมหงวนหัวเราะ
“ร้อยบาทมันก็แพงไปซีวะเพิ่ม”
“โธ่ เวลานี้เครื่องอุปโภคบริโภคราคาแพงมากนะครับ ผมคิดทีละร้อยบาทดีแล้ว เรากันเองน่าอาเสี่ย”
เสี่ยหงวนพยักหน้าหงึก ๆ
“เจ้าเพิ่ม”
“ครับ”
“ถ้าฉันตกลงฉันจะชกแกที่ไหนดีล่ะ”
“ไปที่ห้องผมซีครับ ผมจะยื่นหน้าให้อาเสี่ยชกโดยดี ตกลงนะครับ ผมกำ ลังอยากได้เงินใช้เสียด้วย หมู่
นี้กำ ลังขาดธาตุวิตามิน ง.”
“ประเดี๋ยว” เสี่ยหงวนพูดยานคาง “แกต้องสัญญากับฉันก่อนว่า หลังจากฉันชกแกแล้วแกจะต้องเข้าไป
ในบ้าน “พัชราภรณ์” กับฉัน เพื่อให้พรรคพวกของฉันเขาได้เห็นรอยฟกชํ้าดำ เขียวที่ใบหน้าของแก ใคร ๆ จะได้
ซูฮกฉัน เข้าใจว่าฉันได้ต่อสู้กับแกอย่างดุเดือด และแกถูกฉันซ้อมโดยไม่มีประตูสู้”
นักเลงใหญ่ ซึ่งกำ ลังอยากได้เงินเหลือที่จะกล่าวรีบรับคำ
“ได้ครับ ง่า........แล้วอาเสี่ยก็ควรจะตกลงกับผมเสียก่อน”
“ตกลงตะหวักตะบวยอะไรกันอีกล่ะ”
นายเพิ่มหัวเราะ ถูมือทั้งสองไปมา
“อาเสี่ยจะชกหน้าผมสักกี่ทีครับ”
“ทำ ไมล่ะ”
“ถามให้รู้เสียก่อนซีครับ หน้าผมไม่ใช่คอนกรีต อาเสี่ยเป็นมหาเศรษฐีชกหน้าผมทีหนึ่งอาเสี่ยยอมเสีย
เงินให้ผม ๑๐๐ บาท ถ้าอาเสี่ยเกิดย่ามใจฟิตจัดขึ้นมายอมเสียเงินชกหน้าผมสัก ๑๐๐ ทีผมก็ตายห่าเท่านั้นเอง”
เสี่ยหงวนหัวเราะชอบใจ
“กันจะชกหน้าแกเพียง ๕ ทีเท่านั้นแหละเพิ่ม เพราะกันมีเงินมา ๕๐๐ บาทเท่านั้น ห้าทีหน้าแกคงบวมฉุ
ขนาดโอ่งนํ้าแล้ว ไป พากันไปที่ห้องแกเถอะ อ้อ บอกลูกชายแกหน่อยซีโว้ย อย่าเสือกคว้าว่าวเด็ก ๆ ในบ้าน
กันอีก”
นักเลงใหญ่หันไปมองดูลูกชายของเขา
“เฮ้ย อ้ายผ่อง อย่าตัดว่าวบ้านเจ้านายนะโว้ย อ้าว ๆ เสือกคว้าลงไปอีกแล้ว ห้ามไม่เชื่อเดี๋ยวก็จะโดน
เตะ”
เจ้าผ่องมองดูพ่ออย่างเคือง ๆ
“แล้วยังงั้นพ่อจะทำ ป่านคมให้ฉันหาหอกอะไรล่ะ เล่นป่านคมก็ต้องตัดกันน่ะซี ถือว่าเป็นพ่อ แก่เตะเสีย
จริงเชียว”
เสี่ยหงวนทำ ตาปริบ ๆ มองดูเจ้าผ่องแล้วก็หันมามองดูนักเลงใหญ่อย่างแปลกใจ
“อือ....เพิ่ม กันสงสัยเสียแล้วละโว้ย ใครเป็นพ่อใครเป็นลูกกันแน่”
“ผมครับ ผมเป็นพ่อ”
นายเพิ่มนึกดีใจอย่างที่สุด ๕ ทีต่อ ๕๐๐ บาทจะช่วยให้เขาอยู่ดีกินดีไม่ต้องปั่นสามล้อไปอีกนาน เพิ่มพา
อาเสี่ยเดินตรงไปที่ห้องแถวไม้สองชั้น เพื่อให้เสี่ยหงวนชกหน้าเขาตามความประสงค์
เวลาผ่านพ้นไปประมาณ ๑๐ นาที
อาเสี่ยกิมหงวนจูงมือนักเลงใหญ่ออกจากห้องห้องหนึ่ง หน้าตาของนายเพิ่มฟกชํ้าดำ เขียวแทบจะจำ ไม่ได้
นัยน์ตาเขียวปั้ดทั้งสองข้าง ปากเจ่อและปลิ้นออกมาเหมือนปากครุฑ ท่าทางอิดโรยเดินตุปัดตุเป๋
พอออกมาพ้นนอกห้อง เพิ่มก็ยืนโงนเงนมีทีท่าเหมือนกับจะเป็นลม กิมหงวนยกมือตบบ่านักเลงใหญ่
แล้วพูดปลอบโยน
“แข็งใจเดินไปหน่อยเถอะวะเพิ่ม”
เพิ่มยิ้มแห้ง ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ
“แย่ครับ นัยน์ตาผมมองอะไรไม่เห็นแล้ว เห็นแต่ดาวยิบ ๆ อาเสี่ยช่วยให้ผมขี่คอไปไม่ดีหรือครับ"
กิมหงวนแยกเขี้ยว
“เดี๋ยวก็จะถีบเข้าให้หร็อก ไป เดินไปทางนี้”
แล้วกิมหงวนก็พานักเลงใหญ่อ้อมไปทางข้างรั้วบ้าน “พัชราภรณ์” เข้ามาในบ้านทางประตูด้านข้าง นาย
เพิ่มยกมือกุมหน้าร้องครางหงิง ๆ น่าสงสาร
คณะพรรค ๔ สหายยืนจับกลุ่มกันอยู่ที่หน้าตึก มองดูพ่อหนูน้อยทั้ง ๙ ซึ่งกำ ลังเล่นว่าวกัน ไม่มีป่านคม
รบกวนแล้ว สมนึกปล่อยว่าวขึ้นไปจนสูง ดีอกดีใจที่ว่าวตัวนี้ขึ้นได้ดีกว่าทุกตัว ทายาทของเสี่ยหงวนหัดคว้าว่าว
เล่น
เมื่อกิมหงวนพานายเพิ่มตรงเข้ามา ทุกคนก็พากันมองดูด้วยความแปลกใจ อาเสี่ยโบกมือให้พรรคพวก
ของเขา คุณหญิงวาดปราดเข้ามาเล่นงานนายเพิ่มทันที
“ยังไงกัน นายเพิ่ม แกอวดดียังไงข่มเหงอ้ายแห้วคนของฉัน” แล้วท่านก็สะดุ้งเฮือก “อุ๊ยตาย นี่ไปถูก
หมาที่ไหนฟัดมา ตาเพิ่ม อนิจจังทุกขัง หน้าตาแทบจะจำ ไม่ได้ ใครทำ อะไรแกหา ?”
กิมหงวนพูดขึ้นทันที
“ไม่ใช่หมาฟัดหร็อกครับ ผมฟัดเอง ผมไปต่อว่าดี ๆ เจ้าเพิ่มพูดยักท่ายังโง้นยังงี้เลยล่อเสียหมอบเลย เจ้า
เพิ่มเลยหมดเขี้ยวเล็บ ตามผมมาเพื่อขอโทษคุณอาและเจ้าแห้ว ดูซีครับหน้าตาเจ้าเพิ่มแทบจะจำ ไม่ได้”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ แปลกใจอย่างที่สุด เพิ่มไม่เคยปราชัยใครเลยในชีวิตนักเลงของเขา เคยปราบพวกนัก
เลงด้วยกันมามากต่อมาก ไม่น่าจะพ่ายแพ้เสี่ยหงวนอย่างยับเยินเช่นนี้เลย เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เดินเข้ามาหยุดยืน
เผชิญหน้านักเลงใหญ่ในระยะใกล้ชิด แล้วท่านก็กล่าวถามเบา ๆ
“ตาเพิ่ม ทำ ไมแกยอมให้เสี่ยหงวนมันซ้อมแกสะบักสะบอมอย่างนี้วะ อ้ายหงวนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
เลย สู้กันยังไงฉันสงสัยนัก”
นักเลงใหญ่ยกมือไหว้เจ้าคุณปัจจนึก ฯ
“ไม่ได้สู้หรอกขอรับใต้เท้า เรื่องมันเป็นยังงี้ครับ อาเสี่ยแกจ้างผมชกหน้าผมทีหนึ่งให้เงิน ๑๐๐ บาท แก
ชกผมรวม ๕ ทีขอรับ แล้วก็พาผมมาที่นี่เพื่อจะอวดใคร ๆ ว่าแกซ้อมผม”
“อ้าว” กิมหงวนอุทานลั่น ปราดเข้ามายกเท้าถีบนักเลงใหญ่ดังพลั่ก “นี่แน่ะ อ้ายเวร เสือกไปบอกท่าน
ได้”
คณะพรรค ๔ สหายหัวเราะครืน ในเมื่อความจริงเปิดเผยขึ้น นายเพิ่มยกมือลูบคลำ ตะโพกแล้วยิ้มแห้ง ๆ
มองดูหน้ากิมหงวนอย่างขบขัน แม่เสือนวลลออพูดขึ้นอย่างเดือดดาล
“ฮึ อยากเป็นคนเก่ง ยอมเสียเงินให้นายเพิ่มตั้ง ๕๐๐ บาท ทีนี้ต้องตั้งฉายาเฮียเสียใหม่ว่า เสี่ยหงวน
๕๐๐”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“๕๐๐ เฉย ๆ หรือละลายครับ”
เสียงหัวเราะของใครต่อใครดังขึ้นอีกอย่างครื้นเครง กิมหงวนทำ ตาเขียวกับนายเพิ่ม
“ไป....ไปให้พ้น ทีนี้แกอย่ามาขอสตางค์ฉันใช้นา ทะลึ่งเอาความจริงมาพูด ทำ ให้ฉันเสียเหลี่ยมนักเลง
หมด”
นักเลงใหญ่กลั้นหัวเราะแทบแย่ ยกมือไหว้คณะพรรค ๔ สหายโดยทั่วหน้า
“ผมกราบลาละครับทุก ๆ คน ลาละครับอาเสี่ย ถ้าอยากชกหน้าผมอีกละก้อเชิญนะครับไม่ต้องเกรงใจ”
อาเสี่ยแยกเขี้ยว ปราดเข้ามาจะเตะนายเพิ่ม แต่นักเลงใหญ่เป็นผู้รู้รักษาตัวรอด เขาวิ่งโกยอ้าวไปจากที่
นั้นทันที
เพยี งเวลาไม่กี่วันที่พ่อเทวดาทั้ง ๔ มาพักอยู่ที่บ้าน ‘พัชราภรณ’ คุณพ่อ คุณแม  คุณปู  คุณย่า และคุณตา
ปวดกบาลไปตามกัน บรรดาคนใช้ชายหญิงทุกคนมีงานเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม พ่อหนูน้อยทั้งสี่เป็นสุดที่รักของคุณหญิงวาด ซึ่งใครจะมาเกินเลยด่าว่าไม่ได้เป็นอันขาด
ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนหัวคํ่าคืนวันหนึ่ง
เสียงตึงตังโครมครามดังขึ้นที่เฉลียงหลังตึกชั้นล่างอย่างผิดปกติ ในเวลาเดียวกับที่ ๔ สหายกับท่านเจ้า
คุณปัจจนึก ฯ นั่งสนทนากันเงียบ ๆ อยู่ในห้องโถง ท่ามกลางแสงไฟฟ้าอันสว่างจ้า
เจ้าแห้ววิ่งกระหืดกระหอบมาอย่างร้อนรน
“เร็วครับ รับประทานเกิดเรื่องใหญ่แล้ว” เจ้าแห้วพูดเร็วปรื๋อแทบไม่เป็นภาษามนุษย์
“อะไรกันวะ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ถามเสียงดุ ๆ
“รับประทานคุณพนัสกับคุณสมนึกเกิดฉะปากกันขึ้นครับ รับประทานผมห้ามก็ไม่ฟังล่อกันอุตลุดเลย”
นิกรหัวเราะหึ ๆ
“เออ ให้มันชกกันให้เข็ด ช่างมันเถอะเรื่องของเด็ก”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พรวดพราดลุกขึ้นยืน
“พูดหมา ๆ อย่างนี้ใช้ได้หรือ พี่น้องกันแท้ ๆ มันต้องรักใคร่กลมเกลียวกันซีวะ” พูดจบท่านก็วิ่งก้น
กระเพื่อมออกไปจากห้องโถง
ณ บัดนี้ มวยนอกเวทีระหว่างลูกชายของพลกับบุตรชายของเสี่ยหงวนกำ ลังประชิดติดพันอย่างดุเดือด
ดำ รงกับนพยืนเสมอนอกอยู่ข้าง ๆ
“เยิ่นเข้าไป เตะ อ้ายนัสเตะ อ้ายนึกชกซีวะ ใส่เลย ตี๊ตาต่าตีตี๊....ยังงั้น”
ถึงแม้สมนึกได้เปรียบในรูปร่างซึ่งสูงกว่าพนัส แต่ชั้นเชิงมวยของพนัสเหนือกว่า ทุกครั้งที่สมนึกปราด
เข้ามาจะเลียะท้องพนัสเป็นต้องถูกถีบเซถลาออกไป สมนึกแก้ลูกถีบไม่ตก
“เข้ามาอ้ายนึก” พนัสพูดยิ้ม ๆ ตั้งการ์ดแน่น
สมนึกเต้นก๋าเข้ามาหาเพื่อน ขยับซ้ายและชกขวาปัง พอดีเจ้าคุณปัจจนึก ฯ วิ่งเข้ามาขวางกลางคู่ต่อสู้
สมนึกยั้งไม่ทัน ยกเท้าขวาเตะก้นเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ดังพลั่ก
“โอ๊ย เฮ้ย ! ห้ามไม่ฟังหรือยังไงวะ บอกให้เลิก เดี๋ยวตีตายห่าทั้งสองคน อูย เตะเอาตูดกูเข้าให้แล้ว”
สมนึกกับพนัสหอบแฮ่ก ๆ ต่างคนต่างปากคอปลิ้นไปตามกัน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ๔ สหายก็พากัน
เดินเข้ามา นายพัชราภรณ์เปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึงทันที คว้าแขนลูกชายเขาไว้
“เรื่องอะไรกัน เจ้านัส”
พนัสทำ ตาแดง ๆ คล้ายกับจะร้องไห้
“อ้ายนึกมันชกหนูครับ คุณพ่อ”
“แน้ ๆ ๆ แกชกข้าก่อนไม่ใช่หรือ ถามดำ รงดูก็ได้”
ลูกชาย ดร. ดิเรกยิ้มแห้ง ๆ พูดเสียงอ่อย
“อั๊วไม่เกี่ยวโว้ย อั๊วไม่รู้เรื่อง”
ตานพพยักหน้ากับพลแล้วพูดขึ้น
“เรื่องมันเป็นยังงี้ครับคุณลุง เจ้านึกกับอ้ายนัสมันตกลงกันด้วยสันติวิธีไม่ได้มันก็ใช้กำ ลังเข้าประหัต
ประหารกันแบบสงครามเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้นั่นแหละครับ”
พลหมั่นไส้เต็มทนก็ยกฝ่ามือผลักหน้าลูกชายนิกรค่อนข้างแรง
“โธ่....อ้ายแก่แดด ตัวโตกว่าลูกหมาหน่อยเดียวเท่านั้นพูดจาราวกับผู้ใหญ่” แล้วพลก็อดหัวเราะไม่ได้
เขาหันมากล่าวกับคู่พิพาททั้งสอง “ไป....เข้าไปในห้องโถง ฉันจะต้องสอบสวนให้มันรู้แน่ว่าใครผิดใครถูก ฝ่าย
ผิดต้องถูกเฆี่ยน ๑๐ ที อ้ายแห้วไปตัดกิ่งชบามาให้สักสองสามกิ่ง แกสี่คนนี่ยิ่งปล่อยยิ่งเหลิงต้องลงไม้ลงมือกัน
บ้าง”
นิกรเห็นพ้องด้วย
“จริง โบราณว่า รักลูกต้องเฆี่ยน รักวัวต้องเชือดกิน”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เอื้อมมือเขี่ยแขนนายพัชราภรณ์แล้วพูดเสียงละห้อย กลัวว่าพนัสหรือสมนึกคนใดคน
หนึ่งจะถูกพลเฆี่ยน
“ยกโทษให้มันทีเถอะวะ ให้มันสัญญาว่าทีหน้าทีหลังจะไม่ฟัดกันอีก”
พลสั่นศีรษะ พูดหน้าตาขึงขัง
“ไม่ได้ครับเคยตัว เมื่อวานนี้เจ้านัสทำ แจกันลายครามของเก่าแก่แตก ผมจะเฆี่ยนทีหนึ่งแล้ว แต่คุณพ่อ
ขวางไว้” แล้วเขาก็หันมาทางผู้ต้องหาทั้งสอง “เฮ้ย....เข้าไปในห้องโถง”
สมนึกหน้าจ๋อย แกกลัวนายพัชราภรณ์ยิ่งกว่าเตี่ยหรือคุณแม่แกเสียอีก เห็นพลมีท่าทางขึงขังก็ปราดเข้า
มากอดขาเสี่ยหงวน
“เตี่ย ช่วยนึกด้วย”
กิมหงวนสั่นศีรษะ ผลักพ่อหนูน้อยออกห่าง
“เสียใจ ข้าช่วยอะไรเอ็งไม่ได้ ให้ลุงเขาเฆี่ยนเสียบ้าง ซนยังกะลูกลิงลูกค่าง พี่น้องกันแท้ ๆ ต่อยกันมี
อย่างรึ ผิดถูกยังไงผู้ใหญ่มีนี่หว่า”
สมนึกกับพนัสเดินตามพลเข้าไปในห้องโถง พ่อนพ ดำ รง และทุก ๆ คนตามเข้ามาด้วย ดร. ดิเรกยิ้ม
น้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นลูกชายของเขาสงบเสงี่ยมไม่ใคร่จะซุกซนเหมือนเพื่อน ๆ ของแก โตขึ้นคงได้ไปเรียนเมือง
นอกแน่ ๆ
นายพัชราภรณ์นั่งลงบนโซฟา และชี้มือให้พ่อหนูทั้ง ๔ นั่งบนพรมปูพื้น
“นั่งลง วันนี้ฉันต้องเฆี่ยนแกเด็ดขาด”
นพ, พนัส, สมนึก, ดำ รงหน้าจ๋อยไปตามกัน ต่างทรุดตัวนั่งพับเพียบเรียบร้อย นิกร, เสี่ยหงวน, ดร. ดิ
เรก และเจ้าคุณปัจจนึก ฯ แยกย้ายกันไปนั่งบนเก้าอี้นวมรอบห้องโถง นายพัชราภรณ์ยกมือชี้หน้าลูกชายนาย
แพทย์หนุ่ม
“เล่าให้ลุงฟังซิดำ รง ทำ ไมอ้ายสองคนนี่ถึงได้ฟัดกัน”
ดำ รงสั่นศีรษะ
“ไอ ด๊อนท์ โน เซ่อร์”
พลหัวเราะหึ ๆ
“พูดไทยโว้ย นี่เมืองไทยไม่ใช่เมืองอังกฤษ แล้วคนไทยก็ไม่ได้เป็นขี้ข้าอังกฤษ เร็ว....เล่ามาตามตรง ถ้า
แกให้การเท็จฉันจะเฆี่ยนแกด้วย”
ดำ รงทำ หน้าแหย ๆ จะยิ้มก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง
“อีตอนเกิดเรื่องกันผมไม่ทราบครับคุณลุง ผมกำ ลังนั่งเล่นรถแข่งของผม ได้ยินเขาชกกันผมก็ลุกขึ้นดู
ใครผิดใครถูกผมไม่ทราบครับ แต่ต่างคนต่างชกกัน”
นายพัชราภรณ์หันมาทางลูกชายนิกร
“ถ้าเช่นนั้นแกต้องรู้เรื่องดี เล่าให้ลุงฟังซินพ เล่าตามความจริงที่เกิดขึ้น”
นพยิ้มแป้น หนา้ ทะเลน้ เหมอื นพอ่ แก และอุปนิสัยใจคอก็คล้าย ๆ กัน
“เรื่องมันมีครับ มันถึงได้มีเรื่อง”
พลทำ คอย่น
“เดี๋ยวก็ถูกเขกกบาลเท่านั้นเอง เวลานี้ไม่ใช่เวลาพูดเล่น เจ้านพ แกมาทะเล้นกับฉัน ฉันตีแกจริง ๆ นะ
เร็ว เล่ามาไม่ต้องเข้าข้างใคร”
คราวนี้นพหน้าจ๋อย
“ง่า....เรื่องมันเป็นยังงี้ครับ เจ้านึกกับอ้ายนัสเขาเล่นทายกัน เจ้านึกเขาเป็นคนถามขึ้นว่า อะไรเอ่ย สอง
หัวกินหัวเดียว หัวเขียวกินหัวควํ่า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย”
คราวนี้ ๔ สหายหัวเราะครืน พลพยายามเก๊กหน้าให้ดุ ๆ
“แล้วเจ้านัสตอบว่ายังไง”
นพอมยิ้ม
“เจ้านัสคิดไม่ออกครับ เลยตอบว่าพ่อมึงน่ะซี ขาดคำ ว่าพ่อมึงเจ้านึกก็เตะปากเจ้านัสดังเพียะ แล้วการต่อ
สู้ก็เริ่มต้นอย่างน่าดู แต่ไม่หวาดเสียวอะไร เพราะสู้กันครึ่งมวยล้มครึ่งจริง”
พลว่า “เอาละ ถ้าเช่นนั้นไม่ต้องสืบพยานอีก ตัดสินคดีได้เลย”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พูดเสริมขึ้น
“รอการลงอาญาไว้ครั้งหนึ่ง ทีหลังอย่าชกกันไม่ได้นา คราวนี้ยกโทษให้”
พลหันมาทำ ตาเขียวกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
“ยกไม่ได้ครับ เรื่องนี้ผิดด้วยกันทั้งคู่ เจ้านัสคิดไม่ออกเลยโมโหพูดล่วงเกินเจ้านึกถึงพ่อถึงแม่ ข้างเจ้า
นึกก็แก่เลือดร้อนไปหน่อย ผู้ใหญ่มีไม่มาฟ้องตัดสินเอาเอง เจ้านัสมันเจ็บมันก็ชกเอาบ้าง เรื่องมันขนมผสมนํ้ายา
ต้องเฆี่ยนคนละ ๕ ที”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ถอนหายใจเบา ๆ
“ให้เขกกระดานเถอะว้าพล เด็กน่ะถ้าลองถูกเฆี่ยนสักครั้งก็มักจะดื้อไม้”
“ฮี้” นิกรร้องเอ็ดตะโร “คุณพ่อให้ท้ายเด็กเสียเรื่อย อีกหน่อยเจ้านัสกับเจ้านึกก็คงจะเล่นหัวล้านคุณพ่อห
ร็อก”
“เออ ช่างข้า เด็กนี่หว่าไปเอาเรื่องเอาราวอะไรกะมันวะ ม่ายเขาจะเรียกเด็กเรอะ สมัยนี้เขาอบรมเด็กเขา
เลิกการเฆี่ยนตีกันแล้ว”
สมนึกกับพนัสรีบคลานเข้ามาหาเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทันที สมนึกโผเข้ามากอดขาท่านแน่น
“คุณตาช่วยหนูด้วยฮะ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทำ ตาปริบ ๆ ลอบค้อนนายพัชราภรณ์ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เจ้าแห้วก็พาตัวเดินเข้ามา
ในห้องโถง ทรุดตัวนั่งส่งกิ่งชบาอันเล็ก ๆ ๒ อันให้พล ท่านเจ้าคุณผุดลุกขึ้นยืน มองดูพนัสกับสมนึกด้วยความ
สงสาร
“กูดูไม่ได้โว้ย จะเฆี่ยนจะตีกันก็อย่าให้มันหนักมือนัก เฆี่ยนสั่งสอนไม่ใช่เฆี่ยนด้วยอารมณ์โกรธ เจ็บ
ป่วยลงเรานั่นแหละจะเดือดร้อน” แล้วท่านก็รีบเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของตัวตึก เพื่อรีบไปฟ้องคุณหญิงวาดว่า
พลกำ ลังจะเฆี่ยนพ่อเทวดาทั้งสอง
นายพัชราภรณ์ขยับกิ่งชบาหวดอากาศเควี้ยวควับแล้วลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหาสมนึกกับพนัส พ่อหนูทั้ง
สองร้องไห้โฮ
“กลัวแล้วครับ โอย....ตายแล้ว” สมนึกร้องเอ็ดตะโร “เจ็บจังครับ คุณลุงครับ”
พลหัวเราะหึ ๆ
“ยังไม่ทันตีสักแปะแหกปากร้องเสียคับบ้าน ประเดี๋ยวตายอ้ายนี่ ลุกขึ้นเจ้านึก ลุงเฆี่ยนแกก่อน ๕ ที
อย่ารํ่าไร บอกให้ลุกขึ้น แล้วก็ยืนกอดอกหันก้นมาดี ๆ”
กิมหงวนนั่งหัวเราะงอหาย
“ดี-ดี สมนํ้าหน้า โดนมือลุงแกเข้าแกจะรู้ว่ามันเจ็บแสบเพียงไร”
สมนึกร้องไห้สะอึกสะอื้น ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนมองดูพลด้วยความเกรงกลัว
“ง่า-คุณลุงครับ ขออนุญาตให้ผมไปเอากระดาษแข็งรองก้นก่อนไม่ได้หรือครับ ไม้อันมันใหญ่เหลือเกิน
อ้ายแห้วมันอาฆาตผม แกล้งตัดไม้อันใหญ่ ๆ มาให้”
พลกลั้นหัวเราะแทบแย่
“อย่าพูดมาก ยืนนิ่ง ๆ ให้ฉันเฆี่ยนแก”
สมนึกยกมือกอดอกขบกรามแน่น เบือนหน้าออกไปนอกประตู พลเงื้อไม้ขึ้นเพียงไหล่ของเขาแล้ว
หวดควับลงไป ซึ่งความจริงไม่รุนแรงอะไรเลย แต่สมนึกแหกปากร้องราวกับว่าแกได้รับความเจ็บปวดรวดร้าว
เหลือที่จะกล่าว
“จำ ไว้นะ เจ้านึก ลุงเฆี่ยนสั่งสอนแก เราพี่น้องกันหนักนิดเบาหน่อยต้องอภัยกัน ต่อไปถ้าชกกันอีกลุง
จะเฆี่ยนคนละ ๑๐ ที แกต้องจำ ตัวอย่างดำ รงซี ดำ รงไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร มีนิสัยอะลุ้มอล่วยกับเพื่อนฝูง”
แล้วพลก็เงื้อกิ่งชบาหวดลงไปบนก้นของพ่อสมนึกเป็นครั้งที่ ๒-๓-๔ และ ๕ สมนึกร้องไห้สะอึกสะอื้น
ยกมือลูบคลำ ก้นเดินไปนั่งข้างเจ้าแห้ว นายพัชราภรณ์พยักหน้ากับลูกชายของเขา แล้วพูดเสียงเด็ดขาด
“ลุกขึ้นเจ้านัส พ่อต้องเฆี่ยนแก ๕ ทีเช่นเดียวกัน”
พนัสลุกขึ้นโดยดี
“เดี๋ยวครับ คุณพ่อ ก่อนที่คุณพ่อจะเฆี่ยนผมคุณพ่อช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมครับว่า สองหัวกินหัวเดียว
หัวเขียวกินหัวควํ่า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย น่ะมันอะไรครับ ผมอยากรู้เหลือเกิน รู้แล้วถึงจะถูกเฆี่ยนก็ช่างเถอะ
ครับ คุณพ่อบอกผมหน่อย”
นายพัชราภรณ์ยิ้มแห้ง ๆ
“พ่อจะไปรู้รึ อ้ายนึกมันเอาอะไรมาทายก็ไม่รู้”
พนัสหันมาทางนิกร และยิ้มให้นายจอมทะเล้น
“คุณอารู้ไหมครับ”
นิกรพูดพลางหัวเราะพลาง
“มันไม่ใช่ปริศนาหร็อกโว้ย อ้ายหลานชาย มันเป็นประโยคบอกเล่าไม่ใช่ประโยคคำ ถาม สองหัวกินหัว
เดียว หัวเขียวกินหัวควํ่า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย ก็ถูกของเจ้านึกมันแล้ว เช่นเดียวกับที่ว่า....โกรกกรากกระแชง
นกกวักตาแดง หัวมันใต้ดิน กระแชงเมื่อถูกลมพัดมันก็ดังโกรกกราก นกกวักนัยน์ตาก็แดงตามธรรมชาติของมัน
และหัวมันก็ต้องอยู่ใต้ดิน เจ้านึกมันอธิบายว่า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย มันไม่ได้ทาย”
พนัสหัวเราะก้าก
“ปู้โธ่ ปัญหาหญ้าปากคอกยังงี้เอง แหม-คุณอานี่เก่งจังครับ หัวดีกว่าคุณพ่อเป็นกอง” แล้วพนัสก็หันมา
ยิ้มกับเพื่อน ๆ ของแก “ไปโว้ย ออกไปเล่นทายกันที่หน้าตึกเถอะ คืนนี้เดือนหงายซะด้วย”
พลพูดเสียงยานคาง
“จะไปไหนเจ้านัส แกจะต้องถูกพ่อเฆี่ยน ๕ ทีก่อน”
“ว้า-คุณพ่อยังไม่ลืมหรือครับ ผมพยายามพูดเรื่องอะไรต่ออะไรกลบเกลื่อนตั้งนาน นึกว่าคุณพ่อจะลืม
เรื่องเฆี่ยนผมเสียแล้ว”
พลยกมือชี้หน้าลูกชายของเขา
“กอดอกเข้า เจ้านัส อย่ารํ่าไร”
พนัสถอนหายใจหนัก ๆ ยกมือกอดอกหันก้นให้คุณพ่อของแกโดยดี นายพัชราภรณ์เงื้อกิ่งชบาขึ้นสูง
เกือบสุดแขนหวดควับลงไปที่ขาพ่อพนัสดังควับ เขาเฆี่ยนแรงกว่าที่เขาเฆี่ยนสมนึกมาก พนัสสะดุ้งโหยงขมวด
คิ้วนิ่วหน้าร้องไห้โฮ
“เฮ้ย ๆ ๆ” กิมหงวนเอ็ดตะโร “เบา ๆ หน่อยซีโว้ยอ้ายพล เฆี่ยนลูกแรง ๆ อย่างนี้เดี๋ยวก็ได้เตะปากกันเท่า
นั้นเอง”
พลไม่ฟังเสียง เงื้อกิ่งชบาหวดควับลงที่ก้นลูกชายของเขาอีกครั้งหนึ่ง พนัสร้องไห้จ้าด้วยความเจ็บปวด
ทันใดนั้นเอง คุณหญิงวาดก็วิ่งกระหืดกระหอบลงบันไดมาจากชั้นบนของตัวตึกส่งเสียงเอ็ดตะโร
“เฮ้ย-หยุด ๆ ๆ อ้ายพล หยุดก่อน”
นายพัชราภรณ์มองดูคุณแม่ของเขา คุณหญิงวาดปราดเข้ามากั้นกลางระหว่างลูกชายกับหลานชายของ
ท่าน ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ๔ นางกับเจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ และเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็ยกโขยงติดตามกันลงมา เสียง
จ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นลั่นห้อง
“อะไรกัน เจ้าพล เด็กตัวเท่านี้ถึงกับลงไม้ลงมือเชียวหรือ แกจะบ้าหรือยังไงวะ ผิดถูกยังไงชี้แจงสั่ง
สอนเอาซี ถึงกับเฆี่ยนตีกันใช้ได้เรอะ”
พลชักฉิว
“คุณแม่อย่าให้ท้ายหลานเลยครับ เจ้านัสมันชกกับเจ้าสมนึก ผมก็ต้องเฆี่ยนสั่งสอนมันคนละ ๕ ที ผม
เฆี่ยนเจ้านึกไปแล้ว เพิ่งเฆี่ยนเจ้านัสได้ ๒ ทีเท่านั้น”
คุณหญิงเอื้อมมือเข้ามาจะแย่งไม้เรียว แต่พลรีบไว้ข้างหลัง
“อ้ายบ้า อ้ายระยำ ถ้าแกขืนตีพ่อนัสละก้อเป็นเกิดเรื่องแน่ หลานของฉัน ฉันรักราวกับดวงใจ ฉันไม่
เคยตีสักเผียะเดียว อวดดียังไงมาตีหลานฉัน อ้ายฉิบหาย”
พลเอ็ดตะโรขึ้นบ้าง
“หลานคุณแม่ก็ลูกผมนี่ครับ คุณแม่ไม่ต้องยุ่ง ผมจะตีลูกผม” พูดจบพลก็เงื้อกิ่งชบาหวดควับลงกลาง
หลังพนัสค่อนข้างแรง พ่อหนูน้อยร้องไห้จ้า
คุณหญิงวาดโกรธจนตัวสั่น ท่านมองซ้ายมองขวาแล้ววิ่งไปทางมุมห้องหยิบตะพดถนัดใจขึ้นมาถือ วิ่ง
ปราดเข้ามาหานายพัชราภรณ์
“เอา-ลูกมึง มึงตีกูไม่ว่า แต่กูจะตีลูกกูเหมือนกัน”
ตะพดอันเบ้อเริ่มหวดลงกลางหลังพลดังอั้ก นายพัชราภรณ์ถอยหลังกรูด คุณหญิงวาดไล่ตีพลรอบ ๆ
ห้อง เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ เกรงว่าลูกชายจะหัวแตก ก็กระโดดเข้าแย่งไม้ตะพดไว้
“อย่า ๆ ๆ ขอทีคุณหญิง ถูกกบาลเข้าละก้อเจ้าพลต้องไปนอนโรงพยาบาลเชียวนะเธอ” แล้วท่านก็รีบส่ง
ไม้ตะพดอันนั้นให้เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ถือไว้
คุณหญิงวาดร้องไห้โฮ
“ฮือ ๆ เจ็บใจนัก หลานกูตัวเท่านี้มันเฆี่ยนได้ลงคอ”
สมนึกกับพนัสวิ่งปราดเข้ามาเกาะแขนคุณย่าทันที คุณหญิงยกมือตบศีรษะหลานรักทั้งสองของท่าน
แล้วกล่าวถามด้วยความปรานี
“เป็นยังไงบ้างหลาน เจ็บไหม”
สมนึกร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เจ็บครับ คุณลุงตีไม่ตีเปล่า เตะผมและกระทืบผมอีกตั้งหลายที ดูซีครับ ขี้โครงข้างขวาหักไปตั้งหลาย
ซี่ อ้ายนัสก็ถูกเตะครับ คุณย่าดูซีครับ ปากอ้ายนัสปลิ้นเลย”
คุณหญิงวาดลืมตาโพลง
“ตาย ตายแล้ว นี่มึงเตะหลานกูหรืออ้ายพล”
“เฮ้ย” กิมหงวนตะโกนลั่น “ปู้โธ่ อ้ายนึกนี่พูดเป็นตุเป็นตะราวกับเป็นความจริง คุณอาอย่าไปเชื่อมัน
ครับ อ้ายนี่ริปั้นนํ้าเป็นตัวแต่เล็ก ๆ”
คุณหญิงว่า “ไม่จริงเด็กมันจะพูดหรือ”
พลหัวเราะก้าก
“ผมเป็นพ่อและเป็นลุงอ้ายสองคนนี่นะครับคุณแม่” พูดจบนายพัชราภรณ์ก็เดินหัวเราะออกไปทางหลัง
ตึก ทั้งฉิวและทั้งขันคุณหญิงวาด
นันทาปราดเข้ามาหาพ่อหนูน้อยทั้ง ๔
“เลิกเล่นกันที ขึ้นไปอาบนํ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ เจ้าแห้วพาขึ้นไป พวกแก ๔ คนจะทำ ให้ฉันเวียนหัว
ตายวันละหลายพันครั้ง เสียงตึงตังโครมครามตลอดเวลา หนวกหูเหลือเกิน ตละคนล้วนแต่แก่นแก้ว พ่อดำ รง
คนเดียวเท่านั้นที่ค่อยยังชั่วหน่อย”
ดำ รงยิ้มแป้น
“ผมเรียบร้อยครับคุณป้า ป๋าสอนผมว่าสุภาพบุรุษอังกฤษเขาต้องสุภาพไม่ซุกซน อ้ายนึกมันสุภาพบุรุษ
เจ๊กครับ เสียงดังกว่าเพื่อน ห้ามก็ไม่ฟัง”
คณะพรรค ๔ สหายอดหัวเราะไม่ได้ สมนึกก้มลงหยิบไม้เรียวที่พลโยนทิ้งไว้ขึ้นมาถือ ค่อย ๆ ย่องเข้ามา
หวดหลังเจ้าแห้วดังป้าบ ทำ ให้เจ้าแห้วสะดุ้งสุดตัว
“นี่แน่ะ เสือกตัดไม้อันเบ้อเริ่มเชียว”
เจ้าแห้วบิดตัวสูดปากลั่น ทำ ตาเขียวกับสมนึก
“รับประทานมันเจ็บไม่ใช่หรือครับ คุณหนูเล่นยังงี้ไม่ดีน่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“อ้ายแห้ว” เสี่ยหงวนตะโกนลั่น “ทำ ไมข้าจะไม่สั่งสอน สอนโว้ยแต่มันไม่จำ อ้ายนี่พูดกวนจริงแฮะ
เดี๋ยวก็เตะเปรี้ยงเข้าให้หร็อก”
เจ้าแห้วร้องไห้โฮ ยกหลังมือเช็ดนํ้าตา แล้วลุกขึ้นยืนมองดูพ่อเทวดาน้อย ๆ ทั้ง ๔ ด้วยความเจ็บชํ้านํ้าใจ
ยิ่งเพราะถูกข่มเหงรังแกตลอดวัน
“ไปซีครับ รับประทานขึ้นไปอาบนํ้า” เจ้าแห้วพูดพลางร้องไห้พลาง
สมนึกหัวเราะลั่น
“เฮ้ย โตเป็นควายแล้วยังร้องไห้อีกแฮะ พวกเราฮาป่าอ้ายแห้วโว้ย หนึ่ง-สอง-สาม-ฮา ใครไม่ฮาขอฮา
คนเดียวก็ได้”
กิมหงวนยกเท้าเหวี่ยงลูกแป ถูกก้นลูกชายของเขาดังพลั่ก
“หมั่นไส้นัก อ้ายตี๋ แกมันชักแก่นแก้วขึ้นทุกวัน”
สมนึกหันมาค้อน
“เล่นเตะยังงี้ไม่ดีน่าเตี่ย อีก ๘ ปีค่อยเตะนึกซี วัทโธ่....ถือว่าตัวโตกว่าข่มเหง นึกอยากเตะก็เตะ ระวังให้
ดีเถอะ”
“นั่นแน่” อาเสี่ยคราง “เจอเอาลูกทรพีเข้าแล้วโว้ยกู มีอาฆาตด้วย เอ-อ้ายนึกนี่เห็นจะต้องบอกศาลาตัด
พ่อตัดลูกกันที”
นวลลออเขยิบเข้ามา ยกมือบิดหูลูกชายสุดสวาทของหล่อน แล้วกล่าวบังคับ
“พูดบ้า ๆ อย่างนี้ได้รึสมนึก ขอโทษเตี่ยเสีย เดี๋ยวแม่ตบหน้าหันเลยลูกคนนี้”
สมนึกหน้าจ๋อย ยกมือไหว้กิมหงวนแล้วพูดเสียงอ้อมแอ้ม
“นึกขอโทษนะครับ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มองดูหลานชายของท่านทั้ง ๔ คนด้วยความรักและเอ็นดู โดยเฉพาะ
พ่อนพหลานในไส้ของท่าน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ รักยิ่งกว่าดวงใจ ท่านกระดิกนิ้วเรียกนพเข้ามาหาแล้วสวมกอด
“อย่าซนให้มากนะลูก ตากับคุณย่าของแกเท่านั้นที่ยังรักพวกแกอยู่ นอกนั้นเขาอิดหนาระอาใจเต็มทน
แล้วรู้ไหม ไหน-ร้องยี่เกให้ตาฟังหน่อยซิ ไม่ต้องอายน่า เสียงเจ้าเพราะออก เอาซี ร้องให้ตาฟังแล้วขึ้นไปอาบ
นํ้า”
พ่อนพยิ้มอาย ๆ แล้วร้องยี่เกเสียงแจ๋ว ๆ
งามป่าเขาลำ เนาห้วย
มันช่างงามสดสวยเหมือนกับสร้างสรรค์
หมู่พฤกษาซับซ้อนละลานตา
เกลื่อนกลาดดาษดาสาระพัน
โน่นนกเขาเคล้าคูจับคู่บนคอน
ฝูงนกยูงถลาร่อนลงสู่หนองนั่น
นกตะกรุมหัวเกลี้ยงยืนคอเอียงตาเป็นมัน....
คณะพรรค ๔ สหาย เว้นแต่เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ กับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ฮาครืน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เผลอตัวยก
มือเขกกบาลหลานชายของท่านดังโป๊ก
“นี่แน่ะ อ้ายเวร เอาอะไรมาร้องก็ไม่รู้”
พ่อนพหัวเราะหึ ๆ
“คุณพ่อสอนผมนี่ครับ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ ยกมือชี้หน้านายจอมทะเล้นทันที
“แกสอนเด็กดีนัก ระวังให้ดีนะ” แล้วท่านก็หันมาทางเจ้าแห้ว “เฮ้ย-พาเจ้า ๔ คนนี่ขึ้นไปอาบนํ้าอาบท่า
เสียที”
เจ้าแห้วกลั้นหัวเราะแทบแย่ พาพ่อเทวดาทั้ง ๔ ขึ้นบันไดไปชั้นบน สมนึกกับพนัสคืนดีกันแล้ว ทั้งสอง
เดินกอดคอกันพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คล้ายกับว่าไม่ได้มีเรื่องผิดพ้องหมองใจกันเลย
ภายในห้องโถงของบ้าน ‘พัชราภรณ์’ ถูกสมมติเป็นท้องพระโรงของสมเด็จพระเจ้าหลุยส์เมื่อครั้ง
กระโน้น
นักดาบทั้ง ๔ คือพนัส, นพ, สมนึก และดำ รงกำ ลังฟาดฟันประจัญบานกันอย่างดุเดือด ด้วยดาบไม้
ระกำ ซึ่งสมนึกใช้ให้เจ้าแห้วไปซื้อมาจากบ้านดอกไม้ วัดสระเกษ เสียงตึงตังโครมครามดังไปทั่วบ้าน
คุณหญิงวาดกับเจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ เจ้าคุณปัจจนึก ฯ และ ๔ นางนั่งเล่นไพ่ผ่องกันอยู่ในห้องชั้นบนของตัว
ตึก ในที่สุดวงไพ่เล่นกันไม่รู้เรื่อง เพราะหนวกหูจนเกินไป คุณหญิงวาดก็ใช้ให้ประไพลงมาจัดการกับพ่อหนู
น้อยทั้ง ๔
ประไพวิ่งเหยาะ ๆ ลงบันไดมา ในเวลาเดียวกับที่กระจกตู้ใบใหญ่แตกเพล้ง เพราะสมนึกฟันนพผิด
ดาบจึงกระทบกระจกตู้เต็มแรง
“เฮ้ !” ประไพร้องตวาดลั่น “หยุด....หยุดเดี๋ยวนี้”
การต่อสู้หยุดชะงักลงทันที ประไพเอ็ดตะโรต่อไป
“เล่นอะไรกันหา ? หนวกหูจะตายไปแล้ว รู้ไหมว่าคุณปู่ คุณย่า คุณตา และใคร ๆ กำ ลังเล่นไพ่กันอยู่
ไป-ออกไปเล่นที่เรือนต้นไม้ เจ้าแห้วหายหัวไปไหนล่ะ”
สมนึกยิ้มให้ประไพ
“ผมใช้อ้ายแห้วไปซื้อว่าว ยังไม่กลับครับ”
ประไพพยักหน้า
“ไปเล่นกันที่เรือนต้นไม้เถอะหลาน หรือทางหลังบ้านก็ได้ ในห้องไม่ใช่ที่ซ้อมฟันดาบ ดูซี ข้าวของ
แตกหักเสียหายไปตั้งหลายอย่าง เลิกนะ ถ้าขืนเล่นในห้องนี้อีกถูกเฆี่ยนนะ” แล้วหล่อนก็สั่นศีรษะด้วยความอิด
หนาระอาใจ รีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบนด้วยความเป็นห่วงไพ่ เพราะหล่อนกำ ลังจะกินล้มตัวเก็ง ๕ นก
พ่อเทวดาทั้ง ๔ มองดูหน้ากัน
“ไปเถอะเว้ย” ดำ รงพูดเบา ๆ “ไปเล่นที่สนามหลังตึกดีกว่า”
นพขมวดคิ้วย่น
“แดดร้อนตายโหง ตอนกลางวันอย่างนี้ไม่มีที่ไหนที่จะน่าเล่นกว่าห้องโถง”
สมนึกบ่นพึมพำ
“ว้า....ไม่อยากแล้วโว้ย เราเล่นฟันดาบกันก็หาว่าหนวกหู ครั้นเรานั่งเฉย ๆ ไม่เล่นอะไรเลย คุณย่าก็หา
ว่าพวกเราไม่สบายบังคับให้กินยา”
นพพูดโพล่งขึ้น “เราโทรศัพท์ไปโรงพักปทุมวัน บอกเขาว่าที่นี่มีการเล่นไพ่กัน ตำ รวจจะได้มารวบเอา
ตัวคุณปู่ คุณย่า คุณตา และคุณแม่ของพวกเราไปโรงพัก เท่านี้เราก็ได้เล่นกันในห้องนี้อย่างสบายใจ คุณพ่อเราก็
ไม่อยู่ พวกคนใช้ขืนมีเสียงเตะสองตีนดิ้นไปเลย”
คราวนี้ทั้งสามคนเห็นพ้องด้วย
“เออ เข้าทีโว้ย” สมนึกพูดพลางหัวเราะพลาง “เอาซีวะนพ แกนี่หัวคิดเฉียบแหลมมาก เราคงได้ดูท่านผู้
ใหญ่วิ่งหนีตำ รวจกันอกตั้งในคราวนี้ คุณย่าคงตกใจเยี่ยวราดแน่”
ดำ รงชักสงสารคุณย่ากลัวจะถูกตำ รวจจับไปขัง
“อย่าเล่นเลยวะนพ เล่นยังงี้ไม่ดีแน่ ทำ ให้ผู้ใหญ่เดือดร้อน”
นพเอียงคออมยิ้ม
“เดือดร้อนก็ช่างปะไรไม่ใช่ตัวเรานี่หว่า ทีเราเล่นหนวกหูท่านยังว่าเรา ต้องแกล้งเสียให้เข็ด แกไม่เล่นก็
อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องคัดค้านหรือออกความคิดเห็นอะไร ม่ายจะโดนเตะเข้าใจไหมล่ะ”
ดำ รงหน้าจ๋อยเดินเลี่ยงไปทางอื่น นพจูงมือพนัสกับสมนึกไปที่เครื่องโทรศัพท์ ทั้งสามคนช่วยกันค้น
เบอร์โทรศัพท์สถานีตำ รวจนครบาลปทุมวันจากเครื่องโทรศัพท์ ค้นหาอยู่สักครู่ก็พบ ลูกชายของนิกรยกหู
โทรศัพท์ขึ้น ใช้นิ้วชี้มือขวาหมุนเลข ๓๐๔๖๖ สักครู่หนึ่งก็มีเสียงห้าว ๆ ของใครคนหนึ่งพูดมา
“ฮัลโหล โรงพักปทุมวันครับ นั่นที่ไหน”
นพยิ้มแป้น ยักคิ้วให้เพื่อนเกลอเสียก่อนจึงพูดโทรศัพท์
“บ้าน ‘พัชราภรณ’ ครับ ผมมีข่าวดีที่จะบอกว่าที่นี่เป็นซ่องการพนันรายใหญ  มีทั้งโปทั้งไพ่และจับยี่กี
เล่นกันทั้งกลางวันกลางคืนเชียวครับ ผมบอกมาก็เพราะผมเป็นพลเมืองดีคนหนึ่ง” แล้วนพก็วางหูโทรศัพท์ลงที่
เครื่องของมันตามเดิม
ครั้นแล้วพ่อหนูน้อยทั้ง ๔ ก็พากันออกไปทางหน้าตึก ในเวลาเดียวกันเจ้าแห้วก็นั่งรถจักรยานสามล้อคัน
หนึ่งเข้ามาในบ้าน บนตักเจ้าแห้วมีว่าวอีลุ้มและว่าวจุฬาขนาดเล็กหลายตัวพร้อมด้วยด้ายหลอดและป่านซึ่งเจ้า
แห้วนั่งรถไปซื้อมาจากร้านขายว่าวแห่งหนึ่งทางสะพานเสี้ยว ตามคำ สั่งของสมนึกทายาทของเสี่ยหงวน
พอเห็นเจ้าแห้ว เสียงเฮฮาก็ดังขึ้น รถจักรยานสามล้อแล่นมาหยุดหน้าตึกใหญ่ เจ้าแห้วหอบว่าวลงจากรถ
ส่งธนบัตรห้าบาทหนึ่งฉบับให้คนขับ นพจูงมือเจ้าแห้วพามานั่งบนขั้นบันไดหินอ่อน ทั้ง ๔ คนนั่งห้อมล้อมเจ้า
แห้วและต่างก็เลือกว่าวไว้เป็นของตนคนละตัว เจ้าแห้วแสดงสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเพราะถูกใช้จนไม่มีเวลาว่าง
นพยกมือตบศีรษะเจ้าแห้ว
“ผูกซุงโว้ยแห้ว เอาว่าวจุฬาตัวนี้ขึ้นก่อน”
เจ้าแห้วถอนหายใจยาว
“เดี๋ยวซีครับ รับประทานนั่งพักให้หายเหนื่อยเสียก่อน ผมจะตายห่าอยู่แล้ว”
นพขมวดคิ้วย่นตวาดแว้ด
“พักหาหอกอะไรเล่า ฉันกำ ลังอยากเล่นไม่รู้หรือ ฮื้อโว้ย ขัดใจซะเรื่อยเชียวเดี๋ยวฟ้องคุณย่าเลย แกมี
หน้าที่รับใช้ฉันสั่งให้ทำ อะไรก็ต้องทำ ซี”
เจ้าแห้วเม้มปากแน่น
“เอา เอาครับพ่อเทวดา ผมจะผูกซุงให้เดี๋ยวนี้ พับผ่าถ้าไม่ใช่ลูกเจ้านายผมเตะกลิ้งไปแล้วให้ดิ้นตาย”
สมนึกลุกขึ้นยกเท้าเตะเจ้าแห้วดังพลั่ก
“นี่แน่ะ เอาเสียก่อน พูดดีนัก เอาเงินทอนคืนมาโว้ย ให้ไปตั้งร้อยบาทซื้อว่าวมาห้าหกตัวเท่านั้น ให้เงิน
ไปซื้ออะไรไม่เคยทอนเลย”
เจ้าแห้วยิ้มแห้ง ๆ
“ฮื้อ คุณนึกนี่ทำ เป็นกระดูกขัดมันไปได้ เหลืออีกไม่กี่บาทเป็นค่ากาแฟของผม ทำ ใจสปอร์ทอย่างคุณ
เตี่ยซี่ครับ แล้วบ่าย ๆ ผมจะทำ ป่านคมให้เล่น”
สมนึกค้อนปะหลับปะเหลือก นั่งลงข้างเจ้าแห้วตามเดิม
“แกมันก็ดีแต่หลอกอัฐเด็ก”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทานก็ยังงั้นน่ะซิครับ เลี้ยงช้างรับประทานก็ต้องกินอุจจาระช้าง ถ้าไม่กินก็โง่เต็มทน นั่งเฉย ๆ
นะครับอย่ายุกยิกกวนใจผม รับประทานผมจะผูกซุงให้ ว้า....คุณนพเล่นเอาเท้าแหย่ก้นผมอีกแล้ว”
ลูกชายนิกรหัวเราะ
“ก็ก้นแกอยากไม่หลีกเท้าฉันทำ ไมล่ะ ฉันเมื่อยขานี่หว่า”
ไม่ถึง ๑๐ นาทีเจ้าแห้วก็ผูกซุงว่าวทุก ๆ ตัวที่ซื้อมาเสร็จเรียบร้อย สมนึกพาพรรคพวกเข้าไปในสนาม
หน้าตึก ยึดใต้ร่มเงาของต้นมะม่วงเป็นชัยภูมิสำ หรับเล่นว่าว เจ้าแห้วได้รับคำ สั่งให้นำ ว่าวจุฬาไปส่ง ขณะนี้ลม
กำ ลังพัดแรงตลอดเวลา
แล้วว่าวจุฬาตัวนั้นก็ขึ้นสู่ท้องฟ้า พนัสกับนพและดำ รงส่งเสียงเฮฮากันอย่างสนุกสนาน ว่าวจุฬาขนาด
ศอกเศษตัวนี้เขาผูกได้ส่วนดีมาก มันส่ายไปมาอยู่ในอากาศ สมนึกค่อย ๆ หย่อนสายป่านออกไป
ทันใดนั้นเอง เสียงแจ๋ว ๆ ของคุณหญิงวาดก็ดังขึ้นที่หน้าต่างตึกชั้นบน
“เฮ้ย....เลิก ๆ ๆ เดี๋ยวนี้ แดดออกเปรี้ยงอย่างนี้ออกไปเล่นว่าวได้หรือ เดี๋ยวก็ไม่สบายหร็อก อ้ายแห้วก็ไม่
ยักห้ามปล่อยให้เล่นอยู่ได้ เอาว่าวลงเดี๋ยวนี้เจ้านึก แหม แก ๔ คนนี่ทำ ไมถึงซนอย่างนี้นะ แน่ะ....บอกให้เอาว่าว
ลง”
สมนึกชักฉิวกระชากป่านให้ขาด แล้วปล่อยให้ว่าวจุฬาลอยไปตามยถากรรม
“อย่าเล่นมันเลยวะพวกเรา แก่ห้ามเสียจริงพับผ่า”
คุณหญิงวาดยกมือชี้หน้าลูกชายเสี่ยหงวน
“จองหองนักนะ อ้ายนึก ประเดี๋ยวเถอะมึงแม่จะลงไปตีกบาลให้แตกเชียว ถูกดุหน่อยเด็ดว่าวขาดลอย
เด็กเปรต”
สมนึกยกมือแหกตาแลบลิ้นหลอกคุณหญิงวาด
“เย้....เด็กเปรต”
คุณหญิงวาดอดหัวเราะไม่ได้ ท่านหลบหน้าเข้าไปเพื่อเล่นไพ่ของท่านซึ่งกำ ลังต่อสู้กันอย่างสนุกสนาน
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กินล้มบ่อย ๆ รวยกว่าเพื่อน
เจ้าแห้วจัดแจงเก็บว่าวและด้าย
“รับประทานขึ้นไปบนตึกเถอะครับ คุณหนู เดี๋ยวผมจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย นึกแล้วว่าท่านต้องเอ็ด
ตะโรเพราะแดดมันกำ ลังร้อนจัด รับประทานเอาไว้เย็น ๆ ค่อยเล่นเถอะครับ รับประทานไปช่วยผมทำ ป่านคมดี
กว่า ผมขโมยครกหินของยายอิ่มมาซ่อนไว้แล้ว” พูดจบเจ้าแห้วก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อแลเห็นเจ้าพนักงานตำ รวจใน
เครื่องแบบหลายคนพากันเดินเข้ามาในบ้าน โดยไม่สู้รีบร้อนอะไรนัก “โอ๊ะรับประทานโปลิศ”
พ่อหนูน้อยทั้ง ๔ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตามกัน นพกระซิบกระซาบบอกเจ้าแห้ว
“อย่าเอ็ดไป ตาแห้ว พวกเราโทรศัพท์ไปบอกตำ รวจให้มาจับไพ่ ประเดี๋ยวแกคอยดู วิ่งกันอกแตกเลย”
เจ้าแห้วอ้าปากหวอ
“ตายห่า ทำ ไมเล่นพิเรนอย่างนี้ล่ะครับ” แล้วเจ้าแห้วก็วิ่งตื๋อขึ้นไปบนตึก
ตำ รวจเข้าใจว่าเจ้าแห้วเป็นคนดูต้นทาง ก็พากันวิ่งตรงเข้ามาที่ตึกใหญ่ การจับไพ่เริ่มต้นแล้ว พวกตำ รวจ
บุกขึ้นมาบนตึกร้องตะโกนเรียกเจ้าแห้ว
“เฮ้....หยุด”
เจ้าแห้วหายอมหยุดไม่ เพราะความรักและเป็นห่วงเจ้านายของเขา เจ้าแห้ววิ่งกระหืดกระหอบขึ้นบันได
มาชั้นบน เจ้าพนักงานวิ่งตามขึ้นมาด้วย เจ้าแห้ววิ่งตื๋อเข้าไปในห้องนอนของท่านเจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ หยุดยืน
หายใจถี่เร็ว ใบหน้าซีดเผือด
คุณหญิงวาดเอ็ดตะโรลั่น
“อะไรวะอ้ายแห้ว วิ่งพรวดพราดเข้ามาทำ ไม ออกไปให้พ้น”
เจ้าแห้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“รับประทาน....โอย....พูดไม่ออก....รับประทานตำ ....ตำ ....ระ....รวจ ตำ รวจ....มะ....มะ....มาครับ”
ขาไพ่ตกตะลึงพรึงเพริด ไพ่หลุดจากมือไปตามกัน เจ้าพนักงานถลันเข้ามาในห้อง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เผ่น
พรวดลุกขึ้นยืน วิ่งมาที่หน้าต่างด้านหน้าตึก ปีนขึ้นไปนั่งบนขอบหน้าต่างแล้วก็ปีนกลับลงมา หันมายิ้มกับ ร.ต.
ท. ร่างสูงโปร่ง
“ไม่ไหวคุณ ขืนโดดลงไปคอหักตายแน่”
คุณหญิงวาดเป็นลมคอพับคออ่อน ล้มตัวลงนอนหนุนตักเจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ และหลับตาพริ้ม บริเวณที่
ท่านนั่งมีนํ้าไหลนองเพราะคุณหญิงได้รับความตระหนกตกใจจนเกินควร นันทา, ประไพ, และนวลลออหน้าซีด
เผือด ประภาคนเดียวที่นั่งอมยิ้ม เพราะหล่อนไม่ได้เล่นกับเขา เป็นแต่เพียงคนดูเท่านั้น
ร.ต.ท. วิศาลรู้ดีว่าบ่อนไพ่วงนี้เล่นกันสนุก ๆ ในหมู่ญาติมิตร และเป็นวงไพ่บรรดาศักดิ์ เขาจึงปฏิบัติการ
อย่างละมุนละม่อมที่สุด
“ผมขอเชิญทุก ๆ คนไปโรงพักครับ” รองสารวัตรพูดยิ้ม ๆ
เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ กลืนนํ้าลายติด ๆ กันหลายครั้ง
“หลานชาย เราเล่นกันแก้กลุ้มเท่านั้นเอง คุณอย่าจับเราเลยน่า ฉันคือพระยาประสิทธิ์นิติศาสตร์เจ้าของ
บ้านนี้เอง นี่เพื่อนของฉันพระยาปัจจนึก ฯ แล้วก็ยายนี่ที่นอนเยี่ยวราดอยู่นี่คือคุณหญิงวาดเมียของฉัน นั่นลูก
สะใภ้และหลานของฉัน เราเล่นกันตองละ ๑๐ สตางค์เท่านั้น”
รองสารวัตรอดหัวเราะไม่ได้ เขาบอกให้ตำ รวจเก็บของกลางมีไพ่ตอง ๑ สำ รับ เบี้ยจั่น และเงินสด
ประมาณ ๓๐ กว่าบาท พร้อมด้วยเสื่อจันทบุรีผืนใหญ่ใหม่เอี่ยม
“อย่างไรก็ตามครับใต้เท้า ผมต้องทำ งานตามหน้าที่เพราะการเล่นไพ่ผ่องผิดกฎหมาย ความจริงมันเป็น
เรื่องเล็กน้อยครับ แต่เมื่อมีคนโทรศัพท์ไปบอกผมก็ต้องพาตำ รวจมาจับ”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ฝืนหัวเราะ
“ไม่มีอะไรน่า คุณหลานชาย คุณพาลูกน้องกลับไปเสียเถอะ จับเอาเส้นใหญ่ ๆ เข้าคุณแย่นา”
ร.ต.ท. วิศาลอมยิ้ม
“จะเส้นใครก็ตามถ้าทำ ผิดกฎหมายละก้อ ผมจับทั้งนั้นแหละครับ ถ้าตำ รวจมัวแต่เกรงว่าผู้ที่ทำ ผิดเป็น
เส้นคนนั้นคนนี้เราก็ควรลาออกจากตำ รวจเสียดีกว่า”
“อือ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ คราง “คุณพูดเป็นคติดีมากหลานชาย อย่างนี้สิน่าถึงจะเรียกว่าผู้พิทักษ์สันติ
ราษฎร์ ไป....พวกเรา ไปเยี่ยมโรงพักปทุมวันกันหน่อย อย่างมากก็ถูกปรับคนละไม่กี่บาท เราเล่นกันมานานแล้ว
ให้เขาจับเสียบ้าง”
ประภาพูดเสริมขึ้น
“หนูไม่เกี่ยวนะคะคุณพ่อ หนูเป็นคนดู”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ชักฉิว
“เล่นเอาตัวรอดคนเดียวได้หรือวะ เมื่อตอนสายแกก็เล่น พอประไพเข้ามาแกก็ให้ประไพมันถือแทน ไป
โรงพักด้วยกันไม่ต้องพูดมาก” แล้วเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็หันมายิ้มกับนายตำ รวจ “คุณบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าใคร
เป็นคนโทรศัพท์ไปบอกว่าที่นี่มีการเล่นไพ่ ฉันอยากจะรู้ตัวเหลือเกิน”
รองสารวัตรตอบท่านอย่างนอบน้อม
“สิบเวรเขาเป็นคนรับสายครับ เขาบอกว่าเสียงที่พูดเป็นเสียงเด็กผู้ชาย และพูดมาจากบ้าน “พัชราภรณ์”
คือพูดจากที่นี่”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทำ ปากแบะยื่น ท่านโกรธจนตัวเนื้อสั่น
“อ้าย ๔ คนนี่เอง โธ่....อ้ายเด็กเปรต คิดทรยศต่อปู่ย่าตายายและแม่ ๆ ของมัน ว้า....ขายหน้าเขาจริงโว้ย
พรุ่งนี้พิมพ์ไทยคงลงข่าวเราแน่”
รองสารวัตรพูดตัดบท
“เชิญไปโรงพักเถอะครับ”
เจ้าคุณประสิทธิ์ ฯ ประคองคุณหญิงของท่านให้ลุกขึ้นนั่ง
“นี่....คุณหญิง เลิกเป็นลมเสียทีเถอะ ถึงเธอจะเป็นลมยังไงตำ รวจเขาก็ไม่เว้นให้”
คุณหญิงวาดมองดูนายตำ รวจหนุ่มอย่างเกรงกลัว แล้วท่านก็ยกมือไหว้
“เว้นดิฉันเสียคนได้ไหมคะ ดิฉันถูกจับมาหนหนึ่งแล้ว”
ร.ต.ท. วิศาลอดหัวเราะไม่ได้
“ไม่เป็นไรหร็อกครับคุณหญิง ถูกจับหนหนึ่งคราวนี้ศาลก็ปรับเป็น ๒ เท่า ไพ่ผ่องไม่ใช่ถั่วโปหร็อกครับ
เพียงแต่ปรับเงินเป็นพินัยหลวงเท่านั้น”
คุณหญิงวาดทำ ตาปริบ ๆ
“ถ้าเช่นนั้นคุณพาตำ รวจของคุณไปก่อนเถอะค่ะ ขอเวลาให้พวกเราแต่งตัวกันให้เรียบร้อยหน่อย อย่างช้า
อีก ๑๐ นาทีเราจะตามไป รับรองว่าไม่หลบหนีไปไหน”
รองสารวัตรว่า “ตามระเบียบตำ รวจต้องไปกับผู้ต้องหาครับ”
คุณหญิงวาดค้อนควับ
“แหม....คุณนี่แก่ระเบียบซะจริงเชียว” แล้วท่านก็หันมาพูดกับคณะพรรคของท่าน “ไป....พวกเรา ไปมัน
ยังงี้แหละ ซวยเหลือเกินเล่นมาตั้งสองสามเดือนไม่ถูกจับ ในที่สุดหอกของเราก็แทงตัวเราเอง อ้ายหนู ๔ คนทำ
ป่นดันโทรศัพท์ไปบอกตำ รวจมาจับได้”
ร.ต.ท. วิศาลหัวเราะหึ ๆ
“เชิญครับ อย่าให้พวกผมต้องเสียเวลาเลยครับ” พูดจบก็ยกมือจับแขนเจ้าแห้ว “ไป อ้ายน้องชาย ลื้อ
ต้องไปกับอั๊วด้วย”
เจ้าแห้วเย็นวาบไปหมดทั้งตัว
“รับประทานผมไม่ได้เล่นนี่ครับ ผู้หมวด แก่....จับซะเรื่อยเชียว”
รองสารวัตรหัวเราะ เขาเป็นนายตำ รวจที่ใจดีและมีอารมณ์ขันอยู่เสมอ
“ถูกละ ลื้อไม่ได้เล่นแต่ลื้อเป็นคนดูต้นทาง”
“ไม่ได้ดูครับ” เจ้าแห้วเถียง “รับประทานผมมีหน้าที่เลี้ยงเด็ก”
“ก็แล้วแกรีบวิ่งขึ้นมาบนตึกทำ ไม เมื่อแกแลเห็นฉัน”
“รับประทานวิ่งขึ้นมาบอกเจ้านายผมให้รู้ตัวน่ะซีครับ”
“นั่นแหละ คือคนดูต้นทางละ ไป น้องชาย”
เจ้าแห้วสั่นศีรษะ
“ผมไม่ไปละครับ ผมไม่ผิด น่า....ผู้หมวดน่า สงสารผมเถอะครับ”
ร.ต.ท. วิศาลล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบมิโดใหม่เอี่ยมออกมาขยับ
“ไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไปอั๊วจะได้ใส่กุญแจมือ”
เจ้าแห้วลืมตาโพลง
“ไปซีครับ ว้า ซวยตายโหงไม่ควรเสือกวิ่งขึ้นมาบนตึกเลย”
ครั้นแล้วเจ้าพนักงานตำ รวจก็นำ ผู้ต้องหารวม ๘ คนพร้อมด้วยของกลางออกไปจากห้อง ประไพร้องไห้
โฮ เมื่อคิดว่าหล่อนอาจจะถูกขังอยู่ที่โรงพัก
“ฮือ ฮือ บอกแล้วว่าไม่เล่นคุณพ่อก็คะยั้นคะยอให้เล่น เล่นแล้วก็เป็นยังงี้แหละ นึกเขม่นตาซ้ายมาตั้งแต่
เช้าแล้ว ฮือ ฮือ เมื่อคืนก็ฝันไม่ดี”
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ จุ๊ย์ปาก ยกมือตบหลังธิดาคนเล็กของท่าน
“ไม่เป็นไรน่า ทำ ใจเสาะไปได้ พ่อจะออกเงินค่าปรับให้เอง ไปถึงโรงพักเขาสอบสวนเสร็จเราก็ขอ
ประกันตัวกลับบ้าน คุณอุดมกับพ่อรู้จักกันดี” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หมายถึงสารวัตรรูปหล่อแห่งสถานีตำ รวจนคร
บาลปทุมวัน “นิ่ง ไม่ต้องร้องโว้ย อะไร้ โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังจะขี้แยอีก”
ประไพหัวเราะทั้งนํ้าตา
“ทำ ไมจะไม่ถึงคะ หมาฝรั่งยังไงล่ะ” หล่อนพูดพลางหัวเราะพลาง
ท่านเจ้าคุณยกมือเขกกบาลประไพดังโป๊ก
“นี่แน่ะ ทะลึ่งไม่ผิดผัวแกเลย”
พวกคนใช้ชายหญิงของบ้าน “พัชราภรณ์” ต่างตระหนกตกใจไปตามกันเมื่อทราบว่า เจ้านายของตนถูก
ตำ รวจจับไพ่ ทุกคนวางมือจากการงานวิ่งมายืนจับกลุ่มอยู่ที่หน้าตึกใหญ่ นพ, พนัส, สมนึกกับดำ รง ยืนอยู่ข้าง
บันไดหินอ่อน
ร.ต.ท. วิศาลกับตำ รวจในบังคับบัญชาของเขาพาผู้ต้องหาลงมาจากตึก พวกคนใช้ชายหญิงแลเห็นเข้าก็
ร้องไห้กันกระจองอแง คุณหญิงวาดเอ็ดตะโรคนของท่าน
“เฮ้ย เขาไม่ได้เอาไปบางเขนหร็อกเว้ย ร้องไห้หาตะหวักตะบวยอะไรกัน ผู้หมวดแกชวนเข้าไปเที่ยวโรง
พักปทุมวันเดี๋ยวเดียวเท่านั้น”
สมนึกโบกมือร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ
“วู้ปี ! สวัสดีครับคุณย่า”
ผู้ต้องหาทุกคนหันควับมามองดูพ่อหนูน้อยทั้ง ๔ ทันที เจ้าคุณปัจจนึก ฯ โกรธจนหน้าเขียว เดินปราด
เข้ามาหาหลาน ๆ ของท่าน
“อ้ายนพ บอกตาเดี๋ยวนี้ ใครเป็นคนโทรศัพท์ไปบอกตำ รวจให้มาจับพวกข้า”
ลูกชายนายนิกรเอียงคออมยิ้ม
“ผมบอกแล้วคุณตาอย่าทำ อะไรผมนะครับ”
“เออ บอกตาซินพ อ้ายหมาตัวไหนที่เล่นอุตริอย่างนี้”
นพหัวเราะ
“ผมเองครับ”
ท่านเจ้าคุณทำ คอย่น
“เด็กเปรต” ท่านตะโกนลั่น “เล่นยังงี้ใช้ได้รึ แล้วจะทำ อย่างไรกันนี่ ตำ รวจเขาจับตาไปแล้ว คุณปู่ คุณ
ย่า คุณแม่ของพวกแกโดนจับทั้งนั้น”
สมนึกหัวเราะคิก
“ผมเล่นกันสนุก ๆ อยากมาว่าพวกผมเล่นหนวกหูทำ ไมล่ะ ไปเถอะครับ ประเดี๋ยวผมจะตามไปประกัน
และจะซื้อของไปเยี่ยม”
คุณหญิงวาดยกมือชี้หน้า ๔ สหายอย่างเดือดดาล
“แก ๔ คนใช้ไม่ได้ คอยดูนะ ประเดี๋ยวย่ากลับมาจากโรงพักย่าจะเฆี่ยนให้หลังขาดทีเดียว ลูกระยำ เล่น
พิเรนไม่เข้าเรื่อง”
เจ้าพนักงานตาํ รวจพาผตู้ อ้ งหาเดนิ ออกไปจากบา้ น ‘พัชราภรณ’ เพื่อไปขึ้นรถสองแถวคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่
หน้าบ้าน พวกคนใช้ชายหญิงและพ่อหนูน้อยทั้ง ๔ คนเดินตามออกไปด้วย ที่หน้าถนนใหญ่มีประชาชนยืนจับ
กลุ่มมองดูนักเลงไพ่บรรดาศักดิ์อยู่หลายสิบคน ทำ ให้ผู้ต้องหาอับอายไปตามกัน
รถจี๊ปสีแดงของตำ รวจเคลื่อนออกจากที่แล้ว รถสองแถวติดตามไปในระยะกระชั้นชิด พ่อหนูน้อยทั้ง ๔
ต่างโบกมือกระโดดโลดเต้นร้องไชโยให้ผู้ต้องหา.

อวสาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น