วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คดีหย่าร้าง

เจ้าคุณปัจจนึกฯปวดกบาลที่สุด เมื่อเงินของท่านที่เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือประมาณ ๓,๐๐๐ บาท ได้อันตรธานไปโดยคนร้ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย แต่ถึงกระนั้นเจ้าคุณปัจจนึกฯก็ทราบดีว่า ผู้ร้ายผู้ดีรายนี้จะเป็นคนอื่นไม่ได้ นอกจากพ่อเจ้าประคุณนิกรลูกเขยของท่านนั่นเอง
ท่านปราดลงไปหานิกรที่เฉลียงหลังตึก ขณะที่สี่สหายนั่งดื่มเหล้าและสนทนากัน นิกรกำลังบอกเพื่อนเกลอของเขาว่า คืนนี้เขาขอเชิญเลี้ยงอาหารค่ำ และเลี้ยงผู้หญิงที่สำนักเจ๊หนอมด้วย
พอท่านเจ้าคุณโผล่ออกมา การสนทนาก็ชะงักลงชั่วขณะ ใบหน้าของเจ้าคุณปัจจนึกฯบึ้งตึง ท่านหยุดยืนเบื้องหน้าของสี่สหาย แล้วยกมือชี้หน้านิกร
“อ้ายกร แกเอาเงินในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือมารึ”
นิกรขมวดคิ้วย่น
“เงินอะไรกันครับ ว้า – เอาอีกแล้ว คุณพ่อนี่พยายามหาเรื่องผมซะจริงเชียว ผมไม่รู้เรื่องอะไรสักหน่อย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯขบกรามกรอด
“ให้แกรากเลือดลงแดงตาย ก้าวไปนี่ธรณีสูบ”
“เอา – เอาซีครับ เฮ่อะเฮ่อ ผมไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมนะ ถ้าหากว่าเงินของใครหายละก็ จะต้องปรักปรำผมว่าเป็นขโมยเสมอ แหม – พูดแล้วเจ็บใจ๊เจ็บใจ รูปร่างหน้าตาของผมมันบอกว่าเป็นขโมยหรือครับ”
“เปล่า – หน้าตาของแกมันไม่บอก แต่พฤติการณ์ของแกมันบอก อย่าล้อเล่นโว้ยอ้ายกร ข้าไปถอนมาจากธนาคารเมื่อบ่ายนี้เอง ตั้งใจจะไปซื้อของพรุ่งนี้ พ่อใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ นอนหลับไป พอตื่นขึ้นมา หมาเอาไปแดกเสียแล้ว”
คดีหย่าร้าง ๒
หมาสะดุ้ง
“เหลวน่าคุณพ่อ ผมไม่ได้เอาหรอกครับ ตั้งแต่เที่ยง ผมยังไม่ได้ขึ้นไปข้างบนเลย”
ท่านเจ้าคุณเค้นหัวเราะ
“แต่นังม่อมมันยืนยันว่าเห็นแกเดินเข้าไปในห้องฉัน”
นิกรจุปาก
“แหม – อีม่อมนี่ปากเหมือนตำแย ยังงี้ต้องตบด้วยรองเท้าไม้”
“อย่าพูดกลบเกลื่อนเลย เอาเงินของฉันคืนมาเถอะ ถ้าแกจะเอาไปใช้พ่อให้ ๕๐๐ บาท นอกนั้นเอาคืนมาให้พ่อ”
นิกรสั่นศีรษะ
“ซอรี่ แอนด์ ซอด้วงครับ ผมขอรับรองด้วยเกียรติยศแห่งคุณนิกร เงินของคุณพ่อผมไม่ได้แตะต้องเลย”
“เอ๊ะ อ้ายกรนี่พูดดีๆไม่ชอบหรือนี่ เดี๋ยวพ่อโทรศัพท์บอกตำรวจจัดการเลย”
“อ้าว” นิกรเอ็ดตะโรขึ้นบ้าง “เอาซีครับ ผมจะได้ฟ้องคุณพ่อในฐานหมิ่นประมาทผม คุณพ่อมีหลักฐานอะไรที่ว่าผมขโมยเงินคุณพ่อ”
“ไม่รุ นังม่อมเป็นพยานข้า มันเห็นแกเดินเข้าไปในห้องฉัน แกเข้าไปในห้องฉันทำไมล่ะ”
เจ้าหนุ่มจอมทะเล้นหัวเราะก้าก หันมายิ้มกับเพื่อนๆ
“นี่แหละเขาว่าทำคุณบูชาโทษ กันไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปในห้องเลย เดินผ่านหน้าห้องมองเข้าไปในห้อง แลเห็นคุณพ่อกำลังนอนหลับกรนครอก นุ่งโสร่งเพียงตัวเดียว เสื้อในก็ไม่ใส่ แลเห็นขนจั๊กกะแร้พเยิบพะยาบ พุงกะทิมองดูเหมือนลูกปิงปองตัดครึ่ง เป็นเครื่องพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งที่ว่าโลกกลม กันเห็นโสร่งที่ท่านนุ่งมันตลบขึ้นมาจนถึงหน้าอก กันก็เข้าไปช่วยดึงโสร่งลงมาปิดสะดือให้ เพราะกลัวว่าใครๆจะเข้าไปเห็นเข้า สะดือจุ่นซะด้วยนา ให้ดิ้นตาย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯถอนหายใจหนักๆ
“แล้วตอนออกจากห้อง แกหยิบเงินฉันติดมาด้วยใช่ไหมล่ะ”
“ว้า” นิกรเอ็ดตะโร “ผม – นายนิกร ลูกเขยพระยาปัจจนึกฯ ลูกชายพระยาวิจิตรฯ หลานชายคุณหญิงวาดปากถ้ำขุนตาล เป็นผู้ดีตระกูลสูง เงินเพียง ๓,๐๐๐ บาท ผมจะขโมยเชียวหรือครับ”
“ถุย” ดร.ดิเรกร้องลั่น “อย่าว่าแต่ ๓,๐๐๐ บาทเลย ๑๐ บาทวางเผลอแผล็บเดียวเอาไปแดกเสียแล้ว ฮ่ะ ฮ่ะ ยูคล้ายกับโมฮัมหมัดจอมขโมย ที่ขโมยเครื่องเพชรของท่านมหาราชาจันทรกุมารรามซิงก์”
พลหัวเราะหึๆ
“มหาราชามาอีกแล้ว” แล้วเขาก็พยักหน้ากับนิกร “เฮ้ – แกเอาเงินของท่านมาก็คืนให้ท่านเถอะวะ คุณอาท่านมีธุระจะต้องใช้เงินสดน่า”
นิกรยักไหล่แล้วแบมือทั้งสองข้าง
“แกจะไปเอานิยายอะไรกับคุณพ่อวะ ท่านกะป้ำกะเป๋อออกอย่างนี้ ถูกใครแซ้งเอาไปกินเสียแล้วก่อนที่จะมาถึงบ้านก็ไม่รู้ หรือม่ายก็แวะกินข้าวต้มกลางวันที่ไหน โดนอีสาวมือกาวจิกเอาไปแล้ว เลยพาลพาโลพาเลว่าหายที่บ้าน กันเอาไป ปู้โธ่ – คิดดูเถอะว่า ลูกเขยพ่อตากันแท้ๆ ใครจะขโมยได้ลงคอ”
คดีหย่าร้าง ๓
เจ้าคุณปัจจนึกฯลืมตาโพลง
“หน็อย – ขโมยมากี่หนแล้ว”
นิกรหัวเราะ
“ก็หนนี้ไม่ได้ขโมยนี่ครับ ผมอุตส่าห์สาบานให้แล้ว”
“คนอย่างแก สาบานพล่อยๆตลอดวัน”
นิกรขยับจะพูดกับท่าน แต่เสี่ยหงวนชิงพูดก่อนอย่างเป็นงานเป็นการ
“บาปกรรมน่ากร ถ้าเอามาก็คืนให้ท่านเถอะวะ”
“ปู้โธ่” นิกรคราง “เอาไปสาบานที่วัดพระแก้วก็ยังได้”
เจ้าคุณโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วใช้วิชาจิตวิทยาพูดกับลูกเขย อาแซง ลูแปง ของท่าน
“แกหยิบเอามาสักพันบาท พ่อจะไม่ว่าอะไรเลย นี่หวดเสียเรียบวุธ ไม่เหลือไว้แม้แต่บาทเดียว”
นิกรพูดอย่างภาคภูมิ
“มือชั้นผมแล้ว ไม่ยอมเหลือไว้หรอกครับ ๓,๐๐๐ บาทมันน้อยอยู่เมื่อไร”
เจ้าคุณปัจจนึกฯหัวเราะ เอ็ดตะโรลั่น
“ฟัง ฟังนะ อ้ายกรยอมรับแล้วว่ามันขโมยเงินของอามา พวกแกได้ยินไหมล่ะ อาไซโคโลยี่หน่อยเดียวเท่านั้น รับสารภาพเลย”
“ฮื้อ” นิกรคราง “ผมพูดให้ฟังต่างหากครับว่า ว่าคนอย่างผม ถ้าหากว่าขโมยใครแล้ว เป็นต้องกวาดให้เกลี้ยง คุณพ่ออย่ามาซ้อมค้างผมหน่อยเลยน่า ด้วยเกียรติยศน้อยๆของผม จงเชื่อและไว้วางใจในความสุจริตของลูกเขยที่น่าเอ็นดูของคุณพ่อเถอะครับ”
ดร.ดิเรกยกเท้าถีบนิกรเบาๆ
“คลื่นไส้โว้ย พูดอย่างที่คนเขาพูดกันเถอะ เกียรติยศน้อยๆ....………เดี๋ยวก็ถีบเปรี้ยงเข้าให้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯยกมือเท้าเอว มองดูอ้ายเสือมือกาวอย่างเดือดดาล
“เป็นอันว่า แกไม่รับว่าแกเอาเงินของฉันมา”
นิกรก้มศีรษะเล็กน้อย
“เป็นความเข้าใจของคุณพ่อที่ถูกต้องดีแล้วครับ”
“เออ – ดีละ ใครเอาเงินของข้ามา ถ้าเอาไปซื้ออะไรกิน ๑ บาท ให้กาฬขึ้นคอ ๑ เม็ด ถ้าเอาเก็บไว้กับตัว ให้ฉิบหายบรรลัยจักร ถ้าเอาไปเที่ยวผู้หญิง ให้บวก ๔ กลับมา ถ้าเอาไปทำบุญ ขอให้กลายเป็นบาป เจ้าประคู้น ขอให้ฉิบหายบรรลัยจักรตลอดกาล”
แล้วเจ้าคุณปัจจนึกฯก็หมุนตัวกลับเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างหัวเสีย สี่สหายมองดูหน้ากันแล้วหัวเราะกันลั่น พลยกมือชี้หน้านายจอมทะเล้น
“อ้ายกร ระวังให้ดีเถอะมึง คุณอาท่านแช่งไว้”
นิกรอมยิ้ม
“อ้ายคำสาปแช่งน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกโว้ยสำหรับสมัยนี้ อย่าวิตกไปหน่อยเลยวะ แหม – แช่งเก่งฉิบหายเลย”
คดีหย่าร้าง ๔
อาเสี่ยว่า “เอาไปคืนท่านเถอะวะอ้ายกร สงสาร”
“ไม่คืน อ้อยเข้าปากช้างแล้ว อย่ามางัดเสียให้ยากเลย คุณพ่อน่ะ แกก็รู้ดีแล้วว่าท่านกระดูกขัดมัน คิดดูเถอะวะ ใช้กันไปธุระตั้งครึ่งค่อนวัน ไปถึงนครปฐม ให้ค่าน้ำมันรถ ๑๕ บาทเท่านั้น บางทีสั่งให้ซื้ออ้ายโน่นอ้ายนี่ฝาก แล้วไม่เคยให้สตางค์ซักที ทั้งรู้มากทั้งขี้เหนียว ต้องเล่นอย่างนี้ แช่งเป็นแช่งซีวะ ให้ซื้อพริกมาเผาสัก ๒ กิโลกันก็ไม่กลัว เรื่องพ่อตากับลูกเขยมันก็ต้องยังงี้แหละ”
ดร.ดิเรกจัดแจงผสมวิสกี้โซดาแจกจ่ายเพื่อนๆ ต่อจากนั้นสี่สหายก็สนทนากันอย่างครื้นเครง เตรียมการเที่ยวอย่างมโหฬารในคืนวันนี้ ซึ่งนิกรรับจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
เจ้าแห้วเดินออกมาจากห้องโถงอย่างรีบร้อน ปราดเข้ามานั่งคุกเข่าข้างนายจอมทะเล้น
“รับประทานเกิดเรื่องแล้วครับ”
นิกรขมวดคิ้วย่น
“เรื่องอะไรวะ”
“รับประทานท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯท่านทะเลาะกับคุณประไพ รับประทานคุณประไพกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่ง รับประทานดูเหมือนว่า ท่านเจ้าคุณรับประทานให้คุณไพเลิกกับคุณครับ”
นิกรสะดุ้งโหยง ผุดลุกขึ้นยืนทันที
“หน็อย ยุให้เมียเลิกกับผัว เอาละวะ วันนี้กูตีกับพ่อตาทีเถอะวะ เป็นอะไรเป็นกัน ใครอย่าห้ามนะ คุณพ่ออยู่ไหน อ้ายแห้ว”
“รับประทานอยู่ข้างบนครับ”
นิกรยิ้มแค่นๆ เดินเข้าไปในห้องโถง วิ่งเหยาะๆขึ้นบันไดไปชั้นบนของตัวตึก เดินจรดปลายเท้ามายังห้องนอนของเขา นายจอมทะเล้นได้ยินเสียงเจ้าคุณปัจจนึกฯเอ็ดตะโรลั่นบ้าน เขาย่องมาที่หน้าต่าง ก้มตัวลงมองที่
ม่านบังตาแลเห็นพ่อตาของเขายืนเท้าสะเอวอยู่กลางห้อง ประไพนั่งร้องไห้กระซิกๆอยู่บนเก้าอี้นวม
“แกต้องเลิกกับอ้ายมังกรอย่างเด็ดขาด แล้วพ่อจะหาผัวใหม่ให้แก จับใส่ตะกร้าล้างน้ำแกว่งเสียหน่อย แกก็เป็นสาวตามเดิม หนุ่มๆแลเห็นเข้าน้ำลายไหลยืดเท่านั้นเอง เชื่อพ่อเถอะลูก ผัวพรรค์ยังงี้อย่าไปอยู่กับมันเลย”
ประไพร้องไห้โฮ
“ก็หนูรักของหนูนี่คะ กรดีกับหนูจะตายไป ก่อนจะนอนก็กราบหนูทุกคืน เมียอยากได้แหวนเพชร ก็อุตส่าห์ไปขโมยคุณพ่อที่บ้านถนนเพชรบุรีมาให้ ไพเลิกไม่ได้หรอกค่ะคุณพ่อขา เดี๋ยวคุณพ่อไปเลือกแขกมาให้เป็นผัวไพ ไพก๊อแย่เท่านั้น”
“ผัวคนไทยซีวะ”
“ไม่เอาค่ะ ไพไม่รัก ไพรักของไพคนเดียว มีผัวอย่างกรเหมือนกับมีลูกชายซนๆคนหนึ่ง เวลาเมียเหงาก็ทำลิงทำค่างให้ดู เมียด่าก็ไม่โกรธ เมียเตะตบก็ยังหัวเราะ มีผู้ชายที่ไหนบ้างคะที่ดีอย่างนี้ เขกกบาลเล่นยังได้ ผัวคนอื่นไปทำกับเขายังงี้เขาจะได้เตะไพชักแหง็กๆเป็นลูกหมาถูกรถรางทับ ถึงแม้กรจะเอาเงินของคุณพ่อไป คุณพ่อก็ไม่น่าจะโกรธเคือง ยุให้ไพเลิกกับเขา เงินเพียง ๓,๐๐๐ บาทเท่านั้น”
“มันเจ็บใจโว้ย” ท่านเจ้าคุณพูดอย่างหัวเสีย “ถ้าแกไม่เลิกกับอ้ายกร แกกับพ่อเลิกเป็นพ่อลูกกัน พ่อจะไปอยู่บ้านรองเมืองตามลำพัง”
คดีหย่าร้าง ๕
ประไพร้องไห้โฮเสียงดังลั่นบ้าน
“โฮ โฮ โฮ มีอย่างที่ไหน ยุให้รำตำให้รั่ว” หล่อนตะโกนเสียงลั่นบ้าน “ผัวเมียเขารักกันปานจะกลืนกิน ยุให้เขาเลิกกัน”
“เฮ้ย เบาๆซีโว้ย ขายหน้าชาวบ้านเขาไม่ใช่หรือ”
นิกรเดินส่ายอาดๆเข้ามาในห้อง พอประไพเห็นเข้าก็ลุกขึ้นวิ่งเข้ามากอดนายจอมทะเล้น
“กรขา คุณพ่อใจร้ายเหลือเกิน บังคับให้ไพเลิกกับกรค่ะ ท่านจะให้ไพเป็นเมียแขกพาหุรัด”
เจ้าคุณปัจจนึกฯโกรธจนตัวสั่น
“กูพูดยังงั้นเรอะ หา ไม่ได้พูดสักหน่อย”
“ทำไมจะไมพูด ฮือ ฮือ คุณพ่อว่าจะจ้างคนยิงกรทั้ง ฮือ ฮือ”
ท่านเจ้าคุณใจหายวาบ
“เอา ใส่ไฟเข้าซี อ้ายกรมันจะได้เตะพ่อ ลูกสาวสมัยใหม่รักผัวยิ่งกว่าพ่อ ใครเคยเห็นบ้างโว้ย”
นิกรจุปาก
“ฮื้อ เอ็ดตะโรไปได้ นี่ – เจ้าคุณ เราไม่ใช่เด็กอมมือนะครับ มีอะไรก็พูดกันได้ คนอย่างนายกรไม่ใช่คนหูป่าตาเถื่อน”
เจ้าคุณปัจจนึกฯร้องเหมือนจับช้าง
“อ้อ นี่มึงเรียกกูว่าเจ้าคุณแล้วหรือนี่”
นิกรเอ็ดตะโรขึ้นบ้าง
“ก็ใต้เท้าเป็นเจ้าคุณ ผมก็เรียกเจ้าคุณไม่ถูกหรือครับ หรือจะให้ผมเรียกว่าคุณหลวงก็ได้ คุณหลวงจะยังไงก็ผมก็ว่ามา”
“อ้ายกร” ท่านเจ้าคุณแผดเสียง “กูเป็นพระยาโว้ย”
“อ้าว แล้วผมเรียกใต้เท้าว่าเจ้าคุณ ใต้เท้าโกรธผมทำไม”
เจ้าคุณปัจจนึกฯหัวเราะปลอบใจตัวเอง
“หมายความว่า แกหมดความเคารพนับถือฉันแล้ว แกถึงเรียกฉันว่าเจ้าคุณ ไม่ยอมเรียกว่าพ่ออีกใช่ไหมล่ะ”
“ครับ ถูกยิ่งกว่า ๒ บวก ๒ เป็น ๔ ใต้เท้ายุให้เมียผมเลิกกับผมใช่ไหมล่ะ เอาละ วันนี้ผมเฮี้ยวฉิบหายเลย เป็นอะไรก็เป็นกัน”
“ทำไม มึงจะทำไมกู อ้ายกร หน็อย – จองหอง อ้ายลูกเขยขี้เรื้อน ถุย – รู้ยังงี้จ้างกูก็ไม่ยกลูกสาวของกูให้มึง”
“ไม่ยกผมก็พาหนี ลองถามประไพก็ได้ เมื่อก่อนที่จะแต่งงานกัน ผมคิดกันไว้แล้วตอนที่คุณพ่อผมไปสู่ขอประไพจากใต้เท้า ถ้าไม่ยกให้ ผมก็จะพาหนี” พูดจบนิกรก็พยักหน้า
เจ้าคุณปัจจนึกฯโกรธจนตัวสั่น วิ่งมาที่ข้างซอกตู้ หยิบตะพดอันหนึ่งขึ้นมาถือ
“ไหนๆมึงกับกูขาดกันแล้ว กูต้องตีกบาลมึงให้ได้”
คดีหย่าร้าง ๖
นิกรกระชากมีดพกที่เหน็บไว้ใต้เข็มขัดออกมา ทำให้ท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯถอยกรูด
“มา – เข้ามา วัน บาย วัน ไฟ้ท์ ตัวต่อตัวเลย ใต้เท้าตีผม ผมจะกะซวกไส้ใต้เท้าเอาออกมาดึงเล่นแก้กลุ้มเดี๋ยวนี้ พุงใหญ่ๆยังงี้ละก็รับรองแทงไม่ผิดแน่ ฮา – เล่นกับใครไม่เล่น เล่นกับอ้ายกร มา – เข้ามาซิครับ ผมยอมตายคราวนี้ ผมพลีชีวิตบูชาความรัก โลกจะได้สรรเสริญในวีรกรรมของผม หนังสือพิมพ์จะได้ลงข่าวพาดหัวว่า พ่อตาใจเด็ดตีกบาลลูกเขย ลูกเขยใจเพชรแทงพ่อตาตายด้วยกันทั้งคู่ มาซิครับ เกิดชาติหน้าฆ่ากันอีก จองเวรกันไปทุกชาติๆ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯขบกรามกรอด
“กล้าดีแกทิ้งมีดซี”
“อย่างทิ้งนี่ เราต่างมีอาวุธเหมือนกัน”
เจ้าคุณเดินปรี่เข้ามา ขยับตะพดเตรียมพร้อม นิกรขยับมีดในท่าอิเหนาถือกฤช ทั้งสองหมุนตัวไปรอบๆห้อง ประไพยิ้มออกมาได้
“กรขา ระวังให้ดีนะคะ ได้ท่ากระโดดเข้าแทงก่อนเลย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯมองดูประไพอย่างเคียดแค้น
“อีลูกอกตัญญู หนุนผัวให้ฆ่าพ่อ”
“อ้าว ก็ผัวไพนี่คะ เอา – กร แทงเลย ตี๊ตาต่าตี๊ ตี๊ตา……”
นิกรร่ายรำหลอกล่อ เจ้าคุณเงื้อตะพดหวดขวับ อิเหนารีบก้มศีรษะหลบได้อย่างหวุดหวิด แล้วล่าถอยออกมาทางประตูห้อง ร้องยี่เกขึ้นทันที
อิเหนาป้องปัดอย่างหวุดหวิด
ขยับกฤชเตรียมฆ่าให้อาสัญ
จะไว้ลายระเด่นให้เห็นกัน…………
ทันใดนั้นเอง เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ คุณหญิงวาดกับนันทา นวลลออ ก็วิ่งกรูเข้ามาในห้อง ทุกคนแลเห็นพ่อตากับลูกเขยกำลังรณรงค์กันก็ตกใจร้องเอะอะเอ็ดตะโร นันทากระโดเข้าล็อคคอน้องชายของหล่อนไว้ เจ้าคุณประสิทธิ์ฯกับคุณหญิงเข้าขวางกลาง
“อ้ายกร” นันทาส่งเสียงลั่น “นี่แกจะฆ่าพ่อตาแกหรือนี่”
นิกรสลัดนันทาเซไป
“ก็คุณพ่อจะตีกบาลฉันนี่นา ฉันก็ต้องป้องกันตัวน่ะซี”
คุณหญิงวาดหันมายกมือตบหน้านิกรหลายฉาด นายจอมทะเล้นโยนมีดทิ้ง ปิดป้องฝ่ามือคุณหญิงวุ่นไปหมด
“อ้ายเด็กบ้า อ้ายห้าร้อยละลายส้มมะขามเปียก ลูกเขยสู้พ่อตามีอย่างที่ไหน โธ่ – นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น เรื่องราวมันเป็นยังไงคะเจ้าคุณ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯหายใจถี่เร็ว แววตาแข็งกร้าว
“อ้ายกรมันขโมยเงินผมไป ๓,๐๐๐ ครับ ผมถามก็ไม่รับ ผมก็ยุให้ไพเลิกกับมัน เจ้ากรเลยเอาเรื่องกับผม”
คดีหย่าร้าง ๗
“โอย อกแตกแน่” คุณหญิงวาดร้องลั่น “อ้ายกร ทำไมแกถึงริอ่านมือไวใจเร็วอย่างนี้”
“ฟังผมบ้างซีครับคุณอา” นิกรตวาดแว้ด ทำให้คุณหญิงวาดถอยหลังกรูด “ผมไม่ได้ขโมย คุณพ่อหาเรื่องผม”
ประภากลัวจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็พูดไกล่เกลี่ย
“คุณพ่อไม่น่าจะเอะอะไปเลยนี่คะ ถึงแม้คุณนิกรจะเอาเงินของคุณพ่อไปจริง นิกรก็ไม่ใช่คนอื่นที่ไหน ลูกเขยกับพ่อตาแท้ๆ ทีคุณพ่อไปเสียอย่างอื่นยังได้ กล้วยไม้บ้าบอต้นหนึ่งตั้ง ๒,๐๐๐ บาท ขนซื้อมาทุกอาทิตย์”
นิกรยิ้มแป้น
“นั่น เจ๊พูดถูก พูดอย่างนี้น่านับถือ ความจริงเงิน ๓,๐๐๐ บาทนี่ผมไม่ได้เอาไปนะครับ ผมสาบานได้ อ้ายหงวนมันอาจจะเอาไปก็ได้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯเอ็ดตะโรขึ้นอีก
“หน็อย ไปซัดอ้ายหงวน อ้ายหงวนน่ะมันมีเงินเป็นปี๊บๆ มันจะเอาไปทำไม ถุย – อ้ายผู้ร้ายใจแข็ง”
ประภาเอ็ดตะโรลั่น
“เอ๊ะ คุณพ่อนี่ หยุดเถอะค่ะ ตะพดนั่นโยนทิ้งเสีย แก่แล้วยังอวดเก่งอีก เงินหาย ๓,๐๐๐ ถึงกับยุน้องไพให้เลิกกับคุณกร จะใช้ได้หรือคะ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯกลัวลูกสาวคนโตของท่านมาก ก็รีบโยนตะพดทิ้งแล้วยิ้มแหยๆ ฝืนใจพูดกับเจ้าคุณประสิทธิ์ฯ
“ผมมันมีกรรมครับเจ้าคุณ ผมอาภัพเหมือนปูน”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯทำหน้าชอบกล
“เอ – ไม่เห็นมันเกี่ยวกันนี่ครับ”
“นั่นน่ะซีครับ ผมก็ว่าเรื่อยเปื่อยไปยังงั้นเอง”
คุณหญิงวาดหันมายกมือไหว้เจ้าคุณปัจจนึกฯ
“เจ้าคุณขา อ้ายคุณกรมันล่วงเกินอะไรไปบ้างละก้อ กรุณายกโทษให้มันเถอะนะคะ นึกว่าเห็นแก่ดิฉันเถอะค่ะ เงิน ๓,๐๐๐ บาทที่หายไป ดิฉันคิดว่าให้หมามันเอาไปกิน เอาเถอะค่ะ ดิฉันเป็นอาของหมาตัวนั้น ดิฉันจะใช้ให้เจ้าคุณเอง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯฝืนหัวเราะ
“ไม่ต้องหรอกครับ นึกว่าให้ทานหมามันไป”
นิกรหัวเราะ
“ขอบคุณครับ” แล้วเขาก็เดินหัวเราะออกไปจากห้อง ท่านเจ้าคุณประสิทธิ์ฯกับคุณหญิงวาดช่วยกันปลอบโยนเจ้าคุณปัจจนึกฯให้เลิกขุ่นข้องหมองใจ ประภาหันมาเล่นงานน้องสาวของหล่อนบ้าง
“แกก็เหมือนกัน มีอะไรนิดหน่อยก็บอกให้ผัวมาทะเลาะกับคุณพ่อ”
“ก็คุณพ่อยุให้ไพเลิกกับกรทำไมล่ะ”
ประภาทำตาเขียว
“ยังจะเถียงอีกหรือ เดี๋ยวฉันจะตบให้เท่านั้น”
คดีหย่าร้าง ๘
ประไพเงียบกริบ หล่อนรู้ดีว่าพี่สาวของหล่อนนั้น ตามธรรมดาเป็นคนขรึม เยือกเย็นมาก
นวลลออพูดตัดบท
“อย่าเอะอะกันไปเลยค่ะ ขายหน้าชาวบ้านเขา เรื่องนิดๆหน่อยๆ ไปเล่นไพ่กันต่อไปเถอะค่ะ แหม กำลังคั่วตัวเก็งเชียว ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรเลยวงไพ่แตก น่าเสียดายเหลือเกิน”
คุณหญิงวาดหัวเราะ
“อาก็กำลังจะล้มเศียร อ้ายใบที่จั่วจำได้ว่าเป็นโจ๊กเสียด้วย ไปๆๆ ไปเล่นไพ่กันดีกว่า แม่ไพไปเล่นไพ่เถอะ ปล่อยให้เจ้าคุณท่านพักผ่อน จะได้หายโมโห”
เจ้าคุณปัจจนึกฯสั่นศีรษะช้าๆ
“ไม่มีวันหายละครับ ผมเจ็บใจอ้ายกรมาก มันเรียกผมว่าใต้เท้า ไม่ยอมเรียกว่าคุณพ่อ หน็อย…น่าตีกบาลเหลือเกิน”
ประภาจุปาก
“คุณพ่อ เอ๊…ภาโมโหแล้วนะคะจะบอกให้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯทำปากหมุบหมิบบ่นพึมพำ ต่อจากนั้นเจ้าคุณประสิทธิ์ฯ คุณหญิงวาด ก็พาแม่เสือทั้งสี่ออกไปจากห้อง เจ้าคุณปัจจนึกฯตามออกมาห่างๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจนิกร ที่ขโมยเงินท่านแล้วยังมาทะเลาะกับท่าน
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตากับลูกเขยขาดสะบั้นจากกันแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมา เจ้าคุณปัจจนึกฯไม่ยอมพูดกับนิกรเลย ถึงแม้นิกรจะพยายามประจบประแจงอย่างไรก็ตาม นิกรอุตส่าห์ซื้อกล้วยไม้ราคาพันกว่าบาทมาให้ท่าน เจ้าคุณปัจจนึกฯรับเอาไว้แต่ไม่ยอมพูดกับนิกร
ในที่สุดนิกรก็ใช้วิธีกระเซ้า แกล้งแหกปากร้องตะโกนในเรื่องที่เกี่ยวกับศีรษะของท่าน บางทีก็สวมหัวล้านจำลองเดินเล่นรอบๆบ้าน เอาผ้าห่มยัดไว้ที่หน้าท้องให้พลุ้ย จะได้เหมือนเจ้าคุณปัจจนึกฯ
“ช่างมัน” เจ้าคุณปัจจนึกฯพูดกับตัวเอง “มันอยากกระเซ้าก็เชิญกระเซ้า ต้องเอาให้เจ็บอ้ายนี่”
แล้วเจ้าคุณปัจจนึกฯก็เริ่มต้นบันทึกไว้ว่า นิกรล้อเลียนท่านอย่างไรบ้าง ขณะนั้นมีใครเห็นบ้าง ในที่สุด ท่านก็แอบไปปรึกษากับทนายความแห่งสำนักงานผลประโยชน์ของท่าน เพื่อจะฟ้องนิกรเป็นจะเลยในคดีหมิ่นประมาท และหลังจากนั้นก็ให้ประไพฟ้องหย่านายการุณวงศ์ต่อไป
ตอนสายวันนั้นเอง ขณะที่เจ้าแห้วทำความสะอาดรถอยู่หน้าโรงเก็บ เจ้าพนักงานเดินหมายศาลแต่งเครื่องแบบเรียบร้อยคนหนึ่งก็เดินเข้าในบ้าน ‘พัชราภรณ์’
เจ้าแห้วแลเห็นเข้าก็สะดุ้งเฮือกนัยน์ตาเหลือก มันไม่เป็นมงคลเลยในเมื่อเจ้าพนักงานที่แต่งเครื่องแบบชนิดนี้เข้าไปในบ้านใคร
ชายกลางคนเดินเข้ามาหยุดยืนข้างหน้าเจ้าแห้วแล้วกล่าวถามเบาๆ
“นี่บ้านพัชราภรณ์ใช่ไหมคุณ”
เจ้าแห้วกลืนน้ำลายเอื๊อก มีที่ท่าเหมือนกับจะเป็นลม
“ใช่ครับ โอย…เจ้านายผมถูกฟ้องล้มละลายหรือครับนี่”
คดีหย่าร้าง ๙
พนักงานเดินหมายศาลหัวเราะ
“เปล่าคุณ คดีอื่น ไม่ใช่คดีล้มละลายหรือยึดทรัพย์ นายนิกร การุณวงศ์ อยู่บ้านนี้ใช่ไหมครับ”
“ครับ อยู่ที่นี่ เรื่องอะไรคุณ”
“เรื่องหมิ่นประมาท เวลานี้ตัวนายนิกรอยู่หรือเปล่า”
“อยู่ครับ”
“ดีแล้ว คุณช่วยเอาหมายไปให้เซ็นรับหน่อยนะครับ”
เจ้าแห้วยื่นมืออันสั่นเทารับหมายศาล แล้วก็วิ่งจู๊ดตรงไปที่ตึกใหญ่ ขึ้นบันไดหน้าตึกเข้ามาในห้องโถง แลเห็นสี่สหายกำลังนั่งสนทนากัน เตรียมตัวจะไปทำงาน แต่ยังดื่มน้ำชากันอยู่
เจ้าแห้วปราดเข้ามาหานายการุณวงศ์
“รับประทานคุณโชคร้ายเสียแล้วละครับ รับประทานเมื่อคืนฝันอะไรหรือเปล่า”
นิกรจุปาก ขยับเท้าจะเตะเจ้าแห้ว
“มึงมีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะวะ พูดอ้อมค้อมเดี๋ยวก็จะโดนเตะ นั่นจดหมายของข้าหรือ”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“รับประทานหมายครับ ไม่ใช่จดหมาย รับประทานเจ้าหน้าที่เดินหมายเขาเอามาส่งให้ เซ็นรับเสียหน่อยเถอะครับ”
นิกรหน้าตื่น
“อื๋อ ข้าไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครนี่หว่า” แล้วนิกรก็หยิบปากกาหมึกซึมที่เหน็บกระเป๋าออกมาเซ็นรับ ลงวันที่ เดือน ปี เรียบร้อยส่งให้เจ้าแห้ว “เอ้า – เอาไปให้เขา เอ – ใครฟ้องกูหว่า”
เจ้าแห้วถือใบรับลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องโถง นิกรรีบฉีกซองกระดาษตราครุฑออก ดึงกระดาษในนั้นซึ่งเป็นคำสั่งของศาลออกมาอ่าน แล้วนายจอมทะเล้นก็หัวเราะก้าก เงยหน้ามองดูเพื่อนเกลอของเขา
“เฮ้ย คุณพ่อฟ้องกันโว้ย กันตกเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาทแล้ว น่ากลัวจะติดคุกคราวนี้ แต่ก็ดีเหมือนกัน อยู่นอกคุกมานานแล้ว ลองย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในคุกบ้าง”
พลดึงหมายศาลมาจากมือนิกรแล้วอ่านดังๆ อาเสี่ยกิมหงวนหน้าจ๋อย เต็มไปด้วยความห่วงใยนิกรทันที
“แย่ละ อ้ายกร แกมันไม่ควรแกว่งปากหาเท้าเลยนี่นา อยู่ดีๆไม่ว่าดีโกรธกับพ่อตา แล้วยังกระเซ้าท่านต่างๆนานา ท่านก็ฉิวซีวะ เอ – หาทางประนีประนอมเถอะวะ ขึ้นไปขอโทษท่านเถอะ ท่านจะได้ถอนฟ้อง”
นิกรยิ้มแป้น
“เสียใจ คำว่าขอโทษไม่มีในปทานุกรมของกัน คนอย่างอ้ายกร ถ้าใครตั้งตนเป็นศัตรูกับกันแล้วก็ต้องเป็นศัตรูด้วย กันถือคติธรรมประจำชาติ ไทยเป็นมิตรที่ดีที่สุดและร้ายที่สุดต่อศัตรู กันพร้อมแล้วที่จะเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาท หน็อยแน่ ฟ้องกันได้ นี่แหละไหมล่ะ โบราณว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจพ่อตา”
ดร.ดิเรกขมวดคิ้วย่น
“ยูอย่าทำเป็นเล่นไป เท่าที่ศาลประทับรับฟ้องก็หมายความว่าคดีมีมูล วันที่ ๒๔ นี้ แกจะต้องไปศาลตามที่ศาลนัด”
นิกรถามว่า “ไม่ไปได้ไหม”
คดีหย่าร้าง ๑๐
ดร.ดิเรกพยักหน้า
“ไม่ไปก็ได้ ถ้าหากว่าแกยอมติดคุกฐานขัดคำสั่งศาล”
“ว้า…ยุ่งฉิบหายเลยโว้ย คุณพ่อนี่เห็นจะต้องแกล้งเอาฝิ่นเถื่อนไปซ่อนไว้ในห้อง บอกให้ตำรวจมาจับ ม่ายก็กระซิบตำรวจบอกว่าคุณพ่อเป็นหัวหน้าคอมมิวนิสต์ หรือม่ายก็หาว่าคิดร้ายต่อรัฐบาล”
ในเวลาเดียวกันนี้เอง เจ้าคุณปัจจนึกฯก็พาตัวเดินลงบันไดมา ท่านแต่งสากลเรียบร้อยกำลังจะไปเยี่ยมเพื่อนท่านคนหนึ่งทางบางกะปิ
นิกรร้องขึ้นดังๆ
“โว้ย เหม็นเขียวโว้ย เสียงนกตะกรุมร้องที่ไหนวะ อ้ายหงวน”
อาเสี่ยค้อนขวับ
“ไมรู้โว้ย ข้าไม่เกี่ยว ประเดี๋ยวจะพลอยเข้าปิ้งไปด้วย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯยกมือเท้าสะเอวมองดูนิกรอย่างผู้พิชิต
“เชิญคุณล้อผมเสียให้พอ”
นิกรหัวเราะกวนโทโส
“เปล่าคับ ผมไม่ได้ล้อใต้เท้า ผมล้ออาเขยของผมซึ่งหัวล้านเหมือนกัน ใต้เท้าไม่ได้หัวล้านคนเดียว จะได้สงวนลิขสิทธิ์”
พล พัชราภรณ์ ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเจ้าคุณปัจจนึกฯด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“คุณอาครับ พนักงานเดินหมายเขาเอาหมายศาลมาส่งให้อ้ายกรเดี๋ยวนี้เอง คุณอาจะเอาอ้ายกรเข้าตะรางได้ลงคอหรือครับนี่”
เจ้าคุณปัจจนึกฯหัวเราะ
“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แกอย่าลืมว่าอาเป็นพระยาพานทอง มียศเป็นนายพลโททหารบก”
“แหม ใหญ่โตซะด้วย” นิกรกระเซ้า
เจ้าคุณทำปากจู๋ เผลอตัวตะโกนด่าออกมา
“อ้ายห่า”
คราวนี้นายจอมทะเล้นหัวเราะเสียงอหาย
“ฟัง ฟังนะ ทุกคนช่วยเป็นพยานให้ด้วย เจ้าคุณปัจจนึกฯด่ากันว่าอ้ายห่า หมิ่นประมาทกันอย่างสิ้นดี พรุ่งนี้กันจะยื่นฟ้อง”
เจ้าคุณหน้าจ๋อย
“ฉันไม่ได้ออกชื่อแก หมิ่นประมาทยังไง ห่าคือเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่เราเรียกกันว่าอหิวาต์ ไม่ใช่คำหยาบคายอะไร เชิญไปฟ้องเถอะ”
“อ๋อ ฟ้องซีครับไม่ต้องท้า เอาละ ลองมาค้าความกันเล่นสนุกดีเหมือนกัน นึกว่าช่วยให้ทนายความมีอัฐใช้ ผมยอมสู้ความเต็มที่ คุณพ่อกับผมต้องเป็นศัตรูกันตลอดชาติ”
“เอซีวะ ฉันไม่แคร์เลย”
คดีหย่าร้าง ๑๑
“ก็แน่ละซี คุณพ่อหัวล้านแดงแจ๋ยังงี้จะต้องมาแคร์อะไรกับผม”
เจ้าคุณขบกรามกรอด ปราดเข้ามายกเท้าจะเตะนิกร
“เดี๋ยวพ่อกระทืบตายเลย”
นิกรเอ็ดตะโรลั่น
“บอกกล่าวนะเจ้าข้า เจ้าคุณปัจจนึกฯจะทำร้ายร่างกายข้าพเจ้า”
“ก็มึงเสือกล้อกูทำไม”
นิกรเอียงคออมยิ้ม
“ล้อนิดก็ไม่ได้ แหม –”
กิมหงวนพูดเสริมขึ้น
“คุณอาโกรธมันก็เตะมันหรือตีกบาลมันก็ได้นี่ครับ ไม่น่าจะถึงกับฟ้องร้องเลย ดีไม่ดีอ้ายกรติดคุกเท่านั้น”
“ช่างมัน ข้ากับอ้ายกรตัดขาดกันแล้ว”
“อ้าวๆๆ” นิกรเอ็ดตะโร “เรียกผมอ้าย หมิ่นประมาทนะครับ ตะกี้ด่าผมว่าอ้ายห่า แล้วยังเรียกผมอ้ายอีก พรุ่งนี้ผมฟ้องรวม ๒ กระทงเลย”
“เชิญ เชิญมึงฟ้อง ถุย – อ้ายลูกเขยจ๊อกกะร้อก”
นิกรอมยิ้ม
“ก็พ่อตาจั๊กกะแร้ ลูกเขยก็ต้องจ๊อกกะร้อกซีครับ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯเผลอตัวหัวเราะหึๆ
“กูไม่อยากพูดกับมึง” พูดจบท่านก็เดินออกไปทางหน้าตึก
ดร.ดิเรกลุกขึ้นวิ่งตามมายึดแขนพ่อตาของเขาไว้
“ป๋า ฟังผมก่อน เจ๊กว่ากินขี้หมาดีกว่าเป็นความนะครับ แล้วอ้ายกรมันไม่ใช่คนอื่น คิดดูบ้างซีครับว่าถ้ามันติดคุก มันจะลำบากยากเย็นเพียงใด คุณพ่ออย่าทำเหมือนอย่างท่านมหาราชานันทกุมารคงคาวดีเลยครับ”
ท่านเจ้าคุณลืมตาโพลง
“มหาราชาตวักตะบวยอะไรไม่อยากฟัง พ่อได้ยื่นฟ้องไปแล้ว สุดแต่ศาลจะพิจารณา” แล้วท่านก็เดินออกไปทางหน้าตึก
ดร.ดิเรกกลับมานั่งตามเดิม มองดูนายจอมทะเล้นด้วยความเป็นห่วง แต่นิกรไม่ได้มีทีท่าวิตกเป็นทุกข์อะไรเลย
“อ้ายกร” กิมหงวนพูดยิ้มๆ “เย็นนี้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาท่านเสียเถอะวะ อย่าถึงกับให้ขึ้นโรงขึ้นศาลเลยน่า ความจริงแกก็พูดล่วงเกินหมิ่นประมาทท่านมาก มันก็น่าให้ท่านโกรธหรอก”
“โกรธก็โกรธซีวะ ไม่ยอมขมาเด็ดขาด กันเชื่อว่าคนในบ้านนี้ คงไม่มีใครเป็นพยานให้ท่านหรอก คดีอาญาน่ะเกี่ยวกับพยานหลักฐาน พยานให้การแตกต่างกันนิดเดียวศาลก็ยกฟ้อง แกคอยดูลวดลายของกันในศาลก็แล้วกัน ประเดี๋ยวกันจะไปหาทนายความเตรียมไว้”
พลถามว่า “แกจะให้ใครเป็นทนาย”
คดีหย่าร้าง ๑๒
“ต้องคิดดูก่อน เลือกหาทนายชั้นเยี่ยมเลย ถ้าได้ทนายหัวล้านเป็นดีที่สุด”
นายพัชราภรณ์สั่นศีรษะช้าๆ
“อ้ายกรนี่มันรนหาที่แท้ๆ”
“เออ ช่างกู เป็นความกับพ่อตาเป็นอะไรไปวะ สมมุติว่ากันแพ้ความ ศาลตัดสินเอากันเข้ากรง คุณพ่อก็ต้องรีบร้องเรียนต่อศาล ขอให้เพียงรอการลงอาญา กันคิดว่าเรื่องนี้คงไปขมากันที่ศาลมากกว่า เอาวะ เป็นอะไรเป็นกัน อยู่ว่างๆเป็นความกันเล่นสนุกดีเหมือนกัน ว่าแต่ซักซ้อมกันก่อนเถอะพวกเรา”
“ซักซ้อมยังไง” ดร.ดิเรกถาม
“ถ้าศาลเบิกตัวแกไปเป็นพยาน อย่าเสือกให้การเป็นพยานแก่โจทก์นะโว้ย แอบไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน”
เจ้าแห้วเดินย่องเข้ามาในห้อง นิกรพยักหน้าเรียกให้เข้ามาหา เจ้าแห้วทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเบื้องหน้าสี่สหาย
“รับประทานถูกฟ้องเรื่องอะไรครับ”
นิกรหัวเราะ
“คุณพ่อท่านฟ้องข้าหมิ่นประมาท อ้ายแห้ว เอ็งคงจะต้องเป็นพยานสำคัญในคดีนี้ อย่าให้การปรักปรำข้านา ต้องตอบว่าไม่รู้ไม่เห็น แล้วข้าจะจ่ายทรัพย์ให้เอ็ง ๕๐๐ บาท”
เจ้าแห้วยิ้มแป้น
“รับประทานไม่ต้องกลัวครับ อย่างมากก็ติดคุก ๓ เดือนเท่านั้น รับประทานผมเอาข้าวไปส่งเอง”
นิกรแยกเขี้ยว
“ข้าหวังชนะโว้ย ไม่ได้หวังแพ้ คนอย่างข้าถ้าติดคุก ออกมาข้าก็ต้องเป็นอ้ายเสือ เอ – ชักกลุ้มใจเสียแล้วโว้ย เสืออยู่ดีๆเอาไม้ไปกระทุ้งก้นเสือ” แล้วนิกรก็ถือหมายศาลลุกขึ้นยืน “ท่ามันติดคุกแน่ กันเขียนการ์ตูนไว้หลายแผ่น คุณพ่อรวบรวมส่งไปให้ศาลหมดแล้ว แต่ว่า ถ้าติดคุกละก็ คุณพ่อต้องตายแน่ อ้ายกรจะต้องแหกคุกออกมาเอาชีวิตเสีย ขุนโจรนิกรจะต้องแก้แค้นพ่อตา……”
พลโบกมือ
“พอแล้ว มากไป ขึ้นไปหาคุณพ่อคุณแม่เถอะ เล่าให้ท่านฟังว่าแกถูกคุณอาฟ้อง ท่านจะได้หาทางไกล่เกลี่ย”
“เออ จริงโว้ย คิดไปคิดมาชักกลัวตะรางโว้ย” พูดจบนายจอมทะเล้นก็พาตัวเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ คุณหญิงวาด และสี่นางตกใจไปตามกันเมื่อทราบจากนิกรว่า เจ้าคุณปัจจนึกฯยื่นฟ้องเขาเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานหมิ่นประมาท ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ทุกคนช่วยกันพูดอ้อนวอนเจ้าคุณปัจจนึกฯให้ถอนฟ้อง แต่ท่านเจ้าคุณบอกว่าท่านจะถอนฟ้องก็ต่อเมื่อนิกรนำตอกไม้ธูปเทียนมากราบลุกะโทษท่าน และยอมให้ท่านเตะอีก ๒๐ ที
ประภา ภรรยาของดร.ดิเรกเป็นตัวตั้งตัวตีในกรณีพิพาทระหว่างพ่อกับน้องเขย นิกรยอมตกลงในเรื่องขมา แต่ไม่ยอมให้เจ้าคุณปัจจนึกฯเตะ
“คิดดูเถอะครับพี่ภา ถ้าท่านเตะผม ๒๐ ที วัณโรคก็ต้องเจี๊ยะผมเท่านั้นเอง ดีไม่ดีจะต้องไปนอนโรง
คดีหย่าร้าง ๑๓
พยาบาลเป็นเดือน ผมยอมเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาก็ดีแล้วนี่ครับ”
ประภานำคำพูดของนิกรมาเรียนให้เจ้าคุณปัจจนึกฯทราบ
“ไม่ได้ๆๆๆ” เจ้าคุณพูดตัดบท “ต้องยอมให้พ่อเตะ ๒๐ ที พ่อถึงจะถอนฟ้อง ขมาอย่างเดียวไม่หายเจ็บใจ”
ประภาขอร้องให้ พล กิมหงวน และ ดร.ดิเรก ช่วยพูดกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ เสี่ยหงวนขอให้ท่านเจ้าคุณเตะนิกรเพียง ๑๐ ที เจ้าคุณปัจจนึกฯไม่ตกลง ท่านบอกว่า ท่านลดให้อย่างมากเพียง ๕ ทีเท่านั้น
การต่อรองในเรื่องเตะไม่เป็นที่ตกลงกันได้ มิหนำซ้ำ นิกรยังแกล้งแหกปากเอ็ดตะโรลั่นบ้าน
“ไม่ขมงขมาละโว้ย ฟ้องเป็นฟ้อง เหม็นเขียวหัวล้านจริงโว้ย เจ้าข้า พระอาทิตย์ขึ้น ๒ ดวงแดงแจ๋เลย เอา – ทิงโจ๊ะถีดทิง ตำมะทิ่ง โยนกบ โช้ดโช้ หัวล้านๆๆ เอาวา…หัวล้านๆๆๆ ยอมติดตะรางโว้ย ตาบอดได้แว่น หัวล้านได้หวี เส้นผมไม่มี หยิบหวีโยนทิ้ง”
เป็นอันว่าเจ้าคุณปัจจนึกฯไม่ยอมถอนฟ้องอย่างเด็ดขาด
“ให้เอาเงินมากองสูงเท่าภูเขา กูก็ไม่ยอมถอนฟ้อง” เจ้าคุณปัจจนึกฯตะโกนขึ้นลอยๆ “ฟัง – ทุกคนฟัง หมามันเห่าวันยันค่ำ สารพัดที่มันจะว่า กูเจ็บใจนัก ต้องเอาอ้ายหมาตัวนี้เข้าตะรางให้ได้”
เจ้าแห้วเก็บคำพูดของเจ้าคุณปัจจนึกฯทั้งหมดมากระซิบกระซาบเพ็ดทูลนิกร นายจอมทะเล้นแหกปากตะโกนขึ้นไปบนตึก
“มือชั้นนี้แล้ว พูดแล้วไม่กลัว ถ้ากลัวแล้วไม่พูด ระวังให้ดี ต้องจ้างคนตาบอดฟันหัวให้ได้”
การไกล่เกลี่ยไม่เป็นผลแล้ว เจ้าคุณปัจจนึกฯตัดสินใจบุกข้ามเส้น ๓๘ คือไม่ยอมถอนฟ้อง นิกรรีบวิ่งเต้นหาทนายความชื่อดังเตรียมสู้ความเต็มที่ ทั้งโจทก์และจำเลยไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากยุ่งกับเรื่องนี้
ในที่สุดก็ถึงวันนัดของศาล
ฉากของเราเปิดขึ้นที่ศาลในเวลา ๑๐.๐๐ น.ตรง ภายในห้องพิจารณาคดี คณะพรรคสี่สหายอยู่กันพร้อมหน้า เว้นแต่นิกรคอยต้อนรับทนายของเขาอยู่หน้าศาล คดีนี้ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาปะปนในห้องพิจารณาเลย นอกจากจ่าศาลและตำรวจแก่ๆหนึ่งคน ซึ่งเป็นตำรวจประจำศาล
ขณะนี้ผู้พิพากษายังไม่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์
เจ้าคุณปัจจนึกฯแต่งชุดสีขาวนั่งอยู่ใกล้บัลลังก์ กำลังปรึกษากับทนายเบาๆ ทนายของเจ้าคุณปัจจนึกฯคือพระชำนาญทนายกิจ ว่าความเก่งมาก คุณพระรับรองว่าความเรื่องนี้เจ้าคุณปัจจนึกฯชนะ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
บนม้านั่งผู้ฟังคดี คณะพรรคสี่สหายพูดกันเสียงจ้อกแจ้กจอแจ เจ้าคุณวิจิตรฯกับเจ้าสัวกิมไซนั่งอยู่หลังสุด กำลังนินทาเจ้าคุณปัจจนึกฯ
“เจ้าคุงปัจจนึกฯอีเต็มที ฟ้องกระทั่งลูกเขย” เจ้าสัวพูดเสียงกระซิบ “เรื่องนิกเลียว เอาเป็งเรื่องใหญ่ เค้าเป๋ เสียเวลา”
เจ้าคุณวิจิตรฯพยักหน้าหงึกๆ
“เลยไม่กล้าเข้าหน้าฉัน ท่าจะกระดากที่ฟ้องอ้ายกร ความจริงลูกชายฉันมันก็ระยำ ทะลึ่งไม่รู้จักเด็กผู้ใหญ่”
กิมหงวนลุกขึ้นเดินกลับมานั่งข้างลุงของเขา
คดีหย่าร้าง ๑๔
“อาแป๊ะ ประเดี๋ยวผู้พิพากษาจะออกมาขึ้นบัลลังก์แล้ว อย่าส่งเสียงเอะอะหรือขากเสลดนะจะบอกให้ ดีไม่ดี เป็นการหมิ่นประมาทศาล ติดตะรางเลย”
เจ้าสัวลืมตาโพลง
“รู้น่อ ไม่ต้องบอก จองหองเสียใหญ่เลี้ยว ชั้งแก่จงหัวหงอกเลี้ยว ชั้งต้องรู้ธรรมเนียมลี”
เสี่ยหงวนหัวเราะ
“ฉันเตือนอาแป๊ะก็เพราะกลัวว่าจะเผลอตัว”
นิกรของเรามาแล้ว นายจอมทะเล้นแต่งสากลชาร์คสกินสีไข่ไก่ ส่วนสุภาพบุรุษสูงอายุที่เดินตามนิกรเข้ามาคือหลวงรอบรู้นิติศาสตร์ ทนายความกระดูกเหล็ก รูปร่างอ้วนเตี้ยท้องพลุ้ย และศีรษะล้านแดงแจ๋เช่นเดียวกับท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ แต่ไม่เป็นมัน คงเป็นสีคล้ายกับช้ำเลือดช้ำหนอง
คณะพรรคสี่สหายหัวเราะคิกคักไปตามกันเมื่อเห็นทนายความของจำเลยซึ่งแต่งชุดสากลสีเทา มือขวาถือเสื้อครุยเนติบัณฑิต
หลวงรอบหยุดชะงักกลางศาล จ้องตาเขม็งมองดูทนายโจทก์ซึ่งเป็นคู่อริกับเขามานานแล้ว
“เฮ้…สวัสดีหลวงรอบฯ” คุณพระชำนาญฯกล่าวทัก “ในที่สุดเราก็พบกันอีก ความเรื่องนี้สนุกแน่”
“แน่นอนคุณพระ ถ้าผมแพ้คุณพระ ผมยอมเอาหัวเดินต่างเท้า”
“ถึงยังงั้นเชียวหรือ สำหรับผม ถ้าแพ้คุณหลวง ผมจะเลิกหากินทางทนายความอย่างเด็ดขาด”
หลวงรอบฯกับนิกรนั่งลงบนม้ายาวทางซ้ายของบัลลังก์ คุณหลวงปลอบใจลูกความของเขาไม่ให้เสียขวัญ
“ทำใจให้เป็นปกติเถอะครับคุณนิกร อย่างมากก็ติดตะรางเท่านั้น ถ้าคุณติดตะราง ผมยินดีจะส่งข้าวคุณโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆจนกว่าคุณจะพ้นโทษ ลูกความของผมอยู่ในคุกเยอะแยะ ผมจะช่วยฝากฝังให้”
นิกรหัวเราะ
“คุณหลวงพยายามว่าความให้ผมชนะดีกว่า อย่าให้ผมติดคุกเลยครับ จุ๊ๆ ศาลออกมาแล้ว”
ผู้พิพากษาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมรวม ๒ ท่านพากันเดินออกมาจากห้องทางซ้ายมือและขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ คณะพรรคสี่สหายทั้งหมดต่างลุกขึ้นยืนกระทำความเคารพศาล เมื่อผู้พิพากษานั่งประจำบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็นั่งลงตามเดิม แล้วความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วห้องพิจารณา ได้ยินแต่เสียงพลตำรวจประจำศาลเคี้ยวหมากจั๊บๆแข่งกับคุณหญิงวาด
ท่านผู้พิพากษาคนทางซ้ายกระซิบกับคนที่นั่งทางขวา
“แย่จริง ท่านขุน พระอาทิตย์ขึ้นแข่งกันตั้ง ๓ – ๔ ดวง”
คนที่นั่งทางขวา ขุนนิติธรรมวิจิตร หัวเราะหึๆ เปิดแฟ้มสำนวนขึ้น เงยหน้ามองมาข้างหน้า
“โจทก์ จำเลย พร้อมกันแล้วหรือ ไหน โจทก์อยู่ที่ไหน”
นิกรรีบลุกขึ้นยืน
“กระผม – จำเลยครับ”
ผู้พิพากษาที่นั่งทางซ้าย หลวงประสิทธิ์ดุลยธรรม ยกมือตบบัลลังก์แล้วดุนายการุณวงศ์
“ศาลถามถึงโจทก์ ไม่ได้ถามถึงจำเลย”
นิกรนั่งลงตามเดิม ทำหน้าแหย เจ้าคุณปัจจนึกฯยิ้มเยาะนิกร แล้วลุกขึ้นยืน
คดีหย่าร้าง ๑๕
“ผมครับ เป็นโจทก์ พระยาปัจจนึกพินาศ”
กิมหงวนพูดเสริมขึ้นเบาๆ
“นามเดิม อู๊ด ศิริสวัสดิ์”
เจ้าคุณปัจจนึกฯทรุดตัวลงนั่ง หันมาทำปากหมุบหมิบด่าเสี่ยหงวน ขุนนิติธรรมฯผู้พิพากษากล่าวขึ้นด้วนเสียงกังวาน
“คดีนี้เป็นคดีเล็กน้อย ระหว่างพ่อตากับลูกเขย ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องจุกจิกภายในครอบครัวมากกว่า ศาลจะอ่านฟ้องของโจทก์ให้จำเลยฟัง และถ้ามีทางประนีประนอมกันได้ก็จะดีมาก”
ท่านผู้พิพากษาอ่านสำนวนฟ้องของโจทก์ดังต่อไปนี้
“คดีเขียวที่ ๕๐๐/๒๔๙๔ ระหว่าง พลโทพระยาปัจจนึกพินาศ โจทก์ นายนิกร การุณวงศ์ จำเลย โจทก์ขอยื่นฟ้องต่อศาลดังความละเอียดในฟ้องนี้คือ จำเลยเป็นบุตรเขยของโจทก์ ได้บุตรสาวคนเล็กของโจทก์เป็นภรรยามานานแล้ว กี่ปีโจทก์จำไม่ได้ โจทก์กับจำเลยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน นิสัยของจำเลยเป็นคนทะลึ่ง ชอบล้อเลียนโจทก์เสมอ ในเรื่องที่เกี่ยวกับศีรษะของโจทก์ ทั้งนี้เพราะโจทก์ศีรษะล้าน
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ศกนี้ เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น.เศษ เงินของโจทก์ที่เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะในห้อง ๓,๐๐๐ บาทหายไปทั้งหมด โจทก์เข้าใจว่าจำเลยขโมยเงินนี้ ซึ่งจำเลยมีนิสัยทราม ชอบขโมยเงินเสมอ โจทก์ถามไม่รับจึงด่ากราด และโจทก์ได้ขอร้องให้บุตรสาวคนเล็กของโจทก์เลิกกับจำเลย จำเลยรู้เข้าโกรธมาก ควักมีดไล่แทงโจทก์ แต่มีเหตุสุดวิสัยมาขัดขวางเสีย
ต่อมา โจทก์กับจำเลยไม่พูดกัน จำเลยได้ซื้อหัวล้านจำลองมาใส่ล้อเลียนโจทก์ ตะโกนว่าโจทก์หัวล้านเหม็นเขียว จะเอาขี้หมาละเลงหัวโจทก์บ้าง ยิ่งกว่านี้ จำเลยยังได้ขังโจทก์ไว้ในห้องส้วมถึง ๔ ชั่วโมง เป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำให้โจทก์เสื่อมเสียอิสรภาพ เพราะฉะนั้น โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาล ในฐานที่จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ กักขังโจทก์ ทำให้โจทก์หมดอิสรภาพ ทั้งนี้ จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา ๑๐๔ ขอให้ศาลได้โปรดลงโทษประหารชีวิตจำเลยเสีย หรือมิฉะนั้น ก็ให้จำคุกตลอดชีวิต
ลงนาม พระยาปัจจนึกพินาศ โจทก์
หมายเหตุ สำนวนฟ้องนี้ ข้าพเจ้า พระชำนาญทนายกิจ ทนายความเป็นผู้เรียบเรียง
ลงนาม พระชำนาญทนายกิจ”
นิกรหน้าตาแดงก่ำเพราะความโกรธ เขารีบลุกขึ้นยืนก้มศีรษะคำนับศาล แล้วพูดขึ้นทันที
“กระผมขอเรียนต่อศาลว่า โจทก์ฟ้องเคลือบคลุม และเจตนาที่จะให้ศาลลงโทษกระผม ราวกับว่าเป็นการลงโทษพวกคอมมิวนิสต์ ความผิดเพียงหมิ่นประมาท หน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ถึงกับประหารชีวิตเชียวหรือครับ”
หลวงประสิทธิ์ดุลยธรรมทำตาเขียวกับจำเลย
“นั่ง ศาลยังไม่ได้ซักถามอะไร ไม่ต้องพูด”
“อ้าว ไม่พูดแล้วศาลจะรู้เรื่องหรือครับ”
“เอ๊ะ” หลวงประสิทธิ์ฯเอ็ดตะโร “จำเลยจงสังวรไว้ว่า ที่นี่เป็นศาล ไม่ใช่ร้านกาแฟหรือโรงยาฝิ่น ใครมีปากนึกจะพูดอะไรก็ตามใจชอบ การขัดคำสั่งศาลหรือดูหมิ่นศาล ย่อมมีความผิดตามกฎหมาย”
คดีหย่าร้าง ๑๖
นิกรบ่นพึมพำเบาๆ
“แก่กฎหมายเกินไปแล้ว หลวงประสิทธิ์ฯนี่เก๊กเหลือเกินพับผ่า ทำราวกับว่าไม่เคยรู้จักกัน พบกันที่บ้านเจ๊หนอมบ่อยๆ คุณนิกรยังงั้น คุณนิกรยังงี้ คนไหนดีคนไหนไม่ดี คุยจ้อ”
หลวงประสิทธิ์ฯกับขุนนิติธรรมฯหันหน้ามาปรึกษากัน สักครู่หนึ่งขุนนิติธรรมฯก็กล่าวกับจำเลย
“ศาลเห็นว่า เรื่องนี้น่าจะมีการประนีประนอมกันได้ เพราะ โจทก์กับจำเลยไม่ใช่คนอื่น พ่อตากับลูกเขย ญาติกันแท้ๆ ไม่น่าจะถึงกับฟ้องร้องกัน ถ้าจำเลยรับว่าจะยอมขมาโจทก์ ศาลจะช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้”
นิกรลุกขึ้นยืน แล้วตอบอย่างฉาดฉาน
“ไม่ยอมครับ”
หลวงประสิทธิ์ฯพยักหน้า
“ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้น ศาลขอพิพากษาตัดสินจำคุกจำเลย ๒ ปี ๖ เดือน ในความผิดฐานหมิ่นประมาทและหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสื่อมเสียอิสรภาพ ตำรวจ เอาตัวจำเลยไป”
นายการุณวงศ์สะดุ้งเฮือก แล้วหัวเราะ
“เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวครับ ข้าแต่ศาลผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม เดี๋ยวนี้ศาลใช้วิธีตัดสินเอาง่ายๆอย่างนี้หรือครับ ไม่ต้องสืบพยิงพยานอะไร อ่านฟ้องจบตัดสินโครม ยังงั้นหรือครับ”
หลวงประสิทธิ์ฯยิ้มแหยๆ
“เออ จริงๆๆ ขอโทษที ศาลเผลอไป เมื่อคืนนี้เมามากไปหน่อย สมองเลยมึนงง”
ขุนนิติธรรมฯหันมาค้อนเพื่อนผู้พิพากษา
“คุณหลวงทำยังงี้เสียเหลี่ยมศาลหมด นั่งเฉยๆเถอะ ผมพิจารณาเอง คุณหลวงคอยช่วยทักท้วงผมก็แล้วกัน” แล้วท่านขุนก็หันมาทางโจทก์คือพระยาปัจจนึกฯ “ที่ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์นั้น จำเลยกระทำอย่างใดบ้าง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯลุกขึ้นยืน
“จำเลยซื้อหัวล้านมาใส่ครับ แล้วตะโกนว่ากระผมหัวล้านเหม็นเขียว ล้อเล่นต่างๆนานา”
ศาลพยักหน้า
“แล้วจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ได้อย่างไร เล่าให้ละเอียด”
“คือยังงี้ครับ” เจ้าคุณปัจจนึกฯพูดโดยเร็ว
“ตอนเช้าวันนั้น ผมเข้าไปในห้องส้วม………”
“เข้าไปทำไม”
ศาลถาม
“เข้าไปส้วมครับ”
“แล้วยังไง เล่าต่อ ส้วมออกหรือเปล่า”
“๒ ก้อนครับ ขณะที่ผมกำลังส้วมเพลินๆ จำเลยก็เขย่าประตูห้องส้วม ผมร้องตะโกนบอกว่ามีคน จำเลยก็แกล้งใส่กุญแจห้องส้วมเสีย ทำให้กระผมต้องขังตัวเองอยู่ในห้องส้วมเป็นเวลา ๔ ชั่วโมงเศษ”
“นั่งได้” แล้วศาลก็หันมาทางนิกร “จำเลยรู้สึกบ้างไหมว่า การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์เล่าให้ฟังนี้ เป็น
คดีหย่าร้าง ๑๗
การหมิ่นประมาท และทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ”
นิกรลุกขึ้นยืนแถลงต่อศาล
“ไม่ผิดกฎหมายอะไรนี่ครับ การซื้อหัวล้านจำลองมาใส่เล่น ไม่มีกฎหมายห้าม ผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะซื้อมันมาใส่เล่น มีสิทธิ์ที่จะซื้อนกตะกรุมมาเลี้ยงสัก ๒ – ๓ ฝูง มีสิทธิ์ที่จะปลูกต้นมะอึกไว้ดูเล่น”
กิมหงวนลุกขึ้นยืนแถลงต่อศาลบ้าง
“กระผมเห็นว่า จำเลยในคดีนี้ไม่มีความผิดอะไรเลย ขอให้ศาลตัดสินยกฟ้องปล่อยตัวจำเลยไปเถอะครับ นึกว่าปล่อยลูกนกลูกกาเอาบุญ”
ผู้พิพากษาทั้ง ๒ คนหัวเราะหึๆ
“นั่งลง” หลวงประสิทธิ์ฯดุกิมหงวน “เราไม่มีหน้าที่ที่จะพูดอะไรรู้ไหม ศาลมิได้ถามเลย เราน่ะเป็นใคร”
“ฮี้” อาเสี่ยร้องลั่น “คุณหลวงอย่าเก๊กให้มากนักเลยครับ ร่วมกินร่วมเที่ยวมาด้วยกันตั้งหลายหน ยังทำเป็นจำไม่ได้” แล้วอาเสี่ยก็ทรุดตัวลงนั่งตามเดิม หันมาแลบลิ้นหลอกเจ้าสัวกิมไซ
หลวงประสิทธิ์ฯถามจำเลยต่อไป
“จำเลยเคยร้องตะโกนว่าหัวล้านเหม็นเขียวหรือเปล่า”
นิกรรับสารภาพ
“เคยครับ ไม่เป็นการดูหมิ่นอะไร เพราะหัวล้านมันก็ต้องเหม็นเขียว ไม่เชื่อ ศาลลองดมกบาลโจทก์ดูก็ได้ รับรองว่ามีกลิ่นเหม็นตุๆ”
ศาลหัวเราะก้าก
“แต่ถ้าจำเลยมีเจตนาว่าโจทก์ จำเลยก็มีความผิด เอาละ ต่อไปนี้ศาลจะนั่งฟังทนายโจทก์และทนายจำเลยโต้คารมกัน ทนายโจทก์มีทีท่าว่าเปรี้ยวปากมานานแล้ว จะซักถามอะไรก็เชิญ”
พระชำนาญฯ ทนายโจทก์ยิ้มแป้น ลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย จ้องมองดูหน้านิกรแล้วกล่าวขึ้น
“จำเลยจำได้ไหมว่า จำเลยร้องตะโกนว่า หัวล้านเหม็นเขียว รวมทั้งหมดกี่ครั้ง”
นิกรอมยิ้ม
“จำไม่ได้ครับ แต่ว่าร้องน่ะร้องแน่ การร้อง หัวล้านเหม็นเขียว ไม่ผิดกฎหมาย ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ผมทราบดี”
ทนายโจทก์หัวเราะ
“คุณทราบหรือเปล่าว่า การทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เป็นที่ดูหมิ่นเกลียดชังแก่คนทั่วไป ย่อมมีความผิดตามกฎหมาย”
นิกรสั่นศีรษะ
“ยังไงก็มิทราบ ผมเป็นพ่อค้า ผมไม่ได้หากินในทางกฎหมาย”
“เอ๊ะ ตะกี้นี่คุณคุยว่าคุณเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง คุณรู้ข้อกฎหมายดี”
“อ้าว” นิกรเอ็ดตะโร “คุณพระเป็นทนายโจทก์ มีหน้าที่แต่เพียงซักถามผมเท่านั้น มาทำดุผม ประเดี๋ยวผมก็จะเตะเข้าให้เท่านั้นเอง”
คดีหย่าร้าง ๑๘
ผู้พิพากษายกมือตบโต๊ะ
“เฮ้ – มากไปแล้วจำเลย เกรงใจศาลบ้างซิ ที่นี่เป็นศาล ไม่ใช่ก๊วนกัญชา เอะอะจะได้มาเตะกันง่ายๆ”
นิกรหัวเราะ ก้มศีรษะคำนับผู้พิพากษา
“ทนายโจทก์ซักจู้จี้มากไปครับ กระผมขอร้องให้ศาลสั่งห้ามทนายโจทก์ไม่ให้พูดอะไรอีก เพื่อทนายของกระผมจะได้ซักโจทก์บ้าง”
หลวงประสิทธิ์ฯยกมือเกาศีรษะ
“คดีนี้ยุ่งเหลือเกิน เราไม่ได้พิจารณาตาวิธีพิจารณาความเลย ดูคล้ายๆกับศาลเตี้ย”
นิกรอมยิ้ม
“ไม่เป็นไรมิได้ครับ พิจารณาอย่างนี้รวบรัดตัดความดีเหมือนกัน พยานโจทก์และจำเลยก็มากันพร้อมแล้ว ศาลจะสืบพยานทางไหนก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา แล้วก็กระผมขอร้องให้ตัดสินเสียในวันนี้ จะเอาโจทก์เข้าตะรางกี่ปีก็สุดแล้วแต่”
เจ้าคุณปัจจนึกฯเผลอตัวตวาดลั่น
“โจทก์ติดตะรางมีอย่างหรือวะ”
นิกรยิ้มอย่างกวนโทโส
“ทำไมจะไม่มี คุณพ่อฟ้องเท็จ”
“เท็จยังไง ในเมื่อแกหมิ่นประมาทฉัน และกักขังฉัน ทำให้ฉันเสื่อมเสียอิสรภาพ”
ขุนนิติธรรมฯพยักหน้ากับโจทก์และจำเลย
“เอา เอา ทะเลาะกันเข้าซิ ศาลนั่งอยู่นี่ จะหาความเกรงใจสักนิดก็ไม่มี ประเดี๋ยวเอาเข้าตะรางเสียทั้งคู่เลย”
นิกรหัวเราะก้าก
“เอาซีครับ ถ้าติดตะรางทั้งคู่ผมพอใจมาก”
หลวงประสิทธิ์ฯยกมือตบบัลลังก์
“หยุด ไม่ต้องพูดอะไร ต่อไปนี้ศาลอนุญาตให้ทนายจำเลยซักโจทก์บ้าง ว้า – ยุ่งจริงโว้ยคดีนี้ บอกแล้วว่าเราไม่เคยตัดสินความ ดันให้เราขึ้นบัลลังก์ได้”
ขุนนิติธรรมฯกระซิบ
“อย่าเอ็ดไปซี ขายหน้าเขา คุณหลวงกับผมก็หัวอกอันเดียวกันนั่นแหละ”
หลวงรอบฯ ทนายจำเลยเจ้าของร่างอ้วนเตี้ยพุงพลุ้ยศีรษะล้านแดงแจ๋ ลุกขึ้นกระทำความเคารพศาลท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของคณะพรรคสี่สหายเว้นแต่เจ้าคุณปัจจนึกฯและเจ้าคุณประสิทธิ์ฯ หลวงรอบฯหันมาพยักหน้ากับเจ้าคุณปัจจนึกฯ แล้วกล่าวถาม
“การที่จำเลยร้องตะโกนว่า หัวล้านเหม็นเขียว น่ะ โจทก์ได้รับความเสียหายหรืออัปยศอดอายอยางไรบ้าง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯตอบทนายจำเลยอย่างฉาดฉาน
“ความเสียหายมีมาก เพราะทำให้ใครต่อใครหัวเราะเยาะโจทก์ ถึงกับพระยาประสิทธิ์ฯเพื่อนของโจทก์ได้ต่อว่าโจทก์ว่า ทำไมปล่อยให้ลูกเขยล้อเลียนอย่างนี้ ทำให้คนในบ้านเขาหัวเราะเยาะเอา”
คดีหย่าร้าง ๑๙
ทนายจำเลยถามอย่างกวนโมโห
“หัวเราะอย่างไรถึงเรียกว่าหัวเราะเยาะ โจทก์ลองหัวเราะให้ดูซิ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯค้อยขวับ แล้วแหกปากหัวเราะ
“ฮิๆๆๆ นี่ หัวเราะอย่างนี้”
ทนายจำเลยหัวเราะก้ากใหญ่
“หัวเราะอย่างนี้หัวเราะแบบม้า ไม่ใช่หัวเราะเยาะเย้ย การหัวเราะเยาะต้องหัวเราะอย่างนี้ ฮ่าๆๆๆ ฮุๆๆๆๆ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯขบกรามกรอด
“โธ่ อ้ายหัวเลี่ยน”
ทนายจำเลยหัวเราะลั่น
“เจ้าคุณกับผมก็เหมือนกันแหละครับ ใครว่าผมหัวล้านเหม็นเขียว ผมไม่โกรธเลย เพราะมันเป็นความจริง ตามธรรมดา หัวล้านมันต้องเหม็นเขียว”
ศาลยกมือตบโต๊ะ
“นอกประเด็นแล้ว ทนายจำเลย ซักเรื่องที่จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำให้โจทก์เสื่อมเสียอิสรภาพต่อไปซิ”
หลวงรอบฯก้อมศีรษะทำความเคารพศาลอีกครั้งแล้วหันมาทางเจ้าคุณปัจจนึกฯ กล่าวซักต่อไป
“ที่เจ้าคุณว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพนั้น ผมอยากจะเรียนถามว่า ประตูห้องน้ำของใต้เท้า ไม่ได้ติดต่อกับเพดานใช่ไหม เป็นประตูที่กั้นไว้เฉพาะใช่ไหม”
“ถูกแล้ว” เจ้าคุณปัจจนึกฯตอบห้วนๆ
ทนายจำเลยยิ้ม
“แล้วทำไมเมื่อจำเลยใส่กุญแจห้องน้ำ โจทก์ถึงไม่ปีนประตูออกมา”
เจ้าคุณปัจจนึกฯโมโหจนตัวสั่น
“ธุระอะไรผมจะต้องปีน รูปร่างของผมเหมือนกับหมูตกน้ำตาย ผมปีนไหวหรือ”
“อ้าว เมื่อมีทางปีนออกมา เจ้าคุณไม่ปีนออกมาเอง จะมาฟ้องเอาตวักตะบวยอะไรล่ะ จำเลยสัพยอกเล่นต่างหาก ไม่ได้มีเจตนาหน่วงเหนี่ยวกักขัง”
เจ้าคุณปัจจนึกฯหันมาพูดกับศาล
“ขอได้โปรดให้ทนายจำเลยหยุดซักทีเถอะครับ ผมเขม่นทนายจำเลยเต็มทนแล้ว ขืนซักต่อไป ประเดี๋ยวผมก็ยอมติดตะรางเท่านั้น ทนายจำเลยหน้าตากวนอวัยวะเบื้องต่ำของผมมาก”
ผู้พิพากษาทั้ง ๒ คนหัวเราะงอหาย
“เอาละ ต่อไปนี่จะสืบพยานจำเลยก่อน ไหน ใครเป็นพยานจำเลย ยกมือซิ”
คณะพรรคสี่สหายต่างชูมือขึ้นเหนือศีรษะพร้อมๆกัน ศาลพยักหน้ารับทราบ กล่าวถามต่อไป
“แล้วใครเป็นพยานโจทก์ ยกมือขึ้น”
คณะพรรคสี่สหายยกมือขึ้นอีก ขุนนิติธรรมฯถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ว้า…ยังงี้ศาลจะพิจารณายังไงได้ พยานเป็นพยานทั้งสองฝ่ายอย่างนี้ เรื่องมันเห็นจะต้องพิจารณาลับเสียแล้ว”
คดีหย่าร้าง ๒๐
หลวงประสิทธิ์ฯหันมาจุปากดุเพื่อนผู้พิพากษา
“ไม่ต้องลับ พิจารณาเปิดเผยเถอะ ให้ทนายโจทก์ซักพยานจำเลยก็แล้วกัน”
พระชำนาญฯลุกขึ้นยืน เชิญเจ้าคุณประสิทธิ์ฯพยานจำเลยเข้าคอกพยานแล้วซักถาม
“พยานรู้สึกว่า เท่าที่จำเลยร้องตะโกนว่าหัวล้านเหม็นเขียวน่ะ จำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายมากใช่ไหม”
เจ้าคุณประสิทธิ์ฯใส่ไฟนิกรทันที
“ครับ เสียหายมาก เสียหายที่สุด”
นิกรรีบลุกขึ้นยืนแถลงต่อศาลทันที
“ได้โปรดเถอะครับ ท่านผู้นี้เป็นพยานโจทก์ ไม่ใช่พยานจำเลย เล่นปรักปรำยังงี้ผมก็ติดคุกเท่านั้นเอง”
ขุนนิติธรรมฯบอกให้จ่าศาลเชิญพยานออกจากคอก นิกรขออนุญาตศาลให้เบิกตัวเสี่ยหงวนเป็นพยานเขา ศาลอนุญาต กิมหงวนลุกขึ้นคำนับศาล เดินออมยิ้มไปเข้าคอกพยาน จ่าศาลให้อาเสี่ยสาบานตามระเบียบ
พระชำนาญฯ ทนายโจทก์เริ่มซักกิมหงวน
“พยานชื่ออะไร”
เสี่ยหงวนสะดุ้ง
“ฮื้อ…บ๊ะแล้ว คุณพระเป็นทนายประจำสำนักงานผลประโยชน์ของโจทก์ ไม่รู้จักผมมีอย่างรึ ซักไม่เข้าเรื่องเลย”
“ผมต้องซักตามระเบียบ ตอบผมซี คุณชื่ออะไร”
“ชื่อกิมหงวนขอรับ ผู้พิพากษาทั้งสองท่านก็รู้จักผมดี เพราะเจอกันที่บ้านเจ๊หนอมบ่อยๆ เมื่อวันเสาร์ที่แล้วมายังเจอ คุณนายของคุณหลวงประสิทธิ์ฯไปตามที่บ้านเจ๊หนอม คุณหลวงเผ่นออกทางหลังบ้าน ดูซีครับ ที่แก้มยังมีรอยลวดหนามข่วน”
หลวงประสิทธิ์ฯเอ็ดตะโรลั่น
“นอกประเด็นโว้ย ฮึ่ม…เดี๋ยวเอาเข้าตะรางเลย”
อาเสี่ยหน้าจ๋อย ฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้ง ทนายโจทก์ซักต่อไป
“พยานเป็นเพื่อนกับจำเลยใช่ไหม”
“ใช่”
“เป็นเพื่อนชนิดที่เรียกว่าเพื่อนตามกันใช่ไหม”
“ถูกแล้ว”
พระชำนาญฯชำเลืองมองดูศาลซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาจดอะไรยิกๆแล้วซักอาเสี่ย
“พยานเคยได้ยินจำเลยตะโกนว่า หัวล้านเหม็นเขียว หรือเปล่า”
“อ๋อ ได้ยินครับ บางทีผมก็ช่วยจำเลยตะโกนร้องเหมือนกัน เราไม่ได้ว่าใคร เรามีปากก็ร้องเล่น ใครจะหัวล้านหัวเหลืองหัวละเฟื้องสองไพ เราไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง เรามีเสรีภาพในการพูดตามรัฐธรรมนูญ”
“แหม – แก่กฎหมายจริงนะ” ทนายโจทก์ยั่ว
เสี่ยหงวนทำตาเขียว
คดีหย่าร้าง ๒๑
“ถ้าอยากจะรู้ว่าแก่กฎหมายแค่ไหน ออกไปข้างนอกยังได้”
ทนายโจทก์สะดุ้ง
“ผมไม่สู้คุณหรอก ท้าคนแก่ชก มีอย่างที่ไหน”
“อ๋อ แก่กว่าคุณพระผมยังเคยไล่เตะมาแล้ว เอ้า…จะซักอะไรอีกว่ามา ผมไม่แคร์หรอก ผิดนักผมยอมติดตะรางกับจำเลย”
ทนายโจทก์นิ่งอึ้งไปสักครู่
“พยานเคยเห็นจำเลยใส่หัวล้านจำลอง เอาผ้าห่มยัดพุงเดินเล่นรอบๆบ้านหรือเปล่า”
กิมหงวนอดหัวเราะไม่ได้
“ผมเองเป็นคนยุให้จำเลยไปซื้อหัวล้านจำลองมาใส่”
เจ้าคุณปัจจนึกฯโกรธเสี่ยหงวนเหลือที่จะกล่าว ท่านรีบลุกขึ้นยืนแถลงต่อศาลทันที
“กระผมขอฟ้อง นายกิมหงวน เป็นจำเลยอีกคนหนึ่งครับ”
ขุนนิติธรรมฯสั่นศีรษะ
“ไม่ได้ คนละสำนวน คนละเรื่อง เมื่อจะฟ้องก็ต้องฟ้องรวมกันทีแรก ง่า – ทนายโจทก์ซักต่อไป ไม่ต้องฟังเสียงคนอื่น”
พระชำนาญฯยิ้มให้กิมหงวน
“พยานมีเจตนาให้จำเลยลบหลู่ดูหมิ่นโจทก์ใช่ไหม”
“ไม่ทราบ”
“พยานน่าจะทราบ”
“อุวะ บอกว่าไม่ทราบ โธ่ – อ้ายแก่ทรยศนี่ ไม่รู้จะซักหาหอกอะไรกัน”
“ข้าแต่ศาล” ทนายโจทก์ร้องต่อผู้พิพากษา “พยานจำเลยดูหมิ่นกระผม ว่ากระผมอ้ายแก่ทรยศ”
หลวงประสิทธิ์ฯหัวเราะชอบใจ
“พูดว่าอ้ายแก่ทรยศ ไม่เป็นการดูหมิ่นอะไร เพราะทนายไม่เคยทรยศต่อพยาน และความจริง ทนายก็ยังไม่แก่จนเกินไป ธรรมดาพยานเมื่อถูกซักโมโหก็ต้องต่อว่าบ้างละ”
อาเสี่ยยกมือไหว้ศาลทันที
“แหม – แน่ไปเลยครับ ยุติธรรมเหลือเกิน ขอให้ท่านผู้พิพากษาจงเจริญเถอะครับ”
ทนายโจทก์ทรุดตัวนั่งอย่างโมโห
“พอแล้ว เลิกซักกันที”
นิกรพูดเสริมขึ้น
“ตัดสินได้แล้วครับ จะยกฟ้องหรือจะเอาผมเข้าตะรางสักกี่ปีก็สุดแต่กรุณา ผมเบื่อเต็มทนแล้ว เกิดมาเป็นตัวเป็นตนไม่เคยเป็นถ้อยร้อยความกับใครเลย ผมถูกฟ้องคราวนี้ก็เพราะพ่อตาทรยศ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯยกมือชี้หน้านิกร
“พ่อตาทรยศหรือลูกเขยทรยศ พูดให้มันถูกเรื่องหน่อยเถอะวะ”
นิกรว่า “ต่างก็ทรยศด้วยกันแหละครับ”
คดีหย่าร้าง ๒๒
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ ผู้พิพากษาทั้ง ๒ ท่านหันมาปรึกษาหารือกันเงียบๆ
“ว่ายังไง ท่านขุน ตัดสินเสียเลยเรอะ”
ขุนนิติธรรมฯถอนหายใจหนักๆ มองดูโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่าย
“เอายังไงดีล่ะ คนละ ๒ ปีเป็นยังไง เอาเข้าตะรางทั้งโจทก์ทั้งจำเลย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันที”
“ไม่ได้ ท่านขุน เอาโจทก์เข้าตะรางมีอย่างที่ไหน ต้องเอาจำเลยเข้าถึงจะถูก”
ขุนนิติธรรมฯจุปากจิ๊กจั๊ก
“ถ้ายังงั้นคุณหลวงตัดสินก็แล้วกัน ให้ผมเป็นช้างเท้าหลังดีกว่า ผมไม่กล้าตัดสินเอาคนเข้าตะรางหรอก บาปกรรม”
หลวงประสิทธิ์ฯฝืนยิ้ม
“ผมก็ไม่กล้าตัดสิน คุณนิกรแกรู้จักกับเมียผม เดี๋ยวแกเดือดผม จดหมายไปบอกเมียผมว่าผมไปเที่ยวบ้านยายหนอมบ่อยๆ ผมก็บรรลัยเท่านั้นเอง”
ผู้พิพากษาทั้ง ๒ ท่านหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน
“เอายังงี้ดีกว่า” ขุนนิติธรรมฯพูดยิ้มๆ “ผมจะไกล่เกลี่ยให้โจทก์จำเลยปรองดองกัน”
“เออ – ดีเหมือนกันท่านขุน”
ขุนนิติธรรมฯมองดูโจทก์จำเลยทั้งสอง แล้วพูดด้วยเสียงกังวาน
“โจทก์จำเลยฟังทางนี้ คดีนี้ ศาลเห็นว่าควรจะสิ้นสุดลงด้วยการประนีประนอมกัน ดังนั้น ศาลขอให้โจทก์ขมาจำเลยเสีย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯสะดุ้งเฮือก
“แล้วกัน ผมไม่ได้เป็นผู้ผิด ผมเป็นโจทก์ จะให้ผมขมา มีอย่างหรือครับ”
ขุนนิติธรรมฯทำตาปริบๆ
“อ้อ – ขอโทษที ศาลพูดผิดไป ง่า – ศาลหมายถึงจำเลย ศาลต้องการให้จำเลยขมาโจทก์ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันที ว่าไง จำเลย”
นายจอมทะเล้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ข้าแต่ศาลผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม…………”
“ไม่ต้องๆๆ พูดอย่างที่คนเขาพูดกันเถอะ” ขุนนิติธรรมฯขัดขึ้น “ถ้าจำเลยตกลงขอขมา ศาลจะพูดไกล่เกลี่ยกับโจทก์ให้ คดีนี่จำเลยมีหวังติดตะราง ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว หรือจะยอมติดคุกก็ตามใจ ศาลจะได้ตัดสิน”
นิกรว่า “ตกลงครับ ผมยอมขมา”
ขุนนิติธรรมฯหันมาทางเจ้าคุณปัจจนึกฯ
“ว่ายังไงโจทก์ ศาลขอเตือนว่า จำเลยเป็นลูกเขยของโจทก์ไม่ใช่คนอื่น การเอาลูกเขยเข้าตะรางเปรียบเหมือนกับหยิกเล็บต้องเจ็บเนื้อ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯเม้มปากแน่น ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้เพราะความเจ็บใจนิกร
“ถ้าขมาโดยมีเงื่อนไขผมยอมตกลงครับ”
หลวงประสิทธิ์ฯถามขึ้นบ้าง
คดีหย่าร้าง ๒๓
“โจทก์จะเอายังไงว่ามาซิ”
เจ้าคุณปัจจนึกฯว่า “ผมต้องการให้จำเลยกราบเท้าขอขมาผมในศาลนี้ แล้วก็ทำทัณฑ์บนไว้กับศาล รับรองว่าจะไม่ดูถูกดูหมิ่นผมอีก นอกจากนี้ จำเลยจะต้องลงประกาศขอขมาในหนังสือพิมพ์รายวัน ๓ ฉบับ ฉบับละ ๑๐ วัน ลงพาดหัวด้วย”
นิกรหัวเราะหึๆ
“มันจะมากไปครับคุณพ่อ ลงขอขมาในหนังสือพิมพ์ผมพอจะทำได้ แต่ถึงกับลงพาดหัว บรรณาธิการเขาไม่ยอมลงให้หรอกครับ ผมไม่ใช่อ้ายตาลยอดด้วน ฟัดอีหนูซะยับ เขาจะได้ลงพาดหัวให้”
หลวงประสิทธิ์ฯเห็นพ้องด้วย
“จริง เพียงแต่ลงขอขมาในหนังสือพิมพ์ก็ดีแล้ว ง่า – โจทก์มีอะไรอีกบ้างไหมในเรื่องนี้”
เจ้าคุณปัจจนึกฯนิ่งคิด
“ผมขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง ผมขอเตะจำเลยอีก ๒๐ ทีจึงจะหายโกรธ”
ขุนนิติธรรมฯว่า “ไม่ได้ ศาลยอมไม่ได้ การเตะต่อหน้าศาลเป็นการดูหมิ่นศาล”
“แต่ศาลอนุญาตเพื่อการประนีประนอมความ จะเป็นการดูหมิ่นอย่างไรกันครับ”
ท่านขุนหัวเราะ
“ไปเตะกันที่บ้านได้ไหมล่ะ”
ท่านเจ้าคุณสั่นศีรษะ
“ไม่ได้หรอกครับ ขืนเตะมันนอกศาล อย่างไรเสียมันก็ต้องสู้ผม ผมแก่แล้ว คงสู้จำเลยไม่ได้แน่ โดนมันชกเบาะๆก็หมอบ”
ขุนนิติธรรมฯหันมาทางหลวงประสิทธิ์ฯ
“อนุญาตให้โจทก์เตะจำเลยไหมครับ คุณหลวง”
“ก็ได้ เพราะเป็นการประนีประนอมยอมความกัน แต่การเตะตั้ง ๒๐ ทีน่ะมันออกจะทารุณไปหน่อยนะท่านขุน น่ากลัวจำเลยตับทรุด หรือม่ายก็กระบังลมเคลื่อน จำเลยไม่ใช่นักมวย คงทนเท้าไม่ได้แน่”
“ลองถามความสมัครใจดูก่อน” ท่านขุนพูดยิ้มๆ หันมาทางนิกรซึ่งนั่งสัปหงกอ้าปากหวอน้ำลายไหลยืด “อ้าว – หลับเสียแล้ว จำเลย”
นิกรสะดุ้งเฮือกลืมตาโพลง แล้วลุกขึ้นยืนก้มศีรษะคำนับศาล
“ง่า – ขอบคุณครับ ที่ตัดสินยกฟ้องผม”
“ยัง” ขุนนิติธรรมฯตะโกนลั่น “ยังไม่ได้ตัดสิน บ๊ะแล้ว……”
“อื๋อ ถ้ายังงั้นผมคงฝันไปแน่”
ขุนนิติธรรมฯยิ้มเล็กน้อยด้วยมุมปากข้างซ้ายแล้วกล่าวกับจำเลย
“ว่าไง จำเลย โจทก์เขายินดีรับขมา ถ้าหากว่าจำเลยยอมขอโทษด้วยการกราบเท้า ยอมให้เตะอีก ๒๐ ที และยอมลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ๓ ฉบับ ศาลเห็นว่าจำเลยน่าจะตกลง จะได้หมดเรื่องยุ่งยากกันที”
“เดี๋ยวครับ ผมขอปรึกษากับญาติมิตรของผมก่อนได้ไหมครับ”
“ได้ แต่อย่าพูดกันให้ดังนัก เพราะศาลจะต้องปรึกษากันเหมือนกัน”
คดีหย่าร้าง ๒๔
นิกรหมุนตัวกลับเดินเข้ามาหาคณะพรรคของเขา แล้วนิกรก็แลเห็นคุณหญิงวาดนั่งร้องไห้กระซิกๆอยู่ข้างเจ้าคุณประสิทธิ์ฯ ส่วนคุณพ่อของเขานั่งเคร่งขรึมอยู่ข้างเจ้าสัวกิมไซ แม่งามทั้ง ๔ นั่งหลังสุด ดร.ดิเรก พล กิมหงวน กับ เจ้าแห้ว นั่งรวมกัน ทุกคนมองดูนิกรเป็นตาเดียว
นายจอมทะเล้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวกับคุณหญิงวาด
“ผมยังไม่ติดตะรางนะครับ คุณอาหญิงร้องไห้ทำไม”
คุณหญิงวาดสะอื้น
“ก็นั่นน่ะซี ฉันถึงได้ร้องไห้ ฮือ ฮือ อาพนันกับคุณพ่อแกไว้ ๑,๐๐๐ บาท ว่าแกต้องติดตะราง คุณพ่อแกท่านว่าไม่ติด”
นิกรกลืนน้ำลายติดๆกันหลายครั้ง ตรงเข้ามาหาเจ้าคุณวิจิตรฯและเจ้าสัวกิมไซ ทรุดตัวนั่งยิ้มให้ท่านผู้ใหญ่ทั้งสอง เจ้าสัวยิ้มให้นิกรแล้วยกมือตบบ่าเขา
“อากอง ลื้อมังเสียทีเจ้าคุงปัจจนึกฯเลี้ยว ลื้อล้ออีหัวล้างเหม็งเขียว มังเป็งกางหมิ่งปราหมากรู้ม่ายรู้ ลื้อยอมลีก่าน่อ อีเตะ ๒๐ ทีลีก่าติกคุก เค้าเป๋ซวยตาย ลื้อติกวังเลียว ลื้อออกมาเสียชื่อเลี้ยว”
เจ้าคุณวิจิตรฯขบกรามพูด
“แกมันระยำมาก อยู่ดีๆไม่ว่าดี หาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ” ท่านพูดค่อนข้างดัง “แกน่าจะรู้ดีแล้วว่า อ้ายคนหัวล้านกบาลใส นอกจากทนายของแกน่ะ มันล้วนแต่ใจน้อยทั้งนั้น แกได้ประโยชน์อะไรจากการล้อเลียนบ้าง ไม่ชอบใจก็จ้างคนยิงทิ้งเสียซีวะ นักเลง…บู๊ โธ่ – ฟ้องกระทั่งลูกเขย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯทำตาเขียว
“อ้าว เจ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ ทำไมพูดให้ท้ายเด็กยังงี้ล่ะ หรือจะเอาเรื่องกับผม”
เจ้าคุณวิจิตรฯหัวเราะก้าก
“ยังได้ เจ้าคุณ ไปคุยกันข้างนอกเป็นยังไง”
เจ้าสัวกิมไซตกใจรีบยกมือห้ามทั้งสองฝ่าย
“หม่ายน่อ – หม่ายน่อ – พวกเลียวกังแท้ๆ กักกังเองล่ายเรอะ นิกหน่อย บ่อเซียงกังน่อ”
นิกรเกรงว่าเตี่ยของเขาจะเกิดฉะปากกันขึ้นจริงๆ ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเพื่อนเกลอทั้งสามแล้วขอความเห็น
“ว่าไงโว้ยพล ยอมขมาเรอะ”
นายพัชราภรณ์เห็นพ้องด้วย
“เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วเพื่อน แกเป็นผู้ผิด แกควรจะขมาท่านเสีย นึกดูบ้างซีวะว่าแกได้ลูกสาวท่านเป็นเมีย”
นิกรนิ่งคิด
“อือ จริงโว้ย หรือยังไงอ้ายหงวน”
เสี่ยหงวนหัวเราะ
“กันเห็นว่าแกควรขมาท่าน ยอมให้ท่านเตะสัก ๒๐ ป้าบ ไม่เจ็บหรอกวะ”
ดร.ดิเรกพูดเสริมขึ้น
“ออไร๋ ออไร๋ มันเป็นถูกต้อง ธรรมดาเด็กก็ควรจะต้องเคารพนับถือผู้ใหญ่ แกเป็นลูกเขย ต้องเคารพพ่อตา”
คดีหย่าร้าง ๒๕
“วะ ก็ทีพ่อตาทำไมไม่เคารพลูกเขยล่ะ”
“ยูพูดแบบคนเกเร เรื่องของยูน่ะคล้ายกับเรื่องของท่านมหาราชาจันทรกุมารมากทีเดียว พระองค์เกิดทะเลาะกับเจ้าชายอาดัมราชบุตรเขย……”
นิกรหัวเราะ
“พอแล้ว ไม่ต้องเล่า” แล้วเขาก็ยิ้มกับเจ้าแห้ว “ว่ายังไง อ้ายแห้ว ข้าจะยอมขมาท่านละ เอ็งเห็นสมควรไหม”
เจ้าแห้วยิ้มหวานจ๋อย
“รับประทานสมควรครับ รับประทานถ้าคุณกลัวเจ็บเพราะถูกท่านเตะ รับประทานจ้างกระผมให้ถูกเตะแทนก็ได้ รับประทานคิดทีละ ๑๐๐ บาทเท่านั้น”
นิกรขมวดคิ้วย่น
“ทีละ ๑๐๐ บาท ๒๐ ทีก็ ๒,๐๐๐ บาท แพงไปโว้ย”
เจ้าแห้วหัวเราะ
“ไม่แพงครับ หลังจากถูกเตะแล้ว รับประทานผมจะต้องเสียค่าหมอและค่ายาแก้ช้ำใน ตับทรุด อีกหลายร้อย รับประทาน ๒๐ ทีน่ะแย่นะครับ”
นิกรสั่นศีรษะ
“ไม่เอาโว้ย ข้ายอมให้ท่านเตะดีกว่า คนแก่เตะไม่เจ็บหรอกวะ” พูดจบนิกรก็ลุกขึ้นเดินมาหาแม่เสือทั้งสี่ นันทาเล่นงานน้องชายหล่อนทันที
“ดีไหมล่ะ พ่อเทวดา อยู่ดีๆกลัวทนายความจะไม่มีเงินใช้ หาเรื่องเป็นถ้อยร้อยความกับคุณอาท่าน”
“ว้า” นิกรเอ็ดตะโร “ด่าซะเรื่อยเชียว ให้ดิ้นตาย พี่น้องกันมันต้องเข้าข้างกันซี อะไร้ เห็นขี้ดีกว่าไส้”
นันทาค้อนขวับ
“แกเป็นผู้ผิด ฉันเข้าข้างแกไม่ได้หรอก ดีน่ะนะที่ศาลท่านไม่เรียกฉันเป็นพยาน ฉันจะให้การตรงไปตรงมาทีเดียวว่า แกหมิ่นประมาทคุณอาท่าน ทำให้ท่านเสื่อมเสียเกียรติ เป็นที่ดูหมิ่นเกลียดชังแก่คนทั้งหลาย”
นิกรทำปากหมุบหมิบ
“ไม่ต้องพูดมากพี่นัน ฉันยอมขมาคุณพ่อแล้ว”
นวลลออยิ้มให้นายจอมทะเล้น
“ดีแล้วค่ะคุณนิกร จะได้หมดเรื่องหมดราวกันที ดิฉันกลุ้มใจเหลือเกิน อย่าถือทิฐิมานะอะไรเลยค่ะ เพราะถึงอย่างไรท่านก็เป็นพ่อตาของคุณ”
ประภากับประไพสองพี่น้องไม่ยอมออกความเห็นอะไรในเรื่องนี้ นิกรเดินกลับมาที่หน้าบัลลังก์ ก้มศีรษะโค้งคำนับท่านผู้พิพากษาอีก
“ท่านผู้พิพากษาครับ ผมตกลงขอขมาโจทก์ตามเงื่อนไขที่โจทก์เสนอต่อศาล”
หลวงประสิทธิ์ฯพยักหน้าหงึกๆ
“ศาลยินดีที่โจทก์จำเลยตกลงกันได้ ขอให้จำเลยเริ่มต้นขมาโจทก์เดี๋ยวนี้ จะได้เสร็จสิ้นกันที ศาลยังไม่ได้กินข้าวเช้า หิวเต็มทนแล้ว เมื่อคืนนี้ทะเลาะกับเมีย เขาเลยสไตร์คไม่หุงข้าวเช้าให้กิน”
คดีหย่าร้าง ๒๖
นิกรเดินเข้ามาหาเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างฝ่ายต่างยืนเผชิญหน้ากันในระยะใกล้ชิด แล้วนิกรก็หัวเราะ
“คุณพ่อ ลืมความหลังเสียเถิดนะครับ ผมยอมรับสารภาพว่าผมทะลึ่งไปหน่อย”
เจ้าคุณปัจจนึกฯยิ้มอายๆ
“ไม่หน่อยละ มากทีเดียว แต่เมื่อแกรู้สึกสำนึกตัวยอมรับผิด ฉันก็ยินดีอภัยให้”
นิกรหันมามองดูศาล
“ขออนุญาตร้องเป็นกลอนยี่เกหน่อยได้ไหมครับ”
ขุนนิติธรรมฯหัวเราะลั่น
“ได้ ศาลอนุญาต”
นายจอมทะเล้นทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าพ่อตาของเขา แล้วร้องยี่เกเสียงแจ๋วลั่นห้องพิจารณาคดี
กระดิ่งทองผู้เป็นโจรไพร
ก้มกราบขออภัยพระบิดา
ลุกะโทษความผิดแต่หนหลัง
เท่าที่ผมผิดพลั้งจงกรุณา
คืนดีกันเหวยเป็นเขยพ่อตา………
ผู้พิพากษาทั้งสองท่านหัวเราะงอหาย กระดิ่งทองก้มลงกราบแทบเท้าเจ้าคุณปัจจนึกฯติดๆกันสามครั้งแล้วลงนอนคว่ำพังพาบกลางศาล
“เอาสิครับ เพื่อให้สมดังความผิดของผม ผมยอมให้คุณพ่อกระทืบผม ๒๐ ที ใช้กระทืบดีกว่า”
เจ้าคุณปัจจนึกฯหายโกรธแล้ว ใบหน้าของท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านก้มลงประคองนิกรให้ลุกขึ้นและยื่นมือให้นายจอมทะเล้นจับ
“อ้ายกร เมื่อแกสปอร์ตพอที่จะรับผิด และใจป้ำที่จะรับโทษ ฉันก็ใจป้ำพอที่จะอภัยให้แก เป็นอันว่าเราเข้าใจกันดีแล้ว ฉันจะเป็นพ่อตาที่ดีของแกต่อไป”
“ขอบคุณครับ ผมก็จะเป็นลูกเขยที่ดีของคุณพ่อตลอดกาล”
เจ้าคุณปัจจนึกฯดึงนิกรเข้ามากอด นายจอมทะเล้นก้มลงจูบหัวล้านท่านเจ้าคุณดังฟอด แล้วหันมายิ้มกับคณะพรรคของเขา
“ถึงเหม็นเขียวก็ยังจูบได้”
คณะพรรคสี่สหายตบมือกราว คุณหญิงวาดชูมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ ร้องตะโกนขึ้นดังๆ
“ขอให้พ่อตาลูกเขยจงเจริญ ไชโย”
เสียงไชโยดังสนั่นลั่นห้องพิจารณา ท่านผู้พิพากษาทั้งสองและจ่าศาลกับตำรวจประจำศาลต่างร้องไชโยขึ้นด้วย บรรยากาศที่เคร่งเครียดในห้องพิจารณาคดีแจ่มใสขึ้นแล้ว
หลวงประสิทธิ์ฯยกมือตบบัลลังก์เป็นสัญญาณให้ทุกคนสงบปากเสียง แล้วท่านผู้พิพากษาก็กล่าวขึ้น
“ศาลพอใจมากที่โจทก์จำเลยปรองดองกันได้ ฉะนั้น ค่าฤๅชาธรรมเนียม ศาลยกให้ฟรี คดีนี้สิ้นสุดลงแล้ว”
คดีหย่าร้าง ๒๗
ผู้พิพากษาทั้งสองท่านลุกขึ้นจากบัลลังก์ พากันเดินออกไปจากห้องพิจารณาคดี คณะพรรคสี่สหายต่างรีบลุกขึ้นยืนกระทำความเคารพต่อศาล แล้วเสียงจ้อกแจ้กจอแจก็ดังแซดไปหมด
เจ้าคุณวิจิตรฯ เจ้าสัวกิมไซ เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ และ คุณหญิงวาด พากันเข้ามาห้อมล้อมโจทก์จำเลย เจ้าคุณวิจิตรฯยกมือตบหลังเจ้าคุณปัจจนึกฯดังป้าบ
“ไง – เจ้าคุณ ใจคอจะเอาลูกชายผมเข้าตะรางเชียวหรือ?”
เจ้าคุณปัจจนึกฯอมยิ้ม
“ปู้โธ่ – ผมฟ้องมันเล่นโก้ๆต่างหาก รู้อยู่แล้วว่ายังไงศาลต้องไกล่เกลี่ย ลูกเขยทั้งคนใครจะเอามันเข้าคุกได้”
เจ้าคุณวิจิตรฯหันมายกมือเขกกบาลนิกรดังโป๊ก
“นี่แน่ะ อ้ายจอมแก่น แกมันทะลึ่งอย่างบรรลัยโลก ล้อพ่อตาราวกับว่าเป็นเพื่อนเล่น เหลวไหลมาก”
นิกรหัวเราะ
“อ้ายหงวนมันยุผมครับ”
“อ้าว – เฮ้ย” อาเสี่ยตะโกนลั่น “อย่าเล่นซัดกันซีโว้ย”
ครั้นแล้ว พล กิมหงวน ดร.ดิเรก เจ้าแห้ว กับแม่เสือทั้งสี่ก็พากันเข้ามารวมกลุ่มด้วย พูดคุยกันเสียงเอ็ดตะโร เจ้าคุณวิจิตรฯกล่าวกับทุกๆคนว่า
“เพื่อความสัมพันธ์อันดีของพ่อตากับลูกเขยคู่นี้ ข้าพเจ้าขอเชิญทุกคนไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ายินดีเลี้ยงเต็มที่”
เจ้าสัวกิมไซอมยิ้ม
“แหม – เจ้าคุงใจลีมาก นางเลี้ยวเราไม่ล่ายกิงข้าวกัง ไปโว้ยพวกเรา รกยงเรามีตั้งหลายคัง ม่ายต้องกัว ขาก………”
“เฮ้ย” อาเสี่ยเอ็ดตะโร “ขากอีกแล้ว”
ท่านเจ้าสัวชักฉิว
“ลื้อไม่ต้องหล่าน่อ เก๋าเจ๊ง อั๊วขากเลี้ยวอั๊วกืงเข้าปาย ม่ายล่ายถ่มออกมา อั๊วรู้ธรรมเนียมน่อ ในศางขากซูเหลกล่ายเหรอ จองหอง คอยเตืองซะเรื่อยเชียว”
เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงดังขึ้น เจ้าคุณวิจิตรฯเดินนำหน้าพาคณะพรรคของท่านออกไปจากห้องพิจารณา พระชำนาญฯกับหลวงรอบฯ ทนายโจทก์จำเลยรีบวิ่งมาขวางหน้า คุณพระกล่าวกับเจ้าคุณปัจจนึกฯอย่างนอบน้อม
“ใต้เท้าครับ แฮ่ะ แฮ่ะ ยังไม่ได้จ่ายทรัพย์ให้ผม”
“ฮ้า!” ท่านเจ้าคุณอุทาน “จ่ายอะไรกัน คุณพระเป็นทนายประจำสำนักงานผลประโยชน์ของผม กินเงินเดือนของผม”
พระชำนาญฯยิ้มแห้งๆ
“ถูกละครับ แต่ในสัญญาจ้างผม ระบุไว้ว่าผมจะว่าความให้เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของสำนัก
คดีหย่าร้าง ๒๘
งานเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของใต้เท้านี่ครับ ผมขอคิดค่าป่วยการ ๓๐๐ บาท”
เจ้าคุณปัจจนึกฯเม้มปากแน่น
“ว่าให้ผมฟรีไม่ได้หรือ”
ทนายโจทก์พูดหน้าตาขึงขัง
“ไม่ได้ครับ บ้านเช่า ข้าวซื้อ”
“อือ – กระดูกจริงแฮะ”
“ครับ กระดูกขัดมันเหมือนใต้เท้าที่ไม่เคยขึ้นเงินเดือนให้ผมเลย ผมทำงานเป็นทนายประจำสำนักงานของใต้เท้ามา ๔ ปีแล้ว”
“ก็คุณพระเงินเดือนมากแล้ว จะต้องขึ้นให้อีกทำไมล่ะ ง่า – ไปเถอะคุณพระ เงินผมไม่มีติดตัวมาเลย เชื่อไว้ก่อน วันหลังค่อยเอา”
พระชำนาญฯบ่นพึมพำ ถอดเสื้อครุยเนติบัณฑิตออกพาดแขน แล้วเดินออกไปจากห้องพิจารณาคดี หลวงรอบฯทนายจำเลยปราดเข้ามาหานายจอมทะเล้น
“คุณนิกรครับ คุณยังไม่ได้จ่าย………”
นิกรขมวดคิ้วย่น
“เอ๊ะ – จ่ายอะไรครับ”
“อ้าว ก็เงินค่าป่วยการของผมน่ะซีครับ เราคนชอบๆกันน่า อย่าทำเป็นลืม ผมเอง หมู่นี้ไม่ใคร่มีความจะว่า”
นิกรหัวเราะ
“เอาเท่าไรครับ”
คราวนี้หลวงรอบฯยิ้มเอียงอายเหมือนหญิงสาวแรกรุ่น
“ผมไม่อยากกะเกณฑ์เลยครับ เพราะผมเสียเวลามาศาลเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น เอายังงี้ดีกว่า คุณพิจารณาแล้วกันว่า สมควรจะจ่ายให้ผมสักเท่าใด”
นายจอมทะเล้นสั่นศีรษะ
“ไม่ดี ไม่ดีแน่ ถ้าผมให้น้อยไป คุณหลวงก็จะขัดใจกับผมเปล่าๆ คุณหลวงจะเอาเท่าใดเรียกร้องมาดีกว่า”
“ไม่เป็นไรมิได้ครับ เอาไว้วันหน้าวันหลัง คุณจะได้เรียกใช้ผมอีก คุณจะให้ผมเท่าไร สุดแท้แต่จะกรุณาเถิดครับ”
นิกรพยักหน้าหงึกๆ ล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ดึงไส้กระเป๋าออกมา แล้วล้วงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตอีก สักครู่ก็หยิบธนบัตรราคา ๕๐ สตางค์รวม ๒ ฉบับส่งให้ทนายความของเขา
“เอ้า – ผมให้คุณหลวงเป็นค่าเหนื่อย”
หลวงรอบฯทำคอย่น กลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“หนึ่งบาท………” เขาคราง “ว่าความทั้งที คุณให้ผมหนึ่งบาท”
นายการุณวงศ์ยกมือเท้าสะเอว มองดูทนายความของเขาอย่างเคืองๆ
“เอ – คุณหลวงนี่พูดยังไงครับ คุณหลวงว่าผมจะให้เท่าไรก็แล้วแต่จะกรุณา เมื่อผมให้ตั้งบาท คุณหลวงก็
คดีหย่าร้าง ๒๙
น่าจะพอใจแล้ว”
หลวงรอบฯเค้นหัวเราะ เก็บเงินเข้ากระเป๋าแล้วขบกรามพูด
“ขอบคุณ ฮึ่ม – ขอบคุณมาก วันหลัง ถ้าเป็นความกับใครอีกละก็ เชิญไปหาผมนะครับ ฮะ ฮะ เรียนกฎหมายมาแทบล้มแทบตาย ว่าความทั้งทีได้ค่าจ้างบาทเดียว”
นิกรยกมือเกาศีรษะ
“อย่าพูดมากเลยน่า ไม่เอาก็คืนมาให้ผม โธ่…อ้ายเรามีติดตัวมา ๑ บาท อุตส่าห์เทกระเป๋าให้หมด ยังจะบ่นยังโง้นยังงี้ ไม่สปอร์ตเสียเลย”
เจ้าคุณวิจิตรฯล้วงกระเป๋าบนเสื้อสากลของท่าน หยิบซองธนบัตรหนังจระเข้ออกมาเปิดออก หยิบธนบัตรใบละร้อยบาทรวม ๓ ฉบับส่งให้หลวงรอบฯเพื่อตัดความยาวสาวความยืด
“นี่คับ คุณหลวง ผมขอตอบแทนค่าป่วยการของคุณหลวงด้วยเงินจำนวนนี้”
ทนายจำเลยยกมือไหว้ปลกๆ รับธนบัตรมาถือไว้
“นับเป็นพระคุณอย่างยิ่งเชียวครับ ผมจะไม่ลืมความกรุณาของใต้เท้าเลย คุณนิกรนี่ไม่ไหว กระดูกชะมัดญาติ สู้คุณพ่อก็ไม่ได้”
นายจอมทะเล้นหัวเราะ
“ก็ผมไม่ได้ออกเงินให้เขากู้เอาดอกเบี้ยแพงๆนี่ครับ จะได้ควักเงินให้คุณหลวงง่ายๆ คุณพ่อผมอย่าว่าเลย ร้อยละ ๒๐ รวด”
“เฮ้ยๆๆ” เจ้าคุณวิจิตรฯเอ็ดตะโร “แกไม่ต้องพูดเรื่องของฉัน เดี๋ยวแกจะโดนเตะเท่านั้นเอง”
คณะพรรคสี่สหายหัวเราะคิกคักไปตามกัน ท่านเจ้าคุณวิจิตรฯเดินนำหน้าพาทุกคนออกไปจากห้องพิจารณาคดี รถเก๋งงามๆรวม ๖ คันจอดอยู่ที่หน้าศาลเป็นแถวยาว ล้วนแต่เป็นรถของคณะพรรคสี่สหาย
ใน ๕ นาทีนั้นเอง ขบวนรถเก๋งก็แล่นตามกันไปในระยะกระชั้นชิด โจทก์กับจำเลยในคดีนี้นั่งรถคันเดียวกันและคุยจ้อ
จบบริบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น