“
เราก็ลงเรือบตไปเที่ยวกัน
หาเรือบตเข้าสักลำ ซีวะ” นิกรออกความเห็น “ให้อู่ต่อเรือของแกเขาต่อให้ พอถึงวันงานกองทัพเรือ” ดร
.ดิเรกค้านขึ้น “
ไม่จำ เป็นเลย เรือยนต์ของเรามีอยู่ตั้งหลายลำ เอาเรือยนต์ไปจอดทอดสมอสบายกว่า” อาเสี่ยศีรษะ
“
งาน เรือบตเข้าทีกว่า หรือยังไงพล
เรือยนต์คลื่นมันแรงรบกวนเรือที่เข้าแข่ง เจา้ หนา้ ทที่ หารเรอื เขาคงไมย่ อมใหเ้ ราแลน่ เขา้ ไปใน เขต” นายพัชราภรณ์ไม่อยากจะขัดใจเพื่อน ก็ โอ
. เค. ซิกาแรตไปตามเรื่อง “
ตามใจเถอะวะ แต่ว่าไปเรือบตมีหวังลอยคอในแม่นํ้านา” อาเสี่ยหัวเราะ
“
เหมาะเราก็ล่มเรือเสียเลย ทาํ หนา้ ทเี่ ปน็ พระเอกชว่ ยเหลอื หลอ่ น อตี อนนแี้ หละ เรากไ็ ดก้ าํ ไรอย่างงดงาม
นั่นแหละ สนุกดี เราจะได้พบแม่สาวชาวสังคมอวดโฉมร่างอยู่ในเรือบตและเรือแคนนูเต็มแม่นํ้าปะ” คราวนี้คณะพรรค ๔ สหาย ต่างลงมติเห็นชอบด้วย ดังนั้น กิมหงวนจึงมีหนังสือด่วนมาก แต่ไม่ลับถึง
นายเลี่ยงฮุ้น ผู้จัดการอู่ต่อเรือของเขาที่บางกระบือซึ่งเป็นอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุด รับต่อเรือและซ่อมแซมเรือทุกชนิด
บ้าน
“พัชราภรณ์” ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๓
อากู๋ที่รัก
ฉันต้องการเรือบต ๑ ลำ ขนาดนั่ง ๕ คน เพื่อเที่ยวงานฉลองกองทัพเรือในวันที่ ๒๐ เดือนนี้ขอให้จัด
ช่างต่อเรือผีมือดีทำ ให้โดยด่วน และให้ต่ออย่างดีที่สุด ต้องแล้วเสร็จก่อนวันที่ ๑๙ เดือนนี้ถ้าไม่เสร็จตามคำ สั่ง
ฉันจะถือว่า อากู๋หย่อนความสามารถ โทษถึงตบหน้าตัดเงินเดือนและไล่ออก
ด้วยความนับถือนิดหน่อย
กิมหงวน
เจ้าแห้วอ่านทานดูแล้วก็คืนให้เสี่ยหงวน
“
รับประทานถูกต้องดีแล้วครับ แต่ว่ารับประทานจำ นวนคนนั่งต้อง ๖ คนซีครับ ไม่ใช่ ๕ คน” เสี่ยหงวนขมวดคิ้วย่น
“
“
“
๖ ยังไงวะ ข้า ๔ คน เจ้าคุณอาอีกคนหนึ่ง”บ๊ะแล้ว……รับประทานผมอีกคนหนึ่ง ยังไงล่ะครับ”อ้าว เอ็งจะไปด้วยหรือ ไหนว่าเอ็งว่ายนํ้าไม่เป็น” เจ้าแห้วหัวเราะ
“
รับประทานพอว่ายได้ต๋อมแต๋ม แบบลูกหมาตกนํ้าครับ” กิมหงวนแก้จำ นวนคนเป็น ๖ คน แล้วบอกให้เจ้าแห้วเอาจดหมายใส่ซอง
“
เอ็งรีบเอาไปให้อากู๋เดี๋ยวนี้ ไป—เร็ว เขาจะได้จัดการต่อเรือในวันนี้” เจ้าแห้วแบมือ
“
รับประทานจ่ายค่ารถซีครับ” อาเสี่ยจุ๊ย์ปาก
“
“
๘ กิโลเชียวนะครับ รับประทานกว่าจะถึงก็เห็นจะต้องแวะสูบน่องตามร้านสูบยางรถยนต์ตั้งหลายครั้ง
เดินไปซีโว้ย”อุ๊ย” เจ้าแห้วร้องราวกับถูกเข็มแทง รับประทานจากถนนพญาไทไปบางกระบือน่ะ อย่างขี้หมูขี้หมาก็” กิมหงวนอดหัวเราะไม่ได้ ล้วงกระเป๋าเสื้อเชิทหยิบธนบัตรออกมาขยุ้มหนึ่ง
“
“
ประทานต้องไปเย็ลโล่แท็กซี่จึงจะสมเกียรติของอาเสี่ย
เท่าไรล่ะค่ารถ ไปรถเมล์ก็แล้วกัน”ปู้โธ่….”เจ้าแห้วร้องลั่น “รับประทานคนใช้ท่านมหาเศรษฐีไปรถเมล์ก๊อหมดรูปน่ะซีครับ รับ” กิมหงวนยิ้มแป้นเห็นพ้องด้วย ส่งเงินให้เจ้าแห้วในราว ๖๐ บาท
“
ไม่พบ
เอ้า เอาไป แล้วรีบกลับมานะ เอ็งน่ะใช้ไปไหนอดไถลไม่ได้ แล้วคุณอาท่านก็ด่าข้าเมื่อเรียกหาตัวเอ็ง” คำ สั่งของเสี่ยหงวนย่อมเปรียบเหมือนกับคำ สั่งของท่านผู้เผด็จการ นายเลี่ยงฮุ้นรู้ดีว่า นายของเขาเป็น
คนใจร้อน เมื่อต้องการอะไรก็จะต้องให้ได้ดังใจ ตามสันดานของคนมีเงินทั้งหลาย จะฉิบหายสักเท่าใดไม่คำ นึง
ถึง นายเลี่ยงฮุ้นจัดแจงระดมช่างต่อเรือทั้งหมดให้สร้างเรือบตทันทีไม่ต้องคำ นึงถึงงานด้านอื่น ๆ ทำ กันทั้งกลาง
วันกลางคืนที่เลื่อยไม้ก็เลื่อยไป ที่ไสไม้ก็ไสไป วางกระดูกงู วางกงเข้าไม้ตอกตะปูควง แล้วแทนที่จะทาแชลต
กลับพ่นด้วยสีพ่นงามระยับ มันเป็นสีฟ้าอ่อนเย็นตา พายทุกเล่มก็พ่นสีฟ้า นายเลี่ยงฮุ้นได้โทรศัพท์มาที่บ้าน
ราภรณ์
ที่ ๒๐ พฤศจิกายน กิมหงวนดีใจมาก สั่งให้นายเลี่ยงฮุ้นเขียนชื่อเรือว่า
“พัช” รายงานให้เสี่ยหงวนทราบว่าเรือบตนี้ ได้ต่อเสร็จแล้วจะทำ พิธีปล่อยลงนํ้าได้ในวันพรุ่งนี้ คือวันอาทิตย์“สี่สมิง” และสั่งว่า พรุ่งนี้เวลา ๙.๐๐ น. เขากับเพื่อน ๆ จะมาที่อู่ต่อเรือเพื่อทำ พิธีปล่อยลงนํ้า ความจริงก็ไม่น่าจะต้องมีพิธีรีตองอะไร แต่อาเสี่ยกิมหงวน
เป็นมหาเศรษฐี จะทำ อะไรนิดหน่อยก็ต้องให้มันเป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต
ตอนสายวันอาทิตย์
เวลาประมาณ ๙
หน้าที่เป็นคนขับ มีเจ้าคุณปัจจนึก ฯ นั่งคู่กับเจ้าแห้วส่วน ๔ สหายนั่งอยู่ตอนหลังรถ
ทันใดนั้นเอง คณะพรรค ๔ สหายก็ได้รับความตื่นเต้นแปลกใจเหลือที่จะกล่าว ทุกคนแลเห็นกรรมกร
อู่ต่อเรือประมาณ ๓๐๐ คน ยืนอยู่ในแถวอย่างสพรึ่บสพรั่งแต่งกายเหมือน ๆ กัน กางเกงขาสั้นและเสื้อเชิทสีกากี
สวมหมวกกะโล่ นายเลี่ยงฮุ้น ผู้จัดการอู่ยืนอยู่หน้าแถว
พอรถหยุด นายเลี่ยงฮุ้นก็ร้องตะโกนขึ้นดัง ๆ
.๐๐ น. รถเก๋งคันใหญ่ใหม่เอี่ยมคลานเข้ามาในบริเวณอู่ต่อเรืออย่างแช่มช้า เจ้าแห้วทำ “
แถวตรง แลขวา” กิมหงวนกลืนนํ้าลายเอื๊อก หันมามองดูนายพัชราภรณ์
“
เอาละโว้ย อากู๋ถ้าจะไม่สบายแน่ ถึงกับตั้งแถวเตรียมรับเสด็จพวกเรา” พลหัวเราะหึ ๆ
“
อย่างนี้
ก็อากู๋แกรู้ดีว่า แกเป็นผู้ดีแปดสาแหรกเห่อยศชอบทำ งานเล็กให้เป็นงานใหญ่ อากู๋ก็ต้องรับรองแก” ดร
. ดิเรกพูดเสริมขึ้น “
เกียรติแก
ออไร๋ ออไร๋ อากู๋ทำ การถูกแล้ว แกเป็นมหาเศรษฐีที่มีเงินขนาดท่านมหาราชา ก็ควรจะยกย่องให้” กิมหงวนยืดหน้าอกขึ้นทันที พลเอื้อมมือจับหน้าอกอาเสี่ยไว้
“
อย่า เดี๋ยวเสื้อจะขาด” ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อม ๆ กันเว้นแต่นายนิกรคนเดียว ซึ่งสวมแว่นตาไอเซ็น เฮาเวอร สีดำ นั่งสับประ
หลกนํ้าลายไหลยืด กิมหงวนยกฝ่ามือผลักหน้านายจอมทะเล้นเต็มแรง
“
เฮ้ย ถึงอู่แล้วโว้ย” กระดิ่งทองลืมตาขึ้นมองดูโลก ถอดแว่นตาออกเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิต ครั้นแล้วคณะพรรค ๔ สหายก็
พากันก้าวลงมาจากรถเก๋งคันงาม ทันใดเสียงเครื่องกระจายเสียงก็บรรเลงเพลงมหาฤกษ์มหาชัย ดังก้องกังวาน
ไปทั่ว นิกรทำ หน้าตื่น ๆ ถามเจ้าคุณปัจจนึก ฯ เบา ๆ
“
ใครเสด็จหรือครับ คุณพ่อ” ท่านเจ้าคุณหัวเราะก้าก
“
“
ฯพณฯท่าน
ก็เขาต้อนรับพวกเราน่ะซี”อือ เอากันยังงี้เชียวหรือครับนี่ บาใหญ่โตไม่ใช่เล่น ต้องแอคท่าให้โก้หน่อย ติ๋งต่างว่าพวกเราเป็น” ๔ สหายและเจ้าแห้วกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ พากันเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าแถวกรรมกรอู่เรือ เมื่อจบเพลง
มหาชัยใครคนหนึ่งก็แหกปากร้องตะโกนขึ้น
“
ขอให้ท่านพูแรกิมหงวนจงเจริญไชโย” เสียงไชโยดังขึ้นอีก กิมหงวนหน้าแดงระเรื่อเหมือนดอกท้อ เขายกมือขวาชูขึ้นเหนือศีรษะ พยายามคิด
ว่าขณะนี้เขาคือจอมบงการผู้มีอำ นาจสูงสุดในอาณาจักรอู่เรือนี้
เลี่ยงฮุ้นเดินเข้ามาก้มศีรษะโค้งคำ นับ คลี่กระดาษแผ่นหนงึ่ ออกอา่ นขอ้ ความในนนั้ ด้วยเสียงอันดัง
พวกกรรมกรอู่เรือสงบเงียบ
ขอประทานกราบเรียน ฯพณฯท่านผู้อำ นวยการอู่
อัญเชิญท่านทำ พิธีเปิดเรือ
ให้ทราบว่าเรือ
แฉ่งช่างต่อเรือประจำ อู่ของเรา ภายใต้กะทงเรือมีที่เก็บขวดเหล้าอย่างมิดชิด ถึงแม้ว่าเรือเกิดล่มเหล้าที่อยู่ในเรือก็
ไม่สูญหายเครื่องอุปกรณ์ประจำ เรือมีพาย ๖ เล่ม เป็นพายขนาดใหญ่ใช้ได้ทั้งพายเรือและตีกะบานกัน ข้าพเจ้าขอ
เชิญให้ฯพณฯท่านกระทำ พิธีเปิดเรือ
เสียงเพลงมหาฤกษ์มหาชัยดังขึ้นอีก กิมหงวนหันมองดูนายแพทย์หนุ่ม
“กิมหงวน” ในมหาวาระศุภฤกษ์นี้ กระผมขอ“สี่สมิง” นี้ซึ่งเป็นเรือบต ที่สวยงามที่สุดและทันสมัยที่สุดในยุค ข้าพเจ้าขอกราบเรียน“สี่สมิง” เป็นเรือไม้สักมีขนาดกว้างที่สุด ๙๒ ซม. และยาว ๔ เมตร ๑๐ ซม. ออกแบบโดยนาย“สี่สมิง” ณ บัดนี้ “
หมอ นี่กันฝันไปหรือยังไงโว้ย อากู๋แกไม่สบายนี่หว่า” ดร
. ดิเรกหัวเราะ “
“
เถอะน่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตามองก็แล้วกัน ไป—ไปทำ พิธีเปิดเรือได้”ว้า” อาเสี่ยคราง “เอา—เอายังไงก็เอากัน” คณะพรรค ๔ สหาย เดินตามนายเลี่ยงฮุ้นตรงมาที่คานเรือ เรือบต
จัดการอู่ก้มศีรษะโค้งคำ นับอาเสี่ยอย่างงดงาม แล้วส่งเหล้าขวดหนึ่งให้กิมหงวน
“สี่สมิง” จอดเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ผู้ “
เชิญครับ เสี่ย” อาเสี่ยเปิดจุกเหล้าออก หันมายิ้มกับพลแล้วยกขวดเหล้าขึ้นด้วยความกระหาย นายพัชราภรณ์ เอ็ดตะ
โรลั่น
“
เฮ้ย เขาไม่ได้ให้แกกินเอาฟาดกับหัวเรือซี” กิมหงวนสดุ้งโหยง เปลี่ยนสายตามาที่หลงจู้ คือนายเลี่ยงฮุ้น
“
เอายังไงกันแน่ อากู๋” เลี่ยงฮุ้นอดหัวเราะไม่ได้
“
ถูกอย่างที่คุณพลว่าแล้วครับ อาเสี่ยเอาขวดเหล้าฟาดกับหัวเรือซีครับ” กิมหงวนมองดูขวดวิสกี้ด้วยแววตาละห้อย
“
ไว้กินกัน
หลงจู้อมยิ้ม
ว้า…ขวดหนึ่งตั้งเกือบ ๒๐๐ บาทน่าเสียดาย ใช้วิธีตัดริบบิ้นแพรไม่ได้ อากู๋ เหล้าขวดนี้ฉันจะได้เก็บ “
การปล่อยเรือลงนํ้า ก็ต้องทำ ให้ถูกตามธรรมเนียมซีครับเสี่ย ชาวเรือทั่วโลกเขาปฏิบัติกันอย่างนี้” อาเสี่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในเวลาเดียวกันเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูหัวเรือ เสี่ย หงวน
หันมายิ้มกับผู้จัดการอู่ของเขา ยกขวดวิสกี้ตราขาวขึ้นเคาะศีรษะเจ้าคุณปัจจนึก ฯ เบา ๆ
“
“
เปิดละนะ”เฮ้ย” ท่านเจ้าคุณตะโกนลั่น “อ้ายเปรตนี่เสือกเอาขวดเหล้ามาเคาะกระบานเล่นได้” พวกกรรมกรอู่เรือฮาครืน กิมหงวนทำ คอย่น รีบยกมือไหว้เจ้าคุณปัจจนึก ฯ แล้วพูดพลางหัวเราะพลาง
“
ขอโทษเถอะครับ ไม่ทันเห็นจริง ๆ ก็คุณอาไม่ควรโผล่หัวเข้ามานี่ครับ ง่า—เขยิบไปหน่อยครับ” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ เสี่ยหงวนยกขวดวิสกี้ขึ้นฟาดหัวเรือบตค่อนข้างแรง เสียงดังเพล้งปากขวด
เหล้าแตกกระจาย ทันใดนั้นเองกรรมกรหนุ่ม ๒ คนก็ดึงไม้กั้นห้องท้องเรือออก เรือบตลำ น้อยค่อย ๆ แล่นจาก
คานของมันลงสู่แม่นํ้าเจ้าพระยาท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของพวกกรรมกรอู่เรือ
“
นายเลี่ยงฮุ้นหันขวับมาทางอาเสี่ย
อ้าว อากู๊ “ กิมกงวนร้องเรียกผู้จัดการอู่ของเขา “
“
อะไรครับเสี่ย”ฉันยังไม่ได้กล่าวตอบเลย ดันปล่อยเรือลงนํ้าเสียแล้ว” นิกรพูดเสริมขึ้น
“
ลำ บากนักก็ไม่ต้องหรอกวะ” กิมหงวนหัวเราะ มองดูคนงานคนหนึ่งซึ่งลุยนํ้าลงไปคว้าโซ่หัวเรือ ดึงเรือเข้ามาผูกไว้ริมเขื่อน เรือ สี่
สมิงเป็นเรือที่สวยงามถูกใจกิมหงวนมาก แม้กระทั่งเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็นึกชมเชยความสามารถของช่างต่อเรืออู่
นี้
“
กันเสียก่อน พวกเราอาจจะมีใครพายเรือไม่เป็นก็ได้จะได้หัดกันเสียให้ชำ นาญ
ลองพายเที่ยวเล่นกันสัก ๒-๓ ชั่วโมงดีไหมวะพวกเรา พรุ่งนี้จะได้เอาไปดูงานกองทัพเรือ ซ้อมพาย” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เห็นพ้องด้วย
“
เห็นเลย
เออ…..ดีเหมือนกันนํ้ากำ ลังลง ล่องไปตามนํ้า อาอยากจะดูสถานีรถไฟธนบุรี ตั้งแต่เปิดใหม่ยังไม่เคย” ดร
.ดิเรกพูดเสริมขึ้น “
พระองค์ขอให้กันรับหน้าที่เป็นคนคัดท้ายเรือ เรือบตที่อินเดียสวยงามมาก
เรื่องการพายเรือกันชำ นาญมาก เมื่ออยู่อินเดียกันเคยเที่ยวเรือกับท่านมหาราชากุมารซิงก์หลายครั้ง” นิกรยกมืออุดปากนายแพทย์หนุ่ม
“
“
ขาก๊วย
คุยเรื่องอื่นดีกว่า ฉันนึกว่าแกจะลืมเรื่องมหาราชาเสียแล้ว”โน ไม่มีลืม เอาโว้ย เล่นเรือกันก็เอา ลองเที่ยวทางนํ้าดูบ้าง แต่เราไม่มีกางเกงขาสั้นนี่หว่า มีแต่กางเกง” เจ้าคุณว่า
“เรานั่งอยู่ในเรือ กางเกงขาก๊วยก็ใช้ได้” นายแพทย์ทำ หน้าชอบกล
“
มาก เปียกนํ้าแล้วมองเห็นเครื่องในหมดเลย
ไม่ไหวครับ ถ้าหากว่าเรือมันเกิดล่มขึ้นละก้อโป๊แย่เชียวครับ กางเกงชั้นในของผมสีขาวและผ้าบาง” พลหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“
พวกเราสัก ๖ ตัวได้ไหม
กางเกงขาสั้นเพียง ๕-๖ ตัว ขอยืมใครก็ได้” แล้วพลก็หันมาทางหลงจู๊ “อากู๋ช่วยหากางเกงขาสั้นให้” อากู๋รีบรับคำ ทันที
“
ครับค่อยเล่นเรือกัน
ได้ครับ เชิญไปบนเรือนสำ นักงานก่อนซีครับ ผมจัดเครื่องดื่มไว้เรียบร้อยแล้ว พักผ่อนเสยสักครู่ซี” คณะพรรค ๔ สหายต่างเดินตามนายเลี่ยงฮุ้นตรงไปที่เรือนชั้นเดียว ซึ่งเป็นสำ นักงานอู่เรือนี้ อากู๋ร้อง
ตะโกนบอกเลิกแถว พวกกรรมกรต่างส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจแยกย้ายกันไปประจำ ทำ งานตามหน้าที่ของตน อู่ต่อ
เรือกิมหงวนไม่มีการหยุดวันอาทิตย์หรือในวันนักขัตฤกษ์ ปีหนึ่งหยุดวันเดียวคือวันชิวอิ้ดเท่านั้น กิมหงวน
ทำ งานแบบพ่อค้าจีนทั้งหลาย
ทุกคนเข้ามานั่งในห้องสำ หรับรับรองแขก คนรับใช้ ๒ คนนำ นํ้าชาและผลไม้บุหรี่มาเสิฟให้ นายเลี่ยง
ฮุ้นเลี่ยงเข้าไปในห้อง ในราว ๕ นาทีเขาก็ถือกางเกงหอบหนึ่งรวม ๖ ตัวเดินออกมา
อากู๋วางกางเกงที่ซักรีดไว้ใหม่เอี่ยมลงบนโต๊ะ พลหยิบขึ้นมาดูตัวหนึ่งแล้วมองดูหน้านายเลี่ยงฮุ้น
“
เอากางเกงขายาวมาให้ฉันทำ ไม อากู๋ เรามีนุ่งกันอยู่แล้ว” นายเลี่ยงฮุ้นหน้าตื่น
“
ดูให้ดีซีครับ กางเกงขาสั้นไม่ใช่ขายาว” นายพัชราภรฌ์ตรวจดูอีกทีละตัว ทุกตัวก็คงเป็นกางเกงขายาวทั้งสิ้นพลถอนใจหนัก ๆ ยิ้มให้หรงจู๊
“
อากู๋ นี่มันกางเกงขายาวทั้งนั้นเลย อากู๋นี่สติลอยเสียแล้ว” นายเลี่ยงฮุ้นทำ หน้าตื่น ๆ
“
ปู้โธ่…คุณจะเอากางเกงขาสั้นผมก็หากางเกงขาสั้นมาให้ แล้วยังจะบอกว่ากางเกงขายาวอีก” นิกรอ้าปากหวอ หัวเราะก้าก
“
ขายาวเห็นทนโท่
“
“
เรียกขาสั้น
เอ….อากู๋ ชักกะปํ้ากะเป๋อใหญ่แล้วละแฮะ สงสัยตั้งแต่ฉันเข้ามาเห็นแถวกองเกียรติยศ นี่มันกางเกง”นายเลี่ยงฮุ้นยกมือเกาศีรษะ”แล้วกัน อายุผมเกือบ ๖๐ แล้วนะครับ ถ้ากางเกงอย่างนี้ไม่เรียกว่ากางเกงขาสั้น กางเกงอะไรล่ะครับที่” นิกรทำ หน้าเหมือนกับจะเป็นลม
“
“
แล้วไม่เรียกกางเกงขาสั้นหรือยังไง
ตายห่า…อากู๋ นี่มันกางเกงขายาว”ขาสั้น” นายเล่ยี งฮุ้นเถียงคอเป็นเอ็น คุณลองนุ่งดูซี นงุ่ เขา้ ไปเหน็ ขาคณุ ตอนขอ้ เทา้ นดิ เดยี วเทา่ นนั้” คณะพรรค ๔ สหายทำ คอย่นพร้อม ๆ กัน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หัวเราะงอหาย มองดูหน้าหลงจู๊อย่าง
ขบขัน
“
เพราะขาของกางเกงมันยาว แต่หลงจู๋เรียกกางเกงแบบนี้ว่ากางเกงขาสั้น เพราะนุ่งเข้าไปแล้วเห็นแต่เพียงปลาย
เท้า เอาละ
เถียงกันเสียแทบล้มแทบตาย ที่แท้เข้าใจกันไปคนละทาง หากฉันเรียกกางเกงแบบนี้ว่ากางเกงขายาว…ถ้ายังงั้นหลงจู๊ หากางเกงขายาวมาให้พวกเรา ๖ ตัวก็แล้วกัน” นายเลี่ยงฮุ้นยิ้มแห้ง ๆ หายเข้าไปในห้องอีกสักครู่หนึ่งก็หอบกางเกงขาสั้นรวม ๖ ตัวเดินออกมา คณะ
พรรค ๔ สหายหัวเราะครืน
หลังจากดื่มนํ้าชา สูบบุหรี่นั่งพักผ่อนสนทนากับนายเลี่ยงฮุ้นประมาณครึ่งชั่วโมง คณะพรรค ๔ สหาย
ก็ถอดเครื่องแต่งตัวฝากไว้กับหลงจู๊อู่เรือ ๔ สหายกับท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้ว ต่างสวมกางเกงขาสั้น
และเชิตพากันออกมาจากสำ นักงานเดินตรงไปยังเขื่อนริมแม่นํ้า
เรือ
“สี่สมิง” จอดเตรียมพร้อมอยู่แล้ว “
นิกรพยักหน้า
ใครจะคัดท้ายโว้ย” ดิเรกถามอย่างเป็นงานเป็นการ “
“
ยนต์มากมายนัก ได้ออกกำ ลังไปในตัว แล้วก็ได้รับแสงแดดซึ่งเป็นยารักษาโรคด้วย เราจะไปทางไหนกันล่ะ ขึ้น
ไปทางพระราม ๖ หรือย้อนลงทางล่าง
“
กันก็ได้”เอา….ตกลง ลงเรือโว้ยพวกเรา แหม….ใหม่เอี่ยมน่านั่งเหลือเกิน เที่ยวเรือบตได้ประโยชน์กว่าเรือ”ไปทางล่างก็แล้วกัน รอจนกว่านํ้าขึ้นค่อยลอยตามนํ้ากลับมา” ครั้นแล้ว คณะ ๔ สหายก็พากันก้าวลงไปในเรือ
ทั้ง ๆ ที่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนเขาไม่เคยคัดท้าย เรือ
ขวางแล่นเปะปะ เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หันมาตะโกนเอ็ดตะโรลั่นแม่นํ้า
“
“
“สี่สมิง” ด้วยความระมัดระวัง นิกรทำ หน้าที่ถือท้าย“สี่สมิง” เคลื่อนออกจากริมเขื่อนพุ่งออกกลางนํ้า หันรีหัน”เอ้ย ถือท้ายยังไงกันโว้ย”ว้า…นิกรคราง ก็ผมถือท้ายเป็นเมื่อไหร่ล่ะครับ” กิมหงวนซึ่งนั่งติด ๆ กับนิกรเอี้ยวตัวมา แล้วยกพายขึ้นทำ ท่าจะประเคนลงกลางกระหม่อมนายจอม
ทะเล้น
“
เดี๋ยวพ่อล่อโป๊กเข้าให้เลย ถือไม่เป็นทำ ไมไม่บอกตั้งแต่อยู่บนบก” นิกรหัวเราะ
“
เปลี่ยนกันโว้ย ใครถือท้ายเป็นก็มาคัดท้ายแทนกัน” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ บ่นกะปอดกระแปด
“
“
นายของตนพายเรือไม่เป็น ทุกคนต้องขึ้นจากเรือหมดเพื่อสับเปลี่ยนที่นั่งกัน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ นั่งท้ายเรือ ถัดมา
นิกร เสี่ยหงวน ดร
ไม้แบบเสื้อฮาวาย สวมหมวกสักหลาดดัดทรงแบบขอทานมีดอกหงอนไก่ปักที่ผ้าพันหมวก
เรือบตของ ๔ สหายเคลื่อนออกจากฝั่งอีกครั้งหนึ่งแล่นเอื่อย ๆ ออกกลางนํ้า ท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ถือ
ท้ายอย่างกระฉับกระแฉง แล้วก็หวนนึกถึงอดีตกาลตั้งแต่ครั้งกระโน้น ในสมัยที่ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดกะ
บุงทลุต้องพายเรือพาหลวงพ่อไปบิณฑบาตรทุก ๆ เช้า
วาดเรือกลับเข้าไปริมฝั่งใหม่ อาจะคัดท้ายเองเอา….ช่วยกันโว้ย”สี่สมิง” กลับเข้าฝั่งด้วยความลำ บากยากเย็น พวกกรรมกรอู่เรือต่างหัวเราะกันลั่น ชอบอกชอบใจที่เจ้า. ดิเรก พล และเจ้าแห้วนั่งหัวเรืออย่าสง่าผ่าเผย นิกรแต่งตัวโก้กว่าเพื่อน สวมเสื้อเชิ้ตลายดอก “
๔ สหายคุยกันเสียงลั่นแม่นํ้า ลมพัดโกรกเย็นสบายและแดดก็ไม่ร้อน เพราะมีเมฆฝนกำ บังดวงอาทิตย์
สี่สมิง” ลอยละล่องมาตามสายนํ้าอันไหลเชี่ยวเมื่อถูกคลื่นเรือกลไฟ เรือบตเผ่นไปตามเคลื่นอย่างน่าดู “
เห่เรือเล่นเถอะโว้ย” ดร. ดิเรกนึกครึ้มใจขึ้นมาก็ร้องบอกพรรคพวกของเขา “ใครเห่เป็นบ้างล่ะ” กิมหงวนสั่นศีรษะ
“
กันได้แต่โห่ เห่ไม่เป็น เรื่องพันนี้มันต้องอ้ายกร” นิกรยิ้มแป้น ร้องเห่ขึ้นทันที
“
เอ้า….เฮ้เฮ…..เฮเฮ้เห่เอเฮ……โอละเฮเฮ้เฮเห่เอเฮ” ทุกคนช่วยกันร้องเห่ และต่างก็พ่ายเรือให้เข้าจังหวะเพลง คราวนี้ ๔ สหายกับท่านเจ้าคุณ ปัจจนึก ฯ
และเจ้าแห้วต่างสนุกสนานกันเต็มที่
นิกรลอยหน้าลอยตาร้องเสียงแจ๋ว
เรือเอ๋ยเรือบต
งามหมดจดวิไลตา
( ฮ้า….เฮ้ ) ฝีพายเอ๋ยแสนสง่า
ลอยลิ่วมาในนาสา
เฮ้
เฮเฮ้ เฮ้เอเห่เอเฮ
—คร….เฮ เอเห่เฮ ดร
. ดิเรกหันมาพยักหน้ากับนิกร “
สิทธิราช ร้องต่อไป
นิกรยิ้มแห้ง ๆ
เวอรี่กู๊ด ร้องต่อไปซีโว้ยแกเข้าใจร้องมาก มันทำ ให้กันหวนนึกถึงราชประเพณี ในสมัยสมบูรณาญา “
ร้องได้แค่นี้เอง เปลี่ยนทำ นองเป็นยี่เกก็แล้วกัน เห่เรือกันไม่ใคร่ถนัดหรอก” ก่อนที่ใครจะสนับสนุนหรือคัดค้าน กระดิ่งทองก็ลุกขึ้นยืนรำ ป้อและร้องยี่เกเสียงลั่นแม่นํ้า
“
ได้ลงเล่นนาวาแสนก็จะดีใจ
พวกเรา ๕ คนล้วนแต่ผมดก
แต่ว่าคนที่ ๖ เอ๊ะยังไง
ไม่มีผมสักเส้นกรรมเวรนี่กระไร
กระดิ่งทองผ่องโสภา” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ผลุดลุกขึ้นยืน ลืมนึกไปว่า ขณะนี้ท่านนั่งอยู่ในเรือบตลำ เล็ก ๆ ท่านเจ้าคุณประเคน
ด้ามพายลงไปที่ศีรษะนิกร แต่กระดิ่งทองยกพายขึ้นปิดไว้ทัน มิหนำ ซํ้าร้องยี่เกต่อไป ยั่วโทษะให้เจ้าคุณเกิด
โมโหยิ่งขึ้น
รบรุกบุกบั่นประจัญบาน
กระดิ่งทองเชี่ยวชาญน่ะเป็นหนักหนา
เราจะลองหลอกล่อรบกับพ่อตา
…….. เจ้าแห้วร้องรับพิณพาทย์เสียงลั่น
“
เต่งตูเร๊งเต็งเตรง เตร๊งเต็งเตรงเตร๊ง เต็งเต๊งเต่ง เต่งเต่งตาลาล่า ตี้ตา….” พ่อตากับลูกเขยต่างใช้พายรบกันเป็นสามารถ ทุกคนหัวเราะงอหายเรือบตเอียงวูบควํ่าลงในนํ้าทันที
ดร
.ดิเรกร้องเสียงหลง “
“
มายก๊อด”โครม” สงครามระหว่างลูกเขยกับพ่อตาสิ้นสุดลงทันที ต่างลอยคออยู่ในนํ้าช่วยกันเก็บพายแลข้าวของต่าง ๆ
แล้วก็ว่ายมาเกาะเรือ พลยกมือเขกศีรษะนายจอมทะเล้นดังโป๊ก
นี่แน่ะ เพราะแกทีเดียวทำ ให้เรือล่ม หมดเปียกหมด เล่นไม่รู้จักเล่นอ้ายเวรนี่
” นิกรหัวเราะคิ๊ก
“
เรือไม่ล่มมันก็ไม่มีรส ไหน ๆ รักจะเล่นเรือกันแล้วมันต้องยอมเปียก
ก็คุณพ่ออยากตีกันนี่หว่า ช่วยกันลากเรือเข้าฝั่งโว้ย ไปกู้บนแพซุงนั้นอย่าบ่นหน่อยเลยวะ เล่นเรือถ้า” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ด่าพึมพำ ท่านหาว่านิกรเป็นตัวอหิวาห์ เชื้อโรคชนิดหนึ่งร้ายแรง ต่อจากนั้นคณะ ๔
สหายก็ช่วยกันว่ายนํ้าลากเรือบตเข้าหาฝั่งตะวันออก ที่มีแพซุงจอดอยู่ริมฝั่ง ดร
นํ้าหายไป สักครู่หนึ่ง
หน้าซีดเผือด ร้องตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง
.ดิเรกบ่นเสียดายกล้องยาเส้นที่ตก“สี่สมิง” ก็มาถึงริมฝั่ง คณะพรรค ๔ สหายขึ้นมาบนแพซุง เจ้าคุณปัจจนึก ฯ สดุ้งสุดตัวใบ “
อ้ายแห้ว….โอ้ย….อ้ายแห้วจมนํ้าตายแล้ว” เจ้าแห้วยืนอยู่ข้างหลังท่านเจ้าคุณ ทำ หน้าปูเลี่ยน ๆ ชอบกล
“
รับประทานอยู่นี่ครับ” ๔ สหายหัวเราะครืน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เงื้อมือทำ ท่าจะเขกกะบานเจ้าแห้ว
“
อ้ายเปรต ยืนอยู่ข้างหลังก็ไม่บอก นึกว่าจมนํ้าตายเสียแล้ว” เจ้าแห้วอมยิ้ม
“
รับประทานคนอย่างผม ยมพบาลไม่เอาหรอกครับ” การสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ทุกคนช่วยกันกู้เรือแล้วก็ลงนั่งประจำ ที่
สายนํ้า สักครู่หนึ่งเรือก็ผ่านบ้านญวณสามเสน วัดราชาธิวาส
นิกรตาไวแลเห็นเรือบตลำ หนึ่งพายเอื่อย ๆ อยู่ใกล้ฝั่ง
“สี่สมิง” ออกแล่นลอยไปตาม “
ด้วย
เฮ้ย—โน้น เห็นไหม สี่ใบเถาเฟี้ยวไปเลยตามโว้ยพายไปใกล้ ๆ ใครจีบได้จีบเอา แต่งตัวเหมือนกันซะ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ จุ๊ย์ปาก
“
อย่าหาเรื่องหน่อยเลยวะ อยู่ดี ๆ ให้เขาด่าเห็นเป็นของสนุกรึ” นิกรพยักหน้า
“
“
มองดูและทำ หน้างอทันที
ครับ ถูกด่าเสี่ยหน่อยสบายดี”สี่สมิง” แล่นตรงไปยังเรือบตลำ นั้น สักครู่หนึ่งก็ตามมาทัน และเข้าเทียบข้าง หญิงสาว ๔ คนหันมา “
ยังไงถึงจะได้กินส้มเขียวหวานบนกะทงเรือของคุณสักผลนะ
ง่า—สวัสดีครับ” นายจอมทะเล้นเริ่มต้นจีบ “ไปไหนครับ ให้พวกเราตามไปด้วยนะครับ แหม….ทำ” แม่คนถือท้ายที่อ้วนจํ้ามํ่าเหมือนหมูตอน หันมาทำ ตาเขียวกับนิกร
“
“
อะไรไปล่ะครับ คุณเฉิดโฉมนี่เห็นหน้าผมทีไรเป็นต้องด่ากราดทุกที
อยากกินก็ซื้อเอาซียะ พิลึก เจ้าชู้ประตูดินหน้าด้าน ไม่รู้จักมักจี่กับเขาสักหน่อย”อ้าว” นิกรอุทาน “ว่าหน้าด้านประเดี๋ยวล่มเรือเสียเลย เราคนไทยด้วยกันจีบกันเล่นนิดหน่อยเป็น” แม่ตุ่มสามโคกยิ้มออกมาได้
“
ใครบอกคุณว่าฉันชื่อเฉิดโฉม” นิกรอมยิ้ม
“
“
แล้วคุณชื่ออะไรล่ะ”ไม่บอก” คราวนี้นิกรแหกปากโกนลั่น
“
ไม่บอกก็ไม่อยากรู้ เอาโว้ยพวกเรา ปล้นเลยอ้ายเสือบุก” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยกด้ามพายตีหัวนิกรดังโป๊ก
“
ทลึ่งมากไปแล้ว พอที ถ้าแกจะรู้จักเขาก็ควรจะให้กิริยาวาจาให้สุภาพกว่านี้” เรือกลไฟลำ หนึ่งแล่นสวนขึ้นมาด้วยความเร็วและแล่นเลียบฝั่งตะวันออก แม่สาวงามทั้ง ๔ คน รีบนำ
เรือเข้าหาฝั่ง แต่พอเรือกลไฟผ่านไป ลูกคลื่นก็เกิดขึ้นทำ ให้
กระตู้วู้ดังขึ้น เรือบตทั้งสองลำ ควํ่าลงทันที
“สี่สมิง” และเรือบตลำ นั้นโยนตัวไปมา เสียงวิ๊ดว้าย “
คณะพรรค ๔ สหายต่างแสดงเป็นพระเอก พลนิกร กิมหงวน กับดร
นางเอกคนละคน ส่วนเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับเจ้าแห้วเกาะอยู่ที่เรือ
ว่ายกระเดือก ๆ เข้าหาฝั่ง แต่แล้วแม่อึ่งอ่างก็ยกมือทบศีรษะนิกรติด ๆ กันหลายครั้ง
ว้าย ตายแล้ว ช่วยด้วย” แม่โอ่งใบใหญ่ร้องลั่นเพราะหล่อนว่ายนํ้าไม่ใคร่เป็น.ดิเรก ว่ายนํ้าเข้าไปช่วยประคอง“สี่สมิง” นิกรกอดแม่ตุ่มสามโคกไว้ พาหล่อน “
นี่แน่ะ นี่แน่ะ คนบ้า คนผีทะเล กอดไม่กอดเปล่า บ้าอย่างร้ายเชียว เล่นกะฉันยังงี้ได้เรอะ” นิกรหัวเราะจนสำ ลักนํ้า
โธ่
เข้ามากอดหล่อน แม่อึ่งอ่างถูกกอดรัดสัมผัสตัวก็อายจนหน้าแดง แต่ก็จำ ใจต้องให้นิกรช่วยหล่อน
พลกับ ดร
ต่างก็รู้สึกเสียดายที่เข้ามาถึงฝั่งเร็วเกินไป ต่างมาขึ้นที่ท่านํ้าหน้าบ้านใหญ่แห่งหนึ่ง
มิตรภาพถูกฟักตัวขึ้นทันที พลกล่าวกับหญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยเก๋มีเสน่ห์กว่าเพื่อน
….อย่าถือเลยครับ ผมไม่ได้แกล้ง มา….ให้ผมช่วยคุณเถอะ เดี๋ยวจมนํ้าตายไม่รู้นา” แล้วนิกรก็ว่าย.ดิเรกและเสี่ยหงวน ต่างช่วยหญิงสาวคนละคนพาเข้าหาฝั่ง ทุกคนได้กำ ไรอย่างงดงาม และ “
พวกคุณว่ายนํ้าไม่ใคร่เก่ง ไม่น่าจะนำ เรือออกแม่นํ้าเลยครับ” หล่อนยิ้มอาย ๆ
“
“
“
ก็บ้านเราอยู่ริมนํ้านี่คะ”อ้อ แล้วคุณจะไปเที่ยวไหนกันอีกคะนี่”ง่า….ไม่ไปละค่ะ ดิฉันจะต้องรีบกลับ ป่านนี้ตาแดงแกร้องไห้ใหญ่แล้วคงหิวนมแล้ว” นายพัชราภรณ์ทำ คอย่น
“
“
อัศวินค่ะ ร้อยตำ รวจเอกชัยโรจน์ยังไงล่ะคะ
คุณมีบุตรแล้ว…”คะ ๓ คนแล้วค่ะ ว่าง ๆ ไปเที่ยวบ้านดิฉันบ้างซีคะ ดิฉันอยู่ใกล้กับคานเรือบางกะบือ สามีดิฉันเป็น” อ้ายเสือรูปหล่อกลืนนํ้าลายติด ๆ กันหลายครั้ง
“
แฮ่ะ แฮ่ะ ประทานโทษ ผมคิดว่าคุณเป็นสาวเสียอีก” หล่อนหัวเราะอย่างเปิดเผย
“
หน่อยซีคะ
เข้าใจผิดค่ะ พวกเราทั้ง ๔ คนนี้ล้วนแต่มีลูกแล้วพี่ตุ๊นั่นมีถึง ๕ คน ง่า….พวกคุณช่วยกู้เรือให้เรา” ๔ สหายมองดูหน้ากันและถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกันนี้เองเจ้าคุณปัจจนึกฯ ก็
พาเรือ
เรือบตทั้ง ๒ ลำ ถูกกู้ขึ้นแล้ว หญิงสาวทั้ง ๔ คนลงไปนั่งในเรือของหล่อน แล้วพากันพายเรือไปจากที่
นั้น พี่ตุ๊หันมากระเซ้านิกร
“สี่สมิง” เข้ามาที่ท่านํ้า และเจ้าแห้วว่ายนํ้าจูงเรือบตของสุภาพสตรีทั้ง ๔ คนเข้ามาด้วย “
อิ๊ว เกี้ยวคนมีผัวแล้ว” นิกรลืมตาโพลง
“
ผมด้วย พี่ตุ๊โอ่โถงดีเหลือเกิน ไม่ใช่เล่นนา ฮิ ฮิ
ไม่แปลกครับ มีผัวแล้วก็ยังได้ กระดังงาไม่ลนไฟมันก็ไม่หอม มะพร้าวยิ่งแก่ก็ยิ่งมัน เดี๋ยวครับพี่ตุ๊รอ“ เสียงหัวเราะของคณะพรรค ๔ สหาย ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ สั่นศีรษะช้า ๆ
“
ไปคลองบางกอกน้อย เที่ยวชมเรือรบต่าง ๆ ที่จอดอยู่กลางแม่นํ้ายังจะได้ประโยชน์บ้าง เจ้าชู้ประตูดินอย่างนี้ไม่
ได้ความเลย ถ้ายังไงละก้อไปเที่ยวบ้านยายหนอมรู้แล้วรู้รอดไม่ต้องเสียเวลาจีบ
ไม่เอาโว้ย เล่นตามผู้หญิงอย่างนี้อาไม่ชอบ เดี๋ยวอาจะพลอยโดนด่าไปด้วย เราไปเที่ยวของเราดีกว่า” ๔ สหายและเจ้าคุณปัจจนึก ฯ กับเจ้าแห้วต่างนั่งลงในเรือ
ท่า อาเสี่ยตะโกนขอบคุณเจ้าของบ้าน ต่อจากนั้น
ในครึ่งชั่วโมงนั้นเอง สี่สมิง ก็ข้ามแม่นํ้าไปทางฝั่งตะวันตกตอนใกล้จะถึงปากคลองบางกอกน้อย ทุก
คนได้แลเห็นสถานีธนบุรีใหม่ซึ่งสวยงามมาก ส่วนกลางแม่นํ้ามีเรือรบแบบต่าง ๆ จอดทอดทุ่นอยู่ เรียงราย ตั้ง
แต่ปากคลองบางกอกน้อยจนกระทั่งถึงหน้ากองเรือกล
แดดร้อนจัดขึ้นตามลำ ดับ คณะพรรค ๔ สหายพายเรือมาที่ท่าเตียนล่อก๊วยเตี๊ยวกันคนละชาม ๒ ชาม
ก๊วยเตี๊ยวมีรสชาติดีมาก โดยเฉพาะนิกรล่อถึง ๓ ชาม หลังจากนั้น
เพียงแต่ยกพายขึ้นจ้วงนํ้าเบา ๆ เรือก็แล่นฉิวเพราะเรือแล่นตามนํ้า ๔ สหายได้รับความสนุกสนาน
เพลิดเพลินมาก ปล่อยให้เรือล่องลอยไปตามสายนํ้า ผ่านสพานพระพุทธยอดฟ้าลงไปทางล่าง เรือแล่นห่างจาก
ฝั่งธนบุรีเพียงเล็กน้อย เจ้าแห้วแลเห็นเสาธงที่ปากคลองสาน ก็หันมาถามเสี่ยหงวน
“สี่สมิง” อีก เรือบตลำ น้อยแล่นออกไปจาก“สี่สมิง” ก็แล่นมาตามสายนํ้าอันไหลเชี่ยวแรง“สี่สมิง” ก็ล่องเลยต่อไป “
นั่นเสาอะไรครับ อาเสี่ย” กิมหงวนมองตามสายตาเจ้าแห้ว
“
เสาธงโว้ย ธงสัญญาณบอกเรือเข้าออก อยู่ปากคลองสาน” เจ้าแห้วหัวเราะ
“
“
พวกเรา ที่นั่นร่มเย็นดีมาก แวะชมคนบ้ากันแก้กลุ้มเถอะวะผิดนักเอาอ้ายกรไปส่งไว้ที่นั่นเลย
“
“
ฟ้าดิน
รับประทานมีคนบ้าหรือครับ”เออ นั่นแหละ แล้วเสี่ยหงวนก็กล่าวถามเพื่อนเกลอของเขา “เฮ้ยไปเที่ยวปากคลองสานกันไหมวะ”นิกรสดุ้งโหยง”ฉันน่ะไม่ไปหรอก ถ้าจะไปก็เห็นจะเป็นแก หมู่นี้เห็นพูดพัมคนเดียวบ่อยๆ บางทีก็ตะโกนด่าเทวดา” สักครู่ สี่สมิง ก็มาถึงปากคลองสานเจ้าคุณปัจจนึกฯ คัดท้ายบังคับเรือให้เลี้ยวเข้าไปในคลอง และซื้อ
ส้มเขียวหวาน ข้าวเม่าทอด และผลไม้อีกหลายอย่างใส่เรือไปไว้กินกันตามทาง
จากปากคลองมาถึง โรงพยาบาลโรคจิตไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อ
เห็นคนไข้โรคจิตหลายคนกำ ลังดายหญ้ากวาดใบไม้หรือรดนํ้าพรวนดินต้นไม้
“สี่สมิง” เข้าเขตโรงพยาบาลทุกคนก็แล “
หมอ” พลถามดิเรก “ทำ ไมเขาถึงใช้ ทำ งานล่ะไม่เป็นอันตรายหรือ” ดร
.ดิเรกอธิบายให้ทราบ “
ทำ งานก็เพื่อให้คนไข้เพลิดเพลินสนใจกับการงาน
เน็บเวอรไม คนไข้เหล่านี้หายป่วยแล้ว แต่หมอยังรอดูอาการอยู่จนกว่าจะแน่ใจว่าหายดีแล้วที่ให้” กิมหงวนหัวเราะหึ ๆ
“
คือ คนบ้านี่หน้าตามันบอกโว้ย” ดร
.ดิเรกจุ๊ย์ปาก “
โรคจิตต่างหาก เนื่องจากระบบประสาทชำ รุดไป เมื่อรักษาหายแล้ว เขาก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับเรา ๆ นี่
เอง
อย่าเรียกว่าคนบ้า ต้องเรียกว่าคนไข้โรคจิต เรามันจะเรียกกันผิด ๆ ว่าคนบ้า ความจริงเขาป่วยเป็น” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ รู้สึกสงสารและสนใจกับคนไข้โรคจิตมาก ท่านคัดท้ายนำ เรือ
บันใดท่านํ้าของโรงพยาบาล แล้วกล่าวกับ ๔ สหาย
“สี่สมิง” เข้าไปจอดที่ “
เรียบน่าดู ดอกไมส้ ายงามเปน็ เปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย
ขึ้นไปนั่งพักผ่อนกันสักประเดี๋ยวเถอะวะพวกเรา อาน่ะเมื่อยเต็มทนแล้ว ที่นี่เย็นดีมากสนามหญ้าก็” ๔ สหายเห็นพ้องด้วย ต่างช่วยกันขนส้มเขียวหวาน ชมภู่ ข้าวเม่าทอด กล้วยแขกทอดและบุหรี่ขึ้นมา
จากเรือ เสี่ยหงวนหนีบขวดเหล้าขึ้นไปด้วย ทั้ง ๖ คน นั่งลงบนสนามหญ้าใต้ร่มเงาของต้นประดู่ใหญ่
ชายกลางคนคนหนึ่ง แต่งกายชุดเวสปอยท์สวมหมวกกะโล่ถือไม้ตะพด ขนาดเชื่องเดินเลียบริมคลอง
มาทางบ้านผู้อำ นวยการ พอแลเห็นคณะพรรค ๔ สหายเขาก็หยุดชงักแล้วก็ตรงเข้ามาหา
“
ครับ ประเดี๋ยวจะเกิดอาละวาดขึ้นพวกคุณจะลำ บากและทำ ให้ผมเดือดร้อนไปด้วย
ง่า….ประทานโทษเถอะครับ กรุณาอย่ายั่วเย้าหรือเอาอะไรให้คนไข้ของผม ที่ทำ งานอยู่แถวนี้กินนะ” กิมหงวนลืมตาโพลง
“
อ้อ…ผู้คุม มา….เชิญ ๆ ก๊งกันเสียหน่อย” กะทาชายผู้นั้นยิ้มอย่างเปรี้ยวมาก
“
ไม่ได้หรอกครับ ผมกำ ลังทำ งานควบคุมคน คนไข้เหล่านี้ ขืนก๊งเข้าไปเจ้านายรู้เข้าผมแย่เชียว” ดร
. ดิเรกกวักมือเรียก “
นิดเถอะ
ถ้ายังงั้นมานั่งคุยกันหน่อย ไม่ต้องตกใจพี่ชายคุณหมอกับผมชอบกันมาก มาซีขอให้กัน สัมภาษฌ์สัก” ผู้คุมทำ หน้าชอบกล
“
สงบเสงี่ยม
นิกรหัวเราะหึ ๆ
จะลำ รากผมเอาไปลงหนังสือพิมพ์หรือครับ” พูดพลางเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเรียบร้อยอย่าง “
“
เขาเรียกว่าสัมภาษณ์ ไม่ใช่สำ ราก”หรือครับ ผมมันรู้หนังสือน้อย พูดไม่ใคร่ถูกหรอกครับ” กิมหงวนรินเหล้าใส่แก้วส่งให้ผู้คุม
“
“
อยู่เวรควบคุมคนไข้ด้านนอก
เอ้า…..ก๊งเสียหน่อยพี่ชาย”โอ ไม่ได้ครับ ขอบคุณท่านมาก จะคุยอะไรกับผมเชิญเถอะครับ แต่อย่าให้ผมดื่มเลยขณะนี้ผมกำ ลัง” พลกล่าวถามเบา ๆ
“
“
พี่ชายชื่ออะไร ขอโทษเถอะนา”ผมชื่อเฟื่องครับ” ท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวถามขึ้นบ้าง
“
นายเฟื่องทำ งานเป็นผู้คุมมานานแล้วหรือ ดูท่าทางของเธอเป็นคนเคร่งครัดในหน้าที่ดีมาก” นายเฟื่องยิ้มอาย ๆ
“
เจ้านายที่นี่ให้เป็นผู้คุม
“
ผมทำ งานได้ ๒ ปีเท่านั้นเองครับ คุณนายสมจิตที่พักอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิต ท่านกรุณาฝากผมกับ”พี่ชายไม่กลัวพวกคนบ้าเหล่านี้หรือ” นิกรสัมภาษณ์ “
เห็นผมเข้าหยุดอาละวาดทันที ผมใช้วิชาจิตศาสตร์ควบคุมพวกคนบ้าครับ
อ๋อ ตรงกันข้ามครับ คนไข้ของโรงพยาบาลนี่ทุกคนกลัวผมทั้งนั้น ต่อให้กำ ลังบ้าคลั่งอาละวาด แล” พลยื่นซองบุหรี่ให้ผู้คุม
“
“
พออีก ๒
คนไข้ที่ออกมาทำ งานข้างนอกนี่น่ะ หายป่วยแล้วใช่ไหม”ครับ แต่บางคนยังไม่หายสนิท เรื่องโรคจิตน่ะลำ บากมากครับ บางทีหายแล้วอนุญาตให้กลับบ้านได้–๓วัน พวกญาติเอาตัวมาส่งโรงพยาบาลอีก” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ แลเห็นคนไข้คนหนึ่ง แต่งกายสกปรกไว้หนวดเครารุงรัง ถือถังนํ้าเดินออกมาจาก
ประตูโรงพยาบาล ท่านเจ้าคุณกล่าวถามนายเฟื่องทันที
“
นายเฟื่อง อีตาคนนี้ดูเหมือนฉันเคยเห็นหน้าอยู่บางลำ ภูนี่นา แกเดินบ่นพึมพัมจับต้นชนปลายไม่ถูก” นายเฟื่องหัวเราะ
“
วันนี่เองแหละครับ อาการของแกก็คือประสาทส่วนสมองขาดความทรงจำ
ครับ ถูกแล้วครับ เขาชื่อนายใยมีประวัติเป็นช่างทำ เงินทองรูปพรรณ เพิ่งมาอยู่โรงพยาบาลได้ ๒–๓” นิกรร้องตะโกนเรียก
“
พี่ใย มานี่แน่ะ” นายใยจ้องตาเขม็งมองดูนิกรแล้วเดินรี่เข้ามา เจ้าแห้วร้องว้าย รีบเขยิบเข้ามานั่งใกล้ ๆ ผู้คุม นายใยยก
มือเท้าสะเอวมองดูคณะพรรค ๔ สหาย แล้วพูดเสียงหนักแน่น
“
ฝรั่งมันแน่ที่สุด เชื่อฉันเถอะน่า” นิกรพยักหน้าหงึก ๆ
“
“
ตำ รวจเขามาตั้ง ๓ รถกุดัง เรื่องมันยอกย้อนมาก ทีแรกเอาเชือกผูกขมวดหัวขมวดหาง หนอยแน่บุหรี่ลามจน
หมดมวนยังนั่งหัวเราะ เอาซีกินกันเข้าไป ทางโน้นก็ข้ามฟากมาทางนี้ โอ๊ยเรื่องมันเมื่อยตายห่า นั่งสักให้ลูกศิษย์
ตั้งแต่เช้าจนบ่ายเรื่องมันเป็นยังงี้ เขาสั่งให้เราทำ งานทำ แหวน ๒ วง พอพระขึ้นเทศน์เอาก้อนอิฐขว้าง โอ๊ย
มันแน่ยังไง พี่ใย”ก็มันเอาปลาร้าไปผสมกับปลาเจ่าที่พระโขนงยังไงล่า แม่โว้ยผู้คนมืดฟ้ามัวดิน อ้ายเราบอกแล้วว่า— กลุ้มใจ
” คณะพรรค ๔ สหายกลืนนํ้าลายเอื้อกพร้อม ๆ กันนายเฟื่องโบกมือไล่นายใย
“
ไป ๆ ๆ ไปทำ งานของแกให้เรียบร้อย” นายใยเอ็ดตะโรลั่น
“
ฝรั่งว่า เดอะ ด๊อกแอท อิล เวอรี่ฮ๊อท แปลว่า แดดออกร้อนมาก คนเราไม่พึ่งพาอาศัยกันก็ต้องกินผักต่างข้าว พูด
ยากแฮะ รถยนต์เรือกลไฟ แม้กระทั่งเรือขายหมด มันถึงคราวล่มจม อ้ายเราจะว่าเขาก็ไม่ถูก นํ้ามันเซาะตลิ่งพัง
หมดเป็ดไก่ตายเรียบไม่มีเหลือ
จะทำ หาห่าอะไรกันเล่า ช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก ขืนเชื่อออกลูกเป็นแมว คนอย่างกูน่ะเรอะ ทรยศ” นิกรพยักหน้า
“
นั่นน่ะซี พี่ใยพูดถูก” นายใยหัวเราะ
“
เห็นแล้วเสียวไส้ มันแดกเข้าไปได้ตั้ง ๕
คนเราถึงคราวเบ่งมันก็ต้องเบ่ง กูเองโดนเข้าไป ๒,๐๐๐ บาท พี่ชายเขาถอดลูกล้อออกหมด อื้อฮือ-๖ ชาม ลุกขึ้นมาเอาคาไบน์ไล่ยิงตายไป ๑๕ คน ไปฟื้นโรงพยาบาล” นิกรทำ หน้าเบ้
“
“
ทารุณมากนะพี่ใย แล้วนังเมียมันอยู่ที่ไหนล่ะ”อ้าย…ก็รบกันนี่ ใครยิงก็ยิงเอาซี ทีแรกเจ๊กมันจะซื้อเหมือนกัน คนเรามันโง่ก็เลยเสียทีเขา” นิกรจุ๊ย์ปาก
“
น่าเสียดาย ไม่น่าเลยน่ะพี่ใย” ดร
. ดิเรกอดรนทนไม่ได้ก็ยกมือตบบ่านิกร “
แกคุยกับเขาแกรู้เรื่องหรือวะ” นายจอมทะเล้นสั่นศีรษะ
“
“
ไม่รู้หรอก”ไม่รู้แล้วจะคุยหาหอกอะไรกันวะ” นิกรหัวเราะก้าก
“
พูดออกมา
กันรู้จักพี่ใยมานานแล้ว เคยคุยกันที่ร้านกาแฟเฮงเฮงบ่อย ๆ แกชอบคุยแต่คุยไม่รู้เรื่องนึกอะไรได้แกก็” นายใยพูดเสริมขึ้นทันที
“
จบนายใยก็ลุกขึ้น
ควรแก่ภิกษุสงฆ์บริโภคเมื่อก่อนจะนอนพูดไปพูดมา มันก็เข้าเค้าที่เขาลือกัน ผู้หญิงมันไม่ค่อยดีมากชู้หลายผัว
ทิ้งตัวไหน จั่วตัวนั้น ซวยฉิบหาย คุณคิดดูเถอะครับ ตัวกลมหน้าลายหากินตามตลาด ดันออก ฮ นกฮูก เบอร์ ๓๔
ฝรั่งมันจะดีกว่าคนไทยยังไง
นิกรโบกมือกับคนไข้ของโรงพยาบาล
อ้าว…นี่หาว่าผมเป็นบ้าหรือนี่ คนเรามันยังงี้ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งเอากระดูกแขวนคอ” พูด“พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าเย็นตะโฟสิโอซะโกโหตุ แปลว่า เย็นตาโฟนั้นย่อมมีรสชาติอัน “
พอ…..พอแล้วพี่ใย วันนี้คุยกันแต่เพียงเท่านี้” นายใยอมยิ้ม ถือกระป๋องนํ้าเดินบ่นพึมพัมไปทางขวามือ คณะพรรค ๔ สหายหัวเราะลั่น
“
ประทานน่าสงสารเหลือเกิน
รับประทานแกคุยเด็ดขาดไปเลย” เจ้าแห้วพูดพลางหัวเราะพลาง “ประโยคหนึ่งก็เรื่องหนึ่ง รับ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ กล่าวถามดร
. ดิเรก “
“
แกเลยพูดเพ้อเจ้อไปตามเรื่อง นึกอะไรได้ก็พูดออกมา
ทำ ไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้”คนไข้คนนี้หรือครับ ผมเข้าใจว่าระบบประสาทส่วนสมองของแกชำ รุดหมดแล้ว ควบคุมกันไม่ติด” พลกล่าวถามอย่างเป็นงานเป็นการ
“
ยังงี้ รักษาหายไหม ?” ดร
. ดิเรกสั่นศีรษะ “
จากมีเงินซื้อยาแพง ๆ มารักษาตัว
เห็นจะยากสักหน่อย เพราะเขาเป็นคนจน แต่ถ้าเป็นคนมีเงินแล้ว อาการหนักกว่านี้ก็รักษาได้ เนื่อง” เสียงใครคนหนึ่งร้องยี่เกแจ๊ว ๆ คณะพรรค ๔ สหายมองไปทางสะพานข้ามคลองด้านโรงพยาบาล ต่าง
แลเห็นกระทาชายคนหนึ่งเดินรำ ป้อเข้ามา ผัดหน้าขาวว่อกและสวมชฎาที่เขาทำ ขายเด็ก ๆ ตามงานวัด
พักหนึ่งพอมาถึงยังบุรี
หน่อกษัตริย์เปรมปรีดิ์แสนดีใจ
พลัดบ้านเมืองไปเรียนศิลปศาสตร์
ตัวของเราสามารถกว่าใคร ๆ
อันว่าศรทองของเรานี้
องค์พระมุนีท่านมอบให้
เอ๊ะนั่นใครหวานั่งอยู่นั่น
เราจะต้องฟาดฟันให้บันลัย
ว่าพลางหยิบศรออกมาเร็วไว
นิกรผลุดลุกขึ้นยืน ร้องยี่เกขึ้นมาทันที
เจ้าหนุ่มน้อยหน้ามล
ท่าทางชอบกลเพราะเสียจริต
เขาจะรบรอนราญกับพวกเรา
ก็เปรียบเหมือนแมงเม่ากะจิดริด
บินเข้าสู่ดวงไฟต้องวายชีวิต
คนไข้ที่คิดว่าตนเป็นลูกกษัตริย์ ยกมือขวาขึ้นป้องหน้าผากมองดูคณะพรรค ๔ สหายอย่างตื่น ๆ แล้วก็
เดินกลับไป นายเฟื่องหัวเราะลั่น
“
มีทีท่าว่าจะหายเลย
อ้ายหมอนั่นมันบ้ายี่เกครับ ใฝ่ฝันจะเป็นนายโรงยี่เกจนกระทั่งป่วยเป็นโรคจิต รักษามาครึ่งปีแล้ว ไม่” นิกรเลื่อนกะทงใส่ข้าวเม่าทอดและกล้วยแขกมาวางข้างหน้านายเฟื่อง
“
เถอะนายเฟื่อง ตามสบายนะ ขอให้นึกว่าเราเป็นกันเอง
กินเสียหน่อยซีพี่ชาย เราซื้อมาตั้งเยอะแยะ ไม่ต้องเกรงใจ ชมพู่ ส้มเขียวหวาน อยากจะกินอะไรก็เชิญ” นายเฟื่องยกมือไหว้
“
ขอบคุณครับ ผมอิ่มแล้ว” กิมหงวนยกกระทงข้าวเม่าทอดส่งให้
“
เอานิดน่า พี่ชาย เพื่อความครึกครื้นในหมู่คณะ อย่างน้อยล่อเสียหนึ่งลูก กินพลางคุยกันไปพลาง” นายเฟื่องเกรงใจคณะพรรค ๔ สหายก็จำ ต้องกินข้าวเม่าทอด
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ รินเหล้าใส่แก้วส่งให้นายเฟื่องแล้วพูดยิ้ม ๆ
“
เล่นชะก๊งเถอะ นายเฟื่อง เอาน่า” นายเฟื่องยิ้มอาย ๆ รับแก้วเหล้ามาถือไว้แล้วยกขึ้นดื่มกรุ๊บ ท่าทางที่เขาดื่มเหล้าแสดงให้เห็นว่าเขาเป็น
นักดื่มคอเหล็กคนหนึ่ง พอเหล้าตกถึงท้อง นายเฟื่องก็คึกคักเข้มแข็งขึ้นทันที
“
เจ้านายอยากชมพวกคนไข้โรคจิตไหมล่ะครับ ผมจะพาเข้าไปดู” เขาพูดกับคณะพรรค ๔ สหาย
กิมหงวนสั่นศีรษะ
“
พยาบาลละก้อแย่เชียว
ช่างเถอะพี่ชาย ประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาเกิดไม่ยอมให้ฉันออกมาเพราะเข้าใจว่าเราเป็นคนไข้ของโรง” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อม ๆ กัน นายเฟื่องถือวิสาสะหยิบขวดเหล้ารินใส่แก้วเกือบครึ่งแก้ว แล้วยกขึ้น
ดื่มรวดเดียวหมด ยกหลังมือขึ้นเช็ดปากหยิบชมภู่ผลหนึ่งขึ้นมากัด
“
สาว ๆ หรือครับ มีอยู่เกือบ ๒๐ คน โดยมากสติเสียเพราะเกี่ยวกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มีแหม่มคนหนึ่งสวยมาก แก้
ผ้าเปลืองกายตลอดวันเชียวครับ รูปร่างอ้วนจํ่ามํ่ารับรองว่าพวกคุณเห็นแล้วต้องจุ๊ย์ปาก มหึมาเลยครับสวยซะ
ด้วย นั่งร้องไห้ตลอดวัน
ผมเป็นผู้คุมเองครับ มีสิทธ์ที่จะพาใคร ๆ เข้าไปเที่ยวในโรงพยาบาลได้ พวกท่านไม่อยากชมคนบ้า” นิกรหันมายิ้มกับพล
“
ลองเข้าไปดูเรอะ” นายพัชราภรณ์ลั่นศีรษะ
“
นี้ กันไม่อยากดูหรอก
ไม่ใช่สิ่งน่าดูเลย มันเป็นสภาพทีน่าเศร้ามากกว่า คนไข้เหล่านี้ล้วนแต่มีบาปกรรมจึงต้องเป็นไปอย่าง” นิกรโพล่งขึ้น
“
เจ้าแห้วยิ้มหวานจ้อยเมื่อสบตากับนิกร
น่า—นึกว่าเราดูจํ้าบ๊ะฟรีแหม่แก้ผ้าหาดูได้ยากนา “
รับประทานผมดูด้วยคนครับ” นิกรหัวเราะ
“
แม่ยังไม่เคยเห็นสภาพของคนบ้าเลย ถ้ามันสนุกดีเหมือนกัน
ฉันสองคนเข้าไปชมหน่อยซี เราต้องการดูคนบ้าที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น
งั้นเรอะ ไป แกกับฉันเข้าไปดูกันสองคน ปล่อยให้พวกเรานั่งคอยที่นี่แหละ เกิดมาจากท้องพ่อท้อง” แล้วนิกรก็เปลี่ยนสายตามาที่นายเฟื่อง “พี่ชาย พา” นายเฟื่องหัวเราะก๊าก
“
ผู้ชายแก้ผ้าก็มีให้ชมนะครับ” นิกรทำ คอย่น
“
บ่อย ๆ แลเห็นแต่ท้องพลุ้ยเหมือนแตงโมงผ่าซีก
ไม่ไหว ผู้ชายแก้ผ้ามองดูคล้าย ๆ เปรต ส่วนเว้าส่วนโค้งหาไม่ได้เลย ฉันเคยแอบดูพ่อตาฉันที่ห้องนํ้า” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ หัวเราะหึ ๆ ขยับเท้า ทำ ท่าเหมือนจะเตะนิกร
“
อ้ายเวร ระวังนะ ลูกนัยน์ตาจะเป็นกุ้งยิง” นิกรพยักหน้ากับเจ้าแห้ว แล้วฉุดแขนนายเฟื่องให้ลุกขึ้น ต่อจากนั้นนายเฟื่องก็พานายจอมทะเล้นกับ
เจ้าแห้วเดินเข้าไปในประตูของโรงพยาบาลโรคจิต
ที่เรือนพักของคนไข้ นิกรได้แลเห็นคนไข้โรคจิตหลายคนถูกควบคุมตัวอยู่ในห้อง มีอาการต่าง ๆ กัน
บ้างก็นั่งร้องไห้ บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็แช่งชักหักกระดูกเทวดาฟ้าดิน
“
นั้นแหละครับ พวกคนไข้ที่คลุ้มคลั่งต้องถูกขังอยู่ในห้องขัง ปล่อยออกมาเพ่นพ่านไม่ได้เชิญชมตามสบายเถอะ
ครับ คนไข้ผู้หญิงอยู่ทางโน้น ไม่ต้องกลัวว่าใครจะว่าคุณ ในนี้ผมเป็นใหญ่กว่าเพื่อน คุณหมอผมยังต้องซูฮกผม
แหม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์หยุดราชการ” นายเฟื่องอธิบายให้นิกรทราบ “มีแต่นายแพทย์เวรอยู่คนเดียวเท่า—อ้ายข้าวเม่าทอดนี่หวานชื่นใจดีแท้ ๆ เสียอย่างเดียวอ่อนกะปิไปหน่อย” นิกรสดุ้งโหยง มองดูหน้านายเฟื่องอย่างแปลกใจ
“
พี่ชาย” นายเฟื่องหัวเราะ
“
“
“
ตัวให้รุ่มร่ามอยู่เสมอ บัณฑิตย์ย่อมบูชาอย่างที่โบราณเขาว่า หัวเต่ายาวแล้วสั้น เล่ห์ลิ้นทรชน
ว่าไงครับ”แกน่ะสบายดีแน่นะ”อ๋อ รับรอง ๑๕๐ เบอร์เซ็นเต็ม การทำ ตัวให้เหมาะสมแก่กาลสลัยย่อมเป็นวิสัยของปราชญ์ แต่การทำ” เจ้าแห้วเย็นวาบไปทั้งตัว ดึงแขนนิกรพาออกมาให้ห่างจากนายเฟื่องประมาณ ๑๐ ก้าว แล้วกระซิบ
กระซาบบอก
“
รับประทานแย่แล้วครับเรา” นายจอมทะเล้นกลืนนํ้าลายติด ๆ กันหลายครั้ง
“
ผู้คุม
นั่นน่ะซี น่ากลัวอ้ายข้าวเม่าทอดทำ พิษแน่ เจ้าเฟื่องคงเพิ่งหายจากโรคจิตและได้รับการแต่งตั้งให้เป็น” เจ้าแห้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่เขาจะพูดอะไร มายเฟื่องก็เดินปรี่เข้ามา กิริยาท่าทางของนายเฟื่อง
เปลี่ยนแปลงจากสุภาพอ่อนโยนเป็นดุร้าย นัยน์ตาวาวโรจน์ริมฝีปากแบะยื่น
“
เฮ้ย—เสือกหนีออกมาจากห้องขังทำ ไมวะ หน่อยจะลองดีผู้คุมเอกหรือ” นิกร กับเจ้าแห้ว ถอยหลังกรูดให้ห่างรัศมีตะพด กระดิ่งทองฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้ง
“
พี่เฟื่องจำ จำ น้องไม่ได้หรือนี่ แดกข้าวเม่าทอดเข้าไปหน่อยเดียวลืมน้องเชียวหรือ” นายเฟื่องหัวเราะก้าก
“
เอ็ง ๒ คนตายแน่
หนอยแน่ อ้างตัวเป็นน้องผู้ยิ่งใหญ่ น้องข้าอย่างน้อยก็ชั้นหัวหน้ากองหรืออธิบดีโว้ย มานี่อย่าหนีนะ” เจ้าแห้วพูดเร็วปรื๋อ
“
รับประทานเปิดเถอะครับ” นิกรกับเจ้าแห้วแยกกันไปคนละทาง ต่างคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด เจ้าแห้วแลเห็นฤาษีองค์หนึ่งนั่งหลับ
ตาบำ เพ็ญพรตอยู่ใต้ต้นไม้ก็วิ่งเข้าไปหา ร้องเรียกให้ช่วย
“
พระเจ้าตาช่วยด้วยครับ” พระฤาษีลืมตาโพลง ผลุดลุกขึ้นยืนยกมือป้องหน้าผากมองดูนายเฟื่องซึ่งกำ ลังควงตะพดไล่เจ้าแห้วติด
ๆ มา
“
เฮ้ย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ หยุดก่อน อะไรกันวะ ออเจ้า” เจ้าแห้วรีบเข้ากำ บังหลังฤาษี นายเฟื่องขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกรอด ๆ กล่าวกับพระเจ้าตาอย่างเดือดดาล
“
พระเจ้าตาขอรับ อ้ายคนนี้มันแย่ชิงเมียของข้าหลบหนีมาในป่า” เจ้าแห้วสดุ้งโหยง
“
ใหญ่
เปล่า ๆ ไม่รู้เรื่อง ฉันไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับแกเลย โธ่….ล่อเข้าเม่าทอดเข้าไปนิดเดียวเท่านั้นเอา” พระเจ้าตาซึ่งเป็นบ้าเพราะอยากเป็นฤาษี ทำ หน้าที่ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท
“
เอ็งคนเดียวเสียสละให้เขาเถอะวะ เมียของข้าหมาป่ามันมาขอเอาไปเป็นเมีย ข้ายังยกให้มันนี่หว่า
ก็สะดุ้งเฮือก
หลานเอ๊ย อันว่านารีนั้นเปรียบเหมือนดอกไม้ใกล้ทาง ใครชอบใจย่อมมีสิทธิที่จะเด็ดดมได้เมียของ” พูดจบพระมุนี“เฮ้ยคุณหมอมาโน่นแล้ว เปิดโว้ย” คราวนี้พระเจ้าตากับเจ้านายเฟื่องก็ใส่ตีนหมาโกยอ้าว นายแพทย์เวรเดินเข้ามาหาเจ้าแห้วอย่างรีบร้อน
เจ้าแห้วรีบยกมือไหว้ทันที
“
ช่วยผมด้วยครับ คุณหอม ไอ้เฟื่องผู้คุมมันจะเล่นงานผม” นายแพทย์ยิ้มเล็กน้อย ยกมือตบบ่าเจ้าแห้วเบา ๆ
“
ไป
“
อ้ายน้องชาย แกไม่ควรออกมาจากห้องเลย ถ้าขืนรุ่มร่ามอย่างนี้อีกเห็นจะต้องเอาเสื้อเกราะมาใส่ให้…..กลับไปห้องของแก”อ้าว” เจ้าแห้วตะโกนลั่น “ผมไม่ใช่คนบ้านะครับคุณหมอ” นายแพทย์หัวเราะ เขาเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าแห้วเป็นคนไข้ของเขาหลบหนีออกมาจากห้องคุมขัง
“
เป็นผู้คุม หนีออกไปหน้าโรงพยาบาลเสมอ แล้วอีตาสินก็บ้าอยากเป็นฤาษี ยุ่งเหลือเกินพับผ่า
ก็ใครว่าแกเป็นบ้าล่ะ แกเป็นคนดีแท้ ๆ ไป ๆ ๆ แกกับนายเฟื่อง พอ ๆ กันนั่นแหละ เจ้านั่นบ้าอยาก” นายแพทย์คว้าแขนเจ้าแห้ว ลากตัวไป เจ้าแห้วเอ็ดตะโลลั่น
“
“
คุณหมอจะเอาผมไปไหนครับนี่”ก็เอาไปห้องแกน่ะซี ไม่รู้ว่าหลบหนีมาได้ยังไงกันทั้ง ๆ ที่กุญแจดอกเบ้อเริ่ม” เจ้าแห้วร้องไห้โฮ
“
มันชวนผมกับนายของผมอีกคนหนึ่งให้เข้ามาดูคนบ้า ผมกับนายผมก็ตามมันเข้ามา มันบอกว่าในโรงพยาบาลนี้
มันเป็นใหญ่กว่าเพื่อน รับประทานอย่าเอาผมไปขังเลยครับผมไม่ใช่คนบ้า ให้ดิ้นตายเถอะครับ
โธ่ คุณหมอ ผมเป็นคนนอกนะครับ ผมมาเล่นเรือกับเจ้านายผมจอดเรืออยู่หน้าโรงพยาบาล เจ้าเฟื่อง” นายแพทย์เวรหยุดชงัก หันขวับมามองดูหน้าเจ้าแห้วอย่างแปลกใจ
“
“
แล้วก็มีนายแพทย์มาด้วยคนหนึ่ง ด๊อกเตอร์ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์ ยังไงล่ะครับ คุณหมอคงจะรู้จัก
แกมาเล่นเรือ………”ครับ ให้ดิ้นตายเถอะครับ ไม่เชื่อคุณหมอออกไปดูหน้าโรงพยาบาลก็ได้ครับ ผมมาด้วยกัน ๖ คน” นายแพทย์สมาน แห่งโรงพยาบาลโรคจิตขมวดคิ้วย่น เขาเป็นนักเรียนนอกรุ่นเดียวกับดิเรก และเป็น
เพื่อนที่คุ้นเคยกันอย่างดี
“
“
ดิเรก ณรงค์ฤทธิ์”ครับ รับประทานนายผมเอง” คราวนี้นายแพทย์หัวเราะงอหาย ยกมือตบบ่าเจ้าแห้วอย่างขบขัน
“
คิดว่าแกเป็นคนบ้าเขาบ้อมตายฉันไม่รู้ด้วย
อ้ายน้องชาย ขอโทษทีนะ กันเข้าใจผิดคิดว่าแกเป็นคนไข้ของเรา บา—ทีหลังอย่าเข้ามานา ผู้คุมเขา” เจ้าแห้วถอนหายใจโล่งอก
“
หายไปไหนแล้ว
“
“
ง่า…..รับประทานได้โปรดเถอะครับ นายของผมคนหนึ่งที่เข้ามาในนี้ด้วยกัน รับประทานไม่ทราบว่า”นายของแกชื่ออะไร”รับประทานคุณนิกร การุณวงศ์ ครับ เป็นเพื่อนของคุณหมอดิเรก” นายแพทย์สมานกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณบรรดาคนบ้าที่อยู่ในห้องขังเงียบกริบราวกับฟัง
เทศน์ คนไข้โรคจิตต์เหล่านี้มีสัญชาติญาณของตนเองรู้ดีว่าเสื้อเกราะที่สวมใส่ตนเองนั้น มันทรมาณตนอย่างที่
สุด และผู้มีอำ นาจสั่งให้สวมเสื้อเกราะก็คือหมอ คนไข้ทุกคนจึงต่างพากันเกรงกลัวหมออย่างยิ่ง จะเป็นหมอคน
ใดก็ตาม นับแต่ผู้อำ นวยการโรงพยาบาลลงมา
“
ได้พบปะกันหลายปีแล้ว ต่างคนต่างมีภาระกิจเหลือมือไม่ใคร่จะได้ไปมาหาสู่กัน
เอ…..นายของแกถ้าจะวิ่งหนีออกไปข้างนอกแล้ว พาฉันไปพบกับหมอดิเรกหน่อยซิน้องชาย เราไม่” เจ้าแห้วเดินตามนายแพทย์เวรผ่านห้องคุมขังคนไข้โรคจิตออกมานอกโรงพยาบาล
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ กับดร
กันเงียบ ๆ ถึงสภาพความเป็นไปของโรงพยาบาลโรคจิตนี้ซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อหมอสมานพาเจ้าแห้วตรงเข้ามา ดร
หนุ่มลืมตาโพลง ร้องตะโกนลั่น
. ดิเรก,กิมหงวนกับ พล พัชราภรณ์ กำ ลังนั่งสนทนา. ดิเรก ก็จำ เพื่อนนักเรียนนอกรุ่นเดียวกับเขาได้ นายแพทย์ “
“
ฮัลโล สมาน”เฮ้…..ดิเรก” ดร
แซ่ดไปหมด ไต่ถามทุกข์สุขกันตามประสาหัวนอก แล้วดิเรกก็แนะนำ ให้นายแพทย์สมานรู้จักกับเจ้าคุณปัจจนึก
ฯ และเพื่อนเกลอของเขา พาหมอสมานมานั่งร่วมวง อาเสี่ยรีบรินเหล้าส่งให้ทันที
. ดิเรกผลุดลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาหาเพื่อนของเขาต่างจับมือกันและสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษเสียง “
ลองสักก๊งเถอะครับ คุณหมอ เพื่อสันถวไมตรีอันดีงามระหว่างคุณหมอกับพวกเรา” หมอสมานสั่นศีรษะ
“
ขอบคุณครับ ขืนก๊งกลางวันผมเห็นจะหมอบแน่แล้วผมกำ ลังทำ หน้าที่นายแพทย์เวรซะด้วย” พลกล่าวถามเจ้าแห้ว
“
อ้ายกรล่ะ” เจ้าแห้วทำ หน้าเบ้เหมือนกับจะร้องไห้
“
ใช่ผู้คุมหร็อกครับ มันเป็นคนบ้าคนหนึ่ง และบ้าอยากเป็นผู้คุม มันล่อข้าวเม่าทอดเข้าไป ๒ ลูก ดื่มเหล้าเข้าไป
อีก ๒
ผมคงตายแน่ คุณนิกรหลบไปทางไหนก็ไม่ทราบครับ
รับประทานไม่ทราบว่าไปไหนครับ นายเฟื่องมันเล่นงานผมกับคุณนิกรแทบแย่ รับประทานมันไม่-๓ ก๊ง รับประทานพอเข้าไปในโรงพยาบาล รับประทานมันไล่ตีผม ถ้าคุณหมอไม่มาเห็นเข้า รับประทาน” ทุกคนทำ หน้าตื่นไปตามกัน ดร
. ดิเรกมองดูหน้าหมอสมาน “
ตามหน่อยซี
เฮ้-ถ้าจะไม่ดีเสียแล้ว เพื่อนกันตกอยู่ในโรงพยาบาล ประเดี๋ยวถูกพวกคนบ้าทุบตายห่า แกช่วยเข้าไป” หมอสมานพยักหน้า
“
เพื่อนแกคงไม่เป็นไรหร็อก เพราะคนบ้าที่คลุ้มคลั่งเราขังไว้อย่างมั่นคงแข็งแรง
ออไร๋น์ ไปด้วยกันหมดนี่ก็แล้วกัน กันจะได้พาพวกเราชมคนไข้และสถานที่ของเราด้วย เข้าใจว่า” เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้น ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน นายแพทย์สมานปริญญาโรคจิตแห่งประเทศอังกฤษ
เดินนำ หน้าคณะพรรค ๔ สหายเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อติดตามค้นหาตัวนิกร
ที่เรือนคนไข้ขนาดบ้าคลั่ง กำ ลังเกิดการโกลาหลอลหม่าน ผู้คุม ๕ คนช่วยกันฉุดกระชากลากตัวนิกร
เพื่อจะนำ ไปเก็บในห้องขัง ทั้งนี้ก็ด้วยความสำ คัญผิด คิดว่านิกรเป็นคนบ้าหลุดออกมาอาละวาด เนื่องจากนาย
จอมทะเล้นสวมเสื้อฮาไวลายดอกไม้ และมีดอกหงอนไก่ปักอยู่บนผ้าหมวกสักหลาดทรงขอทาน นิกรดิ้นรนต่อ
สู้จนสุดความสามารถปากก็ร้องตะโกนบอกกล่าว
“
กูไม่บ้า กูไม่บ้าโว้ย ช่วยด้วย…ตายแล้ว บอกว่าไม่บ้า ยังจะซ้อมอีก” ผู้คุมไม่ฟังเสียง ช่วยกันเตะ
เห็นหมอสมานเขาตะโกนบอก
, ถีบ, ตุ๊ยและชกนิกรพลางลากตัวขึ้นไปบนเรือน ผู้คุมอีกคนหนึ่งหันมา “
คุณหมอครับ เจ้าหมอนี่อาละวาดใหญ่แล้วครับช่วยผมหน่อยครับ” พล
เวรวิ่งตื๋อเข้าไปหา ออกคำ สั่งกับผู้คุม
, กิมหงวน, ดร. ดิเรก และเจ้าแห้วกับท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ต่างหัวเราะขึ้นพร้อม ๆ กัน นายแพทย์ “
ปล่อย—ปล่อยโว้ย” พวกผู้คุมปล่อยนายจอมทะเล้นออก นายแพทย์สมานถอนหายใจเฮือกใหญ่พูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของ
เขา
“
พวกแกเข้าใจผิดเสียแล้ว สุภาพบุรุษผ้นี้ไม่ใช่คนบ้า เพียงแต่หลุดเข้ามาในโรงพยาบาลเท่านั้น” ผู้คุมคนหนึ่งขมวดคิ้วย่น
“
นั่นก็เข้าใจว่าหนีออกมาจากห้องขัง พอเข้าจับแกชกพวกผมใหญ่เชียวครับ เลยต้องช่วยกันซ้อม
ไม่บ้าทำ ไมถึงรำ ยี่เกล่ะครับ ผมคิดว่าคนไข้ที่คุณหมอรับไว้ใหม่ พวกเราแลเห็นแกรำ ยี่เกอยู่ทางเรือน” นิกรถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองดูหน้านายแพทย์สมาน
“
ไม่เชื่อ
ดูซี คุณหมอ หน้าตาผมยังกะถูกหมาฟัดอ้ายหอกนั่นมันชกผมตั้งหลายทีผมบอกว่าผมไม่ได้บ้ามันก็” หมอสมานหัวเราะหึ ๆ
“
คนไข้ที่นี่น่ะไม่มีใครยอมรับว่าเขาเป็นบ้าหรอกครับถ้าผมเรียกตัวมาถาม เขาจะต้องบอกผมทันทีว่าเขาหายบ้า
และสมควรที่จะกลับบ้านได้แล้ว ดูแต่นายเฟื่องซีครับ อยู่ที่นี่มาหลายปีแล้วไม่หายขาดเขาบ้าอยากเป็นผู้คุม ตาม
ธรรมดาก็พูดกันรู้เรื่องหรอกครับ แต่ถ้าเขากินหวาน ๆ เข้าไป หรือดื่มเหล้าสักเล็กน้อย เขาก็จะกลับเป็นบ้าทัน
ที
“
ความจริงมันเป็นความผิดของคุณเองที่ไม่ควรเข้ามาในโรงพยาบาลก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากผม”มายก๊อท” ดิเรกคราง “ให้ข้าวเม่าทอดแกกินเข้าไปนั่นเอง เลยเกิดเรื่อง” หมอสมานยกมือตบบ่าดิเรก
“
ได้พบแก
พาพวกเราไปที่เรือนพักของกันเถอะ กันจะได้เตรียมอาหารกลางวันไว้ต้อนรับ ดีใจเหลือเกินดิเรกที่” นิกรพูดเสริมขึ้น
“
“
นอกแล้ว เชิญครับ คุณอา โปรดคิดว่าผมเป็นหลานของคุณอาคนหนึ่งนะครับ
มีการเลี้ยงอาหารกลางวันด้วยหรือครับ”ครับ เชิญสิครับ ขอให้ถือว่าเป็นกันเอง ผมกับดิเรกเป็นเพื่อนที่รักใคร่ถูกอัธยศัยกันมากตั้งแต่อยู่เมือง” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยิ้มแป้น
“
“
อาหารกลางวันควรจะให้เป็นไปตามความประสงค์ อ้ายเรื่องกินน่ะไม่น่าจะปฏิเสธเลยเอาผมเป็น ตัวอย่างที่ดี
บ้างซีครับ
ขอบใจหลานชาย ง่า—อย่าให้พวกเรารบกวนเธอเลย เราอยากจะไปเที่ยวเรือมากกว่า”ปู้โธ่” นิกรเอ็ดตะโรลั่น “อย่าทำ ให้คุณหมอเสียความตั้งใจหน่อยเลยน่า คุณพ่อ คุณหมอตั้งใจจะเลี้ยง” ท่านเจ้าคุณกลืนนํ้าลายเอื๊อก
“
“
ตัวอย่างตะกละตะกรามน่ะหรือ คนอย่างแกน่ะมันตะกละสิ้นดีรู้ไหม”ครับ ผมถือมติที่ว่า….ตะกละอิ่มท้อง จองหองท้องแห้ง” หมอสมานหัวเราะและพูดเสริมขึ้น
“
รู้จักตัวจริงวันนี้เอง
ขอให้เป็นกันเองเถอะครับ ผมจะดีใจมาก ผมได้ยินชื่ออาเสี่ยกิมหงวนมหาเศรษฐีมานมนานแล้ว เพิ่ง” กิมหงวนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“
ผมนี่แหละครับ อาเสี่ยกิมหงวนมหาเศรษฐีหนุ่มรูปหล่อแห่งไทยแลนด์” หมอสมานมองดูอย่างเกรง ๆ
“
ในประเทศไทย ที่สามารถฉีกธนบัตรโปรยทิ้งเล่นครั้งละพันสองพันอย่างหน้าตาเฉย
เป็นเกียรติอย่างยิ่งเชียวครับ ที่ได้รู้จักกับอาเสี่ยง่า – เขาลือกันว่า อาเสี่ยกิมหงวนเป็นเศรษฐีคนเดียว” เสี่ยหงวนยืดหน้าอกขึ้น
“
ในกระเป๋ากางเกงหยิบธนบัตรใบละร้อยบาทปึกหนึ่งซึ่งเปียกนํ้าชุ่มโชกออกมาชูอวดหมอสมาน
ก็เงินพันสองพันไม่ได้ทำ ให้ขนหน้าแข้งของผมล่วงเลย คุณหมอ” พูดพลางกิมหงวนก็ล้วงมือลงไป “
อย่าครับ นายแพทย์สมานอุทานลั่น อย่าฉีกเลยครับ น่าเสียดาย” เสี่ยหงวนหัวเราะ
“
เสี่ยก็ฉีกธนบัตรออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วโปรยลงบนพื้นดินอย่างหน้าตาเฉย
หมอสมานแห่งโรงพยาบาลโรคจิตนัยน์ตาเหลือกมองดูเสี่ยหงวนด้วยความตื่นตระหนกตกใจเหลือที่
จะกล่าว จริงอยู่เขาเคยทราบมาว่าอาเสี่ยกิมหงวนมหาเศรษฐีแห่งประเทศไทยสามารถฉีกธนบัตรเลน่ อยา่ งหน้า
ตาเฉยแต่เขาไม่เชื่อว่าข่าวนี้จะเป็นความจริงเพราะไม่เคยปรากฏว่ามีมนุษย์ที่จะเป็นเศรษฐีคนไหนจะกล้าฉีก
แบ๊งก์เล่นอย่างไร้เหตุผลอย่างนี้
เสียดาย….เงินเท่านี้ไม่มีความหมายอะไรสำ หรับผมเลย ผมจะฉีกให้คุณหมอดูเป็นขวัญตา พูดจบอา “
อาเสี่ย นายแพทย์สมานอุทานขึ้นดัง ๆ “ กิมหงวนหัวเราะก้าก ถูมือไปมา
“
ได้เชื่อว่ามหาเศรษฐีที่กล้าฉีกแบ๊งก์เล่นในโลกนี้มีผมคนเดียวเท่านั้นเอง
“
กันยังดีกว่า
แปลกหรือครับ คุณหมอ ความจริงไม่น่าประหลาดใจอะไรเลยผมฉีกให้ดูอีกปึกหนึ่งก็ได้ คุณหมอจะ”เฮ้ย” พลร้องลั่น เมื่อเห็นเสี่ยหงวนหยิบธนบัตรปึกหนึ่งออกมา “อย่าน่า เสียดายโว้ย เก็บไว้กินเหล้า” นิกรพูดเสริมขึ้น
“
หรือม่ายก็ส่งมาให้กันเถอะวะ” เสี่ยหงวนสั่นศีรษะ
“
ก็เปียกนํ้าตอนเรือล่มหมดแล้ว ฉีกมันทิ้งเสียก็แล้วกัน
เล่นตลกหรือเล่นกล ผมฉีกจริง ๆ หนึ่ง
“
กันจะอวดลวดลายเศรษฐีให้คุณหมอได้ชมเป็นขวัญตาสักหน่อย อย่าขัดคอกันหน่อยเลยวะ เงินนี่มัน” พูดจบก็หันมาทางหมอสมาน “ดูนะครับ คุณหมอ ไม่ใช่—สอง—สาม”แคว่ก แคว่ก” ธนบัตรใบละร้อยบาท อีกปึกหนึ่งหนาประมาณพันบาท ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
นายแพทย์สมานกลืนนํ้าลายติด ๆ กัน หลายครั้ง ยกมือตบหลังกิมหงวนเบา ๆ
“พักผ่อนสงบสติอารมณ์อยู่กับผมสัก ๒ อาทิตย์นะครับ
แน่ไปเลยครับ อาเสี่ย ง่า—” กิมหงวนอ้าปากหวอ
“
นั่นแน่ คุณหมอนึกว่าผมเป็นบ้าล่ะซี” หมอสมานหัวเราะ
“
มิได้ครับ ผมเพียงแต่คิดว่า เครื่องในของอาเสี่ยชำ รุดไปบ้างเท่านั้นให้ผมรักษาให้ไม่ดีหรือครับ” กิมหงวนฝืนยิ้ม
“
ลำ บากนักก็ไม่ต้องหรอกครับ คุณหมอ” หมอสมานทำ หน้าชอบกล เดินเข้ามากระซิบกระซาบถามดร
. ดิเรกเพื่อนเกลอของเขา “
อาเสี่ยแกไม่สบายนี่หว่า อาการย่างนี้ขืนปล่อยไว้ต้องอาละวาดแน่ ๆ นัยน์ตาขวางชอบกลโว้ย” ดร
. ดิเรกสั่นศีรษะ “
ตรวจร่างกายเขาเสมอ เพื่อนกันทั้งหมดนี่ไม่มีใครครบ ๔ สลึงแม้กระทั่งกันเอง ยิ่งอ้ายแห้วคนใช้ของเราด้วยแล้ว
สลึงกว่า ๆ เท่านั้นเอง
เนบเว่อไม เขาเป็นยังงี้มานานแล้ว คุ้มดีคุ้มร้ายไม่ใคร่จะสมประกอบ แต่กันอยู่ใกล้ชิดเขามีโอกาสได้” หมอสมานอมยิ้ม การสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เมื่อมาถึงบ้านพักของหมอสมาน ทุกคนขึ้นไปบน
เรือน หมอสมานเรียกบุตรภรรยาของเขาออกมารู้จักกับคณะพรรค ๔ สหาย และให้การรับรองอย่างดีที่สุด สั่งให้
ภรรยาของเขาจัดหาอาหารกลางวันมาต้อนรับ
ในราว ๑๓
.๐๐ น. คณะพรรค ๔ สหายพร้อมด้วยนายแพทย์สมานก็พากันเดินออกมาจากประตูโรงพยาบาลโรคจิต
ที่ท่านํ้า เสียงโห่ร้องเกรียวกราวดังแซ่ดไปหมด พวกคนบ้าที่จวนจะหายป่วยแล้วประมาณ ๑๐ คน ยืน
จับกลุ่มมองดู คนบ้าอีก ๔ คนซึ่งถือวิสาสะลงเล่นเรือ
หน้าที่คัดท้าย
หมอสมานหยุดชงัก จุ๊ย์ปากพลางยกมือกุมขมับอย่างปวดหัว เดินรี่เข้ามาที่ท่านํ้า ทันใดนั้นคนบ้าคน
หนึ่งก็แลเห็นคุณหมอเข้า เขาร้องตะโกนสุดเสียง
“สี่สมิง” กันอย่างครึกครื้น นายใยหรือพี่ใย เป็นตัวโจกทำ “
คุณหมอมาโว้ย” เหมือนกับผึ้งแตกจากรัง พวกคนไข้โรคจิตต่างวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เพราะกลัวจะถูกสวมเสื้อเกราะ
หรือถูกลงโทษ หมอสมานหยุดยืนท้าวสะเอวริมเขื่อนมองดูสาวกของเขาทั้ง ๔ คนซึ่งกำ ลังพายเรือหันรีหันขวาง
อยู่กลางคลอง
“
เฮ้ย เลิก ๆ เดี๋ยวนี้ พายเข้ามานี่เร็ว ประเดี๋ยวเรือล่มเกิดจมนํ้าตายขึ้นจะเดือดร้อน” เสียงเอะอะเฮฮาเงียบกริบ นายใยบ่นพึมพัมวาดเรือเข้ามาหาฝั่ง นักเล่นเรือทั้ง ๔ คนตัวสั่นงันงกเพราะ
เกรงกลัวหมอ ต่างรีบขึ้นจากเรือทันทีและยืนเข้าแถวคอยฟังคำ สั่งหมอ คณะพรรค ๔ สหายเข้ามายืนร่วมกลุ่ม
ข้างหลังหมอสมานและเมื่อนายใยเผยอยิ้ม เสี่ยหงวนกับนิกรก็อดหัวเราะไม่ได้
“
พี่ใย นิกรร้องเรียก เป็นไง เล่นเรือสนุกไหม?” นายใยตอบตามประสาคนบ้า ประโยคหนึ่งก็เรื่องหนึ่ง
“
พบกันตลาดยอด ขาดทุน ๒๐๐ กว่าบาท
สนุกครับ เขาบอกว่าเสร็จพรุ่งนี้ แต่มันแก่ไฟไปหน่อย ทีแรกมันจะแทงคอหอย พูดไปพูดมานัดไป” นิกรพยักหน้าหงึก ๆ คล้ายกับว่าเขารู้เรื่อง
“
แล้วพี่ใยทำ ยังไง” นายใยนิ่งคิด
“
เราก็ออกปากไปแล้ว เราก็ต้องให้เขา จะดูกันให้รู้แน่ต้องไปดูที่ตลาดบำ เพ็ญบุญครับ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ยกฝ่ามือผลักหน้านิกรเบา ๆ
“
แกรู้เรื่องรึ” นิกรสั่นศีรษะ
“
ได้อาละวาดทำ ร้ายใคร
ไม่รู้หรอกครับ แต่เห็นหน้าพี่ใยแล้ว ผมอดคุยกับแกไม่ได้ แกเป็นคนน่าสงสารครับ ถึงเสียสติแกก็ไม่” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ หมอสมานกล่าวกับคนไข้ของเขาด้วยเสียงดุดัน แต่ใจจริงเต็มไปด้วยความ
เมตตาปราณีบุคคลเหล่านี้
“
ใส่เสื้อเกราะ
ไป—กลับเข้าไปในโรงพยาบาลให้หมด รุ่มร่ามนักทีนี้อย่าออกมาเลย นายใยน่ะสำ คัญนักระวังจะถูก” นายใยหัวเราะเปิดเผย
“
หมด จนปัญญาเลยให้รากเลือด
จะมาว่าผมก็ไม่ถูกครับคุณหมอ ผมเตือนแล้วว่าฝรั่งมันต้องคิดแก้ไขตะปูตั้ง ๕๐ ถังขนเอาไปซ่อน” หมอสมานอดหัวเราะไม่ได้
“
ไป…..ไปไม่ต้องพูดมาก เข้าไปให้หมด วิเศษกันใหญ่แล้วถึงกับลงเล่นเรือ” คนไข้ของโรงพยาบาลโรคจิต ต่างย่อย ๆ กันเข้าไปในโรงพยาบาล เจ้าคุณปัจจนึก ฯ มองตามอย่าง
เวทนาแล้วท่านก็กล่าวกับ ๔ สหาย
“
กลับกันเสียทีหรือพวก หมอจะได้พักผ่อนบ้าง” ทุกคนต่างรํ่าลานายแพทย์ผู้ใจดี แล้วลงนั่งเรือ
นํ้าหน้าโรงพยาบาลโรคจิต สักครู่หนึ่งก็ออกปากคลองสานถึงแม่นํ้าใหญ่
แสงแดดร้อนแรงกล้า และนํ้ากำ ลังไหลขึ้นเอื่อย ๆ
สายนํ้า ๔ สหายสัพยอกหยอกล้อกันเสียงเอะอะเอ็ดตะโร
เจ้าคุณปัจจนึก ฯ นำ เรือข้ามฟากมาทางฝั่งตะวันออกคือ ฝั่งพระนครมองแลเห็นสพานปฐม ฯ เด่นอยู่
ข้างหน้าหนุ่ม ๆ สาว ๆ ต่างพายเรือบตเที่ยวเล่นสรวลระริกซิกซี้กัน
กิมหงวนนึกสนุกขึ้นมาก็ร้องขึ้นดัง ๆ
“สี่สมิง” ต่อจากนั้น “สี่สมิง” ก็แล่นเอื่อย ๆ ไปจากท่า“สี่สมิง” เดินทางกลับอู่เรือกิมหงวน เรือลอยมาตาม “
เฉียบ—เฉียบ—เฉียบ เล่นเพลงเรือกันเถอะโว้ย กรร้องอย่างที่ในหนังร้องน่ะ แกร้องได้ไหมวะ” นิกรเคี้ยวกล้วยแขกตุ้ย ๆ แล้วสั่นศีรษะ
“
จำ ได้กะท่อนกะแท่น อย่าร้องเลย” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พูดเสริมขึ้น
“
เออ—ไหนลองร้องให้พ่อฟังซิ ได้ยินวิทยุบรรเลงเพลงนี้บ่อย ๆ เพราะดีเหมือนกัน” นิกรอมยิ้ม
“
“
คุณพ่อต้องเป็นลูกคู่นะครับ”เออ—เอา…..เฉียบ ๆ …..เฉียบ” นายจอมทะเล้นร้องเพลงเรือทันที
……
พายเรือเที่ยวกัน เดือน ๑๒ นํ้านองตลิ่ง
โจ๊ะถิดทิง
หนุ่มสาวเล่นเรือ รักกันไม่เบื่อ….โจ๊ะถิดทิง….โจ๊ะถิดทิง พลหัวเราะหึ ๆ
“
ร้องต่อไปซีโว้ย” นิกรหยุดร้องแล้วอมยิ้ม
“
ได้แค่นี้เอง จบแล้ว คุณพ่อร้องให้พวกเราฟังสักเพลงซีครับ เอาเพลงเรือแบบเก่าของไทยเรา” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พูดพลางหัวเราะพลาง
“
“
พ่อร้องเป็นเมื่อไหร่เล่า”อ้า….แก่จนหัวหงอกแล้ว ร้องเพลงไม่เป็นมีอย่างหรือครับ” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ แยกเขี้ยว ยกพายขึ้นตีศีรษะนิกรดังโป๊ก
“
นี่แน่ะ ทลึ่งมากไปหน่อย” นิกรสูดปากสั่น ยกมือขึ้นลูบคลำ ศีรษะ แล้วพูดกับ ดร
. ดิเรก “
หมอ…แกเห่เรือให้ฟังสักหน่อยได้ไหมวะ” นายแพทย์หนุ่มหันมายิ้ม
“
“
เพื่อความครึกครื้นในหมู่คณะ
ได้ซี เขาเห่กันยังไงล่ะ”ก็เห่อย่างที่เขาเห่กันนั่นแหละ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ยังไม่เคยได้ยินแกร้องเพลงเลย ลองหน่อยซีวะ “
โอ.เค. ไอจะร้องให้ฟัง พวกยูจะได้รู้ว่าอย่างดอกเตอร์ ดิเรกก็ร้องเห่เรือได้เหมือนกัน” เสียงหัวเราะของทุก ๆ คนดังขึ้น
“
เอ้า…..ร้องโว้ยหมอ” พลสนับสนุน กันอยากฟังเต็มทนแล้ว” ดร
. ดิเรกกระแอมลั่นแล้วร้องเห่เรืออย่างเอียงอาย เรือเอ๋ยเอือ
“สี่สมิง” ช่างงามจริงจริง เหมือนลิงจ๋อ
“
มันงามยังไงวะ
เฮ้ย” พล นิกร กิมหงวนอุทานขึ้นพร้อม ๆ กัน แล้วอาเสี่ยก็พูดพลางหัวเราะพลาง งามเหมือนลิงจ๋อน่ะ” นายแพทย์หนุ่มยิ้มแห้ง ๆ
“
ไม่รู้ กันนึกยังไงได้กันก็ร้องออกมา” นิกรอดหัวเราะไม่ได้
“
แต่งคำ ร้องให้มันเพราะ ๆ หน่อยซีวะ การแต่งกลอนสดกันคิดว่าคงไม่อยากเย็นอะไรสำ หรับแก” ดร
. ดิเรกอมยิ้ม “
งั้นเรอะ ถ้ายังงั้นกันจะร้องให้ฟังใหม่” ทุกคนเงียบกริบ ดร
ภาพยนตร์
. ดิเรก ร้องเห่เรือเสียงเขาเหน่อน่าฟัง ราวกับบิง ครอสบี้ นักร้องเสียงทองของโลก เรือเอ๋ยเรือลำ น้อย
แล่นล่องลอยในสายชล ฮ้า
ฝีพายทั้ง ๖ คน
ชอบกลเหมือนลิงจ๋อ
…..ไฮ้ ไม่มีใครยอมร้องเห่ นิกรเงื้อพายหวดลงมากลางศีรษะนายแพทย์หนุ่มดังป๊อก แล้วพูดขึ้นด้วยเสียง
หัวเราะ
“
ลำ บากนักก็อย่าร้องเลยวะ อะไร ๆ ก็ลงลิงจ๋อทั้งนั้น” ดิเรกยิ้มแห้ง ๆ
“
กันเป็นนักวิทยาศาสตร์โว้ย ไม่ใช่นักกวีนิพนธ์” ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ
ใหญ่ลำ หนึ่งแล่นตรงมาด้วยความเร็วสูงสุด ท่านผู้ดีมีเงินที่อยู่ในเรือลำ นั้นกำ ลังสนุกสนานสรวลเสเฮฮากันโดย
ไม่คำ นึงถึงว่า คลื่นเรือของเขาจะทำ ความเดือดร้อนให้บรรดาเรือแพทั้งหลาย ตลอดจนบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ริม
นํ้า
เจ้าแห้วหันมาตะโกนบอกท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ
“สี่สมิง” แล่นมาใกล้จะถึงสพานพระพุทธยอดฟ้าแล้ว เรือยนต์ปิคนิคขนาด “
รับประทานระวังหน่อยครับ เรือลำ นั้นคลื่นมันใหญ่เหลือเกิน” เจ้าคุณมองตามสายตาเจ้าแห้วแล้วหัวเราะ
“
ชั้นนี้ถือท้ายแล้วไม่ต้องกลัว ข้ารู้จักวิธีตัดคลื่นถึงคลื่นใหญ่กว่านี้ก็ไม่ล่ม” เรือปิคนิคลำ นั้นผ่านมาแล้ว ๔ สหายพากันมองดูสภาพสตรีสาวที่นั่งชูคอสลอนอยู่ในเรือ ทันใดนั้น
เองคลื่นก็เริ่มเล่นงานเรือ
สุดความสามารถแต่แล้วเมื่อโดนคลื่นอีกลูกหนึ่ง
ท้ายเรือปิคนิคลำ นั้น
“สี่สมิง” หัวเรือเชิดขึ้นแล้วก็ตํ่าลงตามคลื่น เจ้าคุณปัจจนึก ฯ ทำ หน้าที่คัดท้ายเรือจน“สี่สมิง” ก็เอียงวูบควํ่าลงทันที อาเสี่ยกิมหงวนตะโกนด่านาย “
เฮ้ย…พ่อมึงเจ็บหนักหรือยังไงโว้ย จะรีบไปไหน” คณะพรรค ๔ สหายว่ายนํ้ากันต๋อมแต๋ม ช่วยกันเก็บพายและไม้กระดานปูพื้นเรือ แล้วก็ว่ายมาเกาะเรือ
“
สี่สมิง” อาเสี่ยกิมหงวนทำ หน้าตื่น ๆ มองไปรอบ ๆ แม่นํ้า “
เฮ้ย…อ้ายกรหายไปไหนนี่” ทุกคนใจหายวาบ ต่างมองหานายจอมทะเล้นและมองดูหน้ากัน เจ้าแห้วทำ หน้าเหมือนกับจะร้องไห้
เจ้าคุณปัจจนึกฯ หน้าซีดเผือด เมื่อแลเห็นช่อหงอนไก่และหมวกสักหลาด ทรงขอทานของนิกรลอยอยู่ในนํ้า
“
“
กร กรโว้ย ท่านเจ้าคุณตะโกนลั่น อ๋อย อ้ายกรจมนํ้าตายแล้ว”มายก๊อด…. “ ดร. ดิเรกคราง “ทำ ยังไงดีล่ะพวกเรา” นายพัชราภรณ์ พูดขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการ
“
อ้ายกรจมนํ้าตายแน่มันกินเหล้าเข้าไปมากเสียด้วยช่วยกันเอาเรือเข้าฝั่งก่อนเถอะ” เจ้าแห้วร้องไห้โฮ
“
ไม่น่าจะเอาชีวิตมาทิ้งเลย อนิจจังทุกขัง เอ๊ยฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ
โธ่…รับประทานเห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ ฮือ ๆ รับประทานเมื่อคืนหวยมันออก ผี ซะด้วย รับประทาน” เสี่ยหงวนนํ้าตาคลอหน่วย ความรู้สึกบอกตัวเองว่านิกรเพื่อนเกลอของเขาต้องสูญเสียชีวิตอย่างแน่
นอน และกว่าจะพบศพก็คงมะรืนนี้ตอนเย็น ซึ่งศพคงจะขึ้นอึ่ดทึ่ดแทบจะจำ ไม่ได้
ความสนุกสนานในการเล่นเรือ เปลี่ยนเป็นความวิปโยคโศกเศร้าเหลือที่จะกล่าวแล้ว พล กิมหงวน
ดร
ท่านเจ้าคุณปัจจนึก ฯ ก็ปรึกษากับพล
.ดิเรกกับเจ้าคุณปัจจนึก ฯ และเจ้าแห้วต่างช่วยกัน ลากเรือ “สี่สมิง” เข้าหาฝั่ง และเมื่อมาถึงท่านํ้าแห่งหนึ่ง “
ได้ตัวก็พอช่วยกันแก้ไข
จ้างประดานํ้าเขามางมดีไหม อ้ายกรคงจะจมอยู่แถวกอสวะที่มองเห็นนั่น นํ้าคงไม่ลึกเท่าไรนัก ถ้าเรา” พลถอนใจหนัก ๆ
“
นี้
ประดานํ้าที่ไหนล่ะครับ พวกประดานํ้ามีอยู่ในคลองบางกอกน้อยเท่านั้นแล้วก็นํ้าไหลเชี่ยวอย่าง…..” เสี่ยหงวนร้องไห้สอึกสะอื้น ในเวลาเดียวกันนี้เองนายจอมทะเล้นก็ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากข้างหลังเสี่ย
หงวน นิกรไม่ได้จมนํ้าตายดังที่ใครเข้าใจ พอเรือพลิกควํ่านิกรก็ดำ เข้าไปโผล่ในเรือ มือยึดกระทงเรือไว้ ปล่อย
ให้พรรคพวกจูงเรือเข้าฝั่งโดยที่ตัวเองไม่ต้องช่วยเหลือ
นายจอมทะเล้นยกมือเกาะบ่าเสี่ยหงวน
“
เสี่ยหงวนตวาดแว๊ด
ปล่อยมันตามเรื่องเถอะวะ ป่านนี้มันคงตายแล้ว” นิกรพูดยิ้ม ๆ “
ปล่อยยังไงเพื่อนทั้งคนเห็นชีวิตคนเป็นหมาไปได้” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พล กับดร
ตาเดียว
. ดิเรก และเจ้าแห้วสะดุ้งเฮือกพร้อม ๆ กันต่างจ้องมองดูนายการุณวงศ์เป็น “
กิมหงวนหันขวับมาทางเพื่อนเกลอของเขาแล้วทำ คอย่น
อ้ายกร” ท่านเจ้าคุณตะโกนลั่น “
ให้เข้าใจผิดมันก็นานเกินควร
ปู้โธ่…..แอบอยู่ที่นี่เอง ฉันนึกว่าแกจมนํ้าตายห่าแล้ว แกหายไปไหนวะจะว่าแกดำ นํ้าหลอกพวกเรา” นิกรหัวเราะ
“
ฝั่ง
กันอยู่ในท้องเรือของเรานั่นแหละ สบายดีโว้ยเกาะกระทงเรือไว้เฉย ๆ ปล่อยให้พวกเราลากเรือเข้า” นายพัชราภรณ์สั่นศีรษะช้า ๆ
“
อ้ายจอมกะล่อน ทำ ให้ตกอกตกใจนึกว่าตายเสียแล้ว” เจ้าคุณปัจจนึก ฯ พูดตัดบท
“
ช่วยกันกู้เรือโว้ย กลับกันทีเถอะ แดดร้อนจะตายโหงอยู่แล้ว” กิมหงวนอมยิ้ม
“
จริงครับ ผมเห็นใจคุณอามาก คุณอาคงจะร้อนกว่าพวกผมบอกให้ใส่หมวกมาก็ไม่เชื่อ” คณะพรรค ๔ สหายต่างช่วยกันกู้เรือ
แหกปากร้องขึ้นดัง ๆ
“สี่สมิง” พวกเด็กเคาบอยหลายคนยืนอยู่ริมเขื่อน เจ้าเด็กคนหนึ่ง “
เฮ้ย..ขุนช้างเล่นเรือโว้ย หัวแดงแจ๋เลยเห็นไหมวะ” สี่สหายหัวเราะครืน เจ้าคุณปัจจนึก ฯ เงยหน้ามองขึ้นไปบนเขื่อนทำ ปากหมุบหมิบด่าเจ้าพวกเด็กแก่น
แก้วเหล่านั้น
“
เด็กเปรต พ่อแม่ไม่สั่งสอนล้อผู้หลักผู้ใหญ่” เสียงเฮฮาของเด็กเคาบอยดังลั่นคณะพรรค ๔ สหายต่างลงนั่งเรือประจำ ที่ จากท่านํ้าทั้ง ๖ คนเปียกนํ้าชุ่มโชกไปหมดทั้งตัว และเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปตามกัน นิกรร้องเพลง หงิง ๆ แต่
นั่งเฉยไม่ยอมพาย
จบบริบูรณ์