วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คดีหลอกเด็ก

ฤดูร้อนอันอบอ้าวเป็นฤดูที่หนุ่มสาวนิยมแต่งงานกันหรือ เรียกว่า ฤดูแต่งงาน และเมื่อถึงฤดูฝน เจ้า
สาวทั้งหลายก็เริ่มตั้งไข่ล้มต้มไข่กินไปตามกัน พอสิ้นเหมันต์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็กลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ ทั้ง
สามีภริยาสดชื่นแจ่มใสมีชีวิตชีวาขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยนํ้ามันแต่งผมที่เขาประกาศขาย แต่แล้วในอนาคตข้าง
หน้าใครจะรู้ว่าคุณพ่อหรือคุณแม่ต้องวิ่งวุ่นอย่างที่เรียกว่าหน้าเท้าเป็นหลังเท้านอนเอามือก่ายหน้าผากหรือ
เอาของอื่นๆมาช่วยก่ายเพราะหาเงินให้ลูกเรียนหนังสือ
“เย็นวันนั้น เจ้าคุณปัจจนึกฯไปแต่งงานหลานสาวของเพื่อนท่านคนหนึ่งที่อาคารราชนาวีสโมสรท่า
ช้างวังหลวงและจะต้องไปรดนํ้าอวยพรคู่บ่าวสาวอีกคู่หนึ่ง ซึ่งคุณหญิงวาดเป็นเจ้าภาพที่สโมสรวัฒนธรรม
หญิงข้างสนามม้านางเลิ้ง รายนี้พลกับกิมหงวนมีส่วนช่วยเหลือด้วย เพราะเจ้าสาวเป็นพนักงานต้อนรับของ
โรงแรม “สี่สหาย” เป็นหญิงสาวที่ยากจนแต่มีความประพฤติดีมาก คุณหญิงวาดจึงรับเป็นเจ้าภาพให้ฝ่าย
เจ้าสาว อย่างไรก็ตาม นันทา,ประภา,นวลลออ และประไพ บังเอิญต้องไปในงานวันเกิดของเพื่อนคนหนึ่งที่
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจะต้องไปนอนค้างที่บ้านงาน จึงไม่สามารถจะไปรดนํ้าอวยพรคู่บ่าวสาวที่
คุณหญิงวาดเป็นเจ้าภาพฝ่ายเจ้าสาวเพียงแต่ฝากของขวัญอันมีค่าไปให้คนละชิ้น โดยเฉพาะนวลลออให้โทร
ทัศน์ขนาด ๒๑ นิ้วหนึ่งเครื่อง
บ้าน “พัชราภรณ” คงเหลือศาสตราจารย์ดิเรกเพียงคนเดียวซึ่งเขามีงานสาํ คัญเกี่ยวกับวิจัยแก๊สทาํ ลาย
ระบบประสาทชนิดหนึ่งเพื่อสร้างไว้ให้ทหารใช้ปราบจลาจลหรือสู้รบกับข้าศึก
รถเก๋งหลายคันที่โรงรถอันกว้างใหญ่หายไปหมด คงเหลือเบนซ์เก๋ง๒๒๐ เอส ของนายพลดิเรก
เพียงคันเดียว
ขณะนั้นเป็นเวลา ๑๖.๒๐ น. อาเสี่ยกิมหงวนแต่งสากลชุดสีขาวผูกเน็คไทดำ ติดแขนทุกข์นั่งอยู่ใน
รถเบนซ์คันนี้ประจาํ ที่คนขับโดยมีเด็กหนุ่มคนดูแลทาํ ความสะอาดรถคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขากาํ ลังจะไปงาน
เผาศพนักธุรกิจคนหนึ่งที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาสแล้วจะมาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวไปรับประทาน
อาหารคํ่าที่โรงแรม “สี่สหาย” เนื่องในงานมงคลสมรสของบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งกับกัลยาสาวสวยพนนักงาน
ต้อนรับของโรงแรม
เสี่ยหงวนพยายามสต๊าทเครื่องยนต์อยู่เกือบ ๕ นาที เครื่องยนต์ก็ไม่ยอมทำ งาน เขาจึงให้เด็กหนุ่ม
ชาวอีสานขึ้นไปเชิญศาสตราจารย์ดิเรกมาที่โรงรถ
“ฮัลโหลว่ายังไงโว้ย” นายพลดิเรกพูดยิ้มๆ เมื่อเขาเดินเข้ามาในโรงเก็บรถยนต์ของบ้าน “พัชรา
ภรณ์” “สต๊าทไม่ติดหรือ”
“เออ ช่วยดูหน่อยเถอะวะ ทำ ไมเครื่องยนต์ไม่ติด”
นายพลดิเรกชะโงกหน้าเข้ามาในรถแล้วหัวเราะเบาๆ
“ซอรี่ ขอโทษทีว่ะ กันลืมบอกแกไปว่ากันทำ สวิตช์ไฟพิเศษไว้ใต้ที่นั่งคนขับ แกคลำ ดูเถอะ แล้วก็
กดปุ่มมันลงไป เท่านี้พอแกบิดกุญแจสวิตช์ไฟเครื่อง เครื่องยนต์มันก็จะทำ งานทันที กันทำ ไว้ก็เพื่อป้องกัน
พวกหัวขโมยขโมยรถ”
อาเสี่ยถอนหายใจหนักๆ
“รถของแกคล้ายกับรถของเจมส์ บอนด์โว้ย แผงสวิตช์ไฟตั้งเยอะแยะ ข้างล่างทางซ้ายพวงมาลัยนี่
น่ะอะไรบ้างวะ”
ศาสตราจารย์ดิเรกหัวเราะเบาๆเอื้อมมือเข้าไปในรถกดปุ่มสองสามอันที่แผงนั้นแล้วกล่าวว่า
“ไม่มีอะไรหรอกอ้ายหงวนกันทำ ติดไว้โก้ๆอย่างนั้นเอง เพื่อให้สมกับที่กันเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่ง
ใหญ่ แต่ว่า...แกอย่าไปแตะต้องมันเลย ดีไม่ดีอาจจะเกิดระเบิดตูมตามขึ้นรถพังไปทั้งคันหรือมิฉะนั้นก็อาจ
จะมีกระสุนปืนพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนถูกหัวแกทะลุ”
เสี่ยหงวนทำ ตาปริบๆ
“ว้า-ถ้ายังงั้นกันไปรถแท็กซี่ดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของกัน”
นายพลดิเรกหัวเราะก้าก ยกมือตบบ่ากิมหงวนพลางพูดเสียงหัวเราะ
“อย่าปอดลอยไปหน่อยเลยวะ รีบไปเถอะ ในราว ๑๘.๐๐ น. กันจะแต่งตัวไว้คอยแกไปงานแต่งของ
คุณกัลยาเด็กของเรา อ้าว-เฮ้ย ไหงแกติดทุกข์แขนขวาล่ะ”
อาเสี่ยสะดุ้งเฮือกก้มลงมองดูแขนเสื้อข้างขวาของเขา พอแลเห็นแขนทุกข์ติดอยู่ก็ใจหาย
“ฮึ ดูเถอะวะ เมียกันทำ กันได้ลงคอ นี่พอลงจากรถ เดินไปที่ศาลาต้อนรับแขก ใครต่อใครเขาก็คง
เห็นกันเป็นตัวตลกแน่นอน น่าคบเหลือเกิน พับผ่า”
เสี่ยหงวนเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ ขอร้องให้ศาสตราจารย์ดิเรกถอดแขนทุกข์และติดให้เขาใหม 
เสร็จแล้วกิมหงวนก็ขึ้นไปนั่งประจำ ที่คนขับตามเดิม นายพลดิเรกช่วยปิดประตูให้ เสี่ยหงวนยกมือขวาคลำ
สวิตช์พิเศษใต้เบาะที่นั่งพอพบมันก็กดปุ่มลงไป ต่อจากนั้นเขาก็บิดกุญแจไฟเครื่องยนต์ ซึ่งคราวนนี้เครื่อง
ยนต์ติดขึ้นทันที
แล้วมหาเศรษฐีผู้รำ่รวยอย่างมหาศาลก็ขับรถเก๋งของดร.ดิเรกคลานออกจากโรงรถ เลี้ยวขวามือออก
ไปจากบ้าน “พัชราภรณ์”
อาเสี่ยหารู้ไม่ว่าดัทสันป้ายเหลืองคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ข้างบ้าน “พัชราภรณ์” ริมถนนสุขุมวิทได้ติด
ตามเบนซ์ เอส๒๒๐ ไปทันที ผู้โดยสารสองคนคนหนึ่งเป็นหนุ่มใหญ่วัย ๓๐ เศษ ใบหน้าบอกให้รู้ว่าเป็นนัก
เลงอันธพาล ไว้หนวดเส้นเล็กๆและสวมแว่นดำ อีกคนหนึ่งเป็นจิ๊กกี๋เด็กสาวในวัยรุ่นที่เรียกว่ากำ ลังขบเผาะ
หรือหรือขบดังเป๊าะ แต่ความจริงขบไม่ดังเสียแล้ว เพราะเด็กสาวคนนี้อุตริริอ่านมีผัวตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๑๓
ขวบ คือเป็นเมียของเจ้าหนุ่มนักเลวผู้นี้และสมคบกับสามีของหล่อนวางแผนต้มเสี่ยหงวนเพื่อหวังเงินล้าน
เจ้าหนุ่มปากหนวดคนนี้ชื่อยุทธ เยียระยับ ตั้งตัวเป็นนักเลงใหญ่ในย่านบางกะปิและเป็นหัวหน้าจิ๊ก
โก๋ในถิ่นนี้ แม้กระทั่งคนขับรถแท็กซี่วัยเบญจเพสก็เป็นสมุนของเขา ซึ่งยุทธใช้รถดัทสันคันนี้เป็นประจำ
เสมอ
แผนการต้มมหาเศรษฐีกิมหงวนได้เกิดขึ้นแก่ยุทธหลังจากที่หนุ่มสังคมชื่อดังคนหนึ่งตกเป็นผู้ต้อง
หาของตำ รวจในคดีข่มขืนเด็กสาวอายุตำ่กว่า ๑๓ปี ซึ่งคดีนี้เป็นคดีครึกโครมมาก หนังสือพิมพ์รายวันทุก
ฉบับต่างเสนอข่าวติดต่อกันมาเป็นเวลาร่วมเดือนแล้ว ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรนั้นย่อมอยู่ในดุลพินิจของ
ศาลแต่ประชาชนทั่วทุกมุมเมืองสนใจมากทั้งนี้เพราะผู้ต้องหาเป็นปัญญาชน เป็นผู้มีเกียรติ และเจ้าทุกข์เป็น
เด็กนักเรียนที่ควรได้รับความเมตตาสงสาร
ยุทธ เยียระยับ ชะโงกหน้ากล่าวกับคนขับรถสมุนคนสนิทของเขา
“อย่าให้กระชั้นนักโว้ยอ้ายเล็ก ห่างกว่านี้หน่อย ใกล้นักเสี่ยหงวนมองเห็นในกระจกหลังแกจะเกิด
สงสัยขึ้นมา แต่ระวังอย่าให้คลาดสายตานะเมื่อถึงทางแยก กูรับรองว่าถ้าแผนการของกูสำ เร็จกูจ่ายให้มึงห้า
หมื่น ดัทสันคันนี้ที่มึงยังใช้ผ่อนเขาอยู่จะได้เป็นสิทธิ์ของมึง”
เจ้าเล็กยิ้มเล็กน้อย
“แหม-พี่พูดกับผมให้เพราะหูสักหน่อยก็ไม่ได้ พูดมึงพูดกูใช้ภาษาไทยโบราณฟังแล้วมันยังไงชอบ
กล”
“อ้าว-ก็กูเป็นกุ๊ย เป็นนักเลงอันธพาล มึงจะให้กูพูดเพราะเหมือนอย่างพวกสุภาพชนเขาอย่างไรกัน
กูมึงน่ะ ไม่ใช่คำ หยาบคายนะโว้ย พระร่วง ขุนรามคำ แหงยังพูดกูนี่หว่า มึงเคยอ่านคำ ศิลาจารึกหรือเปล่า”
“ปู้โธ่ ผมมันเรียนแค่ประถมสองวัดราษฎร์ลิงจ๋อเท่านั้น”
จิ๊กกี๋วัยรุ่นพูดกับสามีของหล่อนเบาๆ
“หนูชักใจไม่ดีเสียแล้วซีพี่ยุทธ ถ้าแผนการของพี่ไม่เป็นผล หนูจะทำ ยังไง” แล้วหล่อนก็ชะโงกหน้า
ถ่มนํ้าลายออกไปนอกรถ
“น่า- ใจเย็นๆน่าทรามวัย ทำ ตามที่พี่สั่งก็แล้วกัน นี่เราก็ยังไม่รู้ว่าอาเสี่ยจะไปเผาศพใครที่วัดไหน
แต่เราจะต้องติดตามไปให้ถึงที่ หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของหนู เชื่อพี่เถอะนะจ๊ะคนดี ธรรมดาโคแก่ก็ต้อง
ชอบหญ้าอ่อนด้วยกันทั้งนั้น”
“แต่โคแก่บางตัวชอบกินฟางหรือหญ้าแก่ก็มีนี่คะ”
ยุทธหัวเราะเบาๆ
“พี่สืบมาเรียบร้อยแล้ว อาเสี่ยกิมหงวนคนนี้แกเป็นคนชีกอชอบเด็กสาวๆ หนูต้องทำ เพื่ออนาคต
ของเรา ถ้าเราได้เงินหนึ่งล้านจากเสี่ยกิมหงวนเราก็จะสุขสบายไปตลอดชีวิต” พูดจบเขาก็ยกมือเขกกบาล
คนขับรถดังโป๊ก “ฟังอะไรล่ะ”
“ก็อยากรู้เรื่องบ้างน่ะซีครับ พี่ได้ล้านบาทให้ผมห้าหมื่น ยุติธรรมแล้วหรือพี่ยุทธ”
เจ้ายุทธลืมตาโพลง
“มึงได้ตั้ง ๕ เปอร์เซ็นต์ จะเอายังไงอีกวะ คนอย่างกูไม่เคยเอาเปรียบลูกน้องโว้ย แต่ลูกน้องจะรู้
มาก เอาเปรียบกูกูก็ไม่ยอมเหมือนกัน มึงจะเอาห้าหมื่นหรือจะเอาลูกปืนก็ตามใจ”
“โธ่- พี่ยุทธก้อ... พูดกันดีๆก็ได้นี่นะ”
อาเสี่ยกิมหงวนไม่มีโอกาสที่จะทราบได้เลยว่า เขาถูกติดตามโดยรถดัทสันป้ายเหลืองจนกระทั่งมา
ถึงสุสานหลวงวัดเทพศิริทราวาส
งานฌาปณกิจศพนายไล่เต้ก แซ่ปิ้ง นักธุรกิจลูกจีนมีแขกผู้มีเกียรติมาประชุมเพลิงล้นหลาม ส่วน
มากเป็นพวกพ่อค้าด้วยกัน ประกอบทั้งวันนี้เป็นวันเสาร์หยุดงาน บรรดาเสมียน-พนักงานของนายไล่เต้ก
ต่างมาเผาศพนายจ้างของเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ท่านนายพลตำ รวจโทในเครื่องแบบสีขาวคนหนึ่งได้ขึ้นถวายผ้าไตรแก่พระภิกษุสงฆ์เป็นคนแรก
ต่อจากนั้น เจ้าภาพ คือ ภริยาของผู้ตายก็เชิญ พ.อ.กิมหงวนขึ้นถวายผ้าไตรเป็นคนที่สอง และนักธุรกิจอาวุโส
คนหนึ่งเป็นคนสุดท้าย หลังจากนั้นเสียงปี่พาทย์นางหงส์ หรือที่เรียกกันว่าปี่พาทย์มอญดังกังวานเยือกเย็น
เริ่มเผาศพเสียงดัง เท่งทึงๆๆๆ ทำ ให้ผู้ที่ไปเผาศพหนาวๆร้อนๆ ไปตามกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะ
ถูกประโคมเท่งทึงอย่างนี้บ้าง
กว่าแขกจะขึ้นเผาศพเสร็จก็ราว ๑๗.๓๐ น. เศษ เสี่ยหงวนไม่กล้าลากลับง่ายๆ เพราะเขาคุ้นเคยกับ
ครอบครัวของผู้ตาย เขาลากลับก่อนเวลา ๑๘.๐๐ น. เล็กน้อย อ้างกับเจ้าภาพว่าเขาจำ เป็นต้องไปในงานเลี้ยง
อาหารคำ่คู่บ่าวสาวที่โรงแรม “สี่สหาย” ซึ่งเจ้าสาวเป็นคนในบังคับบัญชาของเขา
อาเสี่ยกิมหงวนถือหนังสือแจกงานศพเล่มหนึ่งเดินตรงไปที่รถเบนซ์ ๒๒๐ เอส ซึ่งจอดอยู่ริมรั้วใกล้
พลับพลาอิสริยาภรณ์ เขาเปิดประตูตอนหน้ารถก้าวขึ้นนั่งประจำ ที่คนขับ และนึกเสียใจที่ภริยาของผู้ตายพ้อ
เขาว่าเขาควรจะแต่งเครื่องแบบพันเอกมาเผาศพสามีของหล่อน อย่างไรก็ตามอาเสี่ยได้ช่วยเงินศพไป
๕,๐๐๐ บาทแล้ว เมื่อคืนที่แล้วมาตอนที่เขาไปเยี่ยมศพที่บ้านซึ่งมีสวดพระอภิธรรมก่อนจะนำ ศพมาวัด
เสี่ยหงวนเปิดไฟเครื่องยนต์บังคับเบนซ์ ๒๒๐ เอส. คลานออกจากที่จอดของมันแล่นออกไปทาง
ประตูสุสานด้านถนนพลับพลาไชย เขาหารู้ไม่ว่าจิ๊กกี๋สาวนั่งหมอบคู้ตัวอยู่ตอนหลังรถ จนกระทั่งรถแล่นมา
ถึงถนนพลับพลาไชยเลี้ยวขวามือไปตามถนนบำ รุงเมืองตรงไปสะพานกษัตริย์ศึก อาเสี่ยก็สะดุ้งเฮือกสุดตัว
เขามองเห็นทรามวัยแล้วจากกระจกมองหลังนั่นเอง ตอนแรกคิดว่าตาฝาดจึงเบือนหน้าไปทางอื่น
ครั้นมองดูอีกทีก็แลเห็นใบหน้าอันสวยและมีเสน่ห์หยาดเยิ้มของเด็กสาวอีก เสี่ยหงวนก็ตกใจบังคับรถให้
หยุดชิดขอบซ้ายของถนน แล้วหันมามองดูสาววัยรุ่นด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจเหลือที่จะกล่าว
“หมายความว่าอย่างไรกันแม่คุณ หนูติดรถฉันมาได้อย่างไร”
ทรามวัยเริ่มบทบาทละครนอกเวทีด้วยการร้องไห้กระซิกๆ
“หนูนั่งมาจากวัดที่คุณน้าไปเผาศพค่ะ”
เสี่ยหงวนลืมตาโพลง
“มาจากวัดเทพ...”
“ค่ะ หนูแอบซ่อนตัวอยู่ข้างล่างนี่ค่ะ จนกระทั่งคุณน้ามาขึ้นรถและขับออกจากวัด”
อาเสี่ยถอนหายใจหนักๆ เขายอมรับว่าเด็กสาวคนนี้สวยและน่ารักมาก ซึ่งเขาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสาว
ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ก็นึกสงสัยเหมือนกันที่หล่อนสวมกางเกงฟิตเปรียะทรงเย้ยฟ้าท้าดิน และสวมเชิ้ท
แพรสีแดงสดสะดุดตา
“เนื่องในงานอะไรหรือด้วยเหตุผลกลใด มีความประสงค์หรือเจตนาอะไรที่หนูเล่นตลกกับฉันอย่าง
นี้ มีอะไรก็พูดกัน ไม่ต้องหัวเราะ”
ทรามวัยจอมจิ๊กกี๋สะอื้น
“หนูร้องไห้นะคะคุณน้าไม่ได้หัวเราะ”
“งั้นเรอะ คนสวยนี่เวลาร้องไห้ดูใบหน้าก็เหมือนหัวเราะแฮะ หนูสวยมากทีเดียว แต่ไหงขึ้นมาอยู่
บนรถฉัน นี่ไม่ใช่รถแท็กซี่นะแม่คุณ”
“หนูทราบค่ะ” หล่อนพูดเสียงเครือแล้วยกหลังมือเช็ดนำ้ตา หนูไม่ทราบว่าจะไปที่ไหนนี่คะ ขืน
กระเซอะกระเซิงไป หนูก็คงจะตกเป็นเหยื่อของผู้ชายใจร้ายเท่านั้น”
อาเสี่ยเค้นหัวเราะ
“ไม่เพียงแต่ผู้ชายใจร้าย ผู้ชายใจดี หน้าตาดีๆอย่างฉัน หนูก็ตกเป็นเหยื่อได้เหมือนกัน”
รถเก๋งคันหนึ่งแล่นผ่านมา สุภาพบุรุษเจ้าของรถซึ่งทำ หน้าที่เป็นคนขับได้โผล่หน้าออกมาร้อง
ตะโกนว่ากิมหงวนอย่างเดือดดาล
“อย่าหลอกเด็กโว้ยอ้ายตาลยอดด้วน”
เสี่ยหงวนร้องตะโกนตอบทันที
“มึงน่ะซี” แล้วเขาก็หันมาทางเด็กสาว “เห็นไหมล่ะ หนูทำ ให้คนเข้าใจผิดคิดว่าฉันจะทำ ยังไงๆกับ
หนู ขึ้นมานั่งหน้ารถเถอะ ฉันจะพาไปส่งบ้าน ว้า- ไม่น่าจะมายุ่งกับฉันเลย นี่ถ้าบังเอิญเมียฉันนั่งรถผ่านมา
พบเข้าฉันก็บรรลัยเท่านั้นเอง มาซี...เปิดประตูด้านซ้ายออกแล้วมานั่งข้างหน้า”
ทรามวัยเลื่อนตัวมาชิดด้านซ้ายของรถแล้วเปิดประตูพาตัวลงมาจากรถหันไปปิดประตูไว้ตามเดิม
เลื่อนตัวมาที่ประตูบานซ้ายตอนหน้ารถ เปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่ง ใครคนหนึ่งซึ่งเป็นสุภาพบุรุษและเป็นพล
เมืองดีเดินผ่านมาเห็นเข้าก็หยุดชะงักมองดูจิ๊กกี๋ทรงเสน่ห์ด้วยความสนใจ แล้วเขาก็ถามเสี่ยหงวน
“เด็กมันยังเล็กนะครับ คุณทำ อะไรเด็กคนนี้น่ะ”
“ปู้โธ่” เสี่ยหงวนเอ็ดตะโรลั่น
“คุณถามเด็กดูซิว่าผมทำ อะไร แล้วกัน...ประเดี๋ยวผมก็ยัวะขึ้นมาเท่านั้นเอง เห็นผมเป็นอ้ายตาลยอด
ด้วนไปได้”
สุภาพบุรุษผู้นั้นหัวเราะหึๆ
“รถเก๋งสวยๆยังงี้ล่ะก้อ ไว้ใจไม่ใคร่ได้ เด็กผู้หญิงก็ชอบนั่งเสียด้วย”
เสี่ยหงวนจุปากแล้วยกมือชี้หน้าชายผู้นั้น
“ประเดี๋ยวตายทั้งกลม พับผ่า”
อาเสี่ยนำ รถเบนซ์ออกแล่นต่อไป เขาแสดงท่าทีอึดอัดใจมากที่เด็กสาวนั่งอยู่ในรถเขาตามลำ พัง ที่
เรียกให้มานั่งข้างหน้าก็เพื่อจะสัมภาษณ์
“บอกฉันซิ หนูชื่ออะไร”
“ทรามวัยค่ะ”
“ทรามวัยเรอะ เพราะดีนี่ หนูยังเป็นนักเรียนใช่ไหม”
“ค่ะ หนูเพิ่งสอบได้ ป.๗ ค่ะคุณน้า”
“อายุเท่าไหร่”
หล่อนยิ้มทั้งนํ้าตา
“ไม่ต้องกลัวค่ะคุณน้า หนูอายุ๑๔ แล้ว”
“แล้วกัน ที่ถามน่ะ ไม่ได้มีเจตนาอะไรหรอก อ้า- บ้านหนูอยู่ที่ไหน น้าจะพาหนูไปส่งเดี๋ยวนี้แหละ”
ทรามวัยสั่นศีรษะแล้วสะอื้นดังๆ
“หนูไม่มีบ้าน ไม่มีที่อยู่หรอกค่ะ พ่อแม่หนูก็ไม่มี หนูเกิดผิดใจกับพี่สะใภ้เขาค่ะ เขาเกลียดหนูเพราะ
พี่ชายหนูเขารักและสงสารหนู เขาก็หาเรื่องด่าว่าหนูต่างๆนานา พี่หนูไม่รู้อะไรก็เลยไล่หนูออกจากบ้านค่ะ”
อาเสี่ยลืมตาโพลง เขาหยุดพูดชั่วขณะเมื่อรถผ่านสี่แยกโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมเขตร์และขึ้นไปสู่
ความลาดของสะพานกษัตริย์ศึก
“หนูถูกไล่ออกจากบ้าน”
“ค่ะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อวานนี้ค่ะ คุณน้า”
“แย่จริง ญาติพี่น้องของหนูไม่มีหรือ”
“ไม่มีหรอกค่ะ เสื้อผ้าของหนูแม้แต่ชิ้นเดียว พี่ชายหนูก็ไม่ยอมให้เอามา”
“แปลว่าหนูต้องแก้ผ้าออกจากบ้าน”
“เปล่าค่ะ มีมาชุดนี้เท่านั้น ใครไม่รู้ก็นึกว่าหนูเป็นจิ๊กกี๋ค่ะ”
คราวนี้เสี่ยหงวนหันมามองดูหล่อนด้วยความเวทนาสงสาร
“แล้วเมื่อคืนที่แล้วมาหนูไปนอนที่ไหนล่ะ”
“ไม่ได้นอนหรอกค่ะ หนูเดินไปจนทั่วกรุงเทพฯ ถ้าเมื่อยก็หาที่นั่งพัก ข้าวสักเม็ดก็ยังไม่ได้รับ
ประทาน หนูไม่มีสตางค์ติดตัวมาเลยค่ะ คุณน้าขา หนูหิวข้าวจนแทบจะเป็นลมตายแล้ว”
“ว้า...เรื่องนี้เศร้าตายโหง เหมือนกับเรื่องชีวิตอันแสนเศร้าเคล้านํ้าตาคลุกนำ้ลาย น้าจะพาหนูไปหา
ข้าวกินเดี๋ยวนี้ แล้วจะพาหนูไปอยู่ที่บ้าน พี่ชายหนูไม่น่าจะใจร้ายอย่างนี้เลย”
หล่อนแกล้งบีบนำ้ตาร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เขารักเมียของเขานี่คะ หนูมีพี่ชายอยู่อีกคนหนึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันหนูก็ไม่กล้าไปอยู่กับเขา
เพราะเขาเจ้าชู้เสือผู้หญิงค่ะ”
“ก็ช่างเขาปะไรล่ะ หนูควรจะไปอยู่กับเขาดีกว่า จะได้ปลอดภัยมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง”
“ไม่ค่ะ หนูกลัวเขาปลํ้าหนู”
คราวนี้อาเสี่ยพูดเสียงดังลั่นรถ
“ปลำ้ก็ปลำ้กับมันซี จะกลัวอะไร เราก็มีมือมีตีนเหมือนกัน อ้า-เขาเป็นนักยูโดหรือนักมวยปลํ้า”
“เปล่าค่ะ แต่เขาเป็นนักล่าผู้หญิง”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว นึกว่าเขาเป็นนักมวยปลำ้หรือนักยูโด ชอบเล่นมวยปลำ้กับคนโน้นคนนี้ เอาล่ะ...ใน
ฐานะที่น้าเป็นเพื่อนร่วมชาติของหนูและเป็นผู้ที่มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์ น้าจะให้ความช่วยเหลือหนูเอง”
หล่อนกราบลงบนบ่าของอาเสี่ย
“หนูกราบขอบพระคุณค่ะ คุณน้าขา...หนูอยากมีผัวค่ะ หนูจะได้เป็นผู้ใหญ่เสียที”
“อ้าว ไหงคิดสั้นยังงี้ล่ะหลานสาว ผัวเดี๋ยวนี้มันหาง่ายอยู่หรือ ถูกละผู้ชายมีเยอะแยะ แต่ที่เขาจะ
เลี้ยงเรารักใคร่เราตลอดรอดฝั่งไปน่ะมันหายาก มีแต่หลอกกินฟรี ชมเล่นแล้วก็ทิ้งขว้าง”
“คุณน้าเลี้ยงหนูเป็นเมียสักคนไม่ได้หรือคะ”
อาเสี่ยกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“น้ามันแก่เลี้ยวหลานสาว ฐานะก็ไม่ดีพอที่จะมีเมียเด็กๆ รถยนตร์คันนี้ไม่ใช่ของน้าหรอกนะ น้าขอ
ยืมเพื่อนเขามาน่ะ รถของน้าเบนซ์เหมือนกันแต่มันเบนซ์เบนซินนั่งและยืนเบียดเสียดกันได้ราว ๖๐ คน เสีย
ค่าโดยสารคนละ ๕๐ สตางค์ตลอดสาย”
เสี่ยหงวนของเรานึกพอใจในเรือนร่างขนาด ๓๔-๒๒-๓๔ และใบหน้าอันสวยพริ้งของเด็กสาวผู้นี้
ไม่น้อย แต่เขาไม่ได้คิดมากมายไปกว่านี้ เพราะหล่อนเป็นเด็กคราวลูกหลานของเขานั่นเอง จริงอยู่เมื่อก่อน
นี้อาเสี่ยชอบขบเผาะขนาด ๑๔ กว่าๆ ๑๕ หยอ่ นๆ แตพ่ ออายมุ ากเขา้ เขากลบั ชอบผหู้ ญงิ ทมี่ อี ายรุ นุ่ ราวคราว
เดียวกับเขา เพราะเขาได้เรียนรู้ความจริงจากบทเรียนด้วยของจริงว่า ผู้หญิงที่มีอายุหรือผู้หญิงแก่ให้ความสุข
สดชื่นดีกว่าเด็กสาวๆมากมายนัก
เขาพาทรามวัยไปรับประทานอาหารคำ่ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งทางสนามมวยลุมพินี เขาถูกใครต่อใคร
มองดูเขาด้วยสายตาดูหมิ่นเหยียดหยาม คนเหล่านี้ต่างเข้าใจผิดคิดว่าเขาคิดทำ ลายเด็กสาวคนนี้ เสี่ยหงวนมัว
แต่ยุ่งกับทรามวัยจึงไม่ได้ไปในงานกินเลี้ยงของคู่บ่าวสาวที่โรงแรม “สี่สหาย”
จนกระทั่ง ๑๙.๐๐ น.
เบนซ์เก๋งพาเสี่ยหงวนกับทรามวัยจอมจิ๊กกี๋ออกมาจากภัตตาคารนั้นแล่นย้อนมาทางสี่แยกถนนวิทยุ
“กินอิ่มไหมหนู” เสี่ยหงวนถามหล่อนอย่างกันเอง
“อิ่มค่ะ หนูคงรับประทานมูมมามไปหน่อยเพราะหนูหิวมาก หนูขอบพระคุณนะคะที่คุณน้าเมตตา
หนูมากมายเช่นนี้ อ้า-คุณน้ากำ ลังจะพาหนูไปโรงแรมใช่ไหมคะ”
เสี่ยหงวนสะดุ้งเหมือนถูกเข็มแทง
“เข้าใจเสียใหม่หลานสาว น้าเป็นผู้มีเกียรติ เป็นนักธุรกิจชั้นนำ และเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ การ
หลอกลวงทำ ลายเด็กสาวอย่างหนูไม่ใช่วิสัยของสุภาพบุรุษอย่างน้า”
“แต่หนูอยากเห็นโรงแรมสวยๆอย่างโรงแรมเอราวัณจังค่ะ หนูอยากไปนอนที่นั่นสักคืนหนึ่ง”
“จะดีรื้อ”
อาเสี่ยพูดเสียงแหลม
เบนซ์เก๋งมาถึงสี่แยกถนนวิทยุแล้ว ทรามวัยขอร้องให้อาเสี่ยนำ รถเข้าไปในบริเวณสวนลุมพินี
ปรารภว่าอยากจะนั่งตากลมเล่นให้เย็นใจสักครู่ อาเสี่ยบอกตัวเองว่าเด็กสาวคนนี้สงสัยจะเป็นจิ๊กกี๋หรือชั้น
สูงเพราะรู้สึกว่าให้ท่าให้ทางเขาตลอดเวลา เขาอนุโลมตามใจหล่อนโดยไม่ได้คิดอะไร
ในที่สุดเบนซ์เก๋งคันนั้นก็แล่นมาจอดในที่มืดและเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เขากับหล่อนนั่งสนทนากัน
เงียบๆ ทรามวัยเลื่อนตัวเข้ามานั่งเบียดเสียดเขา แล้วยกมือทั้งสองโอบรอบคอเขา
“คุณน้าของหนู ใจดี๊ ใจดี หนูรักคุณน้าจังค่ะ หนูอยากอยู่ใกล้ๆคุณน้าอย่างนี้ คุณน้าเลี้ยงหนูเป็นอนุ
สักคนได้ไหมคะ”
อาเสี่ยรีบแกะมือหล่อนออกทันที
“เอ- ทำ ไมมายั่วน้าอย่างนี้ล่ะ นี่ถ้าเป็นคนอื่นหนูบรรลัยนะจะบอกให้ ถ้าจะไม่ดีเสียแล้วแฮะ หนูลง
จากรถเถอะ หนูจะไปไหนก็ไป น้าจะให้เงินหนูใช้สัก ๕๐๐ บาท สงสัยว่าหนูไม่สบายแน่ๆ”
หล่อนฉีกเสื้อเชิ้ทแพรของหล่อนเสียงดังคว่าก แล้วหล่อนก็โถมตัวเข้ากอดปลํ้าเสี่ยหงวนปากก็ร้อง
ตะโกนลั่น
“ช่วยด้วยตำ รวจ ตำ รวจช่วยด้วย”
เสียงของหล่อนดังไปไกลมาก ตำ รวจสายตรวจของสถานีลุมพินีสามคนซึ่งมาคอยตะครุบพวกนักจี้
นักไชหรือนักฉุดคร่าผู้หญิงเดินผ่านมาพอดี นายร้อยรองสารวัตรพาพลตำ รวจในบังคับบัญชาของเขาทั้ง
สองคนวิ่งมาที่รถเบนซ์เก๋ง๒๒๐ เอส. และแล้วเมื่อมาถึงรถและตำ รวจคนหนึ่งฉายไฟเข้าไปในรถตำ รวจทั้ง
สามคนก็แลเห็นเสี่ยหงวน นั่งตะลึงลืมตาโพลง ส่วนจิ๊กกี๋สาวเสื้อขาดวิ่นผมเผ้ายุ่งเหยิงแกล้งทำ เป็นตัวสั่น
งันงกยกมือทั้งสองปิดหน้าอก
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยหนูด้วยคุณตำ รวจ”
กิมหงวนรู้แล้วว่าหล่อนคือจิ๊กกี๋สาวที่มีแผนการเล่นงานเขา
“ตลกสิ้นดีทีเดียว” อาเสี่ยแผดเสียงลั่น “เด็กวานซืนนี้แท้ๆคิดแบล็คเมล์ฉัน” แล้วเขาก็หันมาทาง
นายตำ รวจหนุ่ม “ผมคือพันเอกกิมหงวน ไทยแท้ นายทหารพิเศษของกองทัพบกซึ่งผู้หมวดคงจะรู้จักชื่อ
เสียงผมดี”
รองสารวัตรมองดูกิมหงวนอย่างตื่นๆ
“ท่านคือพันเอกกิมหงวน...”
“ใช่”
“ใช่ก็ต้องไปโรงพักครับ”
“อ้าว ใช่ไหงต้องไปโรงพักล่ะ คุณพยายามเลิกใช้คำ พูดที่ตำ รวจชอบพูดกันเสียทีเถอะน่าน้องชาย
เอะอะก็ไปโรงพัก...ไปโรงพัก ไม่เห็นชวนไปดูหนังหรือไปที่อื่นบ้างเลย”
นายตำ รวจหนุ่มยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ทรามวัยก็เอ่ยขึ้น
“จับไปซีคะ มีอย่างที่ไหน หนูมาเดินเล่นกับเพื่อนตอนพลบคำ่ เพื่อนเขากลับไปก่อน หนูหิวข้าวก็
แวะทานข้าวทางร้านหาบเร่โน่น พอหนูเดินกลับบ้านคุณคนนี้ขับรถผ่านมา เรียกหนูขึ้นรถจะพาไปส่งบ้าน
อ้างตัวว่าเป็นนายทหารผู้ใหญ่ ชี้แจงให้หนูฟังว่าคำ่มืดแล้วมาเดินตรงนี้ไม่ปลอดภัย หนูหลงเชื่อเห็นเป็นผู้
ใหญ่ก็ขึ้นรถมากับเขา เขาพาหนูเข้ามาในนี้ค่ะ แล้วเขาก็กอดจูบปลุกปลํ้าหนู บอกกับหนูว่าให้ยอมเป็นเมีย
เขา เขาจะเลี้ยงหนูเป็นเมียน้อย”
รองสารวัตรพยักหน้ารับทราบแล้วหันมาทางอาเสี่ย
“ท่านไม่น่าทำ กับเด็กอย่างนี้เลยนี่ครับ”
“อ้าว คุณเห็นเรอะ” อาเสี่ยเอ็ดตะโร
“ไม่เห็นหรอกครับ แต่ผมกับตำ รวจได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ โปรดไปพูดกันที่โรงพักดี
กว่าครับ”
อาเสี่ยเม้มปากแน่น
“เอา-ตกลง หมายความว่าผมตกเป็นผู้ต้องหาของคุณแล้วใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“ดีมาก คุณกับตำ รวจขึ้นมาบนรถผมเรอะ ผมได้รับบทเรียนอันมีค่ายิ่งแล้ว ความเมตตาปรานีของ
ผมทำ ให้ผมตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่น่าอับอายขายหน้าที่สุด คอยดูนะ ผมจะจัดการกับเด็กคนนี้ในฐานที่ทำ
ให้ผมเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง”
ทรามวัยร้องไห้สะอึกสะอื้น
“รังแกหนูแล้วยังจะพูดดีหัวลบกลบหัวแตกอีก หนูยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่นะจะบอกให้”
รองสารวัตรพาตำ รวจทั้งสองคนขึ้นมานั่งตอนหลังรถ แล้วพูดปลอบใจเสี่ยหงวน
“ความจริงมันหนีความจริงไปไม่พ้นหรอกครับ ถ้าท่านบริสุทธิ์เด็กคนนี้ก็ผิด และถ้าท่านทำ ผิด
ท่านก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย”
อาเสี่ยโกรธจิ๊กกี๋สาวจนปากสั่น หน้าซีด เขาเอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟเครื่องยนต์แล้วขับรถเก๋งออกไป
จากสวนลุมพินีมุ่งตรงไปยังสถานีตำ รวจนครบาลลุมพินี เจ้าของท้องที่
ด้วยการติดต่อกันทางโทรศัพท์ พล,นิกร,ดร.ดิเรกและเจ้าคุณปัจจนึกฯกับเจ้าแห้ว ก็พากันมาที่โรง
พักในเวลา ๒๐.๓๐ น. ทุกคนรู้จักกับสารวัตรใหญ่สารวัตรปกครองและสารวัตรปราบปรามเป็นอย่างดี นาย
ตำ รวจชั้นผู้ใหญ่ขึ้นไปก็ล้วนแต่รู้จักชอบพอกันทั้งนั้น
เพราะเสี่ยหงวนเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่และเป็นผู้มีเกียรติ ตำ รวจจึงไม่ได้นำ ตัวเข้าห้องขัง ให้นั่ง
พักผ่อนอยู่ในห้องสอบสวนรอการประกันตัวซึ่งท่านนายพลตำ รวจคนหนึ่งได้รับข่าวร้ายจากเสี่ยหงวนทาง
โทรศัพท์ จึงโทรศัพท์มาถึงสารวัตรใหญ่แจ้งว่า ท่านสงสัยว่าคดีนี้อาจจะมีแผนการณ์แบล็คเมล์จริง
อนุญาตให้มีการประกันตัวอาเสี่ยได้และให้เป็นไปตามความประสงค์ของ พอ.กิมหงวนที่เขาขอให้การที่ศาล
เสี่ยหงวนมีขวัญและกำ ลังใจดีขึ้นเมื่อเห็นคณะพรรคของเขากับเจ้าคุณปัจจนึกฯและเจ้าแห้วพากัน
เข้ามาในห้องสอบสวน
“เป็นยังไงอ้ายหงวน” ท่านเจ้าคุณกล่าวทัก
“แย่น่ะซีครับ อยู่ดีๆเจอข้อหาชนิดที่ผมจะต้องเดินเอาปี๊บคลุมหัวไปอีกนาน พวกหนังสือพิมพ์เขา
มาสัมภาษณ์และถ่ายรูปผมกับเด็กไปแล้ว พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์จะลงข่าวผมอย่างครึกโครมขนาดพาดหัวที
เดียว
นิกรเดินเข้ามาหยุดยืนเบื้องหน้าอาเสี่ยบนม้ายาวแล้วพูดเบาๆว่า
“แผ่นดินไม่ได้ไร้เหมือนใบพุทราเลย นึกยังไงขึ้นมาวะถึงได้เกิดฟัดกับเด็กนักเรียนคนนี้ กันเห็น
หน้าแล้วนั่งคุยกับพี่ชายและพี่สะใภ้อยู่หน้าโรงพัก ยังเป็นเด็กไร้เดียงสาแท้ๆ แกทำ อย่างนี้เสียชื่อแย่อยู่ดีๆ
ไม่ว่าดีกลายเป็นอ้ายตาลยอดด้วนไปแล้ว ต่อไปนี้ผู้หญิงที่ไหนเขาจะกล้าติดต่อพบปะกับแกล่ะ”
อาเสี่ยโกรธนิกรจนตัวเนื้อสั่น
“แกคิดว่าคนอย่างฉันโหดร้ายป่าเถื่อนไร้ศีลธรรมข่มเหงเด็กหรือหลอกเด็กหลอกเล็กยังงั้นเรอะ”
นิกรขมวดคิ้วย่น
“อย่ากลบเกลื่อนเลยวะอ้ายหงวน ลูกผู้ชายทำ ผิดแล้วยอมรับผิดดีกว่า อย่างมากแกก็ติดคุกราว ๕ ปี
เท่านั้น พวกเราจะส่งเสียแกเอง”
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ
“รับประทานผมขอสาบานว่าผมจะหิ้วปิ่นโตไปส่งวันละสี่มื้อทุกวันไปครับ โถ-รับประทานอาเสี่ย
ของผมไม่น่ากลัดมันเลย”
นายพลดิเรกมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตามวิสัยของคนใจเย็น เขายกมือขวาตบบ่าซ้ายเสี่ยหงวนแล้วพูด
ยิ้มๆ
“แกถูกใส่ร้ายแน่นะ”
“ใช่ โธ่-เด็กอายุ สิบสามสิบสี่ปีเท่านั้นกันจะไปทำ ได้ยังไง”
“ถ้ายังงั้นก็ไม่เห็นจะต้องวิตกเป็นทุกข์อะไรนี่หว่า ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ ถ้าแกบริสุทธิ์
ศาลก็ยกฟ้องปล่อยตัวแก”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ติดแหง อ้ายหงวนติดคุกแน่”
อาเสี่ยเกือบจะลุกขึ้นเตะปากนิกร ถ้าไม้คิดว่าที่นี่เป็นโรงพัก และตำ รวจหลายคนกำ ลังจับตามองดู
เขากับคณะพรรคของเขา
“ฮึ่ม ดีมากอ้ายกร แทนที่แกจะพูดให้กำ ลังใจฉันแกกลับแช่งฉันส่ง แกเสือกมาเยี่ยมฉันทำ ไม ฉัน
จะติดคุกติดตะรางก็ช่างฉันเถอะ ติดตะรางยังมีวันออกนะโว้ย”
พล พัชราภรณ์ยกมือตบศีรษะเพื่อนเกลอของเขาแล้วพูดยิ้มๆ
“ใจเย็นๆไว้อ้ายหงวน ฉันเชื่อว่าแกเป็นผู้บริสุทธิ์”
อาเสี่ยยิ้มออกมาได้
“เออ-พูดยังงี้ซีวะ พูดอย่างอ้ายกรใช้ไม่ได้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯจ้องมองดูกิมหงวนคล้ายกับจะค้นความจริงจากใบหน้าของอาเสี่ย แล้วท่านก็กล่าว
กับเสี่ยหงวนอย่างเป็นทางการว่า
“แกเป็นคนมีชื่อเสียงและเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก อาคิดว่าแกควรให้
การชั้นสอบสวนคือให้การกับตำ รวจเขาดีกว่า การที่แกไม่ยอมให้การและจะไปให้การชั้นศาลนั้น จริงอยู่แก
มีสิทธิ์ที่จะสิทธิ์ที่จะทำ ได้ แต่มันก็เป็นการแสดงว่าแกทำ ผิดจริงจึงไม่กล้าให้การชั้นสอบสวน แกจะต้อง
ปรึกษาหารือกับทนายของแกก่อน”
เสี่ยหงวนนิ่งคิดสักครู่
“เอา- ให้การชั้นสอบสวนก็ได้ครับ แต่ผมไม่มีพยานนี่ครับ”
“ไม่สำ คัญ ความจริงมีอย่างไรแกก็ให้การไปอย่างนั้น”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ก็รับตามตรงซีวะ ว่ามันสวยน่ารัก แกมีอารมณ์เปลี่ยวเกิดขึ้นก็เลยปลุกปลํ้าจะเอาเป็นเมีย”
อาเสี่ยจุปาก มองดูนิกรราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ถามจริงๆเถอะวะอ้ายกร แกอยากให้กันติดคุกเรอะ”
“ฮื่อ กันจะได้ไปเยี่ยมแกในคุก เพราะกันอยากเห็นสภาพความเป็นไปในคุกมานานแล้ว เรื่องนี้ถึง
แกปฏิเสธข้อหา แกก็ติดคุก เท่าที่เราติดต่อทางโทรศัพท์กับสารวัตรใหญ่ก็ได้ความว่า ตำ รวจได้ยินเสียงผู้
หญิงร้องขอความช่วยเหลือในรถของดิเรก ตำ รวจทั้งสามคนวิ่งไปดูที่รถแลเห็น เด็กสาวคนนั้นนั่งกอดอกตัว
สั่นงันงงอยู่ข้างแก เสื้อเชิ้ทถูกฉีกขาดวิ่น”
กิมหงวนตะโกนลั่นห้องสอบสวน
“เขาฉีกเองไม่ใช่กันฉีก เป็นแผนการณ์ของเขา”
นิกรเค้นหัวเราะ
“ใครเขาจะเชื่อวะที่ว่าเด็กสาวฉีกเสื้อตัวเองโชว์ปทุมทิพย์เย้ยฟ้าท้าดิน เด็กมันเป็นสาวก็ต้องมีความ
อาย แม้แต่เมียของเราเองยังไม่เคยถอดเสื้อให้เราเห็นนี่หว่า”
อาเสี่ยทำ ตาปริบๆ
“ถอยออกไปห่างๆเถอะอ้ายกร”
“ทำ ไมล่ะ”
“ฉันจะถีบแกน่ะซี คบกันมาตั้งนานแล้วแกยังไม่รู้จิตใจฉันอีกหรือ มหาเศรษฐีอย่างกัน ถ้าต้องการ
เด็กสาวชนิดขบเผาะละก้อ กันเพียงแต่ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ขอให้ยื่นใบสมัครเป็นอนุพร้อมด้วยสำ เนา
สำ มะโนครัวเพื่อแสดงหลักฐานว่ามีอายุครบ ๑๓ ขวบบริบูรณ์ ก็มีผู้มาสมัครเป็นอนุของกันถมเถไป เด็กผู้
หญิงคนนี้มีแผนทำ ลายชื่อเสียงของกันรู้ไหม จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาจจะมีคนจ้างหรือวานให้ทำ เช่นนี้
ก็ได้ เพราะในหมู่นักธุรกิจกันมีศัตรูอยู่ไม่น้อย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯพูดเสริมขึ้น
“พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์จะต้องลงข่าวเกรียวกราวทีเดียว เมียแกกลับจากอยุธยารู้เข้าต้องเดือดดาลแน่”
“เดือดก็เดือดเถอะครับ เอาผมไปสาบานที่ไหนก็ได้ ผมไม่ได้ทำ เลวๆอย่างนี้ เด็กคนนี้อาจจะสะกด
รอยติดตามผมไปวัดเทพศิรินทร์ก็ได้และคงจะวางแผนล่วงหน้าไว้เรียบร้อย”
ท่านเจ้าคุณพยักหน้ารับทราบ
“แต่เหตุการณ์และสถานที่ตลอดจนสิ่งแวดล้อมทำ ให้แกต้องเป็นจำ เลยในคดีนี้ อย่างไรก็ต้องสู้
ความกันเต็มที่ อ้า- ท่านรองอธิบดีกรมตำ รวจให้อาประกันตัวแกแล้ว แกคุยกับเพื่อนๆแกไปก่อนนะ อาจะ
ออกไปพบกับสารวัตรใหญ่ทำ เรื่องราวขอประกันตัวแก แกจะได้กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้วิ่งเต้นหาทนายหรือ
จะเอาทนายที่สำ นักงานผลประโยชน์ของอาก็ได้” พูดจบท่านเจ้าคุณก็พาตัวออกไปจากห้องสอบสวน
นิกรยิ้มให้อาเสี่ย
“ทำ ใจให้สบายเถอะวะอ้ายหงวน กันนั่งทางในดูแล้ว”
อาเสี่ยยิ้มเล็กน้อย
“แกกำ ลังจะบอกกันว่าเรื่องนี้กันติดคุกใช่ไหมล่ะ”
นิกรหัวเราะชอบใจ
“ดักคอยังงี้ตลกก๊อด้านหมดซีวะ ไม่ใช่ยังงั้น กันหมายความว่าคดีนี้ตำ รวจจะไม่ฟ้องแกและปล่อย
ตัวแก นังผู้หญิงนั่นแหละจะตกเป็นผู้ต้องหา”
“จริงน่ะเรอะ”
“เออ แกก็รู้ดีแล้วว่ากันมีความรู้ในทางยกเมฆหรือพรายกระซิบ ไม่ต้องนั่งทางในก็รู้ว่าคนอย่างแก
ไม่เลวพอที่จะปลุกปลํ้าเด็กสาวๆ”
“แหม-แกพูดยังงี้ชื่นใจจัง บอกตามตรงโว้ย กันกลุ้มใจแทบเป็นบ้า คราวนี้ชื่อเสียงของกันเสียหมด
ใครอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ก็ต้องคิดว่ากันทำ ผิดจริงคือหลอกเด็กหลอกเด็กแล้วปลุกปลํ้าขืนใจ มันเรื่อง
อะไรที่กันจะต้องไปปลํ้าเด็กสาวคราวลูก กันปลํ้านวลลออเมียกันไม่ดีรึต่อให้ร้องบ้านแตกตำ รวจเขขาก็ไม่
สนใจในเมื่อผัวปลุกปลํ้าเมียของเขา”
นิกรว่า “กันจะออกไปสัมภาษณ์กับเจ้าทุกข์สักหน่อย ถ้ายังไงก็จ่ายเงินให้เขาไปสักสองสามพันนึก
ว่าฟาดเคราะห์”
พลเห็นพ้องด้วย
“ดีเหมือนกันถ้าเลิกล้มคดีนี้เสียได้ อ้ายหงวนมันเสียท่าที่พาเจ้าทุกข์ไปนั่งคุยในที่มืดและเปลี่ยว มิ
หนำ ซํ้าตำ รวจได้ยินเสียงเด็กร้องขอความช่วยเหลือ ตำ รวจมาช่วยแลเห็นเด็กเปลือยอกล่อนจ้อนเสื้อแสงถูก
ฉีกขาดหมด นี่ก็ได้เสื้อจากครอบครัวของตำ รวจที่นี่ให้ขอยืมใส่ แต่เสื้อเชิ้ทที่ถูกฉีกขาดตำ รวจเขายึดไว้เป็น
หลักฐานแล้ว”
เสี่ยหงวนแสดงท่าทีฮึดฮัด นิกรพาตัวเดืนออกไปจากห้องสอบสวนและออกไปทางด้านหน้าของ
โรงพักในเวลาเดียวกันนี้เองทรามวัยยังคงนั่งหงอยเหงาอยู่บนม้ายาวในบทบาทละครนอกเวที เจ้ายุทธ
อันธพาลย่านบางกะปิและหญิงสาววัยเบญจเพสซึ่งสมมุติตัวว่าเป็นภรรยาของยุทธนั่งอยู่ด้วย ละครฉาก
สำ คัญซึ่งยุทธเป็นผู้แต่งเรื่อง เป็นผู้ฝึกซ้อมและกำ กับการแสดงได้ผ่านมาด้วยดีจนเกือบจะจบเรื่องแล้ว
นิกรเดินเข้ามาหยุดยืนเผชิญหน้าหล่อน
“ขอโทษ หนูชื่อทรามวัยใช่ไหม”
จอมจิ๊กกี๋ไม่ตอบนั่งก้มหน้านิ่งเฉย ยุทธกล่าวกับนิกรทันที
“ใช่ครับ ทรามวัยเป็นน้องสาวของผมเอง”
นิกรถือวิสาสะทรุดตัวลงนั่งข้างอันธพาลหนุ่ม
“คุณคงไม่รังเกียจที่จะบอกนามของคุณให้ผมทราบ”
“ยินดีครับ ผม…ยุทธ เยียระยับ”
“ขอบคุณมาก ผมพันเอกนิกร การุณวงศ์ ผมเป็นญาติและเป็นเพื่อนรักของผู้ต้องหา อ้า-ผมอยาก
จะตกลงกับคุณโดยสันติวิธี เพื่อให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นลง ไม่ให้เป็นเรื่องอื้อฉาวอับอายขายหน้าเขา”
เจ้ายุทธดีใจอย่างยิ่งเข้าใจว่ากิมหงวนใช้ให้นิกรมาพูดกับเขาและทรามวัย จอมอันธพาลมองซ้ายมอง
ขวาแล้วกล่าวกับนิกรเบาๆว่า
“ได้ครับ แต่ว่าขอให้เราไปตกลงกันที่อื่นไม่ใช่โรงพัก”
“ครับ ได้ซีคุณ” แล้วนิกรก็ลุกขึ้นยืน “รอผมสักประเดี๋ยวนะ ผมจะไปบอกกิมหงวนและพรรค
พวกผมก่อนเพื่อให้เขารู้ว่าผมพาคุณไปเจรจากัน”
แล้วนิกรก็เดินย้อนกลับไปที่ห้องสอบสวน พอเข้ามาในห้องนิกรก็แลเห็นพล,กิมหงวน,
ศาสตราจารย์,เจ้าคุณปัจจนึกฯ นั่งอยู่บนม้ายาวนิกรกระซิบกระซาบกับคณะพรรคของเขา
“มีทางเลิกคดีโว้ย พี่ชายเด็กคนนั้นยินดีตกลงกับกันแต่ขอให้กันพาไปพูดนอกโรงพัก”
อาเสี่ยยิ้มแค่นๆ
“ไหมล่ะ อ้ายพี่ชายนังผู้หญิงนี่แหละตัวการละ หน้าตามันไม่น่าไว้วางใจเลย ถ้ามันไม่มีแผนการณ์
เล่นงานกันทำ ไมจะต้องชวนแกไปพูดที่อื่น”
นายพลดิเรกพูดตัดบท
“ไปเถอะอ้ายกร เอารถของกันไปเถอะ เอ้า-กุญแจรถ แล้วก็อย่ายอมให้มีใครติดตามไปเป็นอันขาด
อย่าเสียท่าไปพูดกับมันที่บ้านมันนะ แกจะต้องรอบคอบเฉลียวฉลาด พูดกับมันอย่างเปิดอกว่ามันต้องการ
เงินจากอ้ายหงวนสักเท่าใดถึงจะยอมล้มคดีนี้ แกเป็นคนมีวาทศิลป์พยายามอย่าให้มันเรียกร้องแพงนัก คน
เราเมื่อถึงคราวมีเคราะห์ถูกปรักปรำ ใส่ร้ายก็ต้องยอมเสียเงินแหละโว้ย อย่างไรก็ดีกว่าต้องย้ายบ้านไปอยู่ใน
คุก”
นิกรพยักหน้ารับทราบแล้วหมุนตัวกลับรีบเดินออกไปจากห้องสอบสวน ซึ่งขณะนี้เจ้าคุณปัจจนึกฯ
กำ ลังอยู่ในห้องทำ งานของสารวัตรใหญ่เจรจากันเกี่ยวกับการขอประกันตัวเสี่ยหงวน ซึ่งท่านเจ้าคุณเตรียม
โฉนดที่ดินของท่านมาเรียบร้อยพร้อมด้วยเงินสดอีก ๕๐,๐๐๐ บาท แต่การประกันตัวเสี่ยหงวนไม่ยากลำ บาก
อะไร
เบนซ์เก๋ง ๒๒๐ เอส.ของงนายพลดิเรก ซึ่งขับโดยนิกรได้พาจอมอันธพาลเจ้าของนามยุทธ เยีย
ระยับ ออกไปจากสถานีตำ รวจนครบาลลุมพินีก่อนเวลา ๒๑.๐๐ น.เล็กน้อย นักหนังสือพิมพ์ผู้ใช้นามว่า
“กระชุ” ได้ร้องบอกช่างภาพให้ถ่ายภาพนิกรกับพี่ชายของเจ้าทุกข์ไว้
นิกรขับรถเข้าไปในสวนลุมพินีและนำ รถแล่นเข้าไปจอดในที่ว่างแห่งหนึ่งเปิดการเจรจากับผู้ปก
ครองของเด็กสาว ซึ่งความจริงเป็นผัวไม่ใช่พี่ชาย
“คุณจะเอายังไงคุณมุด” นิกรพูดเสียงหนักๆ
“ผมชื่อยุทธครับ ไม่ใช่มุด”
“อ้อ ขอโทษที เราพอจะออมชอมกันได้ไม่ใช่หรือครับ ขณะนี้ผมทำ หน้าที่แทนอาเสี่ยกิมหงวน
ผมคิดว่าเท่าที่เสี่ยหงวนเพื่อนของผมตกเป็นผู้ต้องหาในคดีปลุกปลํ้าน้องสาวของคุณมันเป็นเรื่องของบาปกับ
เคราะห์ หรือยามซวย ยามที่โชคร้ายมากกว่าอย่างอื่น เพื่อนของผมจะปลํ้าจริงหรือเปล่าเราอย่าวิพากษ์
วิจารณ์กันเลยนะครับ เรามาเจรจากันเพื่อเลิกคดีนี้ดีกว่า คุณคิดว่าน้องสาวคุณควรจะได้รับค่าเสียหายสักเท่า
ใดว่ามาซิ”
เจ้ายุทธยิ้มแป้นถูมือไปมา เขานึกในใจว่าเขาคงได้เป็นเศรษฐีมีเงินใช้ไปตลอดชีวิตในคราวนี้
“ก็ต้องเรียกแพงหน่อยครับคุณนิกร น้องผมเป็นสาวบริสุทธิ์ เพิ่งแตกเนื้อสาวเมื่อเดือนที่แล้วมานี้
เอง”
“เวลาแตกเนื้อสาวมีเสียงดังหรือคุณ”
“ครับ ดังพอได้ยิน อ้า- ทรามวัยกำ ลังเป็นเด็กนักเรียนเพิ่งขึ้นชั้น มศ. หนึ่งในปีการศึกษาใหม่นี้ เมื่อ
น้องสาวของผมถูกข่มเหงอย่างนี้ ก็จะต้องเสียชื่อเสียงมีราคีคาว ทรามวัยบอกผมว่า ได้เสียตัวให้อาเสี่ยกิมหง
วนแล้ว เพราะไม่สามารถจะป้องกันรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ เนื่องจากถูกอาเสี่ยตบ ตีศอก กดคอ ตีเข่า ชก
อีกสามสี่หมัดติดๆกัน”
นิกรโบกมือห้าม
“พอแล้วๆๆ พูดกันอย่างเปิดอกตรงไปตรงมาดีกว่า ไม่ต้องชักแม่นํ้าทั้งห้า เอาแต่เนื้อล้วนๆ นํ้าไม่
เอา ในฐานะที่คุณเป็นผัว…เอ๊ย…เป็นพี่ชายของทรามวัย คุณจะต้องการเงินค่าทำ ขวัญเท่าไร ว่ามาคุณตูบ”
“อ้าว ไหงมาเรียกผมอย่างนี้ผมไม่ได้ชื่อตูบนะครับ”
นิกรหัวเราะเบาๆ
“ผมเผลอไปครับ น้องสาวคุณชื่อทรามวัย ผมก็เลยนึกถึงหนังการ์ตูนเรื่อง “ทรามวัยกับอ้ายตูบ”
อย่าถือสาผมเลยนะคุณมุด”
“มุดอีกแล้ว ผมชื่อยุทธครับ ไม่ใช่มุด”
“เอาเถอะน่า เรื่องชื่อไม่สำ คัญเรื่องเงินสำ คัญกว่า คุณต้องการเงินค่าเสียหายหรือค่าทำ ขวัญน้องสาว
คุณเท่าไร”
“อ้า-แยกเป็นรายการๆ แบบบัญชีแยกประเภทนะครับ”
“ไม่ต้อง” นิกรตวาดแว็ด “รวมยอดเลย”
“หรือครับ ถ้ายังงั้นผมต้องการล้านบาทครับ”
“โอ้โฮ” นิกรเอ็ดตะโร “คุณนี่สปอร์ทจริงแฮะ ไหงเรียกถูกอย่างนี้ ความจริงคุณน่าจะเรียกค่าทำ
ขวัญสัก ๑๐๐ ล้านบาท แหม- คุณดีจริงๆ ให้ตายซีเอ้า”
เจ้ายุทธดีใจเหลือที่จะกล่าว
“ตกลงตามนี้นะครับ”
“ครับ ตกลงก็ได้แต่ไม่ตกลง”
ยุทธหยุดยิ้มทันที
“คุณพูดยังไงนะครับ ผมไม่เข้าใจ”
นิกรเอื้อมมือบิดกุญแจสวิตช์ไฟเครื่องยนตร์ทำ ให้เครื่องยนตร์ทำ งานทันที เขาเปิดไฟหน้าท้ายรถ
นำ รถเคลื่อนออกจากที่อย่างรวดเร็ว
“เป็นอันว่าอาเสี่ยกิมหงวนของผมพร้อมที่จะสู้ความในคดีนี้ บาทเดียวเราก็จะไม่ยอมเสียให้คุณ”
แล้วนิกรก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ “อั๊วรู้จักลื้อดีโว้ยนายยุทธลื้อเป็นนักเลงอยู่แถวบ้านอั๊ว การเล่นตลกกับเพื่อนอั๊ว
แบบนี้น่ะมันเป็นลูกไม้เก่าเสียแล้ว”
“ใครบอกคุณครับว่าผมเป็นนักเลงอันธพาล ถ้าผมเป็นอันธพาลตำ รวจก็คงส่งผมไปอยู่คุกลาดยาว
นานแล้ว”
นิกรหัวเราะเบาๆ
“แต่ลื้อมีงานทำ เป็นหัวหน้าบ๋อยบาร์แห่งหนึ่งทางบางกะป ิ ตาํ รวจกเ็ ชอื่ วา่ ลื้อเลิกเป็นอันธพาลแล้ว
อั๊วจะบอกให้เอาบุญอ้ายน้องชาย เล่นสกปรกกับพวกอั๊วอย่างนี้ ต้องเอากันให้ถึงที่สุด ถ้าหากว่าเพื่อนอั๊วติด
คุก อั๊วฆ่าลื้อแน่ ที่พูดนี่ไม่ใช่ขู่ คนอย่างลื้ออยู่ต่อไปก็สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาอีก เสี่ยหงวนเพื่อน
อั๊ว ไม่ใช่อ้ายกุ๊ยสารเลว เขาเป็นนายพันเอกและเป็นมหาเศรษฐี ลื้อกับน้องสาวของลื้อวางแผนแบล็คเมล์เขา
ใช่ไหมล่ะ อั๊วไม่เชื่อว่าทรามวัยเป็นน้องลื้อหรอกโว้ย หน้าตาไม่เหมือนกันสักนิด อั๊วจะขอให้ตำ รวจสืบ
เบื้องหลังของลื้อ แล้วลื้ออย่ามาบ่นกับอั๊วก็แล้วกันว่า ไม่มีเวลาไปติดคุกแต่ก็จำ ต้องไป”
เจ้ายุทธอยากจะชกหน้านิกร แต่ก็ไม่กล้า เขามองดูนิกรอย่างเดือดดาล
“ถ้ายังงั้นผมจะไม่ยอมอ่อนข้อประนีประนอมในเรื่องนี้กับเสี่ยหงวนอย่างเด็ดขาด เมื่อคุณถือว่าเป็น
คนมีเงินมีอิทธิพลก็ลองดู บ้านเมืองมีขื่อมีแปอย่างไรผมก็ต้องขอพึ่งเงื้อมมือกฎหมาย”
“ถุย” นิกรร้องขึ้นดังๆ “ทำ ราวกับว่าลื้อเป็นพลเมืองดี อั๊วอยากจะถุยสัก ๕๐๐ หน”
“ก็เอาซีครับ”
“ไม่เอา” นิกรตวาดลั่น “นํ้าลายมีไม่พอ”
เบนซ์เก๋งเลี้ยวเข้าไปในสถานีตำ รวจนครบาลลุมพินีอีกครั้งหนึ่ง นิกรนำ รถมาจอดทางด้านข้างโรง
พัก การเจรจาออมชอมกันไม่เป็นผลเสียแล้ว
ในชั่วโมงนั้นเอง อาเสี่ยกิมหงวนก็ได้รับการประกันตัวเสร็จเรียบร้อยสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ
และเจ้าแห้วจึงรีบพากันกลับบ้านซึ่งคุณหญิงวาดได้โทรศัพท์มาถึงเจ้าคุณปัจจนึกไต่ถามเรื่องอาเสี่ยด้วยความ
ห่วงใยและสั่งให้รีบกลับบ้าน เพราะท่านอยากทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้น
หนังสือพิมพ์รายวันฉบับเช้าวันรุ่งขึ้นต่างเสนอข่าวอาเสี่ยกิมหงวนอย่างครึกโครมขนาดพาดหัวที
เดียว
คนอ่านหนังสือพิมพ์ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ต่างเชื่อว่าอาเสี่ยได้กระทำ ทารุณต่อเด็กสาวเจ้าของนามทรามวัย
จริง สารวัตรใหญ่สั่งให้อาเสี่ยไปที่สถานีตำ รวจวันนี้เวลา ๑๐.๐๐ น. เพื่อสอบสวนเขาซึ่งเสี่ยหงวนรับรองว่า
เขายินดีให้การชั้นสอบสวนตามความเป็นจริง
คณะพรรคสี่สหายตื่นนอนแต่เช้า อาเสี่ยตั้งใจจะรีบไปหาทนายความชั้นดีในการว่าความคดีอาญา
แต่นายพลดิเรกคัดค้านว่าควรจะดูการสอบสวนของตำ รวจก่อน การหาจ้างทนายสำ หรับมหาเศรษฐีอย่างกิม
หงวนไม่ยากอะไร
เรื่องที่เกิดขึ้นแก่กิมหงวนทำ ให้คุณหญิงวาดกลุ้มอกกลุ้มใจมาก ท่านไม่ยอมเชื่อว่าอาเสี่ยจะ
ประพฤติตัวเป็นอ้ายตาลยอดด้วนเช่นนั้น ท่านบอกอาเสี่ยว่า คดีนี้ถ้าเสี่ยหงวนถูกฟ้องศาลท่านจะวิ่งเต้นช่วย
เหลือ จะหมดเงินกี่หมื่นกี่แสนท่านก็ไม่ว่า แล้วท่านก็สั่งเจ้าแห้วให้ไปซื้อปิ่นโตอย่างดีมาสองเถาเตรียมไว้
ส่งข้าวอาเสี่ยในคุก
คณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึกฯและเจ้าแห้วพากันมาที่สถานีตำ รวจนครบาลลุมพินี เจ้าของ
ท้องที่ ก่อนเวลา ๑๐.๐๐ เล็กน้อย ซึ่งฝ่ายเจ้าทุกข์มาถึงก่อนแล้ว พวกนักข่าวและตากล้องห้อมล้อมเด็กสาวอยู่
หน้าโรงพัก ทรามวัยแต่งเครื่องแบบนักเรียนหญิง หล่อนให้สัมภาษณ์ว่าที่แต่งเครื่องแบบนักเรียนก็เพราะ
ไปรับใบสุทธิที่โรงเรียนเก่าไม่มีชั้น มศ.๑ ต้องไปเข้าโรงเรียนอื่น
เมื่อสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯและเจ้าแห้วขึ้นมาบนโรงพัก บรรดาเหยี่ยวข่าวแร้งข่าว ตากล้องจมูก
กล้อง ก็ผละจากทรามวัย เฮโลกันเข้ามาห้อมล้อมอาเสี่ยกิมหงวน ผู้ซึ่งเป็นข่าวสำ คัญในหน้าหนังสือพิมพ์
อาเสี่ยยกมือประนมไว้ที่หน้าอก แล้วยิ้มให้พวกหนังสือพิมพ์ประมาณ ๑๐ คน
“ผมไม่มีอะไรที่จะสัมภาษณ์ครับ ผมจะทำ ผิดหรือไม่ก็ให้ไปรู้กันที่ศาล”
“ผมขอเรียนถามนิดเดียวครับ” นักข่าวร่างเล็กคนหนึ่งกล่าวกับอาเสี่ยอย่างอ่อนน้อม
“ได้ครับ มีอะไรก็ว่ามา ผมจะรีบไปพบสารวัตรใหญ่ในห้องสอบสวน”
นักข่าวก้มศีรษะเล็กน้อย
“ประทานโทษ ตอนที่อาเสี่ยปลุกปลํ้าเด็กหญิงทรามวัยน่ะ อาเสี่ยคงจะเมาจนลืมตัวใช่ไหมครับ”
เสี่ยหงวนกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“ผมอยากตะบันหน้าคุณเหลือเกิน พับผ่า คุณป้อนคำ ถามผมราวกับว่าผมทำ ผิดจริง ผมไม่ได้ทำ
อย่างนั้น แล้วกัน”
นักข่าวอีกคนหนึ่งเสริมขึ้นเบาๆ
“ลำ บากไหมครับอาเสี่ย”
กิมหงวนลืมตาโพลง
“อะไรลำ บาก คุณหมายความว่ากระไร”
“ผมหมายความถึงคดีนี้ครับ อาเสี่ยลำ บากใจหรือเปล่า”
“อ๋อ เล่นถามกำ กวม...ลำ บากซีคุณ ผมเสียชื่อนี่นา พวกคุณลงข่าวพาดหัวเสียด้วย พันเอกกิมหงวน
มหาเศรษฐีปลุกปลํ้าเด็กนักเรียน”
อาเสี่ยไม่ยอมพูดอะไรอีก เขาเดินนำ หน้าเพื่อนเกลอของเขาและเจ้าคุณปัจจนึกฯกับเจ้าแห้วตรงไป
ยังห้องสอบสวน ซึ่งตามเวลาที่กล่าวนี้ สารวัตรใหญ่นั่งรออยู่แล้ว
คณะพรรคสี่สหายกับสารวัตรใหญ่ต่างกระทำ ความเคารพกันและทักทายปราศรัยเป็นอย่างดี เพราะ
ต่างฝ่ายก็รู้จักคุ้นเคยกันมานานแล้ว สี่สหายกับท่านเจ้าคุณนั่งห้อมล้อมโต๊ะสอบสวน ซึ่งตำ รวจช่วยยกเก้าอี้
มาให้นั่งเบียดเสียดกันคนละตัว ผู้ต้องหารายนี้ แม้กระทั่งสารวัตรใหญ่ก็เกรงอกเกรงใจและไม่เชื่อว่าจะทำ
ผิดจริง
“ก่อนที่ผมจะจดคำ ให้การของอาเสี่ยเป็นบันทึกการสอบสวนคดีนี้ ผมอยากจะให้อาเสี่ยเล่าเรื่องย่อๆ
ที่เกิดขึ้นให้ผมฟังสักหน่อยเถอะครับ”
“ได้ครับ เล่าอย่างโกหก หรือเล่าตามความจริง”
“อ๋อ เล่าความจริงซีครับ ถ้ามันมีอะไรบางอย่างสะกิดใจผม ผมจะงดสอบสวนปากคำ อาเสี่ยก็ได้”
เสี่ยหงวนยิ้มออกมาได้
“ยังงี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
นิกรพูดเสริมขึ้นเบาๆ
“สารวัตรครับคดีนี้อ้ายหงวนจะติดคุกสักกี่ปีครับ”
อาเสี่ยหันมาทำ ตาเขียวกับนายจอมทะเล้น
“เอาอีกแล้ว อ้ายกรแช่งให้ติดคุกอีกแล้ว”
“ไม่ได้แช่ง” นิกรพูดยานคาง
“เรื่องอย่างนี้มันติดคุกแหงๆนี่หว่า ถึงแม้เด็กอายุเกิน ๑๓ ขวบแล้ว แกก็มีความผิดฐานหลอกเด็ก
หลอกเด็กแล้วปลุกปลํ้าทำ อนาจารอนาชาม ไม่เชื่อถามสารวัตรดูก็ได้”
อาเสี่ยเม้มปากแน่น คว้าไม้ท่อนสามเหลี่ยมสำ หรับทับกระดาษยกขึ้นฟาดศีรษะนิกรทันทีเสียงดัง
โป๊ก
“นี่แน่ะ แช่งดีนัก”
“โอ๊ย” นิกรร้องลั่น “จับซีครับสารวัตร อ้ายหงวนทำ ร้ายร่างกายผม”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง สารวัตรใหญ่พลอยมีอารมณ์ขันสนุกสนานไปด้วย เมื่อได้
สังสรรค์กับคณะพรรคสี่สหายและท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ
“อย่าเพิ่งสัพยอกกันเลยครับ ผมกำ ลังอยากทราบเรื่องที่เกิดขึ้น อาเสี่ยเล่าให้ผมฟังหน่อยเถอะ”
อาเสี่ยมีขวัญและกำ ลังใจดีขึ้นเมื่อสารวัตรใหญ่พูดกับเขาอย่างกันเอกเช่นนี้
“เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวานนี้ตอนเย็นผมไปเผาพ่อค้าคนหนึ่งที่ วัดเทพศิรินทร์”
“ไปคนเดียวหรือครับ”
“ครับไปคนเดียว แต่รถของผมไม่ว่าง ผมให้คุณอาท่านใช้ไปธุระเกี่ยวกับงานแต่งงานเด็กของเราคน
หนึ่ง ผมก็เลยเอารถเบนซ์ของอ้ายหมอไป”
“อ้อ รถของอาจารย์ อาเสี่ยขับไปเอง”
“ครับ ผมเผาศพเสร็จลาเจ้าภาพกลับออกจากวัดก่อน ๑๘.๐๐ น.เล็กน้อย ขับรถมาทางต้นถนน
พลับพลาไชยตอนถนนบำ รุงเมือง”
“แล้วยังไงครับ”
“ผมเลี้ยวขวาเข้าถนนบำ รุงเมือง ตรงมาทางยศเสโรงหนังเฉลิมเขตร์ ตอนนี้เองผมมองดูกระจกมอง
หลัง ผมก็แลเห็นทรามวัยเด็กนักเรียนสาวนั่งอยู่หลังรถผม ผมก็ตกใจหยุดรถข้างถนน ไต่ถามดูได้ความว่า
หล่อนแอบซ่อนอยู่ในรถผมขณะที่ผมอยู่ในพิธีเผาศพที่วัดนั้น”
นิกรจุปาก
“เรื่องนี้ยังกะเรื่องอ่านเล่น”
เสี่ยหงวนยกมือเกาศีรษะ
“แกนั่งเฉยๆเถอะวะอ้ายกร ไหว้ล่ะเพื่อน ฉันน่ะก้าวขาเข้าไปในคุกครึ่งหนึ่งแล้วรู้ไหม”
นิกรอมยิ้ม
“ก็ก้าวเข้าไปอีกขาซีวะ ยืนจังก้าถ่างขาอยู่นอกคุกข้างอยู่ในคุกข้างมันลำ บากออกจะตาย แกนี่ถ้าแก
เป็นนักประพันธ์แกคงเขียนเรื่องได้สนุก ฮ่ะ ฮ่ะ อยู่ดีๆมีเด็กนักเรียนสาวโผล่ขึ้นในรถ”
พล พัชราภรณ์ทำ ตาเขียวกับนิกรแล้วพูดเบาๆ
“ที่นี่โรงพัก เป็นสถานที่ราชการโว้ย ไม่ใช่บ้านเรา เกรงใจสารวัตรใหญ่ท่านบ้าง นี่ท่านก็ให้การต้อน
รับพวกเราเป็นพิเศษแล้ว”
นิกรยกมือไหว้สารวัตรใหญ่อย่างนอบน้อม
“อย่าถือสาผมเลยนะครับ”
สารวัตรใหญ่หัวเราะเบาๆแล้วกล่าวกับผู้ต้องหา
“โปรดเล่าต่อไปครับ”
อาเสี่ยว่า
“ผมซักถามดูหล่อนก็บอกผมว่าทะเลาะกับพี่สะใภ้ พี่ชายเลยไล่ออกจากบ้าน ไม่ทราบว่าจะไปทาง
ไหนก็แอบขึ้นมาอยู่บนรถผม ญาติพี่น้องก็ไม่มี สตางค์ก็ไม่มี บ่นกับผมว่าหิวข้าวเพราะอดข้าว ผมก็เลยพาไป
เลี้ยงข้าวทางสนามมวยลุมพินี ออกมาจากภัตตาคารหล่อนขอร้องให้ผมพาเข้าไปนั่งตากลมเล่นในสวนลุม
เราจอดรถคุยกันในที่มืด หล่อนได้ยั่วยวนผมด้วยประการต่างๆ พอผมห้ามปรามและพูดรุนแรงไปบ้าง
ทรามวัยก็ฉีกเสื้อเชิ้ทของหล่อนขาดจนเห็นหน้าอกล่อนจ้อนแล้วตะโกนร้องเรียกตำ รวจช่วย หาว่าผมปลุกป
ลำ้ขืนใจ เรื่องมันมีอยู่เท่านี้แหละครับ ที่ผมเล่าให้ฟังนี่ผมขอเอาเกียรติยศของผมเป็นประกัน ผมไม่ได้กล่าว
เท็จเลย”
สารวัตรใหญ่นิ่งฟังด้วยความสนใจยิ่ง เมื่อเขานึกถึงผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายและพี่สะใภ้เจ้าทุกข์ เขา
ก็รู้สึกว่า ยุทธ เยียระยับ มีบุคลิกลักษณะเป็นนักเลงอันธพาล เป็นอาชญากร ไม่ใช่สุภาพบุรุษ ส่วนผู้หญิงที่
ว่าเป็นเมียยุทธ ก็ดูเหมือนเป็นนางโลมเถื่อนและเคยถูกเขาจับมาขังเมื่อปีกลายนี้ขณะที่ลาดตระเวนหาเหยื่อ
ในสวนลุมพินี
“พอจะฟังได้ว่าอาเสี่ยถูกวางแผนแบล็คเมล์ครับ”
นิกรเสริมขึ้นทันที
“แหงเลยครับสารวัตร เมื่อคืนนี้ผมลองพูดทาบทามกับพี่ชายของเด็กทรามวัยแล้ว”
“หรือครับ เขาว่ายังไงครับ”
“เขาเรียกค่าทำ ขวัญหรือค่าเสียหายจากอ้ายหงวนล้านบาท”
“ล้านบาท...ถ้ายังงั้นนายยุทธอาจจะเป็นผู้วางแผนนี้ เด็กสาวคนนี้มีค่าตั้งล้านก็เกินไป สมมุติว่าอา
เสี่ยได้กระทำ เช่นนั้นจริง เรียกสักสองสามหมื่นก็สมควรแล้ว และยังเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจของตัว
นี่เรียกตั้งล้าน เงินล้านไม่ใช่นิดหน่อยนะครับ สิบแสนถึงจะเป็นหนึ่งล้าน อย่างนี้มันแบล็คเมล์กันชัดๆถึง
เรียกเงินค่าทำ ขวัญล้านบาท”
เจ้าคุณปัจจนึกฯกล่าวขึ้นทันที
“พอแล้วสารวัตร คุณพูดคำ ว่าล้านบ่อยๆ ผมฟังแล้วรู้สึกยังไงชอบกล”
สารวัตรใหญ่ยิ้มแห้งๆ
“ประทานโทษครับ ผมไม่มีเจตนาอะไรเลย” แล้วเขาก็หันมาทางพลเอกนิกร
“แล้วคุณตอบเขาว่าอย่างไรครับ”
“ผมก็ตอกหน้านายยุทธน่ะซีครับ ล้านบาทจะเอาจริงๆก็ได้ แต่ว่าผมจะเอาแบงค์ใบละบาทพันรอบ
ศีรษะคุณพ่อผมแล้วให้มันจะได้เป็นหนึ่งล้าน”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครงลั่นห้องสอบสวน เจ้าคุณปัจจนึกฯโกรธนิกรจนปากซีดหน้าเขียว
แต่ท่านไม่ยอมปริปากพูดอะไร สารวัตรใหญ่พยายามกลั้นหัวเราะแทบแย่ แล้วเขาก็กล่าวกับเสี่ยหงวนว่า
“เอารถเบนซ์ของอาจารย์ดิเรกมาด้วยหรือเปล่าครับ”
นายพลดิเรกตอบแทนอาเสี่ย
“เอามาครับ”
สารวัตรใหญ่หันมายิ้มกับศาสตราจารย์ดิเรก
“ผมจำ เป็นต้องให้อาเสี่ยพาเจ้าทุกข์ไปยังที่เกิดเหตุในสวนลุมเพื่อทำ แผนประทุษกรรมในคดีนี้ครับ
ผมเข้าใจและเห็นใจอาเสี่ยมาก แต่ว่าเมื่อเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอย่างนี้ ผมเป็นเจ้าพนักงานก็ต้องจัดการไป
ตามหน้าที่ของผม”
เสี่ยหงวนทำ ปากแบะเหมือนกับจะร้องไห้
“แล้วผมจะต้องติดคุกไหมครับสารวัตร”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ใจเย็นๆน่า อย่างไรสารวัตรก็คงช่วยทำ คดีให้แกติดคุกน้อยหน่อยเห็นจะในราว ๑๐ ปีนั่นแหละ”
นายพลดิเรกกล่าวกับสารวัตรใหญ่ซึ่งมีความเคารพนับถือเขาเป็นครูบาอาจารย์ ถึงแม้ว่าไม่เคยเป็น
ลูกศิษย์เขามาแต่ก่อนก็ตาม
“จำ เป็นจะต้องทำ แผนประทุษกรรมในที่เกิดเหตุด้วยหรือครับ”
“ครับ เป็นวิธีการสอบสวนของเรา” แล้วเขาก็หันมาทางกิมหงวน “ยอมเสียเวลาไปสวนลุมสักครู่
นะครับ”
เสี่ยหงวนร้องไห้โฮ
“เสียเวลาน่ะ ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ผมอายเขา” อาเสี่ยพูดพลางร้องไห้พลาง “น้อยคนนักที่เขาจะ
ให้ความยุติธรรมแก่ผม และเชื่อว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ยิ่งเจ้าทุกข์แต่งเครื่องแบบนักเรียนหญิงไปกับผม ใครๆก็
ต้องว่าผมเป็น อ้ายตาลยอดด้วน”
“ผมจะไม่เอาเจ้าทุกข์ไปด้วยหรอกครับ ผมจะขอร้องให้คุณนิกรช่วยสมมุติตัวเป็นเจ้าทุกข์”
อาเสี่ยสะอื้น
“หน้าตาเหมือนผีกะสืออย่างนี้ ผมจูบมันไม่ลงหรอกครับ”
“อ้าว” พลอุทานลั่น “แกพูดอย่างนี้หมายความว่าแกสารภาพตามข้อหานี่หว่า”
เสี่ยหงวนสะดุ้งโหยง
“เปล่าๆๆ กันสาบานให้ก็ได้ กันไม่ได้ทำ อะไรเด็กคนนั้นเลย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯกล่าวขึ้นดังๆ
“ไปเถอะอ้ายหงวนพาสารวัตรกับพวกเราไปที่เกิดเหตุเดี๋ยวนี้แหละ อย่าให้เสียเวลาเลย”
นายพลดิเรกโบกมือห้ามพ่อตาของเขา แล้วกล่าวกับสารวัตรใหญ่อย่างเป็นงานเป็นการ
“สารวัตรครับ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อนรักของผมเพื่อให้รอดพ้นจาก
คดีนี้ แต่ผมจะไม่ใช้อิทธิพลที่ผมเป็นนายพลช่วยอ้ายหงวนและผมจะไม่ช่วยเพื่อนในทางที่ผิด ผมช่วย
เพราะเพื่อนของผมถูกให้ร้ายป้ายสี ทั้งนี้ก็เพราะนายยุทธกับนางทรามวัยได้ร่วมมือกันวางแผนการณ์เล่นงาน
เพื่อนผมเพื่อหวังเงินจำ นวนมากจากอ้ายหงวน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ”
สารวัตรใหญ่และทุกคนต่างพากันมองดูศาสตราจารย์ดิเรกเป็นตาเดียว
“อาจารย์มีพยานหลักฐานอย่างไรหรือครับ” สารวัตรใหญ่ถามยิ้มๆ
“มีสิครับ เมื่อผมช่วยผมก็ต้องมีพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเพื่อนของผมเป็นผู้บริสุทธิ์”
เสี่ยหงวนยื่นมือให้นายพลดิเรกจับทันที
“ขอบใจมากเพื่อนรัก อย่างนี้ซีวะถึงจะเรียกว่าเพื่อน ถ้าแกช่วยกันให้รอดพ้นจากคดีนี้ได้ กันจะพา
แกและพวกเราไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่ซึ่งเราจะได้สนุกสนานกันเต็มที่กันจะเลี้ยงดูปูเสื่อเสร็จ เที่ยวทาง
รถยนต์สักทีเถอะวะ ไปเครื่องบินและรถไฟเบื่อแล้ว”
“โอเค กันช่วยแกได้แน่นอน”
แล้วเขาก็หันมาทางสารวัตรใหญ่ “ติ๋งต่างว่าผมมีพยานหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า เสี่ยหงวนถูกใส่ร้ายล่ะ
ครับ สารวัตรจะทำ อย่างไร”
“ก็เสนอปล่อยตัวอาเสี่ยซีครับ แล้วผมจะจับกุมตัวเจ้าทุกข์กับพี่ชายของเจ้าทุกข์ทันทีในฐานแจ้ง
ความเท็จทำ ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายให้อัยการส่งฟ้องศาลเข้าตะรางไปตามระเบียบ”
“ออไร๋ ถ้ายังงั้น สารวัตรโปรดเรียกเจ้าทุกข์กับพี่ชายของเจ้าทุกข์เข้ามาในห้องนี้เถอะครับ และสั่ง
ตำ รวจเตรียมควบคุมตัวคนทั้งสองไว้ได้เลย โดยเฉพาะนายยุทธอาจจะหาทางหลบหนี เมื่อผมแสดงหลัก
ฐานว่าเขาเป็นผู้วางแผนต้มเพื่อนผมด้วยอุบายอันเลวร้ายของเขา”
สารวัตรใหญ่รู้สึกฉงนสนเท่ห์ใจไม่น้อย เขาร้องเรียกนายสิบตำ รวจตรีคนหนึ่งให้มาหาเขา
“ไปเรียกนักเรียนหญิงเจ้าทุกข์กับพี่ชายของเธอมาพบฉันที่นี่ พี่สะใภ้หรือภรรยานายยุทธไม่ต้อง
เร็ว- บอกว่าฉันต้องการสอบสวนข้อปลีกย่อยบางอย่าง”
นายสิบตำ รวจตรีในวัยใกล้จะปลดเกษียณรับคำ สั่งแล้วเดินเคี้ยวหมากหยับๆออกไปจากห้อง เจ้าคุณ
ปัจจนึกฯกล่าวถามศาสตราจารย์ดิเรกทันที
“แกมีหลักฐานอะไร แกไม่ได้ไปกับอ้ายหงวนนี่นา”
“ประเดี๋ยวผมจะแสดงหลักฐานให้ดู”
เสี่ยหงวนมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสผิดปรกติ เขายักคิ้วให้นิกรแล้วกล่าวว่า
“ไง แกทายว่าฉันติดคุกแหงๆยังไงล่ะ”
นิกรหัวเราะอย่างเยาะเย้ย
“หมอมันจะมีหลักฐานตวักตะบวยอะไรวะ หลักฐานที่แกจะต้องมีธุระไปติดตะรางก็คือ ตำ รวจ
สามคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อตำ รวจวิ่งมาที่รถก็และเห็นทรามวัยอยู่ในชุดท็อปเลส
เปลือยอกเพราะถูกแกทึ้งเสื้อขาด”
เสี่ยหงวนอดหัวเราะไม่ได้ เขายกมือชี้หน้านิกรแล้วกล่าวว่า
“ดีแล้ว ถ้าฉันรอดพ้นจากคดีนี้ฉันจะจ้างคนยิงแก”
นิกรทำ ตาโตเท่าไข่ห่านหันมาทางสารวัตรใหญ่
“ฟังนะครับ สารวัตรได้ยินอ้ายหงวนกล่าวคำ อาฆาตมาดหมายผมแล้ว เป็นพยานให้ผมด้วย
ประเดี๋ยวผมแจ้งความเอาเสียอีกคดีเลยจะได้ติดคุกไม่มีวันออก”
นายสิบตำ รวจตรีหนุ่มใหญ่ในวัยชราภาพนำ เจ้าทุกข์และยุทธ เยียระยับ เข้ามาในห้อง ทรามวัยแต่ง
ชุดนักเรียนกระโปรงสีกรมท่า ส่วนอันธพาลผู้เป็นสามีของหล่อนสวมกางเกงขายาวผ้าตราอีแร้งสีปีกแมลง
ทับ สวมเสื้อฮาไวเอวจำ๊ สีแดงสดสะดุดตา ลักษณะท่าทางของยุทธเป็นนักเลงเต็มตัว และขณะนี้เขากำ ลัง
ภาคภูมิด้วยความเข้าใจผิดคิดว่า เขากำ ลังถือไพ่ตายไว้ในมือ ซึ่งอย่างไรเสีย คดีนี้กิมหงวนจะต้องขอ
ประนีประนอมยอมจ่ายเงินล้านบาทให้เขาเป็นค่าทำ ขวัญ
สารวัตรใหญ่กล่าวกับเด็กนักเรียนสาวซึ่งมีเบื้องหลังแสนเลว “นั่งซีหนู หนูกับพี่ชายหนูนั่งบนม้า
ยาวริมผนังด้านซ้ายนั่นก็ได้”
ยุทธกับทรามวัยเดินไปนั่งเคียงคู่กัน ยุทธพยายามวางตัวให้สงบเสงี่ยมและแกล้งทำ หน้าเศร้า
นายพลดิเรกกล่าวกับสารวัตรใหญ่ว่า
“อนุญาตให้ผมพูดคุยกับนายยุทธสักนิดหน่อยได้ไหมครับ”
“อ๋อ ได้ครับอาจารย์”
“ขอบคุณมาก” แล้วนายพลดิเรกก็หันไปทางอันธพาลย่านบางกะปิ
“โปรดตอบคำ ถามผมหน่อยเถอะคุณยุทธ คุณเป็นอะไรกับเจ้าทุกข์
“เป็นพี่ชายครับ”
“พี่ชายร่วมบิดามารดาเดียวกันหรือ”
“คนละแม่ครับ”
“โกหก”
ศาสตราจารย์ดิเรกพูดโพล่งขึ้นทันทีและยกมือขึ้นชี้หน้ายุทธ
“แกกับทรามวัยเป็นผัวเมียกันไม่ใช่พี่น้องกัน”
“เอ๊ะ- ท่านดูหมิ่นเรานี่ครับ อย่างนี้เป็นความผิดทางอาญานะครับ”
นายพลดิเรกหัวเราะก๊าก
“อย่าทำ เป็นหัวหมอหน่อยเลยว่ะ กันสืบทราบเบื้องหลังแกมาหมดแล้ว แกอย่าลืมว่าพรรคพวก
ของแกหลายคนเป็นเด็กของอ้ายแห้วคนของเรา โน่น- นั่งอยู่นั่นแหละคืออ้ายแห้ว อ้ายแห้วสามารถนำ รูป
ถ่ายของแกมาได้ที่แกถ่ายคู่กับทรามวัยเมียของแก”
พูดจบนายพลดิเรกก็ดึงรูปถ่ายขนาดโปสการ์ดรูปหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อฮาไวของเขา แล้วชู
อวดยุทธ
“นี่ยังไงล่ะ รูปแกกับทรามวัยถ่ายคู่กัน ลายเช็นข้างหลังแกเขียนไว้ว่า...กันกับเมียกันรักใคร่ไว้วางใจ
แกเสมอจึงขอมอบภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึก อ้า- เซ็นชื่อย่อของแกว่า ย.”
นิกรพูดขึ้นดังๆ
“ย. ก็ย้ายน่ะซีโว้ย”
ยุทธพาซื่อกล่าวถามนิกร
“ย้ายไปไหนครับ”
“ย้ายจากนอกคุกไปอยู่ในคุกอย่างไรล่ะ รูปนี้แสดงให้เห็นชัดๆว่า แกกับอีหนูแต่งนักเรียนนั่นเป็น
ผัวเมียกันแหงๆ มันเป็นหลักฐานมัดตัวแกสองคนว่าแกได้ร่วมคิดกันวางแผนแบล็คเมล์เพื่อนของกันเพื่อ
หวังเงินล้าน”
“ไม่จริงครับ” ยุทธเถียง
“ผมไม่เคยเล่นสกปรกกับใคร เอาล่ะ เมื่อรู้ว่าทรามวัยเป็นเมียผมผมก็ยอมรับ แต่อาเสี่ยข่มขืน
ปลุกปลำ้เมียผม ตำ รวจสามคนย่อมเป็นพยานให้ทรามวัยในคดีนี้”
นายพลดิเรกหัวเราะก๊าก
“แกยังพยายามปรักปรำ ใส่ไคล้เพื่อนของกันต่อไปอีกหรือ แกเป็นนักเลงอันธพาลแถวบางกะปิ แก
คุมบาร์แห่งหนึ่งใกล้ๆบ้านของเรา แกเคยต้มหมูขู่กรรโชกมาหลายครั้งแล้ว ถูกล่ะ ทรามวัยเมียของแกยัง
เรียนหนังสืออยู่ แต่การเป็นนักเรียนของเมียแกช่วยให้แกกับหล่อนหากินสะดวกขึ้น ต้มคนได้ง่ายขึ้น ฉันจะ
นำ หลักฐานมาแสดงเดี๋ยวนี้ เพื่อให้สารวัตรใหญ่เห็นว่า เพื่อนกันเป็นผู้บริสุทธิ์”
พูดจบนายพลดิเรกก็ลุกขึ้นยืน เขาส่งรูปถ่ายของยุทธกับทรามวัยให้สารวัตรใหญ่แล้วพาตัวเดินออก
ไปจากห้องสอบสวน
อันธพาลกับจิ๊กกี๋สาวเริ่มมีท่าทีกระสับกระส่ายแล้ว ต่างคนต่างคาดไม่ถึงว่า นายพลดิเรกจะได้หลัก
ฐานมาเช่นนี้
“ว่าไง” เสี่ยหงวนกล่าวกับยุทธด้วยเสียงหนักๆ
“ลื้อเคยใช้วิธีนี้เล่นงานพวกเศรษฐีมาแล้วใช่ไหม”
ยุทธทำ ตาเขียว
“ไม่เคยครับ อาเสี่ยอย่าพยายามพูดกลบเกลื่อนหน่อยเลย ถึงผมเป็นคนจนผมก็ต้องขอสู้คดีนี้ให้ถึง
ที่สุด”
พลพูดเสริมขึ้น
“แต่แกกับเมียแกจะต้องติดคุกฐานแจ้งความเท็จและทำ ให้เพื่อนฉันเสียหาย กันยินดีที่จะบอกแกว่า
เราได้พยานมาคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของแกเอง แล้วก็มีหลักฐานสำ คัญอีกอย่างหนึ่งที่จะมัดตัวแกกับ
ทรามวัยให้ดิ้นไม่หลุด”
ตำ รวจคนหนึ่งเดินผ่านมาทางหน้าห้อง สารวัตรใหญ่ร้องเรียกให้เข้ามาหาเขาและออกคำ สั่ง
“คุมตัวสองคนนี้ไว้ ยืนคุมอยู่ข้างม้ายาวนั่นแหละ”
ทรามวัยแกล้งบีบนำ้ตาร้องไห้
“อย่างนี้จะยุติธรรมหรือคะสารวัตร หนูเป็นนักเรียนที่ยากจน ฝ่ายเจ้าทุกข์เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่
เป็นมหาเศรษฐีมีอิทธิพล มีสมัครพรรคพวกมาก ในที่สุดหนูกับพี่ก็จะตกเป็นผู้ต้องหา”
สารวัตรใหญ่ยิ้มเล็กน้อย
“เห็นจะแน่เสียยิ่งกว่าแน่ ถ้าได้พยานหลักฐาน ฉันจะเอาเธอกับนายยุทธเข้ากรงขังทันที”
ทรามวัยร้องไห้สะอึกสะอื้น
“หนูถูกเขาข่มเหงรังแกหนูจนชอกชำ้ยับเยินไปหมดแล้ว”
“ว้า” อาเสี่ยเอ็ดตะโร “ฉันไม่ได้ทำ อะไรเธอเลย ฉันทำ คุณบูชาโทษแท้ๆ หน้าตาของเธอก็สวยดี
หรอกไม่น่าจะหากินอย่างนี้เลย อะไร้...ยังเป็นนักเรียนอยู่แท้ๆ ดันมีผัวเสียแล้ว ถ้าเกิดท้องไส้ขึ้นมาจะทำ
อย่างไร มิต้องลาหยุดออกลูกหรือ จะมีผัวก็รอให้โตกว่านี้หน่อยไม่ได้ หน็อย...จะเอาตั้งล้าน บาทเดียวฉัน
ก็ไม่ให้”
สารวัตรใหญ่กล่าวขึ้นดังๆเมื่อยุทธลุกขึ้น
“จะไปไหน”
“ผมจะออกไปเรียกเมียผมให้มาอยู่เป็นเพื่อนครับ”
เจ้าแห้วพูดขึ้นทันที
“ไม่ใช่เมียแกโว้ย แกขอยืมเมียเขามาสมมุติเป็นเมียแก ฉันรู้ดีว่าผู้หญิงที่มากับแกและอ้างตัวว่าเป็น
เมียแก คือเมียอ้ายรอดนายตรวจรถเมล์”
คราวนี้ใบหน้าของยุทธซีดเผือด ตำ รวจที่ควบคุมตัวเขาได้กดตัวยุทธให้นั่งลงบนม้ายาวตามเดิม อา
เสี่ยกิมหงวนของเราสบายใจแล้ว เจ้าคุณปัจจนึกฯก็พลอยสบายใจด้วย ท่านคุยกับสารวัตรใหญ่อย่างสนุก
สนาน คุยถึงเรื่องการต้มหมูขู่กรรโชก การปล้นและจี้ไชที่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบไม่เว้น
แต่ละวัน
จนกระทั่งดร.ดิเรกพาตัวเดินเข้ามาในห้อง เขาหิ้วกระเป๋าสีดำ มาด้วย แล้วก็มีชายหนุ่มแต่งกายแบบ
นักขับแท็กซี่อีกคนหนึ่งติดตามมา ชายผู้นี้คือเจ้าเล็ก สมุนคนสนิทของยุทธนั่นเอง ยุทธใจหายวาบ
“อ้ายเล็ก”
เล็กพนมมือไหว้สารวัตรใหญ่อย่างนอบน้อม นายพลดิเรกอธิบายให้ทราบ
“นี่ไงครับ พยานของอ้ายหงวน เขาได้ร่วมงานกับนายยุทธต้มอ้ายหงวน ซึ่งยุทธสัญญาว่า ถ้าขู่เงิน
ล้านบาทได้จากอ้ายหงวนแล้วเขาจะแบ่งให้เล็ก ๕๐,๐๐๐ บาท เล็กตัดสินใจทรยศต่อยุทธเมื่อเช้านี่เองครับ
ตอนอ้ายแห้วไปหาเขา เขาสาํ นกึ ถงึ บญุ คณุ ของอา้ ยหงวนทเี่ คยมตี อ่ เขา ครงั้ หนงึ่ เขาขบั รถชนพนกั งานโรง
แรม “สี่สหาย” คนหนึ่งขาหัก ถ้าอ้ายหงวนไม่ช่วยไว้เขาก็ติดคุก เมื่อวานนี้ตอนเย็น เล็กเป็นคนขับรถพานาย
ยุทธกับทรามวัยตามกิมหงวนจากบ้าน “พัชราภรณ์” ไปวัดเทพศิรินทร์ครับ แล้วส่งทรามวัยลงที่นั่น”
พูดจบนายพลดิเรกก็วางกระเป๋าสีดำ ลงบนโต๊ะสารวัตร แล้วเปิดฝามันออก
“นี่คือเครื่องบันทึกเสียงพิเศษของผมครับ ผมสร้างติดไว้ในรถ สามารถบันทึกเสียงที่พูดคุยกันใน
รถได้ถึง ๘ ชั่วโมง ด้วยเทปพิเศษอันเป็นประดิษฐกรรมของผม ผมสร้างเครื่องบันทึกเสียงประจำ รถก็เพื่อ
ประโยชน์บางอย่างในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญสรรพาวุธของกองทัพไทย นอก
จากนี้รถผมยังมีแตรไซเล็นท์ ระบบกลไกต่างๆอีกหลายอย่าง ก่อนที่อ้ายหงวนจะเอารถออกจากบ้านวานนี้
ผมได้เปิดสวิตช์เครื่องบันทึกเสียงไว้ โดยไม่ได้มีความหมายอะไรนักหรอกครับ เทปอันหนึ่งผมสร้างขึ้นใน
ราคาไม่กี่สตางค์ แต่แล้วการที่ผมเปิดเครื่องอัดเสียงไว้ กลับเป็นประโยชน์แก่อ้ายหงวนอย่างยิ่ง ผมจะเปิด
ให้สารวัตรฟังนะครับ บันทึกนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่ ผมคุยกับอ้ายหงวนในโรงรถ จนกระทั่งอ้ายหงวนถูกจับมา
โรงพักและบันทึกเสียงนายยุทธกับอ้ายกรด้วย
และแล้ว พลดิเรกก็เปิดบันทึกเส้นลวดซึ่งใช้ไฟแบตเตอรี่เครื่องนั้น มีเสียงศาสตราจารย์ดิเรก
สัพยอกกับเสี่ยหงวนเกี่ยวกับรถคันนี้และเสี่ยหงวนติดแขนทุกข์ผิด ต่อจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียง
แตรรถและเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์รถจักรยานยนต์ นานๆก็มีเสียงอาเสี่ยบ่นพึมพำ
ศาสตราจารย์ดิเรกปิดเครื่องเดินเทปเปล่าๆให้ผ่านไป จนกระทั่งเครื่องบันทึกเสียงได้ออกเสียงอา
เสี่ยสนทนาโต้ตอบกับสาวนน้อยทรามวัยเด็กนักเรียนสาว
ยุทธกับทรามวัยหน้าซีดเผือด ต่างคนต่างนึกไม่ถึงว่า รูปการณ์จะเป็นไปได้เช่นนี้ เสี่ยหงวนตบมือ
หัวเราะชอบใจและถึงกับลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นเมื่อถึงตอนสำ คัญ คือตอนที่ทรามวัยกอดจูบยั่วยวนเขา และ
เขาได้ประณามหล่อนอย่างรุนแรง แล้วหล่อนก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากตำ รวจ ซึ่งเทปได้บันทึก
เสียงรองสารวัตรไว้ด้วย ตลอดจนการเจรจาระหว่างยุทธกับนิกร
พอจบบันทึกเส้นลวด นายพลดิเรกก็ปิดเครื่องแล้วปลดม้วนเทปออกมาส่งให้สารวัตรใหญ่ “ผมขอ
มอบบันทึกนี้ให้สารวัตรเก็บไว้เป็นหลักฐาน ช่วยเปิดให้นักข่าวเขาฟังด้วยนะครับ เขาจะได้รู้ว่าเพื่อนผม
บริสุทธิ์จริงๆ”
สารวัตรใหญ่มองดูนายพลดิเรกด้วยความศรัทธาเลื่อมใส
“อาจารย์นี่ยอดมนุษย์จริงๆครับ ถ้าหากว่าไม่ได้เทปนี้อาเสี่ยก็คงจะยุ่งยากและเสียเวลามากทีเดียว”
เสี่ยหงวนเลื่อนตัวลงมาจากเก้าอี้นั่งคุกเข่าลงกราบแทบเท้านายพลดิเรก
“กันกราบแกโว้ยหมอ ถ้าไม่ได้แกถึงกันไม่ติดคุกก็ต้องเป็นความนับปีทีเดียว”
แล้วเสี่ยหงวนก็ลุกขึ้นยืนหันไปทางอันธพาลหนุ่ม
“ไง- นายยุทธ ทีนี้เป็นเรื่องของลื้อกับเมียลื้อละนะ คนเราหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น ให้ทุกข์แก่ผู้อื่น
ทุกข์นั้นต้องมาถึงตัว ฮ่ะ ฮ่ะ อั๊วสบายใจแล้ว แต่ว่าสำ หรับทรามวัยเมียลื้อคนนี้ ถ้าลื้อเลิกกับหล่อนเมื่อไหร่
ลื้อเซ้งให้อั๊วก็เอา”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง

อวสาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น